ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประเทศอิหร่าน"
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขด้วยแอปสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
|||
บรรทัด 53: | บรรทัด 53: | ||
| HDI_ref = <ref name="HDI">{{cite web |url=http://hdr.undp.org/sites/default/files/hdr_2015_statistical_annex.pdf |title=Human Development Report 2015 |year=2015 |publisher=United Nations |accessdate=15 December 2015}}</ref> |
| HDI_ref = <ref name="HDI">{{cite web |url=http://hdr.undp.org/sites/default/files/hdr_2015_statistical_annex.pdf |title=Human Development Report 2015 |year=2015 |publisher=United Nations |accessdate=15 December 2015}}</ref> |
||
| HDI_rank = 69 |
| HDI_rank = 69 |
||
| HDI_category = |
| HDI_category = <font color="#009900">สูง</font> |
||
| currency = [[เรียลอิหร่าน]] (<big>ريال</big>) |
| currency = [[เรียลอิหร่าน]] (<big>ريال</big>) |
||
| currency_code = IRR |
| currency_code = IRR |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:28, 2 มิถุนายน 2559
สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน جمهوری اسلامی ایران Jomhuri-ye Eslāmi-ye Irān | |
---|---|
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | เตหะราน |
ภาษาราชการ | ภาษาเปอร์เซีย |
การปกครอง | โดยนิตินัย: สาธารณรัฐอิสลาม โดยพฤตินัย: ลูกผสมเทวาธิปไตย-สาธารณรัฐนิยม; สาธารณรัฐระบบประธานาธิบดีซึ่งขึ้นกับผู้นำสูงสุด[1] |
อายะตุลลอฮ์อะลี คอเมเนอี | |
ฮัสซัน โรว์ฮานี | |
สภานิติบัญญัติ | สมัชชาที่ปรึกษาอิสลาม |
สถาปนา | |
• สาธารณรัฐอิสลาม | 1 เมษายน 1979 |
พื้นที่ | |
• รวม | 1,648,195 ตารางกิโลเมตร (636,372 ตารางไมล์) (18) |
0.7 | |
ประชากร | |
• 2013 ประมาณ | 78,192,200 [2] (17) |
• สำมะโนประชากร 1996 | 60,055,488[ต้องการอ้างอิง] |
48 ต่อตารางกิโลเมตร (124.3 ต่อตารางไมล์) (162) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 2015 (ประมาณ) |
• รวม | $1.015 ล้านล้าน[3] (18) |
• ต่อหัว | $12,833[3] (72) |
จีดีพี (ราคาตลาด) | 2015 (ประมาณ) |
• รวม | $419,643 ล้าน[3] (29) |
• ต่อหัว | $5,306[3] (98) |
จีนี (2013) | 37.4[4] ปานกลาง |
เอชดีไอ (2014) | 0.766[5] สูง · 69 |
สกุลเงิน | เรียลอิหร่าน (ريال) (IRR) |
เขตเวลา | UTC+3.30 (IRST) |
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง) | UTC+4.30 (IRDT) |
รหัสโทรศัพท์ | 98 |
โดเมนบนสุด | .ir |
ประเทศอิหร่าน (เปอร์เซีย: ایران) หรือเปอร์เซีย มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน (เปอร์เซีย: جمهوری اسلامی ايران) เป็นประเทศในเอเชียตะวันตก มีเขตแดนติดกับประเทศอาร์มีเนีย นากอร์โน-คาราบัคโดยพฤตินัย และอาเซอร์ไบจานทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ติดประเทศคาซัคสถานและรัสเซียโดยมีทะเลแคสเปียนคั่น ติดประเทศเติร์กเมนิสถานทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ติดประเทศอัฟกานิสถานและปากีสถานทางทิศตะวันออก ติดอ่าวเปอร์เซียและอ่าวโอมานทางทิศใต้ และติดประเทศตุรกีและอิรักทางทิศตะวันตก มีพื้นที่ดินแดน 1,648,195 ตารางกิโลเมตร เป็นประเทศใหญ่ที่สุดอันดับที่สองในตะวันออกกลางและอันดับที่ 18 ในโลก มีประชากร 78.4 ล้านคน มากที่สุดเป็นอันดับที่ 17 ของโลก เป็นประเทศเดียวที่มีชายฝั่งทะเลแคสเปียนและมหาสมุทรอินเดีย ประเทศอิหร่านมีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์มาช้านานเนื่องจากที่ตั้งอยู่ในกลางยูเรเซียและเอเชียตะวันตก และอยู่ใกล้กับช่องแคบฮอร์มุซ
ประเทศอิหร่านเป็นที่ตั้งของอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เริ่มต้นด้วยการตั้งราชอาณาจักรก่อนเอลามและเอลามใน 3200–2800 ปีก่อน ค.ศ. ชาวมีดส์ (Medes) อิหร่านรวบรวมพื้นที่เป็นจักรวรรดิแห่งแรก ๆ ใน 625 ปีก่อน ค.ศ. หลังจากนั้นมีดส์กลายเป็นชาติวัฒนธรรมและการเมืองที่ครอบงำในภูมิภาค อิหร่านเรืองอำนาจถึงขีดสุดระหว่างจักรวรรดิอะคีเมนิดซึ่งพระเจ้าไซรัสมหาราชทรงก่อตั้งใน 550 ปีก่อน ค.ศ. ซึ่งเมื่อแผ่อาณาเขตไพศาลที่สุดนั้นล้วนกินส่วนสำคัญของโลกโบราณ ตั้งแต่บางส่วนของคาบสมุทรบอลข่าน (เธรซ มาซิโดเนีย บัลแกเรีย พีโอเนีย) และยุโรปตะวันออกทางทิศตะวันตก จดลุ่มแม่น้ำสินธุทางทิศตะวันออก ทำให้เป็นจักรวรรดิใหญ่สุดในโลกในขณะนั้น จักรวรรดิล่มสลายใน 330 ปีก่อน ค.ศ. ให้หลังการพิชิตของอเล็กซานเดอร์มหาราช จักรวรรดิพาร์เธียกำเนิดขึ้นจากเถ้าถ่านแล้วต่อด้วยราชวงศ์แซสซานิดใน ค.ศ. 224 ซึ่งอิหร่านกลายเป็นชาตินำในโลกอีกครั้ง ร่วมกับจักรวรรดิโรมัน-ไบแซนไทน์ เป็นเวลากว่าสี่ศตวรรษ
