ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด"
Earthpanot (คุย | ส่วนร่วม) ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 3: | บรรทัด 3: | ||
| image = [[ไฟล์:Newcastle United Logo.svg.png|230px|Club logo]] |
| image = [[ไฟล์:Newcastle United Logo.svg.png|230px|Club logo]] |
||
| fullname = สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด |
| fullname = สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด |
||
| nickname = เดอะแม็กพาย, เดอะทูน |
| nickname = เดอะแม็กพาย, เดอะทูน<br />สาลิกาดง ([[ภาษาไทย]]) |
||
| founded = [[ค.ศ. 1892]] |
| founded = [[ค.ศ. 1892]] |
||
| ground = [[เซนต์เจมส์พาร์ก]]<ref>{{cite news |title=Newcastle rename St James' Park the Sports Direct Arena |url=http://news.bbc.co.uk/sport2/hi/football/15668207.stm |work=BBC Sport |publisher=British Broadcasting Corporation |date=9 November 2011 |accessdate=4 December 2011}}</ref><br /> |
| ground = [[เซนต์เจมส์พาร์ก]]<ref>{{cite news |title=Newcastle rename St James' Park the Sports Direct Arena |url=http://news.bbc.co.uk/sport2/hi/football/15668207.stm |work=BBC Sport |publisher=British Broadcasting Corporation |date=9 November 2011 |accessdate=4 December 2011}}</ref><br /> |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:23, 10 มิถุนายน 2559
ชื่อเต็ม | สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด | |||
---|---|---|---|---|
ฉายา | เดอะแม็กพาย, เดอะทูน สาลิกาดง (ภาษาไทย) | |||
ก่อตั้ง | ค.ศ. 1892 | |||
สนาม | เซนต์เจมส์พาร์ก[1] | |||
ความจุ | 52,387 คน | |||
เจ้าของ | ไมค์ แอชลีย์ | |||
ประธาน | ลี ชาร์นลีย์ | |||
ผู้จัดการ | ราฟาเอล เบนีเตซ | |||
ลีก | ฟุตบอลลีกแชมเปียนชิป | |||
2015–16 | พรีเมียร์ลีก, อันดับที่ 18 (ตกชั้น) | |||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร | |||
| ||||
สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด (อังกฤษ: Newcastle United Football Club; ตัวย่อ: NUFC) เป็นทีมฟุตบอลอาชีพทีมหนึ่งในฟุตบอลลีกอังกฤษ ตั้งอยู่ที่เมืองนิวคาสเซิลอะพอนไทน์ มีชื่อเล่นของทีมว่า "แม็กพายส์" ("สาลิกาดง" หรือ "กางเขนเหล็ก" ในภาษาไทย) แฟนของทีมนิวคาสเซิลยูไนเต็ด จะมีชื่อเรียกว่า "ทูนอาร์มี" ซึ่งคำว่า "ทูน" นั้นเป็นภาษาแซกซัน คือคำว่า "ทาวน์" ที่แปลว่า "เมือง" [2]
นิวคาสเซิลยูไนเต็ดถือว่ามีคู่แข่งในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วยกัน คือ ซันเดอร์แลนด์ (Sunderland) และ มิดเดิลส์เบรอ (Middlesbrough)
ในฤดูกาล 2015–16 นิวคาสเซิลยูไนเต็ดต้องตกชั้นลงไปเล่นในเดอะแชมเปียนชิป หลังจากจบการเล่นนัดที่ 37 ของฤดูกาล เนื่องจากมีเพียง 34 คะแนน และอยู่ในอันดับ 18 ของตารางคะแนน ซึ่งไม่สามารถไล่ตามทันทีมที่อยู่ในอันดับ 17 คือ ซันเดอร์แลนด์ ที่มี 38 คะแนน ได้ทันแล้ว เนื่องจากเหลือการแข่งขันอีกเพียงนัดเดียว [3]
ประวัติสโมสร
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1881 ทีมคริกเก็ตสแตนลีย์ได้ตัดสินใจตั้งทีมฟุตบอลขึ้น เพื่อลงเล่นในช่วงที่ฤดูกาลแข่งขันคริกเก็ตปิดตัวลงในฤดูหนาว พวกเขาชนะเกมแรกที่ลงแข่งขันด้วยสกอร์ 5-0 โดยมีคู่แข่งเป็นทีมเอลสวิกเลเธอร์เวิร์คส์ชุดสำรอง หนึ่งปีต่อมา ทีมก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลอีสต์เอนด์
ขณะเดียวกัน ทีมคริกเก็ตอีกทีมหนึ่งในย่านเดียวกันก็ได้เริ่มสนใจที่จะตั้งทีมฟุตบอล จนกระทั่งมีการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ขึ้น ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1882 โดยในช่วงแรกนั้น พวกเขาใช้สนามคริกเก็ตเดิมเป็นสนามเหย้า ก่อนที่จะย้ายไปลงเตะในเซนต์เจมส์พาร์ก
หลังจากนั้น ได้มีการจัดตั้งฟุตบอลลีกท้องถิ่นขึ้นในปี ค.ศ. 1889 การที่มีลีกอาชีพในบริเวณใกล้เคียงให้ลงเตะ ประกอบกับความสนใจในถ้วยเอฟเอคัพ ทำให้นิวคาสเซิลอีสต์เอนด์เปลี่ยนจากทีมสมัครเล่นมาเป็นทีมอาชีพในปีเดียวกันนั้นเอง แต่ทว่าทางฝั่งนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์กลับล้มเหลวที่จะตามรอยทีมเพื่อนบ้านสู่สถานะทีมฟุตบอลอาชีพ จนกระทั่งในช่วงต้นปี ค.ศ. 1892 ผู้บริหารของนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ได้ตัดสินใจที่จะขอเข้าควบกิจการกับนิวคาสเซิลอีสต์เอนด์ เพื่อมิให้ทีมต้องยุบตัวลงโดยสิ้นเชิง
