ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อาณาจักรธนบุรี"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ย้อนการแก้ไขที่ 6337460 สร้างโดย 223.206.50.125 (พูดคุย)
Unitedpage (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 34: บรรทัด 34:
|legislature =
|legislature =
}}
}}
'''อาณาจักรธนบุรี''' เป็นอาณาจักรของคนไทยช่วงสั้น ๆ ระหว่าง พ.ศ. 2310 - 2325 ระยะเวลา 15 ปี มี[[รายพระนามพระมหากษัตริย์ไทย|พระมหากษัตริย์]]ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือ [[สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี]] ภายหลัง[[อาณาจักรอยุธยา]]ล่มสลายไปพร้อมกับ[[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง]] ทว่า ในเวลาต่อมา [[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช|สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก]]ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และทรงย้ายเมืองหลวงไปยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ [[กรุงเทพมหานคร]]ในปัจจุบัน
'''อาณาจักรธนบุรี''' เป็นอาณาจักรของคนไทยช่วงช่วงสั้น ๆ ระหว่าง พ.ศ. 2310 - 2325 ระยะเวลา 15 ปี มี[[รายพระนามพระมหากษัตริย์ไทย|พระมหากษัตริย์]]ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือ [[สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี]] ภายหลัง[[อาณาจักรอยุธยา]]ล่มสลายไปพร้อมกับ[[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง]] ทว่า ในเวลาต่อมา [[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช|สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก]]ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และทรงย้ายเมืองหลวงไปยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ [[กรุงเทพมหานคร]]ในปัจจุบัน


== ประวัติศาสตร์ ==
== ประวัติศาสตร์ ==
{{โครง-ส่วน}}


=== การกอบกู้เอกราช ===
=== การกอบกู้เอกราช ===
{{บทความหลัก|การกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก}}
{{บทความหลัก|การกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก}}


เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีรับราชการเป็นพระยาตากในระหว่าง[[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง|สงครามการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง]]<ref>{{cite book|title=Columbia Chronologies of Asian History and Culture|author=John Bowman|publisher=Columbia University Press|pages=514|isbn=0231110049}}</ref> พระยาตากได้ถอนตัวจากการป้องกันพระนครพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่งเพื่อไปตั้งตัว โดยนำทัพผ่านบ้านโพสามหาร บ้านบางดง หนองไม้ทรุง เมือง[[นครนายก]] เมือง[[ปราจีนบุรี]] [[พัทยา]] [[สัตหีบ]] [[ระยอง]] โดยกลุ่มผู้สนับสนุนพระยาตากได้ยกย่องให้ให้เป็น "เจ้าชาย"<ref>วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. (2546). '''บรรพบุรุษไทย: สมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น'''. โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 5 </ref> และตีได้เมือง[[จันทบุรี]]และ[[ตราด]] เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2310<ref name=DamrongRajanubhab385>[[สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ]]. (2463). '''ไทยรบพม่า'''. มติชน. น. 385</ref>
เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีรับราชการเป็นพระยาตากในระหว่าง[[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง|สงครามการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง]]<ref>{{cite book|title=Columbia Chronologies of Asian History and Culture|author=John Bowman|publisher=Columbia University Press|pages=514|isbn=0231110049}}</ref> พระยาตากได้ถอนตัวจากการป้องกันพระนครพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่งเพื่อไปตั้งตัว โดยนำทัพผ่านบ้านโพสามหาร บ้านบางดง หนองไม้ทรุง เมือง[[นครนายก]] เมือง[[ปราจีนบุรี]] [[พัทยา]] [[สัตหีบ]] [[ระยอง]] โดยกลุ่มผู้สนับสนุนพระยาตากได้ยกย่องให้ให้เป็น "เจ้าชาย"<ref>วัลลภ รุ่งศิริแสงรัตน์. (2546). '''บรรพบุรุษไทย: สมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น'''. โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 5 </ref> และตีได้เมือง[[จันทบุรี]]และ[[ตราด]] เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2310<ref name=DamrongRajanubhab385>[[สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ]]. (2463). '''ไทยรบพม่า'''. มติชน. น. 385</ref>