ค.ศ. 633 มุสลิมรอชิดีน (Rashidun) บุกครองอิหร่านและพิชิตได้ใน ค.ศ. 651 ซึ่งเข้าแทนที่ความเชื่อพื้นเมืองศาสนามาณีกีและศาสนาโซโรอัสเตอร์เป็นส่วนใหญ่ อิหร่านเป็นผู้มีส่วนสำคัญต่อยุคทองอิสลาม โดยผลิตนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ ศิลปินและนักคิดทรงอิทธิพลจำนวนมาก การสถาปนาราชวงศ์ซาฟาวิดใน ค.ศ. 1501 ซึ่งส่งเสริมนิกายอิสนาอะชะรียะห์ (Twelver) เป็นศาสนาประจำชาติ เป็นเครื่องหมายจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดจุดหนึ่งในประวัติศาสตร์อิหร่านและมุสลิม เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1736 ภายใต้ชาห์นาเดอร์ อิหร่านมีอาณาเขตกว้างขวางที่สุดนับแต่จักรวรรดิแซสซานิด โดยเป็นจักรวรรดิที่แย้งได้ว่าทรงอำนาจที่สุดในโลกในเวลานั้นช่วงสั้น ๆ ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 อิหร่านเสียดินแดนหลายส่วนในคอเคซัสซึ่งถูกทำให้เป็นส่วนหนึ่งของมโนทัศน์อิหร่านหลายศตวรรษแก่จักรวรรดิรัสเซียเพื่อนบ้าน ความไม่สงบของประชาชนลงเอยด้วยการปฏิวัติรัฐธรรมนูญเปอร์เซีย ค.ศ. 1906 ซึ่งสถาปนาราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและมาฮ์จิส (Majles) หรือรัฐสภาแห่งแรกของประเทศ หลังรัฐประหารที่สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาปลุกปั่นใน ค.ศ. 1953 อิหร่านค่อย ๆ กลายเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตกที่เหลือ ยังเป็นฆราวาส แต่เป็นอัตตาณัติเพิ่มขึ้น ๆ ความเห็นแย้งที่เพิ่มขึ้นต่ออิทธิพลของต่างประเทศและการกดขี่ทางการเมืองลงเอยด้วยการปฏิวัติ ค.ศ. 1979 ซึ่งทำให้มีการสถาปนาสาธารณรัฐอิสลามเมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1979
กรุงเตหะรานเป็นเมืองหลวงและนครใหญ่สุดของประเทศ ตลอดจนเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจชั้นนำ ประเทศอิหร่านเป็นประเทศนำภูมิภาคและอำนาจปานกลางที่สำคัญ มีอิทธิพลพอสมควรในความมั่นคงทางพลังงานระหว่างประเทศและเศรษฐกิจโลกจากการมีปริมาณเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์สำรองขนาดใหญ่ ซึ่งมีปริมาณแก๊สธรรมชาติสำรองมากที่สุดในโลกและมีน้ำมันสำรองที่พิสูจน์แล้วมากที่สุดเป็นอันดับสี่ มรดกทางวัฒนธรรมของประเทศสะท้อนบางส่วนจากการมีมรดกโลกของยูเนสโก 19 แห่ง ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ในทวีปเอเชียและ 12 ในโลก
ประเทศอิหร่านเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสหประชาชาติ องค์การความร่วมมือเศรษฐกิจ ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด องค์การความร่วมมืออิสลามและโอเปก ระบบการเมืองของประเทศยึดตามรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1979 ซึ่งมีส่วนที่เป็นประชาธิปไตยระบบรัฐสภากับเทวาธิปไตยโดยนักนิติศาสตร์อิสลามภายใต้มโนทัศน์ผู้นำสูงสุด เป็นประเทศพหุวัฒนธรรมที่ประกอบด้วยหลายกลุ่มชาติพันธุ์และภาษา โดยผู้อยู่อาศัยส่วนมากนับถือนิกายชีอะฮ์อย่างเป็นทางการและภาษาเปอร์เซียเป็นภาษาราชการ
ภูมิศาสตร์
ลักษณะภูมิประเทศมากกว่าร้อยละ 95 เป็นที่สูงในลักษณะของเทือกเขาสูงและที่ราบสูง เทือกเขาสูงที่ปรากฏในอิหร่านมี 2 เทือกเขาคือ เทือกเขาเอลบูร์ซทางตอนเหนือวางตัวขนานกับชายฝั่งทะเลแคสเปียน และเทือกเขาแซกรอส วางตัวขนานกับอ่าวเปอร์เซีย เทือกเขาทั้งสองวางตัวแยกออกมาจากอาร์มีเนียนนอต ขณะที่ที่ราบสูงจะอยู่ตอนกลางของประเทศเป็นที่ราบผืนใหญ่ครอบคลุมพื้นเกือบทั้งประเทศต่อเนื่องเข้าไปถึงอัฟกานิสถานและปากีสถาน ส่วนภูมิประเทศชายฝั่งจะปรากฏอยู่ 2 บริเวณคือ ตอนเหนือเป็นชายฝั่งทะเลแคสเปียน ส่วนด้านตะวันตกเฉียงใต้และด้านใต้เป็นชายฝั่งราบของทะเลบริเวณอ่าวเปอร์เซีย
ประวัติศาสตร์
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ประวัติศาสตร์ตอนต้น
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ก่อนการเข้ามาของอิสลาม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ยุคกลาง (652–1501)
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การเข้ามาของอิสลาม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ตอนต้น
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
หลังจากความระส่ำระสายของราชวงศ์กอญัร เปอร์เซียได้ตกอยู่ภายใต้ของมหาอำนาจต่างประเทศ โดยเฉพาะรัสเซียและอังกฤษ[6] ตั้งแต่ในรัชสมัยของฟัฏอาลี ชาห์ ชาห์องค์ที่สองแห่งราชวงศ์กอญัร ได้ทำสงครามกับรัสเซียถึง 2 ครั้ง และต้องเสียดินแดนแถบเทือกเขาคอเคซัสทั้งหมด[7] แม้แต่ประเทศอังกฤษมีผลประโยชน์จำนวนมากในเปอร์เซียอย่างการขุดเจาะน้ำมันที่ขุดพบในคริสต์ศตวรรษที่ 19 วัฒนธรรมตะวันตกได้หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศจำนวนมาก[6] ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914 - 1918) เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของเปอร์เซีย เนื่องจากตกอยู่ภายใต้อำนาจของมหาอำนาจตะวันตกหลายประเทศ ทั้งรัสเซีย, อังกฤษ, ออตโตมัน, เยอรมัน และสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดกระแสต่อต้านที่กว้างขวางของประชาชนชาวเปอร์เซีย เพื่อปกป้องผลประโยชน์และเอกราชของประเทศ[6]
จนเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921 เรซา ข่าน ผู้บัญชาการกองพันน้อยคอสแซคได้นำกองทัพบุกเข้าเมืองหลวงได้ยึดอำนาจและทำการรัฐประหาร[6] หลังการรัฐประหารพระเจ้าอะหมัด ชาห์ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์กอญัรได้แต่งตั้งนายตะบาตะบาอี เป็นนายกรัฐมนตรี และเรซา ข่าน เป็นนายกรัฐมนตรีกระทรวงสงคราม[6]
ยุคปัจจุบัน
จนในปี ค.ศ. 1923 พระเจ้าอะหมัด ชาห์ได้เสด็จไปประทับในยุโรปและไม่เดินทางกลับมายังอิหร่านเลย[8] เรซา ข่าน อดีตรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสงคราม ได้ยึดอำนาจจากราชวงศ์กอญัรและประกอบพิธีราชาภิเษกเป็นกษัตริย์เป็นกษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์ปาห์ลาวี เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1925[8]
เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ประทุขึ้น กองทัพพันธมิตรจึงได้ตัดสินใจบุกอิหร่าน ซึ่งขณะนั้นอิหร่านมีความสัมพันธ์อันดีกับเยอรมนี[8] โดยกองทัพสหราชอาณาจักรได้บุกยึดภาคใต้ของอิหร่าน และ กองทัพสหภาพโซเวียตได้เข้ายึดทางตอนเหนือของอิหร่าน ประเทศอิหร่านจึงถูกปกครองโดยกองทัพสัมพันธมิตร กษัตริย์เรซาจึงถูกบีบบังคับให้สละราชสมบัติ เพื่อให้พระโอรสองค์ใหญ่คือ โมฮัมหมัด เรซา ข่านขึ้นเป็นกษัตริย์แทน ประเทศอิหร่านหลังจากนั้นจึงมีความสัมพันธ์อันดีประเทศตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา[8]
ในปี ค.ศ. 1951 เป็นช่วงเวลาที่ประชาชนอิหร่านกำลังตื่นตัวเรื่องชาตินิยม ในพฤษภาคมปีเดียวกันนั้นเอง ดร.มุฮัมหมัด มูซัดเดก ผู้นำคนหนึ่งในขบวนการชาตินิยมอิหร่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี[8] หลังจากนั้นนายมูซัดเดกได้ดำเนินการยึดบริษัทน้ำมันแองโกล-อิหร่านออยล์ซึ่งเป็นของอังกฤษเป็นของรัฐ[8] ทำให้ต่างชาติมีมาตรการตอบโต้บอยคอตน้ำมันอิหร่าน[9] ในวันที่ 22 ตุลาคมปีเดียวกัน รัฐบาลอิหร่านได้ประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับอังกฤษ ขณะเดียวกันสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเริ่มปั่นป่วน และเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว และเกิดความวุ่นวายมากขึ้น[9]
เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1953 ชาห์โมฮัมหมัดเรซา และราชินีได้เสด็จออกนอกประเทศ 3 วันหลังจากนั้นนายพลซาเฮดีประกาศตนเป็นนายกรัฐมนตรี[9] และเข้าควบคุมอำนาจมูซัดเดก และคณะรัฐบาลของเขาถูกจับกุม ชาห์โมฮัมหมัดเรซาเสด็จฯ กลับอิหร่านและทำการแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีนโยบายนิยมตะวันตก[9] อิหร่านได้ทำการเปิดสัมพันธไมตรีกับการทูตกับอังกฤษใหม่อีกครั้ง และมีการเจรจาตกลงกับบริษัทน้ำมันอังกฤษและสหรัฐอเมริกา[9] และนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 เป็นต้นมา ชาห์โมฮัมหมัดเรซาได้เริ่มมีบทบาทในการบริหารประเทศมากขึ้น และพาประเทศเข้าสู่ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์[9] ในปี ค.ศ. 1963 ชาห์ได้เริ่มโครงการสำคัญหลายอย่างเพื่อพัฒนาอิหร่านให้ก้าวหน้า อาทิเช่น การปฏิรูปที่ดิน ปฏิรูปการเลือกตั้ง การให้สิทธิแก่สตรี การตั้งหน่วยการศึกษา การจัดตั้งหน่วยอนามัย การพัฒนาการเกษตร การโอนป่าเป็นของรัฐเป็นต้น ซึ่งรัฐบาลอิหร่านเรียกโครงการเหล่านี้ว่า "การปฏิวัติขาว" เพราะเป็นการปฏิวัติที่ไม่เสียเลือดเนื้อ[9]
การลงมติในสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งมาอย่างเสรี ความขัดแย้งเรื่องนี้รุนแรงเพิ่มขึ้น จนกระทั่งเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1963 หลังปราศรัยโจมตีรัฐบาล ท่านโคมัยนีก็ถูกจับไปขังคุกที่กรุงเตหะราน[10] ผลของการจับโคมัยนีทำให้ประชาชนโกรธแค้นมาก และพากันออกมาเดินขบวนเต็มไปหมดในถนนทุกสาย เหตุการณ์ต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยอายะตุลลอฮ์ โคมัยนี ลุกลามรุนแรงถึงขั้นนองเลือด จนกลายเป็นจุดหักมุมของประวัติศาสตร์อิหร่าน รัฐบาลตัดสินใจเนรเทศโคมัยนีออกนอกประเทศในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1964[9] โดยให้ไปอยู่ตุรกี และต่อมาย้ายไปอยู่เมืองนาจาฟในอิรัก รวมเป็นเวลาถึง 13 ปี โดยหวังว่าจะทำให้ความนิยมในตัวโคมัยนีจางหายไป
การปฏิวัติอิสลาม
ความไม่พอใจของประชาชนเริ่มถึงจุดระเบิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1978 ซึ่งตรงกับเดือนรอมฎอน ได้เกิดเหตุไฟไหม้รุนแรงในโรงภาพยนตร์ที่เมืองอะบาดาน มีผู้เสียชีวิต 387 คน[11] รัฐบาลได้ออกข่าวว่าพวกศาสนานิยมหัวรุนแรงเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทว่าเมื่อตำรวจไม่สามารถหาผู้กระทำผิดได้ก็ทำให้ประชาชนเคียดแค้นรัฐบาล และเกิดการประท้วงตามเมืองต่าง ๆ [12] ส่วนคู่ปรับของชาห์คืออายะตุลลอฮ์ โคมัยนี แม้จะถูกเนรเทศไปยังประเทศอิรัก 12 ปี และภายหลังถูกรัฐบาลอิรักขอร้องให้ออกไปนอกประเทศ โคมัยนีจึงได้อพยพไปอยู่ฝรั่งเศส[12] แต่โคมัยนีก็ใช้การอัดเสียงใส่เทปคาสเซตได้ทำการอัดซ้ำและทำการเผยแพร่แก่นักศึกษาประชาชน และลุกลามถึงนักศึกษาอิหร่านในต่างประเทศด้วย[12]