การควบกิจการเป็นไปด้วยดี ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1892 ชื่อ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ก็ถูกเลือกให้เป็นชื่อใหม่ของทีม
นิวคาสเซิลสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมาครองได้ถึงสามสมัยในช่วงทศวรรษ 1900s และยังเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพถึง 5 ครั้งใน 7 ฤดูกาล แต่สามารถเป็นแชมป์ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปี 1910 หลังจากเอาชนะบาร์นสลีย์ไปได้ในการเตะนัดรีเพลย์ที่กูดิสันพาร์ก
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง พวกเขาคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้อีกสมัยโดยการเอาชนะแอสตัน วิลลาในรอบชิงชนะเลิศที่สนามเวมบลีย์ นอกจากนั้น นิวคาสเซิลยังเป็นแชมป์ลีกได้อีกหนึ่งสมัยในปี 1927 อีกด้วย
ในช่วงทศวรรษ 1950s นิวคาสเซิลเป็นแชมป์เอฟเอคัพถึง 3 สมัยในช่วงเวลา 5 ปี โดยเอาชนะแบล็กพูล 2-0 ในปี 1951 ชนะอาร์เซนอล 1-0 ในปี 1952 และชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี 3-1 ในปี 1955 โดยทีมนิวคาสเซิลในยุคนั้น มีผู้เล่นชื่อดังอยู่หลายคนด้วยกัน เช่น แจคกี มิลเบิร์น, บ็อบบี มิทเชลล์ และ สแตน เซมัวร์
หลังจากตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชันสองอยู่ชั่วขณะ นิวคาสเซิลที่นำโดยผู้จัดการทีม โจ ฮาร์วีย์ ก็ได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดในปี 1965 แต่ทว่าฟอร์มของพวกเขาหลังจากนั้นไม่สม่ำเสมอนัก
ทีมของฮาร์วีย์สามารถทำอันดับผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปครั้งแรกในปี 1968 ก่อนจะคว้าแชมป์ถ้วยอินเตอร์-ซิตีส์ แฟร์ส คัพ (หรือถ้วยยูฟ่าคัพในปัจจุบัน) ไปครองอย่างเหนือความคาดหมายในปีถัดมา โดยสามารถเอาชนะทีมใหญ่ในยุโรปของยุคนั้นไปได้หลายราย ไม่ว่าจะเป็นสปอร์ติง ลิสบอน, เฟเยนูร์ด รอตเตอร์ดัม หรือ รีล ซาราโกซา และปิดท้ายด้วยการคว่ำทีมอุจเพสท์จากฮังการีในรอบชิงชนะเลิศ
นับตั้งแต่ก่อตั้งทีมมา นิวคาสเซิลมักจะมอบเสื้อหมายเลข 9 ให้แก่ผู้เล่นกองหน้าชื่อดังประจำทีม โดยประเพณีนี้ยังคงตกทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับในช่วงเวลานั้น ผู้เล่นที่ได้ใส่เสื้อหมายเลข 9 มีหลายคนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น วิน เดวีส์, ไบรอัน ร็อบสัน, บ็อบบี มอนเคอร์ หรือแฟรงค์ คลาร์ก
หลังจากประสบความสำเร็จในฟุตบอลสโมสรยุโรป ฮาร์วีย์ก็ได้ดึงตัวผู้เล่นเกมรุกชื่อดังมากมายเข้ามาร่วมทีม นับตั้งแต่ จิมมี สมิธ, โทนี กรีน และเทอร์รี ฮิบบิทท์ ไปจนถึงยอดศูนย์หน้าอย่าง มัลคอล์ม แมคโดแนลด์ เจ้าของฉายา 'ซูเปอร์แมค' ผู้เป็นหนึ่งในตำนานของสโมสร แมคโดแนลด์พานิวคาสเซิลเข้าชิงชนะเลิศถ้วย เอฟเอคัพ และ ลีกคัพ กับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตีในปี 1974 และ 1976 ตามลำดับ แต่พลพรรคแม็กพายส์กลับล้มเหลวในรอบชิงทั้งสองครั้ง
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s นิวคาสเซิลอยู่ในช่วงตกต่ำ โดยได้ตกชั้นลงไปเล่นอยู่ในดิวิชัน 2 อยู่เป็นเวลาหลายปี ก่อนที่ผู้จัดการทีมอาร์เธอร์ ค็อกซ์จะสร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยมีเควิน คีแกน อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษเป็นแกนหลัก จนกระทั่งได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุด
หลังจากนั้น นิวคาสเซิลเล่นอยู่ในดิวิชัน 1 จนกระทั่งพวกเขาตกชั้นอีกครั้งในปี 1989
ในปี 1992 เควิน คีแกนได้กลับคืนสู่นิวคาสเซิลอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม เมื่อเขาตอบรับสัญญาระยะสั้น เข้ามาคุมทีมแทนออสซี อาร์ดิเลส ตัวคีแกนเองนั้นกล่าวว่า งานคุมทีมนิวคาสเซิลเป็นงานเดียวเท่านั้น ที่สามารถทำให้เขาหวนคืนสู่วงการฟุตบอลได้ ในขณะนั้น นิวคาสเซิลกำลังดิ้นรนหนีการตกชั้นอยู่ในดิวิชัน 2 ถึงแม้ว่าจะเพิ่งถูกซื้อกิจการโดยเซอร์ จอห์น ฮอลล์ไปไม่นานก็ตาม
ในฤดูกาลนั้น นิวคาสเซิลสามารถหนีรอดพ้นการตกชั้นไปได้ โดยเปิดบ้านเอาชนะปอร์ทสมัธก่อนจะบุกไปเอาชนะเลสเตอร์ ซิตีในสองเกมสุดท้ายของฤดูกาล
ในฤดูกาลถัดมา (1992-93) ฟอร์มของนิวคาสเซิลเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาเล่นฟุตบอลเกมรุกแบบตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งคว้าชัยชนะในเกมลีก 11 นัดแรก ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์ดิวิชัน 1 และเลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกด้วยชัยชนะเหนือกริมสบี ทาวน์ 2-0
นิวคาสเซิลประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดภายใต้การคุมทีมของคีแกน พวกเขาจบฤดูกาล 1993-94 ที่อันดับ 3 และได้รับการตั้งฉายาโดยสื่อมวลชนอังกฤษว่าเป็น "The Entertainers"
ในปีถัดมา นิวคาสเซิลจบฤดูกาลที่อันดับ 6 หลังจากที่ช็อกแฟนบอลด้วยการขายกองหน้าจอมถล่มประตู แอนดี โคล ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 6 ล้านปอนด์บวกกับคีธ กิลเลสพี ปีกขวาดาวรุ่งชาวไอริช
เปิดฉากความท้าทาย
ในปี 1995-96 นิวคาสเซิลเสริมทีมครั้งใหญ่ โดยดึงตัวผู้เล่นชื่อดังเช่นดาวิด ชิโนลาและเลส เฟอร์ดินานด์มาร่วมทีม พวกเขาเกือบที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แต่ก็ทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์ ทั้งที่ในช่วงคริสต์มาส พวกเขาทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถึง 12 คะแนน เกมที่นิวคาสเซิลพ่ายให้กับลิเวอร์พูลไป 3-4 ที่สนามแอนฟิลด์ในฤดูกาลนี้ ได้รับการโหวตให้เป็นเกมยอดเยี่ยมตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว
นิวคาสเซิลเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 2 อีกครั้งในปีถัดมา แม้ว่าจะทำการเซ็นสัญญากองหน้าทีมชาติอังกฤษ แอลัน เชียเรอร์ มาร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติโลก 15 ล้านปอนด์ สำหรับฤดูกาล 1996-97 นี้ เป็นที่จดจำของแฟนบอลหลายคน เนื่องจากนิวคาสเซิลได้ถล่มเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปด้วยสกอร์ถึง 5-0 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1996
ช่วงปัญหา
คีแกนลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในเดือนมกราคม ปี 1997 และถูกแทนที่โดยเคนนี ดัลกลิช ซึ่งได้รับเลือกเพื่อมาช่วยแก้ปัญหาเกมรับของทีม ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของปี 1997-98 ดัลกลิชพานิวคาสเซิลเข้าไปเล่นฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และพ่ายต่ออาร์เซนอลในรอบชิงชนะเลิศถ้วยเอฟเอคัพไป 0-2 หลังจากนั้น แฟนบอลก็เริ่มที่จะไม่พอใจกับสไตล์การทำทีมที่เน้นเกมรับของดัลกลิช เมื่อบวกกับผลงานที่ตกต่ำลงของทีม เป็นผลให้ดัลกลิชถูกปลดออกจากตำแหน่งในช่วงต้นฤดูกาล 1998-99
รืด คึลลิตก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมต่อจากดัลกลิช และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพอีกครั้ง ก่อนจะพ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปในที่สุด แต่คึลลิตได้ทำการซื้อตัวผู้เล่นราคาแพงหลายคนที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในพรีเมียร์ลีก เช่นมาร์เซลิโน กองหลังชาวสเปน และซิลวิโอ มาริช มิดฟิลด์โครเอเชีย นอกจากนี้คึลลิตยังมีปากเสียงกับผู้เล่นคนสำคัญหลายคนในทีม ทั้งหมดนี้ประกอบกับการเริ่มต้นฤดูกาล 1999-2000 ได้อย่างเลวร้าย ทำให้คึลลิตถูกกดดันให้ลาออกไป
ยุคแห่งความสำเร็จ
นิวคาสเซิลตัดสินใจแต่งตั้งเซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน อดีตผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ชาวจอร์ดี เข้ามากู้สถานการณ์ของทีม ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในโซนตกชั้น เกมเหย้าเกมแรกของนิวคาสเซิลภายใต้ร็อบสันจบลงด้วยชัยชนะ 8-0 เหนือเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ พร้อมทั้ง 5 ประตูจากกัปตันทีมแอลัน เชียเรอร์ ในช่วงที่ร็อบสันคุมทีม นิวคาสเซิลได้สร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยอาศัยนักเตะดาวรุ่งเป็นแกนหลัก ผู้เล่นอย่างคีรอน ดายเออร์, เคร็ก เบลลามี่ และโลรองต์ โรแบร์ ทำให้นิวคาสเซิลกลับมาเป็นทีมระดับหัวแถวของพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ฟุตบอลเกมรุกอันน่าตื่นเต้นของพวกเขาทำให้นิวคาสเซิลทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2001-02 จนได้กลับเข้าไปเล่นในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และได้เข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของถ้วยเอฟเอคัพและลีกคัพ
ในฤดูกาล 2002-03 นิวคาสเซิลได้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นทีมแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่แพ้ในรอบแบ่งกลุ่ม 3 เกมแรกแล้วยังสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ ก่อนจะตกรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง หลังจากถูกจับฉลากแบ่งสายไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับทีมยักษ์ใหญ่อย่างบาร์เซโลนา และ อินเตอร์ มิลาน ส่วนผลงานในพรีเมียร์ลีกนั้น นิวคาสเซิลก็ยังคงทำได้ดีอย่างสม่ำเสมอ จนจบฤดูกาลในอันดับที่ 3