ในเวลาใกล้เคียงกัน ฝ่ายกองทัพพม่าได้คงกำลังควบคุมในเมืองหลวงและเมืองใกล้เคียงประมาณ 3,000 คน โดยมี[[นายทองสุก|สุกี้]]เป็นนายกอง ตั้งค่ายอยู่ที่บ้าน[[โพธิ์สามต้น]] พร้อมกันนั้น พม่าได้ตั้งนายทองอินให้ไปเป็นผู้ดูแลรักษาเมืองธนบุรีไว้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอาณาจักรอยุธยาจะสิ้นสภาพลงไปแล้ว แต่ยังมีหัวเมืองอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้รับความเสียหายจากศึกสงคราม หัวเมืองเหล่านั้นจึงต่างพากันตั้งตนเป็นใหญ่ในเขตอิทธิพลของตน ส่วนทางด้านพระยาตากเองก็สามารถรวบรวมกำลังได้จนเทียบได้กับหนึ่งในชุมนุมทั้งหลายนั้น โดยมีจันทบุรีเป็นฐานที่มั่น
ในเวลาใกล้เคียงกัน ฝ่ายกองทัพพม่ารามัญได้คงกำลังควบคุมในเมืองหลวงและเมืองใกล้เคียงประมาณ 3,000 คน โดยมี[[นายทองสุก|สุกี้ยากี้]]เป็นนายกอง ตั้งค่ายอยู่ที่บ้าน[[โพธิ์สามต้น]] พร้อมกันนั้น พม่าได้ตั้งนายทองอินทร์ให้ไปเป็นผู้ดูแลรักษา[[เมืองธนบุรี]]ไว้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า[[อาณาจักรอยุธยา]]จะสิ้นสภาพลงไปแล้ว แต่ยังมีหัวเมืองอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้รับความเสียหายจากศึกสงคราม หัวเมืองเหล่านั้นจึงต่างพากันตั้งตนเป็นใหญ่ในเขตอิทธิพลของตน ส่วนทางด้านพระยาตากเองก็สามารถรวบรวมกำลังได้จนเทียบได้กับหนึ่งในชุมนุมทั้งหลายนั้น โดยมี[[จังหวัดจันทบุรี|จันทบุรี]]เป็นฐานที่มั่น


ต่อมา พระยาตากจึงนำกำลังที่รวบรวมประมาณ 5,000 คน ตีเมืองธนบุรีและอยุธยาคืนจากข้าศึก เสร็จแล้วจึงสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา<ref>จรรยา ประชิตโรมรัน. (2548). '''สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช'''. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 55</ref> และทรงสร้างเมืองหลวงใหม่ คือ กรุงธนุบรี<ref>ภัทรธาดา, '''เอกสารบรรยายพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี''' (ชลบุรี:พฤษภาคม ๒๕๒๔) หน้า ๙-๑๐.</ref> <!--เนื่องจากทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาถูกทำลายลงจนไม่อาจปฏิสังขรณ์ได้กลับคืนดังเดิม โดยเรียกนามว่า ''กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร'' ส่วนสาเหตุที่ทรงเลือกนั้นเป็นเพราะว่าเมืองธนบุรีมีขนาดเล็กและชัยภูมิ มีปราการป้องกันเข้มแข็ง ทำให้ข้าศึกรุกรานได้ยาก และยังสามารถใช้เป็นสถานที่หลบหนีไปตั้งหลักยังเมืองจันทบุรีได้ทางเรือได้อีก<ref>{{cite book|title=นิราศพระบาท|year=2550|author=[[สุนทรภู่]]|publisher=กองทุน|pages=123-124|isbn=9789744820648}}</ref>-->
ต่อมา พระยาตากจึงนำกำลังที่รวบรวมประมาณ 5,000 คน ตีเมืองธนบุรีและอยุธยาคืนจากข้าศึก เสร็จแล้วจึงสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา<ref>จรรยา ประชิตโรมรัน. (2548). '''สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช'''. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 55</ref> และทรงสร้างเมืองหลวงใหม่ คือ กรุงธนุบรี<ref>ภัทรธาดา, '''เอกสารบรรยายพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี''' (ชลบุรี:พฤษภาคม ๒๕๒๔) หน้า ๙-๑๐.</ref> <!--เนื่องจากทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาถูกทำลายลงจนไม่อาจปฏิสังขรณ์ได้กลับคืนดังเช่นเดิม โดยเรียกนามว่า ''กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร'' ส่วนสาเหตุที่ทรงเลือกนั้นเป็นเพราะว่าเมืองธนบุรีมีขนาดเล็กและชัยภูมิ มีปราการป้องกันเข้มแข็ง ทำให้ข้าศึกรุกรานได้ยาก และยังสามารถใช้เป็นสถานที่หลบหนีไปตั้งหลักยังเมืองจันทบุรีได้ทางเรือได้อีก<ref>{{cite book|title=นิราศพระบาท|year=2550|author=[[สุนทรภู่]]|publisher=กองทุน|pages=123-124|isbn=9789744820648}}</ref>-->