หลังโศกอนาฏกรรมที่เมืองอะบาดาน ประชาชนในเตหะรานได้รวมกันประท้วงชาห์ เผาธงชาติ ถือป้ายข้อความ "แยงกี้ โกโฮม" "ชาห์ต้องลาออก" และ "โคมัยนีต้องปกครองอิหร่าน" มีสตรีแต่งกายด้วยชุดดำสวมคลุมศีรษะจำนวนมาเข้าร่วมขบวนด้วย[12] ขบวนได้ปะทะกับทหาร ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บหลายคน[12] หลังจากเหตุการณ์นี้ ก็เกิดเหตุการณ์ประท้วงระลอกแล้วระลอกเล่าตามหัวเมืองอื่น กรรมกรนับแสนคนนัดหยุดงาน พนักงานรัฐวิสาหกิจ บรรดาครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา ต่างเข้าร่วมกันประท้วง[12] การประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1978 ซึ่งเป็นวันรำลึกถึงการเสียชีวิตของอิหม่ามฮุเซน วันนั้นประชาชนนับล้านได้ออกมาชุมนุมกันบนท้องถนนและที่สาธารณะ มีการชูรูปโคมัยนี มีการตะโกนด่าทออเมริกา และเรียกร้องรัฐอิสลาม[12]
การประท้วงใหญ่เกิดขึ้นอีกที่เมืองมาชาดมีการลุกฮือเผาบ้านของชาวอเมริกัน ตลอดจนกิจการต่าง ๆ ของชาวตะวันตก[13] ทหารได้สกัดกั้นและทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายนับร้อย เหตุการณ์ลุกลามใหญ่โตจนรัฐบาลอเมริกา และยุโรปสั่งให้คนของตนออกจากอิหร่าน[13] ความตึงเครียดที่กดดันทำให้ชาห์ทำตามคำแนะนำของอเมริกา โดยการเสด็จออกนอกประเทศพร้อมครอบครัว เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1979[13][14] โดยที่รัฐบาลของนายชาห์ปูร์ บัคเตียร์ ได้ออกประกาศว่า พระองค์มิได้สละบัลลังก์แต่อย่างใด[13] และแล้วในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ โคมัยนีพร้อมผู้ช่วยราว 500 คน และนักหนังสือพิมพ์อีก 150 คน ได้โดยสารเครื่องบินโบอิ้ง 747 ของสายการบินฝรั่งเศสกลับสู่อิหร่าน โดยมีประชาชนต้อนรับอย่างเนืองแน่น แม้ระยะแรกกองทัพบกประกาศว่าพร้อมหลั่งเลือดเพื่อค้ำบัลลังก์ชาห์[13] หรือหนุนรัฐบาลนายบัคเตียร์ ภายหลังกองทัพบกได้วางตัวเป็นกลาง[13] ประชาชนฝ่ายโคมัยนีจึงได้เข้าควบคุมเตหะรานไว้ได้โดยบุกยึดที่ทำการรัฐบาล กระทรวงทบวงกรม ตึกรัฐสภา และสถานีตำรวจไว้ได้หมด[13]
ต่อมารัฐบาลที่ได้รับการแต่งตั้งจากโคมัยนีก็เข้ารับหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ภายในประเทศ และนำอิหร่านเข้าสู่การปกครองของรัฐอิสลามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา[15] โดยมีผู้นำสูงสุดคือ อิหม่ามโคมัยนี เรียกว่า ฟากิฮ์ หรือ รอฮ์บัรร์ ถือเป็นผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณมีอำนาจครอบคลุมทั้งการเมืองและการปกครองทั้งหมด[15]
หลังการปฏิวัติอิสลาม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การเมืองการปกครอง
บริหาร
ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งประกาศใช้เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) และแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปี พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) กำหนดให้อิหร่านเป็นสาธารณรัฐอิสลาม โดยมีโครงสร้างดังนี้
- ประมุขสูงสุด (Rahbar)
- ประมุขสูงสุดของอิหร่านคนปัจจุบันคือ อะลี คอเมเนอี (เกิดเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2482) เป็นผู้นำสูงสุดทั้งฝ่ายศาสนาจักรและอาณาจักร
- ประธานาธิบดี (Ra'is-e Jomhoor)
- เป็นตำแหน่งที่ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทุก ๆ 4 ปี และจะได้รับเลือกตั้งได้ไม่เกิน 2 สมัย ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริหาร ถึงแม้ประธานาธิบดีจะได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนก็ตาม แต่อาจถูกถอดถอนจากตำแหน่งโดยประมุขสูงสุดได้
- รองประธานาธิบดี
- มีตำแหน่งรองประธานาธิบดี 6 คน และคณะรัฐมนตรี 20 คน ที่ได้รับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
นิติบัญญัติ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (Majlis) ประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทุก ๆ 4 ปี จำนวน 290 คน ทำหน้าที่ออกกฎหมายและควบคุมฝ่ายบริหาร
ตุลาการ
การเมืองภายใน
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การแบ่งเขตการปกครอง
ประเทศอิหร่านแบ่งออกเป็น 30 จังหวัด (provinces - ostanha) แต่ละจังหวัดปกครองโดยผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมาจากการแต่งตั้ง (เปอร์เซีย: استاندار ostāndār)
นโยบายต่างประเทศ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
กองทัพ
เศรษฐกิจ
โครงสร้าง
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
พลังงาน