ต่อมาในฤดูกาล 2003-04 นิวคาสเซิลตกรอบคัดเลือกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกหลังพ่ายในการดวลจุดโทษให้กับพาร์ทิซาน เบลเกรด จนต้องตกลงไปเล่นในถ้วยยูฟ่าคัพแทน และจบฤดูกาลในอันดับที่ 5 รวมทั้งเข้าถึงรอบรองชนะเลิศถ้วยยูฟ่าคัพ แต่หลังจากนั้นทางสโมสรได้ทำการปลด เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน ในเดือนสิงหาคม 2004 และได้แต่งตั้งแกรม ซูเนสเป็นผู้จัดการทีม
ช่วงที่น่าผิดหวัง
ในฤดูกาล 2004-2005แกรม ซูเนสได้เซ็นสัญญาไมเคิล โอเวนมาสู่ทีมโดยมีค่าตัวเป็นสถิติใหม่ของสโมสร อย่างไรก็ตามในเดือนกุมภาพันธ์ 2006 เขาก็ถูกปลดหลังจากที่ทีมเริ่มฤดูกาล 2005-2006ได้อย่างย่ำแย่ เกล็น โรเดอร์ถูกเรียกเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชั่วคราวและเขาก็พาทีมจบฤดูกาลในอันดับที่ 7 สโมสรจึงแต่งตั้งเขาเป็นผู้จัดการทีม ขณะที่แอลัน เชียเรอร์ก็ได้ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลหลังจากจบฤดูกาลนี้ด้วย ในช่วงปิดฤดูกาล เกล็น โรเดอร์ ได้พาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ พร้อมกับได้สิทธ์ไปเตะในถ้วยยูฟ่าคัพในฤดูกาล 2006-2007 อีกด้วย และเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2006-2007 นิวคาสเซิลจบฤดูกาลในอันดับที่ 7 และ เกล็น โรเดอร์ลาออกจากผู้จัดการทีม สโมสรจึงได้แต่งตั้งแซม อัลลาไดซ์ เป็นผู้จัดการทีมในวันที่ 15 พฤษภาคม 2007 และในวันที่ 7 มิถุนายน 2007 บอร์ดบริหารสโมสรก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อ เฟรดดี้ เชฟเฟริด ผู้บริหารสโมสรในขณะนั้นได้ตัดสินใจขายสโมสรให้แก่ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของธุรกิจขายอุปกรณ์กีฬา
ในฤดูกาล2007-2008 แซม อัลลาไดซ์ ได้เซ็นสัญญานักแตะมาสู่ทีมหลายคนเช่น เฌเรมี่, แอลัน สมิธ จาก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว6ล้านปอนด์, ดาวิด โรเซนนาล, เคลาดิโอ คาซาป้า, โจอี้ บาร์ตัน เป็นต้นแต่นักเตะที่ซื้อมากับทำผลงานได้ย่ำแย่และทำให้ทีมฟอร์มตกจนไปอยู่ท้ายตารางรวมถึงในเกมส์ในบ้านที่แพ้ลิเวอร์พูล 3-0 ชนิดว่าไม่มีลุ้นทำให้มีเสียงโห่จากแฟนนิวคาสเซิ่ลจำนวนมากในเซนต์ เจมส์ พาร์กก่อนที่แซมจะโดนปลดออกในวันที่ 9 มกราคม 2008 และแทนที่ด้วยเควิน คีแกนที่กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งโดยเซ็นสัญญา 3 ปี ทำให้สร้างขวัญกำลังใจให้กับนักเตะและแฟนบอลจนผลงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและจบฤดูกาลด้วยอันดับ12
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2008-2009 ได้เกิดวิกฤติอีกครั้งเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างเควิน คีแกนกับบอร์ดบริหารเรื่องการแทรกแทรงการซื้อขายนักเตะ และในวันที่ 4 กันยายน 2008เควิน คีแกนได้ลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีม สโมสรจึงได้เซ็นสัญญาให้ โจ คินเนียร์ อดีตผู้จัดการทีมวิมเบิลดันมาเป็นผู้จัดการทีมในวันที่ 26 กันยายน 2008 แต่แล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 โจ คินเนียร์เกิดมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับโรคหัวใจ ทำให้สโมสรต้องเรียกแอลัน เชียเรอร์ อดีตศูนย์หน้าของทีมเข้ามารับหน้าที่แทนในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 8 นัด
การตกชั้น
นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2008-09 นิวคาสเซิลบุกไปแพ้แอสตันวิลลา 1-0 ที่วิลลาพาร์ก ทำให้ทีมต้องตกชั้นสู่ฟุตบอลลีกแชมเปียนชิพด้วยอันดับ 18 ของตาราง หลังจากตกชั้นได้ไม่นานแอลัน เชียเรอร์ ก็หมดสัญญาคุมทีม โดยมีคริส ฮิวจ์ตัน ทำหน้าที่รักษาการแทน หลังจากนั้นทีมต้องเสียนักเตะอย่าง ไมเคิล โอเวน, มาร์ค วิดูก้า, ดาวิด เอ็ดการ์, โอบาเฟมี มาร์ตินส์, เชย์ กิฟเวน, เซบาสเตียน บาสซง, เดเมียน ดัฟฟ์ และ ฮาบิบ เบย์ ออกไป พร้อมทั้งมีข่าวว่าเควิน คีแกนอดีตผู้จัดการทีมและขวัญใจแฟนนิวคาสเซิ่ลได้เรียกร้องเงินชดเชยที่ได้ระบุในสัญญาคุมทีม 3ปีก่อนคีแกนจะลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากโดนแทรกแซงเรื่องการบริหาร ศาลตัดสินให้นิวคาสเซิ่ลจ่ายเงินชดเชยจำนวน 2ล้านปอนด์หรือ112ล้านบาทโดยในเหตุการ์ณครั้งนั้นคีแกนไม่พอใจที่โดนเดนนิส ไวส์ ผู้อำนวยการแทรกแซงเรื่องการซื้อขายนักเตะโดยคีแกนไม่พอใจที่ขายเจมส์ มิลเนอร์ กองกลางทีมชาติอังกฤษของทีมให้แอสตัน วิลล่ารวมถึงการซื้อซิสโก้ กองหน้าชาวสเปนและอิ๊กนาซิโอ กอนซาเลซ นักเตะชาวอุรุกวัยโดยไม่ผ่านการตัดสินใจของคีแกน พร้อมกับทางสโมสรพยายามปล่อยตัวโจอี้ บาร์ตัน กองกลางที่พึ่งพ้นโทษออกจากคุกมาโดยที่ขัดแย้งกับคีแกนซึ่งพยายามรั้งตัวไว้ ขณะเดียวกัน ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของสโมสรได้ถูกกดดันจากแฟนบอลจึงประกาศขายทีมในราคา 100 ล้านปอนด์ ทำให้ทีมเริ่มระส่ำระส่ายมากขึ้น แต่ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลใหม่ นิวคาสเซิ่ลก็สามารถคว้านักเตะเสริมทัพได้โดยเป็นแดนนี่ ซิมป์สัน มาจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในสัญญายืมตัว ยืมมาร์ลอน แฮร์วู้ดมาจากแอสตัน วิลล่าและเซ็นสัญญาคว้าตัวปีเตอร์ โลเวนครานด์กับฟาบริซ ป็องครัตมาแบบไร้ค่าตัว โดยผลงานของนิวคาสเซิ่ลในนัดเปิดฤดูกาล2009/2010สามารถบุกไปเสมอเวสบรอมวิช อัลเบี้ยน ได้ 1-1 เมื่อถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2009 ไมค์ แอชลีย์ ก็ประกาศยุติการขายสโมสรเนื่องจากไม่สามารถตกลงราคากับผู้ที่สนใจซื้อสโมสรได้ พร้อมทั้งแต่งตั้ง คริส ฮิวจ์ตันเป็นผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ
กลับสู่พรีเมียร์ลีก
ในฟุตบอลลีกแชมเปียนชิพฤดูกาล 2009-2010 นิวคาสเซิลสามารถทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องจนสามารถคว้าแชมป์ เดอะแชมเปี่ยนชิพมาครองได้สำเร็จและได้เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกโดยอัตโนมัติในวันที่ 5 เมษายน 2010 ทั้งที่ยังเหลือเกมแข่งขันอีก 5 นัด
ในฤดูกาล 2010-2011 นิวคาสเซิลเริ่มฤดูกาลได้อย่างดีเยี่ยม พวกเขาชนะทีมที่มีชื่อเสียงอย่าง อาร์เซนอล แอสตันวิลล่า รวมถึง ซันเดอร์แลนด์ ทำให้คริส ฮิวตัน เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าแฟนบอลนิวคาสเซิล แต่หลังจากการพ่ายแพ้ต่อทีมเวสบรอมวิส อัลเบียน ซึ่งถูกเลื่อนชั้นมาพร้อมกันด้วยสกอร์ 1-3 คริส ฮิวตัน ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งในวันที่ 6 ธันวาคม 2010 โดยมี แอลัน พาร์ดิว เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ โดยได้สัญญาระยะยาว 5 ปี ครึ่ง ในวันที่ 31 มกราคม 2011 สโมสรได้ปล่อย แอนดี้ คาร์โรลล์ เด็กปั้นของสโมสรแก่ทีมลิเวอร์พูล ด้วยราคาสูงลิ่วถึง 35 ล้านปอนด์ และทีมก็จบฤดูกาลด้วยอันดับ 12
เดินหน้าสู่ถ้วยยุโรปอีกครั้ง
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2011-2012 แอลัน พาร์ดิวได้เปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่โดยการขายนักเตะอย่าง เควิน โนแลน, โจอี้ บาร์ตัน, และ โจเซ่ เอ็นริเก้ ออกจากทีม และเรียก ทิม ครูล มาเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 แทน สตีฟ ฮาร์เปอร์ และเซ็นสัญญานักเตะรายใหม่ ๆ เข้ามาเช่น โยฮัน กาบาย, ดาวิเด้ ซานตอน, และ เดมบา บา ซึ่งทำให้เริ่มฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการไม่แพ้ใครอย่างต่อเนื่องถึง 11 เกม ก่อนจะแพ้ทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้เป็นเกมแรก และยังสามารถเอาชนะทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้อย่างน่าประทับใจ ในช่วงเดือนมกราคม สโมสรได้เซ็นสัญญานักเตะเพิ่มอีก 2 คน คือ ปาปิส ซิสเซ่ และ ฮาเทม เบนอาร์กฟา ทำให้ทีมสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมรวมถึงการชนะ ลิเวอร์พูล และ เชลซี ทำให้พวกเขาจบในอันดับที่ 5 และได้ไปเตะในรายการยูฟ่า ยูโรป้าลีกในฤดูกาลหน้า และแอลัน พาร์ดิว ยังได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมอีกด้วย
ผู้เล่น
- ณ วันที่ 27 มกราคม 2016[4]
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
อดีตผู้เล่นที่มีชื่อเสียง
ชื่อ | สัญชาติ | เริ่ม | ถึง | ||
---|---|---|---|---|---|
Name | Nationality | Position | Newcastle United career | Appearances | Goals |
Andy Aitken | สกอตแลนด์ | HB | 1895–1906 | 349 | 42 |
Jack Carr | อังกฤษ | LB | 1897–1912 | 278 | 5 |
Matt Kingsley | อังกฤษ | GK | 1898–1904 | 189 | 0 |
Alexander Gardner | สกอตแลนด์ | RW | 1899–1910 | 314 | 26 |
Peter McWilliam | สกอตแลนด์ | HB | 1902–1911 | 242 | 12 |
Jock Rutherford | อังกฤษ | RW | 1902–1913 | 334 | 92 |
Bill Appleyard | อังกฤษ | FW | 1903–1908 | 145 | 88 |
Albert Gosnell | อังกฤษ | LW | 1904–1909 | 106 | 15 |