=== การรวมชาติและการขยายตัว ===
=== การรวมชาติและการขยายตัว ===
บรรทัด 53: บรรทัด 54:
ต่อมา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดให้จัดเตรียมกำลังเพื่อทำลายคู่แข่งทางการเมือง เพื่อให้เกิดการรวมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ในปี พ.ศ. 2311 ทรงมุ่งไปยังเมืองพิษณุโลกเป็นแห่งแรก ทว่า กองทัพธนบุรีพ่ายต่อกองทัพพิษณุโลก ณ ปากน้ำโพ จึงต้องเลื่อนการโจมตีออกไปก่อน แต่ภายหลังเจ้าพิษณุโลกถึงแก่พิราลัย ชุมนุมพิษณุโลกอ่อนแอลงและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเจ้าพระฝางแทน
ต่อมา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดให้จัดเตรียมกำลังเพื่อทำลายคู่แข่งทางการเมือง เพื่อให้เกิดการรวมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ในปี พ.ศ. 2311 ทรงมุ่งไปยังเมืองพิษณุโลกเป็นแห่งแรก ทว่า กองทัพธนบุรีพ่ายต่อกองทัพพิษณุโลก ณ ปากน้ำโพ จึงต้องเลื่อนการโจมตีออกไปก่อน แต่ภายหลังเจ้าพิษณุโลกถึงแก่พิราลัย ชุมนุมพิษณุโลกอ่อนแอลงและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเจ้าพระฝางแทน


สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้เปลี่ยนเป้าหมายไปยังชุมนุมเจ้าพิมาย เนื่องจากทรงเห็นว่าควรจะปราบชุมนุมขนาดเล็กเสียก่อน [[กรมหมื่นเทพพิพิธ]]สู้ไม่ได้ ทรงจับตัวมายังกรุงธนบุรี และถูกประหารระหว่างเดือนตุลาคม-เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2311<ref>นิธิ เอียวศรีวงษ์. หน้า 158.</ref> เมื่อขยายอำนาจไปถึงหัวเมืองลาวแล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพยายามใช้พระราชอำนาจของพระองค์ช่วยให้ ''นักองราม'' เป็นกษัตริย์กัมพูชา โดยพระองค์โปรดให้ ''กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท'' เป็นแม่ทัพไปตีกัมพูชา แต่ไม่สำเร็จ<ref>นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 159.</ref>
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้เปลี่ยนเป้าหมายไปยังชุมนุมเจ้าพิมาย เนื่องจากทรงเห็นว่าควรจะปราบชุมนุมขนาดเล็กเสียก่อน [[กรมหมื่นเทพพิพิธ]]สู้ไม่ได้ ทรงจับตัวมายังกรุงธนบุรี และถูกประหารระหว่างเดือนตุลาคม-เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2311<ref>นิธิ เอียวศรีวงษ์. หน้า 158.</ref> เมื่อขยายอำนาจไปถึงหัวควยเมืองลาวแล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพยายามใช้พระราชอำนาจของพระองค์ช่วยให้ ''นักกองราม'' เป็นกษัตริย์กัมพูชา โดยพระองค์โปรดให้ ''กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท'' เป็นแม่ทัพไปตีกัมพูชา แต่ไม่สำเร็จ<ref>นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 159.</ref>


ในปี [[พ.ศ. 2312]] สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีศุภอักษรไปยังสมเด็จพระนารายณ์ราชา เจ้ากรุงเขมร โดยให้ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามประเพณี แต่สมเด็จพระนารายณ์ราชาปฏิเสธ พระองค์ทรงขัดเคืองจึงให้จัดเตรียมกองกำลังไปตีเมือง[[เสียมราฐ]] และเมือง[[พระตะบอง]] อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พระองค์ได้ส่งพระยาจักรีนำกองทัพไปปราบเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อทรงทราบข่าวทัพพระยาจักรีไปติดขัดที่ไชยา จึงทรงส่งทัพหลวงไปช่วย จนตีเมืองนครศรีธรรมราชได้เมื่อเดือน 10 ฝ่ายแม่ทัพธนบุรีในเขมรไม่ได้ข่าวพระเจ้าแผ่นดินมานาน จึงเกรงว่าบ้านเมืองจะไม่สงบ รีบยกกองทัพกลับบ้านเมืองเสียก่อน และทำให้การโจมตีเขมรถูกระงับเอาไว้
ในปี [[พ.ศ. 2312]] สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีศุภอักษรไปยังสมเด็จพระนารายณ์ราชา เจ้ากรุงเขมร โดยให้ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามประเพณี แต่สมเด็จพระนารายณ์ราชาปฏิเสธ พระองค์ทรงขัดเคืองจึงให้จัดเตรียมกองกำลังไปตีเมือง[[เสียมราฐ]] และเมือง[[พระตะบอง]] อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พระองค์ได้ส่งพระยาจักรีนำกองทัพไปปราบเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อทรงทราบข่าวทัพพระยาจักรีไปติดขัดที่ไชยา จึงทรงส่งทัพหลวงไปช่วย จนตีเมืองนครศรีธรรมราชได้เมื่อเดือน 10 ฝ่ายแม่ทัพธนบุรีในเขมรไม่ได้ข่าวพระเจ้าแผ่นดินมานาน จึงเกรงว่าบ้านเมืองจะไม่สงบ รีบยกกองทัพกลับบ้านเมืองเสียก่อน และทำให้การโจมตีเขมรถูกระงับเอาไว้
บรรทัด 63: บรรทัด 64:
=== การสิ้นสุด ===
=== การสิ้นสุด ===
{{ดูเพิ่มที่|การสวรรคตของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี}}
{{ดูเพิ่มที่|การสวรรคตของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี}}
หลักฐานส่วนใหญ่กล่าวว่า เกิดเหตุจลาจลในปลายรัชกาลของ[[สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช]] คือ พระยาสรรค์ได้ตั้งตัวเป็นกบฏ ได้บุกมาแล้วบังคับให้พระองค์ผนวช ขณะนั้น [[สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก]]ทรงทำศึกอยู่ที่[[กัมพูชา]] ทรงทราบข่าวจึงได้เสด็จกลับมายังกรุง ได้ปราบปรามจลาจลแล้ว สืบสวนหารือควรสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
หลักฐานส่วนใหญ่กล่าวว่า เกิดเหตุจลาจลในปลายรัชกาลของ[[สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช]] คือ พระยาสวรรค์ได้ตั้งตัวเป็นกบฏ ได้บุกมาแล้วบังคับให้พระองค์ผนวช ขณะนั้น [[สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก]]ทรงทำศึกอยู่ที่[[กัมพูชา]] ทรงทราบข่าวจึงได้เสด็จกลับมายังกรุง ได้ปราบปรามจลาจลแล้ว สืบสวนหารือควรสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เนื่องจากสติฟั่นเฟือน


สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็น[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช]] ปฐมกษัตริย์แห่ง[[ราชวงศ์จักรี]] และโปรดเกล้าให้ย้ายราชธานีมายังฝั่งตะวันออกของ[[แม่น้ำเจ้าพระยา]] และในต่อมาได้พระราชทานนามใหม่ว่า [[กรุงรัตนโกสินทร์]] [[สมเด็จพระมหาอุปราช เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์]] พระราชโอรสพระองค์โตในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์เช่นกัน
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็น[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช]] ปฐมกษัตริย์แห่ง[[ราชวงศ์จักรี]] และโปรดเกล้าให้ย้ายราชธานีมายังฝั่งตะวันออกของ[[แม่น้ำเจ้าพระยา]] และในต่อมาได้พระราชทานนามใหม่ว่า [[กรุงรัตนโกสินทร์]] [[สมเด็จพระมหาอุปราช เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์]] พระราชโอรสพระองค์ควยโตในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์เช่นกัน


== การปกครอง ==
== การปกครอง ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:14, 8 พฤษภาคม 2559

อาณาจักรธนบุรี
2310–2325
ธงชาติกรุงธนบุรี
สถานะราชอาณาจักร
เมืองหลวงกรุงธนบุรี
ภาษาทั่วไปภาษาไทย
ศาสนา
ศาสนาพุทธนิกายเถรวาท
การปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบศักดินา
พระมหากษัตริย์ 
• 2310-2325
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ยุคประวัติศาสตร์ยุคใหม่
• สถาปนา
28 ธันวาคม 2310
• สิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
6 เมษายน 2325
ก่อนหน้า
ถัดไป
อาณาจักรอยุธยา
กรุงรัตนโกสินทร์

อาณาจักรธนบุรี เป็นอาณาจักรของคนไทยช่วงช่วงสั้น ๆ ระหว่าง พ.ศ. 2310 - 2325 ระยะเวลา 15 ปี มีพระมหากษัตริย์ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ภายหลังอาณาจักรอยุธยาล่มสลายไปพร้อมกับการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ทว่า ในเวลาต่อมา สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และทรงย้ายเมืองหลวงไปยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน

ประวัติศาสตร์

การกอบกู้เอกราช

เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีรับราชการเป็นพระยาตากในระหว่างสงครามการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง[1] พระยาตากได้ถอนตัวจากการป้องกันพระนครพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่งเพื่อไปตั้งตัว โดยนำทัพผ่านบ้านโพสามหาร บ้านบางดง หนองไม้ทรุง เมืองนครนายก เมืองปราจีนบุรี พัทยา สัตหีบ ระยอง โดยกลุ่มผู้สนับสนุนพระยาตากได้ยกย่องให้ให้เป็น "เจ้าชาย"[2] และตีได้เมืองจันทบุรีและตราด เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2310[3]

ในเวลาใกล้เคียงกัน ฝ่ายกองทัพพม่ารามัญได้คงกำลังควบคุมในเมืองหลวงและเมืองใกล้เคียงประมาณ 3,000 คน โดยมีสุกี้ยากี้เป็นนายกอง ตั้งค่ายอยู่ที่บ้านโพธิ์สามต้น พร้อมกันนั้น พม่าได้ตั้งนายทองอินทร์ให้ไปเป็นผู้ดูแลรักษาเมืองธนบุรีไว้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอาณาจักรอยุธยาจะสิ้นสภาพลงไปแล้ว แต่ยังมีหัวเมืองอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้รับความเสียหายจากศึกสงคราม หัวเมืองเหล่านั้นจึงต่างพากันตั้งตนเป็นใหญ่ในเขตอิทธิพลของตน ส่วนทางด้านพระยาตากเองก็สามารถรวบรวมกำลังได้จนเทียบได้กับหนึ่งในชุมนุมทั้งหลายนั้น โดยมีจันทบุรีเป็นฐานที่มั่น