อิหร่านมีปริมาณแก๊สธรรมชาติสำรองมากเป็นอันดับสองของโลก และมีปริมาณน้ำมันสำรองมากเป็นอันดับสามของโลก[16][17] เป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดอันดับสองของโอเปก และมีศักยภาพจะกลายมาเป็นมหาอำนาจด้านพลังงานของโลก[18] ใน พ.ศ. 2548 อิหร่านใช้เงิน 4 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐนำเข้าเชื้อเพลิง เพราะการใช้พลังงานในประเทศอย่างผิดกฎหมายและขาดประสิทธิภาพ[19] ผลผลิตอุตสาหกรรมน้ำมันโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4 ล้านบาร์เรล (640,000 ลูกบาศก์เมตร) ต่อวัน ใน พ.ศ. 2548 เทียบกับในอดีตที่เคยมีผลผลิตสูงสุดที่ 6 ล้านบาร์เรลต่อวันเมื่อ พ.ศ. 2517 ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 2000 โครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมเริ่มขาดประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะความล้าหลังของเทคโนโลยี มีการเจาะหลุมสำรวจเพียงไม่กี่หลุมในปีนั้น
ใน พ.ศ. 2547 แก๊สธรรมชาติสำรองในอิหร่านสัดส่วนมากยังไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ การเพิ่มสถานีไฟฟ้ากำลังน้ำและการปรับปรุงคุณภาพของโรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงไฟฟ้าน้ำมันเชื้อเพลิงแบบเก่า ได้เพิ่มปริมาณการผลิตกระแสไฟฟ้าเป็น 33,000 เมกะวัตต์ ในจำนวนนั้น ราว 75% ใช้แก๊สธรรมชาติ, 18% ใช้น้ำมัน และ 7% ใช้ไฟฟ้าพลังน้ำ ใน พ.ศ. 2547 อิหร่านเปิดโรงไฟฟ้าพลังงานลมและความร้อนใต้พิภพเป็นแห่งแรก และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์แห่งแรกเริ่มปฏิบัติการใน พ.ศ. 2552
แนวโน้มลักษณะประชากรและการเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมที่มีมากขึ้นส่งผลให้ความต้องการกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 8% ต่อปี เป้าหมายของรัฐบาลที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าให้ได้วันละ 53,000 เมกะวัตต์ ภายใน พ.ศ. 2553 โดยการสร้างโรงไฟฟ้าพลังแก๊สและเพิ่มกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานน้ำและพลังงานนิวเคลียร์[20][21] โรงไฟฟ้านิวเคลียร์บูเชห์ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกในอิหร่านที่บูเชห์ เริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554[22]
การท่องเที่ยว
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
โครงสร้างพื้นฐาน
การคมนาคม และ โทรคมนาคม
เส้นทางคมนาคม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
โทรคมนาคม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การศึกษา
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สาธารณสุข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ประชากรศาสตร์
เชื้อชาติ
อิหร่านเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติและศาสนา แต่ทั้งหมดนั้นได้หลอมรวมกันอยู่ภายใต้กรอบของวัฒนธรรมเปอร์เซีย[23] ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศนั้นใช้ภาษาเปอร์เซียเป็นภาษาราชการ ส่วนภาษาถิ่นอื่น ๆ นั้น ภาษาอาเซอร์ไบจานเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุด นอกจากนี้ภาษาอาหรับยังพบได้ทั่วไปทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ
ตัวเลขการประมาณการกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศอิหร่านนั้นยังไม่มีตัวเลขที่เป็นทางการ แต่เว็บไซต์ Factbook ของซีไอเอ ได้มีตัวเลขการประมาณการประชากรตามกลุ่มเชื้อชาติดังนี้ ชาวเปอร์เซียร้อยละ 51 ชาวอาเซอร์ไบจานร้อยละ 24 ชาวกิลัคและมาซันดารานร้อยละ 8 ชาวเคิร์ดร้อยละ 7 ชาวอิหร่านเชื้อสายอาหรับร้อยละ 3 ชาวบาลูจีร้อยละ 2 ชาวลูร์ร้อยละ 2 ชาวเติร์กเมนร้อยละ 2 ส่วนชาวลัค กัชไก อาร์มีเนีย อิหร่านเชื้อสายยิว จอร์เจีย อัสซีเรีย อะดืยเก ตาต มันดีน ยิปซี บราฮุย ฮาซารา คาซัค และอื่น ๆ คิดรวมกันเป็นร้อยละ 1 ของประชากรทั้งประเทศ[24]
ภาษา
อย่างไรก็ตามในรายงานดังกล่าวได้มีการรายงานว่ามีการใช้ภาษาเปอร์เซียเป็นภาษาแม่ร้อยละ 58 ภาษาอาเซอร์ไบจานร้อยละ 26 ภาษาเคิร์ดร้อยละ 9 ภาษาลูร์ร้อยละ 3 ภาษาบาลูจีร้อยละ 1 ภาษาอาหรับร้อยละ 1 และภาษาอื่น ๆ รวมกันร้อยละ 2 ของประชากร[24]
ขณะที่ตัวเลขการประมาณการกลุ่มชาติพันธุ์จากหอสมุดรัฐสภาแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ได้มีการประมาณการไว้คือ ชาวเปอร์เซียร้อยละ 65 ชาวอาเซอร์ไบจานร้อยละ 16 ชาวเคิร์ดร้อยละ 7 ชาวลูร์ร้อยละ 6 ชาวเปอร์เซียเชื้อสายอาหรับร้อยละ 2 ชาวบาลูจีร้อยละ 2 ชาวเติร์กเมนร้อยละ 1 ชนกลุ่มน้อยที่มาจากกลุ่มภาษาเติร์กกิก คือ กัชไก ร้อยละ 1 และกลุ่มที่มิได้มาจากกลุ่มภาษาอิหร่านหรือเติร์กกิก ได้แก่ ชาวอาร์มีเนีย อัสซีเรีย และจอร์เจีย น้อยกว่าร้อยละ 1[25]
ส่วนด้านการใช้ภาษาในรายงานดังกล่าวได้รายงานผลที่แตกต่างออกไปจากรายงานชิ้นแรกคือ ประชากรใช้ภาษาเปอร์เซียซึ่งเป็นภาษาราชการเป็นภาษาแม่โดยน้อยกว่าร้อยละ 65 ของประชากร และใช้เป็นภาษาที่สองซึ่งถือเป็นสัดส่วนขนาดใหญ่คือร้อยละ 35[25]