Andy McCombie | สกอตแลนด์ | FB | 1904–1910 | 132 | 0 |
Jimmy Lawrence | สกอตแลนด์ | GK | 1904–1921 | 496 | 0 |
Billy McCracken | ไอร์แลนด์เหนือ | HB | 1904–1924 | 432 | 8 |
Jimmy Stewart | อังกฤษ | FW | 1908–1913 | 138 | 51 |
Albert Shepherd | อังกฤษ | FW | 1908–1914 | 123 | 92 |
Frank Hudspeth | อังกฤษ | CB | 1910–1929 | 472 | 37 |
William Bradley | อังกฤษ | GK | 1914–1927 | 143 | 0 |
Stan Seymour | อังกฤษ | LW | 1920–1929 | 266 | 84 |
Billy Aitken | อังกฤษ | FW | 1920–1924 | 110 | 10 |
Charlie Spencer | อังกฤษ | DF | 1921–1928 | 175 | 1 |
Tom McDonald | สกอตแลนด์ | IF | 1921–1931 | 367 | 113 |
Hughie Gallacher | สกอตแลนด์ | FW | 1925–1930 | 174 | 143 |
Jimmy Boyd | สกอตแลนด์ | RW | 1925–1935 | 214 | 57 |
David Fairhurst | อังกฤษ | FB | 1929–1939 | 285 | 2 |
Jack Allen | อังกฤษ | FW | 1931–1934 | 90 | 41 |
Billy Cairns | อังกฤษ | FW | 1933–1944 | 90 | 53 |
Tommy Pearson | สกอตแลนด์ | LW | 1933–1948 | 212 | 46 |
William Imrie | อังกฤษ | RW | 1934–1938 | 128 | 24 |
Bobby Ancell | สกอตแลนด์ | LB | 1936–1944 | 102 | 1 |
Jackie Milburn | อังกฤษ | FW | 1943–1957 | 397 | 200 |
Ron Batty | อังกฤษ | LB | 1945–1958 | 184 | 1 |
Joe Harvey | อังกฤษ | HB | 1945–1953 | 247 | 12 |
Roy Bentley | อังกฤษ | FW | 1946–1948 | 54 | 25 |
Bobby Cowell | อังกฤษ | RB | 1946–1955 | 289 | 0 |
Frank Brennan | สกอตแลนด์ | MF | 1946–1956 | 349 | 3 |
Charlie Crowe | อังกฤษ | LF | 1946–1957 | 178 | 5 |
Tommy Walker | อังกฤษ | RW | 1946–1954 | 184 | 35 |
Jack Fairbrother | อังกฤษ | GK | 1947–1952 | 161 | 0 |
Ernie Taylor | อังกฤษ | IF | 1947–1951 | 107 | 19 |
George Hannah | อังกฤษ | FW | 1949–1957 | 175 | 43 |
Alf McMichael | ไอร์แลนด์เหนือ | LB | 1949–1962 | 433 | 1 |
Bobby Mitchell | สกอตแลนด์ | FW | 1949–1961 | 412 | 113 |
George Robledo | ชิลี | FW | 1949–1953 | 166 | 91 |
Ted Robledo | ชิลี | LB | 1949–1953 | 47 | 0 |
Bob Stokoe | อังกฤษ | CB | 1950–1961 | 261 | 4 |
Ronnie Simpson | สกอตแลนด์ | GK | 1951–1960 | 295 | 0 |
Ivor Broadis | อังกฤษ | FW | 1951–1955 | 51 | 18 |
Reg Davies | เวลส์ | FW | 1951–1958 | 171 | 50 |
Vic Keeble | อังกฤษ | FW | 1952–1957 | 121 | 69 |
Tommy Casey | ไอร์แลนด์เหนือ | HB | 1952–1958 | 116 | 8 |
Jimmy Scoular | สกอตแลนด์ | RW | 1953–1961 | 273 | 6 |
Len White | อังกฤษ | FW | 1953–1962 | 269 | 153 |
Jackie Bell | อังกฤษ | RB | 1956–1962 | 117 | 8 |
George Eastham | อังกฤษ | FW | 1956–1960 | 129 | 34 |
Gordon Hughes | อังกฤษ | FW | 1956–1963 | 133 | 18 |
Dick Keith | ไอร์แลนด์เหนือ | RB | 1956–1964 | 223 | 4 |
Ivor Allchurch | เวลส์ | FW | 1958–1962 | 154 | 51 |
Dave Hollins | เวลส์ | GK | 1960–1967 | 112 | 0 |
John McGrath | อังกฤษ | CB | 1960–1967 | 179 | 2 |
Alan Suddick | อังกฤษ | FW | 1962–1967 | 144 | 41 |
แฟรงค์ คลาร์ก | อังกฤษ | LB | 1962–1975 | 464 | 2 |
David Craig | ไอร์แลนด์เหนือ | RB | 1962–1978 | 412 | 12 |
Dave Hilley | สกอตแลนด์ | IF | 1962–1968 | 194 | 31 |
Jim Iley | อังกฤษ | RB | 1962–1969 | 249 | 16 |
Ron McGarry | อังกฤษ | FW | 1962–1967 | 132 | 46 |
บ็อบบี มอนเคอร์ | สกอตแลนด์ | CB | 1962–1974 | 356 | 8 |
Pop Robson | อังกฤษ | FW | 1962–1971 | 244 | 97 |
Gordon Marshall | อังกฤษ | GK | 1963–1968 | 187 | 0 |
Ollie Burton | เวลส์ | CD | 1963–1972 | 188 | 6 |
Albert Bennett | อังกฤษ | FW | 1965–1969 | 85 | 22 |
John McNamee | สกอตแลนด์ | CB | 1966–1971 | 117 | 8 |
Iam McFaul | ไอร์แลนด์เหนือ | GK | 1966–1975 | 290 | 0 |
Wyn Davies | เวลส์ | FW | 1966–1971 | 216 | 53 |
David Elliott | อังกฤษ | MF | 1966–1971 | 90 | 4 |
Alan Foggon | อังกฤษ | FW | 1967–1971 | 61 | 14 |
Tommy Gibb | สกอตแลนด์ | MF | 1968–1975 | 199 | 12 |
จิมมี สมิธ | สกอตแลนด์ | MF | 1969–1975 | 167 | 13 |
Stewart Barrowclough | อังกฤษ | RW | 1970–1978 | 274 | 24 |
Tommy Cassidy | ไอร์แลนด์เหนือ | MF | 1970–1980 | 180 | 22 |
Irving Nattrass | อังกฤษ | DM | 1970–1979 | 304 | 20 |
John Tudor | อังกฤษ | FW | 1970–1977 | 164 | 53 |