ต่อมา พระยาตากจึงนำกำลังที่รวบรวมประมาณ 5,000 คน ตีเมืองธนบุรีและอยุธยาคืนจากข้าศึก เสร็จแล้วจึงสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา[4] และทรงสร้างเมืองหลวงใหม่ คือ กรุงธนุบรี[5]

การรวมชาติและการขยายตัว

ครั้นเมื่อพระเจ้ามังระแห่งอาณาจักรพม่าทรงทราบข่าวเรื่องการกอบกู้เอกราชของไทย พระองค์จึงมีพระบรมราชโองการให้เจ้าเมืองทวายคุมกองทัพมาดูสถานการณ์ในดินแดนอาณาจักรอยุธยาเดิม เมื่อปลาย พ.ศ. 2310 แต่ก็ถูกตีแตกกลับไปโดยกองทัพธนบุรี ซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงนำทัพมาด้วยพระองค์เอง[6]

ต่อมา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดให้จัดเตรียมกำลังเพื่อทำลายคู่แข่งทางการเมือง เพื่อให้เกิดการรวมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ในปี พ.ศ. 2311 ทรงมุ่งไปยังเมืองพิษณุโลกเป็นแห่งแรก ทว่า กองทัพธนบุรีพ่ายต่อกองทัพพิษณุโลก ณ ปากน้ำโพ จึงต้องเลื่อนการโจมตีออกไปก่อน แต่ภายหลังเจ้าพิษณุโลกถึงแก่พิราลัย ชุมนุมพิษณุโลกอ่อนแอลงและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเจ้าพระฝางแทน

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้เปลี่ยนเป้าหมายไปยังชุมนุมเจ้าพิมาย เนื่องจากทรงเห็นว่าควรจะปราบชุมนุมขนาดเล็กเสียก่อน กรมหมื่นเทพพิพิธสู้ไม่ได้ ทรงจับตัวมายังกรุงธนบุรี และถูกประหารระหว่างเดือนตุลาคม-เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2311[7] เมื่อขยายอำนาจไปถึงหัวควยเมืองลาวแล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพยายามใช้พระราชอำนาจของพระองค์ช่วยให้ นักกองราม เป็นกษัตริย์กัมพูชา โดยพระองค์โปรดให้ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เป็นแม่ทัพไปตีกัมพูชา แต่ไม่สำเร็จ[8]

ในปี พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีศุภอักษรไปยังสมเด็จพระนารายณ์ราชา เจ้ากรุงเขมร โดยให้ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามประเพณี แต่สมเด็จพระนารายณ์ราชาปฏิเสธ พระองค์ทรงขัดเคืองจึงให้จัดเตรียมกองกำลังไปตีเมืองเสียมราฐ และเมืองพระตะบอง อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พระองค์ได้ส่งพระยาจักรีนำกองทัพไปปราบเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อทรงทราบข่าวทัพพระยาจักรีไปติดขัดที่ไชยา จึงทรงส่งทัพหลวงไปช่วย จนตีเมืองนครศรีธรรมราชได้เมื่อเดือน 10 ฝ่ายแม่ทัพธนบุรีในเขมรไม่ได้ข่าวพระเจ้าแผ่นดินมานาน จึงเกรงว่าบ้านเมืองจะไม่สงบ รีบยกกองทัพกลับบ้านเมืองเสียก่อน และทำให้การโจมตีเขมรถูกระงับเอาไว้

ในปี พ.ศ. 2313 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกกองทัพขึ้นไปปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง โดยตีได้เมืองพิษณุโลก และตามไปตีชุมนุมเจ้าพระฝางเมืองสวางคบุรีได้ และทรงประทับ ณ เมืองสวางคบุรี เพื่อสมโภชการสำเร็จศึก และจัดการการปกครองและคณะสงฆ์หัวเมืองฝ่ายเหนือใหม่ตลอดฤดูน้ำ 2 เดือนเศษ ซึ่งนับเป็นชุมนุมอิสระสุดท้ายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกปราบชุมนุมก๊กเจ้าพระฝางได้นั้น นับเป็นการพระราชสงครามสุดท้ายที่ ทำให้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงบรรลุพระราชภารกิจสำคัญ ในการรวบรวมพระราชอาณาเขตให้เป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวดังเดิมหลังภาวะจลาจลเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า ในปี พ.ศ. 2310 และทำให้สิ้นสุดสภาพจลาจลการแยกชุมนุมอิสระภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง และนับเป็นการสถาปนากรุงธนบุรีได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เมื่อสำเร็จศึกปราบชุมนุมก๊กเจ้าพระฝาง ในปี พ.ศ. 2313[9]