ศาสนา
ประเทศอิหร่านมีศาสนาประจำชาติคือ ศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮ์อิสนาอะชะรียะห์ (Ithnā‘ashariyyah) ซึ่งมีศาสนิกชนร้อยละ 90-95 ของประชากร[26][27][28] ส่วนศาสนาอิสลามนิกายซุนนี มีร้อยละ 4-8 ซึ่งศาสนิกชนส่วนใหญ่เป็นชาวเคิร์ดและชาวบาลูจี ส่วนอีกร้อยละ 2 คือศาสนิกชนนอกศาสนาอิสลามถือเป็นชนกลุ่มน้อย ได้แก่ ศาสนาบาไฮ ศาสนาพื้นเมืองของชาวมันเดียน ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาพื้นเมืองของชาวยัซดาน ศาสนายาร์ซาน ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนายูดาห์ และศาสนาคริสต์[24]
ศาสนาโซโรอัสเตอร์, ยูดาห์ และคริสต์ นั้นเป็นศาสนาที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ และได้รับการสงวนสิทธิ์ที่นั่งในรัฐสภาด้วย อย่างไรก็ตาม ศาสนาที่มีศาสนิกชนจำนวนมากที่สุดในหมู่ศาสนิกชนนอกศาสนาอิสลามคือ ศาสนาบาไฮ[29] แต่ศาสนาบาไฮกลับมิได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ และได้รับการกดขี่ข่มเหงเนือง ๆ ตั้งแต่การดำรงอยู่ของศาสนานี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1972 ได้มีการจัดการกับศาสนิกชนของศาสนาบาไฮ เช่น การลิดรอนสิทธิพลเรือน และเสรีภาพของชาวบาไฮ รวมไปถึงการจำกัดสิทธิในการเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา และการจ้างงาน[30][31]
วัฒนธรรม
วัฒนธรรมอิหร่านเป็นวัฒนธรรมผสมผสาน ระหว่างยุคก่อนอิสลามและยุคอิสลามเข้าไว้ด้วยกัน วัฒนธรรมอิหร่านถือเป็นวัฒนธรรมที่มีความโดดเด่นในตะวันออกกลางและในเอเชียกลาง และมีความรุ่งเรืองมายาวนานกว่าสองพันปี โดยเฉพาะยุคซาสซานิยะห์ ถือเป็ยุคที่มีความสำคัญของอิหร่านที่มีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจีน โรมัน และอินเดียเข้าไว้ด้วยกัน[32] และมีอิทธิพลต่อยุโรปตะวันตกและแอฟริกา[33] ซึ่งอิทธิพลดังกล่าวมีบทบาทโดดเด่นก่อให้เกิดศิลปะยุคกลางทั้งในเอเชียและแอฟริกา[34] ซึ่งอิทธิพลดังกล่าวได้ถูกยกยอดไปที่วัฒนธรรมอิสลาม ซึ่งกลายเป็นการเรียนรู้แบบอิสลามที่ทำให้เกิดความเจริญทางด้านภาษาศาสตร์, วรรณคดี นิติศาสตร์ ปรัชญา การแพทย์ สถาปัตยกรรม และวิทยาศาสตร์ ซึ่งบางส่วนได้ก่อกำเนิดจากยุคซาสซานียะห์และเผยแพร่ไปสู่โลกมุสลิมภายนอก[35][36][37]
วัฒนธรรมอิสลามได้แทรกซึมเข้าสู่วัฒนธรรมของอิหร่านอย่างแพร่หลาย ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการระลึกถึงอิหม่ามฮุเซนในวันอาชูรอ ซึ่งมีการรวมตัวของชาวอิหร่านมุสลิม ชาวคริสต์อาร์มีเนีย และชาวโซโรอัสเตอร์ที่มีส่วนร่วมในการไว้ทุกข์ให้กับผู้พลีชีพในการสู้รบที่กัรบาละห์ และวิถีชีวิตของชาวอิหร่านในยุคปัจจุบันก็ยังคงอิงอยู่กับศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ และสิ่งต่าง ๆ ยังคอยย้ำเตือนให้ชาวอิหร่านระลึกถึงประเพณีและวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองของตน[37][38]
ดนตรี
ดนตรีของอิหร่านความสัมพันธ์กับเครื่องดนตรีในแถบตะวันออกกลางและเอเชียกลาง รวมไปถึงแถบอนุทวีปอินเดีย แม้บางส่วนจะมาจากแอฟริกา และในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ก็มีการหลั่งไหลเข้ามาของดนตรีตะวันตก เพลงของอิหร่านจะใช้ทักษะการใช้เสียงผ่านช่องปาก, การฟัง และการเรียนรู้[39]
นักร้องหญิงที่มีชื่อเสียงก่อนการปฏิวัติคือ ฆามัรอัลโมลูก วาซิรี ผู้ที่ได้สมญานาม "ราชินีเพลงแห่งเปอร์เซีย" ถือเป็นนักร้องหญิงคนแรกของอิหร่านที่ปราศจากฮิญาบ ตามพระราชประสงค์ในชาห์เรซา ปาห์ลาวี[40] แต่ภายหลังการปฏิวัติอายะตุลลอฮ์ โคมัยนี เคยกล่าวถึงดนตรีตะวันตกว่ามีอิทธิพลทำลายจิตใจมนุษย์ เพราะมันทำให้เพลิดเพลิน ทำให้มีความสุข หลอนจิตใจให้ยินดี ซึ่งก็เหมือนยาเสพติดนั่นเอง[41] ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะหานักร้องหญิงอิหร่าน เพลงที่นักร้องหญิงอิหร่านร้องส่วนใหญ่ก็เป็นเทปที่อัดก่อนการปฏิวัติทั้งสิ้น และนักร้องก็เสียชีวิตไปแล้ว[42]
เพลงที่มีผู้หญิงร้องของอิหร่านมีสองประเภท คือ บทกลอนหรือนิทานโบราณของกวีเปอร์เซียที่บรรยายถึงธรรมชาติ และอีกประเภทคือเพลงรักที่อัดก่อนการปฏิวัติ[42] สำหรับเพลงสมัยใหม่ที่ขับร้องโดยนักร้องหญิงนั้นถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่ก็มีการผลิตกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันนอกประเทศ โดยอัดแผ่นในตุรกีหรือสหรัฐอเมริกา และลักลอบเข้าประเทศแล้วซื้อขายกันในตลาดมืด และชาวอิหร่านเองก็นิยมฟังเพลงเหล่านี้มาก[43]
อาหาร
อาหารอิหร่านมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคเช่นเดียวกับวัฒนธรรมภายในประเทศ แต่ส่วนประกอบหลักของอาหารอิหร่าน ได้แก่ ข้าว, เนื้อไก่หรือปลา มีผักอย่างหัวหอมบาง, ผัก, ถั่ว และสมุนไพร อาหารของอิหร่านเช่น กะบาบ ซึ่งเป็นอาหารที่พบได้ทั่วไปตั้งแต่ระดับภัตตาคารจนถึงร้านอาหารขนาดเล็กก็ยังมีกะบาบขายเช่นกัน[44] ในอิหร่านมีกะบาบหลากหลายชนิดตั้งแต่เนื้อวัว อูฐ แกะ แพะ ไก่ ปลา กุ้ง นำมาปรุงรสด้วยเครื่องเทศแล้วหมักจนได้ที่จึงเสียบเข้ากับไม้หรือโลหะย่างกับถ่าน[44] โดยเฉพาะหากเป็นเนื้อวัว แพะ แกะ หรืออูฐ จะหมักร่วมกับมะนาว เกลือ และหัวหอมใหญ่ มีรสชาติออกเปรี้ยวเค็มเล็กน้อย[44]