เทอร์รี ฮิบบิทท์ | อังกฤษ | LF | 1971–1975 1978–1981 |
262 | 14 |
Pat Howard (footballer) | อังกฤษ | CD | 1971–1977 | 184 | 7 |
Malcolm Macdonald | อังกฤษ | FW | 1971–1976 | 228 | 121 |
Alan Kennedy | อังกฤษ | LB | 1972–1978 | 158 | 9 |
Terry McDermott | อังกฤษ | MF | 1973–1974 1982–1984 |
160 | 24 |
Mickey Burns | อังกฤษ | FW | 1974–1978 | 184 | 48 |
Tommy Craig | สกอตแลนด์ | MF | 1974–1978 | 124 | 22 |
Geoff Nulty | อังกฤษ | MF | 1974–1978 | 101 | 11 |
David Barton | อังกฤษ | CB | 1975–1983 | 110 | 6 |
Alan Gowling | อังกฤษ | FW | 1975–1978 | 92 | 30 |
Mike Mahoney | อังกฤษ | GK | 1975–1979 | 108 | 0 |
เควิน คาร์ | อังกฤษ | GK | 1976–1985 | 195 | 0 |
Steve Hardwick | อังกฤษ | GK | 1976–1983 | 101 | 0 |
Mark McGhee | สกอตแลนด์ | FW | 1977–1978 1989–1991 |
112 | 36 |
John Brownlie | สกอตแลนด์ | RB | 1978–1982 | 136 | 3 |
Mick Martin | ไอร์แลนด์ | MF | 1978–1983 | 163 | 6 |
Alan Shoulder | อังกฤษ | FW | 1978–1982 | 117 | 38 |
Kenny Wharton | อังกฤษ | FB | 1978–1989 | 290 | 26 |
ปีเตอร์ วิธ | อังกฤษ | FW | 1978–1980 | 83 | 27 |
Steve Carney | อังกฤษ | CB | 1979–1985 | 149 | 1 |
Chris Waddle | อังกฤษ | LW | 1980–1985 | 191 | 52 |
Imre Varadi | อังกฤษ | FW | 1981–1983 | 90 | 42 |
Jeff Clarke | อังกฤษ | FW | 1982–1987 | 124 | 4 |
เควิน คีแกน | อังกฤษ | FW | 1982–1984 | 85 | 49 |
David McCreery | ไอร์แลนด์เหนือ | MF | 1982–1989 | 243 | 2 |
John Anderson | ไอร์แลนด์ | CB | 1982–1991 | 333 | 15 |
ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ | อังกฤษ | FW | 1983–1987 1993–1997 |
324 | 119 |
Neil McDonald | อังกฤษ | RB | 1983–1988 | 207 | 29 |
เกล็น โรเดอร์ | อังกฤษ | CB | 1983–1988 | 216 | 10 |
Martin Thomas | เวลส์ | GK | 1983–1988 | 118 | 0 |
พอล แกสคอยน์ | อังกฤษ | MF | 1984–1988 | 107 | 25 |
เควิน สกอตต์ | อังกฤษ | CB | 1986–1994 | 227 | 8 |
Kevin Brock | อังกฤษ | MF | 1988–1993 | 145 | 14 |
Liam O'Brien | ไอร์แลนด์ | MF | 1988–1994 | 151 | 19 |
Bjørn Kristensen | เดนมาร์ก | CB | 1989–1993 | 90 | 4 |
Steve Howey | อังกฤษ | MF | 1989–2000 | 238 | 7 |
Mickey Quinn | อังกฤษ | FW | 1989–1992 | 110 | 77 |
Gavin Peacock | อังกฤษ | MF | 1990–1993 | 119 | 42 |
Lee Clark | อังกฤษ | MF | 1990–1997 2005–2006 |
257 | 27 |
Robbie Elliott | อังกฤษ | LB | 1991–1997 2001–2006 |
188 | 11 |
เดวิด เคลลี่ | ไอร์แลนด์ | FW | 1991–1993 | 70 | 35 |
Pavel Srníček | เช็กเกีย | GK | 1991–1998 2006-2007 |
185 | 0 |
Steve Watson | อังกฤษ | RB | 1991–1998 | 263 | 14 |
John Beresford | อังกฤษ | LB | 1992–1998 | 229 | 8 |
รอบ ลี | อังกฤษ | MF | 1992–2002 | 381 | 56 |
Barry Venison | อังกฤษ | FB | 1992–1995 | 109 | 1 |
แอนดี โคล | อังกฤษ | FW | 1993–1995 | 85 | 68 |
Philippe Albert | เบลเยียม | CB | 1993–1999 | 135 | 12 |
Steve Harper | อังกฤษ | GK | 1993– | 178 | 0 |
Darren Peacock | อังกฤษ | CB | 1994–1998 | 178 | 4 |
David Ginola | ฝรั่งเศส | MF | 1995–1997 | 75 | 7 |
Keith Gillespie | ไอร์แลนด์เหนือ | MF | 1995–1998 | 146 | 14 |
Shaka Hislop | ตรินิแดดและโตเบโก | GK | 1995–1998 | 73 | 0 |
Warren Barton | อังกฤษ | RB | 1995–2002 | 220 | 5 |
เลส เฟอร์ดินานด์ | อังกฤษ | FW | 1995–1997 | 84 | 50 |
David Batty | อังกฤษ | MF | 1996–1998 | 113 | 4 |
Faustino Asprilla | โคลอมเบีย | FW | 1996–1998 | 48 | 12 |
Aaron Hughes | ไอร์แลนด์เหนือ | CB | 1996–2005 | 277 | 6 |
แอลัน เชียเรอร์ | อังกฤษ | FW | 1996–2006 | 405 | 206 |
Temuri Ketsbaia | จอร์เจีย | MF | 1997–2000 | 109 | 14 |
เชย์ กิฟเวน | ไอร์แลนด์ | GK | 1997–2009 | 462 | 0 |
Nolberto Solano | เปรู | MF | 1998–2004 2005–2007 |
315 | 47 |
Andy Griffin | อังกฤษ | RB | 1998–2004 | 104 | 3 |
โชลา อเมโอบี | อังกฤษ | FW | 1998– | 280 | 64 |
Nikos Dabizas | กรีซ | CB | 1998–2003 | 176 | 13 |
แกรี สปีด | เวลส์ | MF | 1998–2004 | 284 | 40 |
Alain Goma | ฝรั่งเศส | DF | 1999–2001 | 40 | 1 |
คีรอน ดายเออร์ | อังกฤษ | MF | 1999–2007 | 251 | 36 |