การสิ้นสุด

หลักฐานส่วนใหญ่กล่าวว่า เกิดเหตุจลาจลในปลายรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คือ พระยาสวรรค์ได้ตั้งตัวเป็นกบฏ ได้บุกมาแล้วบังคับให้พระองค์ผนวช ขณะนั้น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงทำศึกอยู่ที่กัมพูชา ทรงทราบข่าวจึงได้เสด็จกลับมายังกรุง ได้ปราบปรามจลาจลแล้ว สืบสวนหารือควรสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เนื่องจากสติฟั่นเฟือน

สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และโปรดเกล้าให้ย้ายราชธานีมายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา และในต่อมาได้พระราชทานนามใหม่ว่า กรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระมหาอุปราช เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระราชโอรสพระองค์ควยโตในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์เช่นกัน

การปกครอง

การปกครองในสมัยกรุงธนบุรีนั้น ยืดถือแบบการแบบกรุงศรีอยุธยา โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

การปกครองส่วนกลาง

กรุงธนบุรีเป็นศูนย์กลาง มีอัครมหาเสนาบดีตำแหน่ง " เจ้าพระยา " จำนวน 2 ท่าน ได้แก่

  • สมุหนายก เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน เป็นผู้ดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทั้งในราชการฝ่ายทหารและพลเรือน ในฐานะเจ้าเสนาบดีกรมมหาดไทย ผู้เป็นจะมียศเป็น "เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์" หรือที่เรียกว่า "ออกญาจักรี"
  • สมุหพระกลาโหม เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร เป็นผู้ดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งปวง ยศนั้นก็จะมี "เจ้าพระยามหาเสนา" หรือที่เรียกว่า "ออกญากลาโหม"

ส่วนจตุสดมภ์นั้นยังมีไว้เหมือนเดิม มีเสนาบดีตำแหน่ง " พระยา " จำนวน 4 ท่าน ได้แก่

การปกครองส่วนภูมิภาค

  • หัวเมืองชั้นใน จะมีผู้รั้งเมือง เป็นผู้ปกครอง จะอยู่รอบๆไม่ไกลจากราชธานี
  • เมืองพระยามหานคร จะแบ่งออกได้เป็น เมืองเอก โท ตรี จัตวา มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครอง

เศรษฐกิจ

ราคาข้าว
ปี ราคา
ต้นรัชกาล ถังละเท่ากับทองคำครึ่งบาท [10]
2311-2312 เกวียนละ 160 บาท [11]
2313 เกวียนละ 3 ชั่ง [12]
2317 เกวียนละ 10 ตำลึง [11]

ช่วงต้นรัชกาล สภาพบ้านเมืองเสียหายจากการสงครามอย่างหนัก เกิดทุพภิกขภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย[13] เนื่องจากขาดการทำนามานาน ราคาข้าวในอาณาจักรสูงเกือบตลอดรัชกาล ก่อนจะค่อย ๆ ลดลงในตอนปลายรัชกาล จะมีเพิ่มสูงขึ้นบ้างก็ในปี พ.ศ. 2312 ที่เกิดหนูระบาด[14] สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสละทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อข้าวมาให้แก่ราษฎรทั้งหลาย ช่วยคนได้หลายหมื่น[15] ทั้งยังกระตุ้นให้ชาวบ้านทั้งหลายเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงด้วย

นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ทรงทำนุบำรุงการค้าขายทางเรือกับต่างชาติ เนื่องจากไม่อาจพึ่งรายได้จากภาษีอากรจากผู้คนที่ยังคงตั้งตัวไม่ได้ อีกทั้งการส่งเสริมการขายสินค้าพื้นเมืองยังเป็นการสร้างงานให้กับชาวบ้าน โดยพระองค์ได้ทรงพยายามผูกไมตรีกับจีนเพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์ทางการค้ามากยิ่งขึ้น[16][17][18]

ผลดีประการหนึ่งของสงครามคราวเสียกรุงคือมีผู้คนอพยพมาสร้างความเจริญแก่ท้องที่อื่นให้ดีขึ้นกว่าสมัยอยุธยามาก[19] กรุงธนบุรีได้กลายมาเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดของไทยแทนกรุงศรีอยุธยาเดิมที่ถูกเผาทำลายไป[20] และเนื่องจากเมืองมะริดและตะนาวศรีได้ตกเป็นของพม่าอย่างถาวร จึงทำให้เมืองถลางได้กลายเป็นเมืองท่าสำคัญในการค้าขายกับต่างชาติทางฝั่งทะเลอันดามันแทน โดยในสมัยอยุธยามีความสำคัญเป็นเมืองท่าลำดับสอง และมีดีบุกเป็นจำนวนมาก[20] เช่นเดียวกับเมืองไชยาและเมืองสงขลาที่เจริญก้าวหน้ากว่าในสมัยอยุธยาเดิม ชาวต่างชาติยังเขียนอีกว่า ท้องที่ใดมีชาวจีนอาศัยอยู่มาก ท้องที่แห่งนั้นย่อมเจริญแน่ เพราะคนจีนขยันกว่าคนไทย[21]