ส่วนมัสมั่นและกุรหม่าในอิหร่านนั้นจะมีลักษณะคล้ายสตู[45] เรียกว่า โคเรช (Khoresh) ซึ่งใส่ทั้งเนื้อและผักหั่นชิ้นเล็ก ๆ ใส่เครื่องเทศเล็กน้อย กับผลไม้ตามฤดูกาล และเมื่อใส่ผักผลไม้ชนิดใดก็จะเรียกตามชื่อนั้น เช่น ใส่ฟักทองจะเรียกว่า โคเรชเบฮ์ หรือหากใส่กระเจี๊ยบจะเรียกว่า โคเรชบามิเยฮ์ เป็นต้น[45]
อย่างไรก็ตามอิทธิพลของอาหารอิหร่านได้ตกทอดสู่อนุทวีปอินเดีย โดยเฉพาะราชสำนักโมกุล[45] แม้แต่ในประเทศไทยเองก็ยังได้รับอิทธิพลมาจากอาหารของอิหร่านมาเป็นเวลานานเช่นกัน ดังที่ปรากฏในกาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ความว่า[46]
มัสมั่นแกงแก้วตา | หอมยี่หร่ารสร้อนแรง |
ชายใดได้กลืนแกง | แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา |
เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยอาจทรงรับรู้หรือเสวยอาหารดังกล่าวจากกลุ่มชาวเปอร์เซีย และมีพระมเหสีที่สืบเชื้อสายจากชาวเปอร์เซียอย่าง เจ้าจอมมารดาเรียม ที่สืบเชื้อสายจากสุลต่านสุลัยมานแห่งสงขลา[46] และเจ้าจอมจีบ ธิดาพระยาจุฬาราชมนตรี (เถื่อน) ที่สืบเชื้อสายจากเฉกอะหมัด[46] ในรัชสมัยของพระองค์นี้เองก็ได้มีการแห่ตุ้มบุดและแขกเจ้าเซ็นลุยไฟแสดงให้ทอดพระเนตรหน้าพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ถึงสองครั้ง แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของราชสำนักกับชาวเปอร์เซียในไทย[46]
วันหยุด
ในวันปีใหม่ของชาวอิหร่าน หรือ วันเนารูซ จะเริ่มขึ้นทุกวันที่ 21 มีนาคม ถือเป็นเครื่องหมายของการเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิของอิหร่าน นอกจากที่อิหร่านแล้วยังมีการเฉลิมฉลองกันในประเทศเพื่อนบ้านอย่างอัฟกานิสถาน อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน คาซัคสถาน และเติร์กเมนิสถาน ซึ่งก่อนหน้านี้วันเนารูซยังเคยจัดขึ้นในประเทศจอร์เจียและอาร์มีเนีย แต่ปัจจุบันได้ยกเลิกแล้ว นอกจากนี้ยังมีการเฉลิมฉลองวันเนารูซในหมู่ชาวเคิร์ดในอิรักและชาวเคิร์ดในอานาโตเลียอีกด้วย[47] วันเนารูซได้รับการจัดไว้ในทะเบียนรายชื่อของมรดกชิ้นเอกแบบปากต่อปากที่ไม่มีตัวตนของมนุษย์ (Masterpieces of the Oral and Intangible Heritage of Humanity) [48]และอธิบายว่า ปีใหม่เปอร์เซีย[49][50][51][52] โดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ในปี ค.ศ. 2009
กีฬา
อ้างอิง
- ↑ Buchta, Wilfried. "Taking Stock of a Quarter Century of the Islamic Republic of Iran" (PDF). Harvard Law School. Harvard Law School. สืบค้นเมื่อ 2 November 2015.
- ↑ "official population clock as of March 17, 2015". http://www.amar.org.ir/.
{{cite web}}
: แหล่งข้อมูลอื่นใน
(help)|work=
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 "Islamic Republic of Iran". International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 3 January 2016.
- ↑ "GINI index (World Bank estimate)". Data.worldbank.org. สืบค้นเมื่อ November 29, 2015.
- ↑ "Human Development Report 2015" (PDF). United Nations. 2015. สืบค้นเมื่อ 15 December 2015.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่น ๆ. หน้า 17
- ↑ "Battle Between Persians and Russians". State Hermitage Museum. สืบค้นเมื่อ 2009-09-19.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 8.4 8.5 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่น ๆ. หน้า 18
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 9.5 9.6 9.7 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่น ๆ. หน้า 19
- ↑ "ศาสนากับการเมืองในอิหร่าน". เสรีภาพ ณ ชะเยือง. สืบค้นเมื่อ 2010-10-25.
- ↑ จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่น ๆ. หน้า 20
- ↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 12.4 12.5 12.6 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่น ๆ. หน้า 21
- ↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 13.4 13.5 13.6 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่น ๆ. หน้า 22
- ↑ อิหร่าน (๓)
- ↑ 15.0 15.1 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่น ๆ. หน้า 23
- ↑ CIA.gov
- ↑ http://www.eia.doe.gov/emeu/cabs/Iran/Background.html
- ↑ The EU should be playing Iran and Russia off against each other, by Julian Evans, Eurasian Home, 8 November 2006
- ↑ Kim Murphy – Los Angeles Times (2007-01-07). "U.S. targets Iran's vulnerable oil". Heraldextra.com. สืบค้นเมื่อ 2011-06-18.