Lomana LuaLua | สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก | FW | 2000–2004 | 59 | 9 |
Olivier Bernard | ฝรั่งเศส | LB | 2000–2005 2006–2007 |
145 | 6 |
Clarence Acuña | ชิลี | MF | 2000–2003 | 47 | 6 |
เคร็ก เบลลามี่ | เวลส์ | FW | 2001–2005 | 128 | 42 |
Laurent Robert | ฝรั่งเศส | MF | 2001–2005 | 181 | 32 |
Andrew O'Brien | ไอร์แลนด์ | CB | 2001–2005 | 168 | 6 |
Titus Bramble | อังกฤษ | CB | 2002–2007 | 157 | 7 |
Jermaine Jenas | อังกฤษ | MF | 2002–2005 | 151 | 12 |
สตีเฟน คาร์ | ไอร์แลนด์ | DF | 2004–2008 | 107 | 1 |
สตีเวน เทย์เลอร์ | อังกฤษ | DF | 2003– | 179 | 10 |
เจมส์ มิลเนอร์ | อังกฤษ | MF | 2004–2008 | 136 | 11 |
Charles N'Zogbia | ฝรั่งเศส | MF | 2004–2009 | 157 | 9 |
นิกกี บัตต์ | อังกฤษ | MF | 2004–2010 | 179 | 5 |
Celestine Babayaro | ไนจีเรีย | LB | 2005–2007 | 66 | 1 |
Amdy Faye | เซเนกัล | MF | 2005–2006 | 35 | 1 |
โอบาเฟมี มาร์ตินส์ | ไนจีเรีย | FW | 2006–2009 | 104 | 38 |
Geremi | แคเมอรูน | MF | 2007–2009 | 49 | 3 |
ไมเคิ่ล โอเว่น | อังกฤษ | FW | 2005–2009 | 79 | 30 |
ฮาบิบ เบย์ | เซเนกัล | RB | 2007–2009 | 52 | 1 |
José Enrique | สเปน | LB | 2007–2011 | 100 | 1 |
Fabricio Coloccini | อาร์เจนตินา | DF | 2008– | 87 | 3 |
โฆนาส กูเตียร์เรส | อาร์เจนตินา | MF | 2008– | 76 | 5 |
เควิน โนแลน | อังกฤษ | MF | 2009–2011 | 83 | 28 |
แอนดี คาร์โรลล์ | อังกฤษ | FW | 2006–2011 | 91 | 33 |
เดเมียน ดัฟฟ์ | ไอร์แลนด์ | MF | 2006–2010 | 86 | 6 |
แอลัน สมิธ | อังกฤษ | MF | 2007– | 91 | 0 |
โจอี้ บาร์ตัน | อังกฤษ | MF | 2007–2011 | 71 | 8 |
ผู้จัดการทีม
ตั้งแต่ ค.ศ. 1992 - ปัจจุบัน
ชื่อ | สัญชาติ | เริ่ม | ถึง |
---|---|---|---|
เควิน คีแกน | 1992 | 1997 | |
เคนนี ดัลกลิช | 1997 | 1998 | |
รุส กุสลิต | 1998 | 1999 | |
เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน | 1999 | 2004 | |
แกรม ซูเนสส์ | 2004 | 2006 | |
เกล็น โรเดอร์ | 2006 | 2007 | |
แซม อัลลาไดซ์ | 2007 | 2008 | |
เควิน คีแกน | 2008 | 2008 | |
โจ คินเนียร์ | 2008 | 2009 | |
อลัน เชียเรอร์ | 2009 | 2009 | |
คริส ฮิลตัน | 2009 | 2010 | |
อลัน พาร์ดิว | 2010 | 2015 | |
จอร์น คาร์เวอร์ (รักษาการ) | 2015 | 2015 | |
สตีฟ แม็คคาเรน | 2015 | 2016 | |
ราฟาเอล เบนิเตช | 2016 | ปัจจุบัน |
เกียรติยศ
เกียรติยศ | จำนวน | ปี | |||
---|---|---|---|---|---|
ฟุตบอลลีก | |||||
ฟุตบอลลีกดิวิชันหนึ่ง แชมป์ | 4 | 1904/05, 1906/07, 1908/09, 1926/27 | |||
เอฟเอพรีเมียร์ลีก รองแชมป์ | 2 | 1995/96, 1996/97 | |||
ฟุตบอลลีกดิวิชันสอง แชมป์ | 3 | 1964/65, 1983/84, 1992/93 , 2009/2010 | |||
ฟุตบอลลีกดิวิชันสอง รองแชมป์ | 2 | 1897/98, 1947/48 | |||
นอร์เทิร์นลีก แชมป์ | 3 | 1902/03, 1903/04, 1904/05 | |||
ฟุตบอลถ้วยภายในประเทศ | |||||
เอฟเอคัพ ชนะเลิศ | 6 | 1910, 1924, 1932, 1951, 1952, 1955 | |||
เอฟเอคัพ รองชนะเลิศ | 7 | 1905, 1906, 1908, 1911, 1974, 1998, 1999 | |||
ฟุตบอลลีกคัพ รองชนะเลิศ | 1 | 1976 | |||
คอมมูนิตี้ชิลด์ ชนะเลิศ | 1 | 1909 | |||
คอมมูนิตี้ชิลด์ รองชนะเลิศ | 5 | 1932, 1951, 1952, 1955, 1996 | |||
เอฟเอยูธคัพ ชนะเลิศ | 2 | 1962, 1985 | |||
ฟุตบอลถ้วยยุโรป | |||||
อินเตอร์ซิตีแฟร์สคัพ ชนะเลิศ | 1 | 1969 | |||
ยูฟ่าอินเตอร์โตโต้คัพ ชนะเลิศ | 1 | 2006 | |||
ยูฟ่าอินเตอร์โตโต้คัพ รองชนะเลิศ | 1 | 2001 | |||
Anglo-Italian Cup ชนะเลิศ | 1 | 1973 | |||
ฟุตบอลถ้วยอื่น | |||||
คีรินคัพ ชนะเลิศ | 1 | 1983 | |||
เท็กเซโกคัพ ชนะเลิศ | 2 | 1974, 1975 | |||
Sheriff of London Charity Shield ชนะเลิศ | 1 | 1907 | |||
พรีเมียร์ลีกเอเชียโทรฟี่ ชนะเลิศ | 1 | 2003 |
อ้างอิง
- ↑ "Newcastle rename St James' Park the Sports Direct Arena". BBC Sport. British Broadcasting Corporation. 9 November 2011. สืบค้นเมื่อ 4 December 2011.
- ↑ "สารคดีท่องโลกกว้าง: ท่องทั่วทวีป". ไทยพีบีเอส. 1 January 2015. สืบค้นเมื่อ 2 January 2015.
- ↑ ""เบนเตเก" ฮีโร่โขกหงส์เจ๊าสิงห์ 1-1 "นิว-นอริช" ตกชั้น". ผู้จัดการออนไลน์. 12 May 2016. สืบค้นเมื่อ 12 May 2016.
- ↑ "2015/16 Squad Numbers Announced". Newcastle United. 31 July 2015. สืบค้นเมื่อ 31 July 2015.
- ↑ "Club Honours". nufc.co.uk. สืบค้นเมื่อ 2008-08-01.