ไทยมีรากฐานเศรษฐกิจดี มีภูมิประเทศและภูมิอากาศเอื้อต่อเกษตรกรรม เมื่อเว้นว่างจากศึกสงคราม เสบียงอาหารก็บริบูรณ์ขึ้นดังเดิม ฝ่ายคนจีนและคนไทยบางส่วนได้เอาเงินและทองที่บรรพชนเก็บไว้ในพระพุทธรูปไป บ้างก็ทำลายพระพุทธรูปและพระเจดีย์เสียเพื่อเอาเงิน บาทหลวงคอร์ระบุว่า "การที่ประเทศสยามกลับตั้งแต่ได้เร็วเช่นนี้ ก็เพราะความหมั่นเพียรของพวกจีน ถ้าพวกจีนไม่ใช่เป็นคนมักได้แล้ว ในเมืองไทยทุกวันนี้คงไม่มีเงินใช้เป็นแน่"[22]

สังคม

สภาพสังคมไทยสมัยกรุงธนบุรี มีลักษณะคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยา คือมีการแบ่งชนชั้นออกเป็น

  1. พระมหากษัตริย์
  2. พระบรมวงศานุวงศ์
  3. ขุนนาง
  4. ไพร่ เป็นชนชั้นที่มีมากที่สุดในสังคม
  5. ทาส

หลังจากบ้านเมืองแตกแยก เพราะการล่มสลายของอาณาจักรอยุธยาแล้ว เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีได้รวบรวมอาณาจักรเป็นปึกแผ่น พม่าจึงเล็งเห็นว่า ไม่ต้องการให้อาณาจักรสยามเจริญได้อีก จึงต้องมีการรบรากันอยู่บ่อย การเรียกกำลังพลจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการหลบหนี พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงตรากฎหมายการสักเลกขึ้น โดยไพร่ชายใดอายุถึงกำหนด ต้องสักเลก เพื่อให้สามารถตรวจสอบจำนวนคนได้ และถ้าหากมีการหลบหนีเมื่อใด อาจจะมีโทษถึงประหารชีวิต โดยพระเจ้ากรุงธนบุรีจะเป็นผู้ตัดสินคดีด้วยตัวของพระองค์เอง ส่วนชนชั้นอื่น ๆ ที่เหลือนั้นก็มีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับอยุธยา

วัฒนธรรม

รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแม้จะไม่ยาวนานนักได้ฟื้นฟูปรับปรุงบ้านเมืองในด้านวัฒนธรรมอย่างมากเช่น ด้านศาสนาได้แต่งตั้งพระสังฆราช ด้านศิลปะผลงานไม่เด่นชัด ด้านการศึกษาเด็กผู้ชายจะมีโอกาสได้เรียนเท่านั้น

วรรณกรรม

ถึงแม้ว่ากรุงธนบุรีจะดำรงอยู่เป็นเวลาอันสั้น วรรณกรรม วรรณคดีทั้งหลายถูกทำลายลง แต่ก็มีเวลาที่จะมาฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม

  • สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชทานเมื่อปี พ.ศ. 2313 อันเป็นปีที่ 3 ในรัชกาลพระองค์ บทละครเรื่องรามเกียรติ์ฉบับนี้มี 4 ตอน แบ่งออกเป็น 4 เล่ม
  • นายสวน มหาดเล็ก ซึ่งแต่งโคลงสี่สุภาพ แต่งขึ้นเพื่อยกพระเกียรติและสรรเสริญ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี 85 บท เป็นสำนวนที่เรียบง่าย แต่ทรงคุณค่าด้วยเป็นหลักฐานที่คนรุ่นต่อมาได้ทราบถึงสภาพบ้านเมืองและความเป็นไปในยุคนั้น[23]
  • หลวงสรวิชิต (หน) ซึ่งต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาพระคลัง (หน) งานประพันธ์ของท่านเป็นที่รู้จักและแพร่หลาย จนถึงปัจจุบัน เช่น สามก๊ก เป็นต้น ส่วนในสมัยกรุงธนบุรี ประพันธ์เรื่อง ลิลิตเพชรมงกุฎ (พ.ศ. 2310-2322) และอิเหนาคำฉันท์ (พ.ศ. 2322)
นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน หรือ นิราศกวางตุ้ง แต่งเมื่อปี พ.ศ. 2324

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในสมัยกรุงธนบุรี (2310-2325)