- ↑ "Iran" (PDF). สืบค้นเมื่อ 2011-06-18.
- ↑ "No Operation". Presstv.com. สืบค้นเมื่อ 2011-09-14.
- ↑ "Iranian nuclear power station 'begins generating electricity'". Reuters. The Guardian. 4 September 2011. สืบค้นเมื่อ 4 September 2011.
- ↑ "Encyclopaedia Iranica. R. N. Frye. Peoples of Iran". Iranicaonline.org. สืบค้นเมื่อ 2011-09-14.
- ↑ 24.0 24.1 24.2 CIA World Factbook. "Iran". สืบค้นเมื่อ 2008-03-04.
- ↑ 25.0 25.1 Library of Congress, Library of Congress – Federal Research Division. "Ethnic Groups and Languages of Iran" (PDF). สืบค้นเมื่อ 2009-12-02.
- ↑ Walter Ralston Martin, Ravi K. Zacharias, The Kingdom of the Cults (2003), p.421; Excerpt: Ninety-five percent of Iran's Muslims are Shi'ites.
- ↑ Bhabani Sen Gupta, The Persian Gulf and South Asia:: prospects and problems of inter-regional cooperation. p.158; Excerpt: Shias constitute seventy-five percent of the population of the Gulf. Of this, ninety-five percent of Iranians and sixty of Iraqis are Shias.
- ↑ Daily report, Issues 64–73 -'United States. Foreign Broadcast Information Service- Page 50, Excerpt: Ninety -five percent of Iranians are Shiite Moslems.
- ↑ International Federation for Human Rights (2003-08-01). "Discrimination against religious minorities in Iran" (PDF). fdih.org. p. 6. สืบค้นเมื่อ 2009-01-17.
- ↑ International Federation for Human Rights (2003-08-01). "Discrimination against religious minorities in Iran" (PDF). fdih.org. สืบค้นเมื่อ 2007-03-19.
- ↑ Iran Human Rights Documentation Center (2007). "A Faith Denied: The Persecution of the Bahá'ís of Iran" (PDF). Iran Human Rights Documentation Center. สืบค้นเมื่อ 2007-03-19.[ลิงก์เสีย]
- ↑ J. B. Bury, History of the Later Roman Empire: From the Death of Theodosius I to the Death of Justinian Volume 1, p.109 ISBN 0-486-20398-0, Dover Publications
- ↑ "Sassanids in Africa". Transoxiana.com.ar. สืบค้นเมื่อ 2011-06-18.
- ↑ "Iransaga: The art of Sassanids". Artarena.force9.co.uk. สืบค้นเมื่อ 2011-06-18.
- ↑ "Iran – A country study". Parstimes.com. สืบค้นเมื่อ 2011-06-18.
- ↑ "History of Islamic Science 5". Levity.com. สืบค้นเมื่อ 2011-06-18.
- ↑ 37.0 37.1 Afary, Janet (2006). "Iran". Encyclopedia Britannica Online. สืบค้นเมื่อ 2007-10-29.
- ↑ گزارش عزاداری ، ارامنه و زرتشتیان ایران
- ↑ Bruno Nettl, "Iran: Music" in Encyclopaedia Iranica. Accessed November 2010 at PERSIAN MUSIC
- ↑ Erik Nakjavani (December 15, 2008). "QAMAR-AL-MOLUK VAZIRI". Encyclopaedia Iranica.
- ↑ Wright, Robin, The Last Great Revolution : Turmoil and Transformation in Iran. (New York : Vintage Books, 2001), p 86
- ↑ 42.0 42.1 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่น ๆ. หน้า 76
- ↑ Anderson, John. "Roll Over, Khomeini! Iran Cultivates A Local Rock Scene, Within Limites." Washington Post Foreign Service. August 23, 2001
- ↑ 44.0 44.1 44.2 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่น ๆ. หน้า 163
- ↑ 45.0 45.1 45.2 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่น ๆ. หน้า 164
- ↑ 46.0 46.1 46.2 46.3 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่น ๆ. หน้า 162
- ↑ "The Zarathushtrian Assembly". Zoroastrian.org. สืบค้นเมื่อ 2011-06-18.
- ↑ "Leaders of regional countries to mark Nowruz". PressTV. สืบค้นเมื่อ 2011-06-18.
- ↑ "Norouz Persian New Year". British Museum. 2010-03-25. สืบค้นเมื่อ 2010-04-06.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "General Assembly Fifty-fifth session 94th plenary meeting Friday, 9 March 2001, 10 a.m. New York" (PDF). United Nations General Assembly. 9 March 2001. สืบค้นเมื่อ 2010-04-06.
- ↑ "Nowrooz, a Persian New Year Celebration, Erupts in Iran – Yahoo!News". News.yahoo.com. 2010-03-16. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-03-22. สืบค้นเมื่อ 2010-04-06. [ลิงก์เสีย]
- ↑ "U.S. mulls Persian New Year outreach". Washington Times. 2010-03-19. สืบค้นเมื่อ 2010-04-06.
- ประเทศอิหร่าน จากเว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศ
บรรณานุกรม
- จักรพันธ์ กังวาฬ. และคนอื่น ๆ. กรุ่นกลิ่นอารยธรรมเปอร์เซียในเมืองสยาม. กรุงเทพฯ : มติชน, 2550. ISBN 974-02-0043-7
แหล่งข้อมูลอื่น
- รัฐบาล
- The e-office of the Supreme Leader of Iran
- ประธานาธิบดีอิหร่าน
- Iran.ir[ลิงก์เสีย]
- Iran entry at The World Factbook
- ประเทศอิหร่าน แหล่งข้อมูลบนเครือข่ายเว็บจัดทำโดย GovPubs ที่หอสมุดมหาวิทยาลัยโคโลราโด โบลเดอร์
- ข้อมูลทั่วไป
- ประเทศอิหร่าน ที่เว็บไซต์ Curlie
- Wikimedia Atlas of Iran
- การศึกษา
- ท่องเที่ยว
- วิดิทัศน์
- Iran. Weekly program that explores Iran's past, present and future with exclusive reports.