  • พ.ศ. 2310
  • พระยาวชิรปราการ ทรงกอบกู้เอกราชครั้งที่ 2ให้กับกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ และทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ พระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 ขณะมีพระชนมายุได้ 33 พรรษา และสถาปนา กรุงธนบุรีเป็นราชธานีใหม่แทนกรุงศรีอยุธยา
  • พ.ศ. 2311
  • เริ่มปราบชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก แต่ไม่สำเร็จ ปราบชุมนุมเจ้าพิมายสำเร็จเป็นชุมนุมแรก
  • พ.ศ. 2312
  • ปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราชสำเร็จ ยกทัพไปตีเขมรครั้งแรกแต่ไม่สำเร็จ
  • พ.ศ. 2314
  • ยกทัพไปตีเขมรครั้งที่ 2 และสามารถปราบเขมรไว้ในอำนาจ นายสวนมหาดเล็กแต่งโคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี
  • พ.ศ. 2315
  • พม่ายกทัพมาตีเมืองพิชัย ครั้งที่ 1 แต่ไม่สำเร็จ
  • พ.ศ. 2316
  • รบชนะพม่าที่มาตีเชียงใหม่ ครั้งที่ 2 ทำให้เกิดวีรกรรมพระยาพิชัยดาบหัก
  • พ.ศ. 2317
  • รบชนะพม่าที่บางแก้ว ราชบุรี พม่าถูกจับและเสียชีวิตไปมากมาย ไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ 2 ได้สำเร็จ
  • พ.ศ. 2318
  • พม่ายกทัพใหญ่มาตีหัวเมืองเหนือแต่ไม่สำเร็จ ถูกจับเป็นเชลยหลายหมื่นคน
  • พ.ศ. 2319
  • พม่ายกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่แต่ไม่สำเร็จ
  • พ.ศ. 2321
  • โปรดเกล้าฯให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก กับเจ้าพระยาสุรสีห์ไปตีเวียงจันทน์ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางมาไว้ที่ กรุงธนบุรี พระแก้วมรกตประดิษฐ์ไว้ที่วัดอรุณฯ ส่วนพระบางคืนไปในสมัยรัชกาลที่ 1
  • พ.ศ. 2323
  • เกิดจลาจลในเขมร โปรดฯให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ เจ้าพระยาสุรสีห์ เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระองค์เจ้าจุ้ย ยกทัพไปตีกรุงกัมพูชา แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็เกิดจลาจลในกรุงธนบุรีเสียก่อน หลวงสรวิชิต(หน) แต่งอิเหนาคำฉันท์
  • พ.ศ. 2324
  • ส่งทัพไปปราบจลาจลในเขมร
  • พระยาสรรค์เป็นกบฏ
  • พ.ศ. 2325
  • สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 กรุงธนบุรีสิ้นสุดลง

อ้างอิง

  1. John Bowman. Columbia Chronologies of Asian History and Culture. Columbia University Press. p. 514. ISBN 0231110049.
  2. วัลลภ รุ่งศิริแสงรัตน์. (2546). บรรพบุรุษไทย: สมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น. โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 5
  3. สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ. (2463). ไทยรบพม่า. มติชน. น. 385
  4. จรรยา ประชิตโรมรัน. (2548). สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 55
  5. ภัทรธาดา, เอกสารบรรยายพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (ชลบุรี:พฤษภาคม ๒๕๒๔) หน้า ๙-๑๐.
  6. สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ. (2463). ไทยรบพม่า. มติชน. น. 411-414
  7. นิธิ เอียวศรีวงษ์. หน้า 158.
  8. นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 159.
  9. _________________. (ม.ป.ป.). พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ระหว่างจลาจล จุลศักราช ๑๑๒๙-๑๑๓๐. กรุงเทพฯ : (ม.ป.ท.). หน้า 49-51
  10. ชัย เรืองศิลป์. หน้า 6.
  11. 11.0 11.1 ชัย เรืองศิลป์. หน้า 7.
  12. ชัย เรืองศิลป์. หน้า 8.
  13. ชัย เรืองศิลป์. หน้า 2.
  14. ชัย เรืองศิลป์. หน้า 7.
  15. ชัย เรืองศิลป์. หน้า 5.
  16. Chris Baker (writer), Pasuk Phongpaichit. A History of Thailand. Cambridge University Press. p. 32. ISBN 0521816157.
  17. Editors of Time Out. Time Out Bangkok: And Beach Escapes. Time Out. p. 84. ISBN 1846700213. {{cite book}}: |author= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  18. Paul M. Handley. The King Never Smiles. Yale University Press. p. 27. ISBN 0300106823.
  19. ชัย เรืองศิลป์. หน้า 16.
  20. 20.0 20.1 ชัย เรืองศิลป์. หน้า 12.
  21. ชัย เรืองศิลป์. หน้า 15-16.
  22. ชัย เรืองศิลป์. หน้า 25.
  23. กุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ, คุณหญิง (2543). วรรณกรรมสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ ฉบับแปล. โครงการวรรณกรรมอาเซียน. ISBN 9742722935.

บรรณานุกรม

  • นิธิ เอียวศรีวงศ์ (2550). การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี. มติชน. ISBN 9789740201779.
  • ชัย เรืองศิลป์ (2541). ประวัติศาสตร์ไทยสมัย พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๔๕๓ ด้านเศรษฐกิจ. ไทยวัฒนาพานิช. ISBN 9740841244.

แหล่งข้อมูลอื่น