ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ไม้กอล์ฟ"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 30: บรรทัด 30:
{{โครงกีฬา}}
{{โครงกีฬา}}
"พัตเตอร์" (putter) มีหัวหลายรูปแบบ แต่สิ่งที่สำคัญคือจะมีองศาหน้าไม้ที่ต่ำมาก และก้านที่สั้น ออกแบบมาเพื่อผลักลูกกอล์ฟให้กลิ้งบนพื้นมากกว่าที่จะลอยสู่อากาศ โดยทั่วไปพัตเตอร์จะใช้บนกรีน แต่บางครั้งอาจใช้ในการตีขึ้นกรีนจากแฟร์เวย์หรือฟรินจ์ (พื้นที่รอบกรีน) ที่ตัดหญ้าสั้นและเรียบ
"พัตเตอร์" (putter) มีหัวหลายรูปแบบ แต่สิ่งที่สำคัญคือจะมีองศาหน้าไม้ที่ต่ำมาก และก้านที่สั้น ออกแบบมาเพื่อผลักลูกกอล์ฟให้กลิ้งบนพื้นมากกว่าที่จะลอยสู่อากาศ โดยทั่วไปพัตเตอร์จะใช้บนกรีน แต่บางครั้งอาจใช้ในการตีขึ้นกรีนจากแฟร์เวย์หรือฟรินจ์ (พื้นที่รอบกรีน) ที่ตัดหญ้าสั้นและเรียบ

===เวดจ์===
{{โครงส่วน}}
"เวดจ์" (wedge) คือเหล็กที่มีองศาหน้าไม้มากกว่า 44 องศา "พิชชิงเวดจ์" (pitching wedge) มีองศาหน้าไม้ 44 ถึง 50 องศา และมีการออกแบบที่ใกล้เคียงกับเหล็กทั่วไป "แซนด์เวดจ์" (sand wedge) มีการออกแบบเป็นพิเศษซึ่งสิ่งที่เรียกว่า "เบานซ์" (bounce) และมีองศาหน้าไม้ 54 ถึง 58 องศา ทำให้ผู้เล่นสามารถตีจากทรายหรือรัฟได้ง่าย "แกปเวดจ์" (gap wedge) มีองศาหน้าไม้อยู่ระหว่างพิชชิงเวดจ์และแซนด์เวดจ์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ (gap มีความหมายว่าช่องว่างระหว่างกลาง) "ลอบเวดจ์" (lob wedge) คือเวดจ์ที่มีองศาหน้าไม้สูงมาก (อาจถึง 68 องศา) ใช้ในการตีขึ้นกรีน จากทราย หรือใช้ในช็อตแก้ไขที่ต้องใช้ช็อตลูกโด่งมากและระยะทางสั้น ผู้ผลิตไม้กอล์ฟส่วนใหญ่ ผลิตเวดจ์ตั้งแต่ 48 ถึง 60 องศา และมีเบานซ์หลายแบบ

รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:34, 20 เมษายน 2559

ไม้กอล์ฟ ถูกใช้ในกีฬากอล์ฟเพื่อตีลูกกอล์ฟ ประกอบด้วยก้านไม้ที่มีด้ามจับและหัวไม้กอล์ฟ หัวไม้คือไม้ที่ใช้สำหรับการตีบนแฟร์เวย์หวังผลระยะไกล ส่วนหัวเหล็กนั้นมีลักษณะที่หลากหลายเพื่อการตีในลักษณะที่ต่าง ๆ กันออกไป พัตเตอร์คือไม้ที่ถูกใช้บนกรีนเพื่อตีลูกกอล์ฟให้ลงหลุม

ส่วนต่างของไม้แต่ละก้านที่สำคัญก็คือมุมหน้าไม้ หรือมุมระหว่างผิวหน้าไม้กับแนวดิ่ง และเป็นมุมหน้าไม้นี่เองที่ทำให้ลูกกอล์ฟทะยานออกจากทีในลักษณะการเคลื่อนที่แบบโปรเจกต์ไตล์ ไม่ใช้มุมการเหวี่ยงไม้ ทุก ๆ การเหวี่ยงไม้ ไม้กอล์ฟจะสัมผัสลูกกอล์ฟในลักษณะการเคลื่อนที่วิถีราบ แรงกระแทกของไม้จะส่งผ่านไปยังลูก ในขณะที่หลุมขรุขระของลูกจะก่อให้เกินการหมุนกลับหลัง (ถ้าลูกเคลื่อนที่จากซ้ายไปขวา ลูกจะหมุมในทิศทวนเข็มนาฬิกา) ซึ่งการส่งผ่านแรงและการหมุนนี่เองที่ก่อให้เกิดแรงยกตัว ส่วนใหญ่แล้วทั้งหัวไม้และหัวเหล็กจะถูกระบุด้วยตัวเลข ยิ่งตัวเลขยิ่งสูง ไม้จะยิ่งสั้นและมีมุมหน้าไม้ที่สูง ซึ่งจะทำให้ลูกถูกยกตัวขึ้นสูงและมีระยะที่ต่ำ

ชุดของไม้กอล์ฟสำหรับการออกรอบนั้น โดยกติกาแล้วจะต้องไม่เกิน 14 ก้าน ซึ่งจะให้ไม้แบบไหนนั้นแล้วแต่ตัวนักกอล์ฟเอง แต่โดยมากแล้วมักจะเป็นหัวไดรฟ์หนึ่งก้าน หัวไม้สองก้าน (ส่วนมากจะเป็นหัวไม้เบอร์ 3 และ 5) ชุดหัวเหล็กตั้งแต่เบอร์ 3 ถึง 9 (7 ก้าน) พิทช์ชิง เวดจ์ 1 ก้าน แซน เวดจ์ เวดจ์ 1 ก้าน พัตเตอร์ เวดจ์ 1 ก้าน และอีกก้านนั้น แล้วแต่จะเลือกใช้ โดยมากแล้ว นักกอล์ฟมักจะหลีกเลี่ยงการใช้ไม้กอล์ฟที่ยาว ซึ่งส่งผลให้ตีได้ยาก และใช้หัวไฮบริดจ์ซึ่งตีได้ง่ายและได้ผลกว่า

ชนิดของไม้

หัวไม้

หัวไม้ คือไม้กอล์ฟที่มีระยะหวังผลที่ไกล ใช้ตีส่งลูกกอล์ฟจากแฟร์เวย์ไปหาหลุมด้วยระยะที่ไกลมาก โดยทั่วไปแล้วจะมีหัวไม้ที่ใหญ่และก้านไม้ที่ยาวเพื่อเพิ่มความเร็วในการหวด โดยประวัติศาสตร์แล้วหัวไม้มักจะเคยทำจากไม้พลับ ผู้ผลิตบางราย โดยเฉพาะยี่ห้อปิง ใช้ไม้หลาย ๆ ชนิดอัดเข้าด้วยกัน จนช่วงปลาย 1980s บริษัทเทย์เลอร์เมด กอล์ฟได้ผลิตหัวไม้ที่ทำจากเหล็กกล้าออกขาย และในช่วงระยะหลัง ๆ มานี้ ผู้ผลิตหลาย ๆ รายใช้วัสดุอื่นที่ไม่ใช่ไม้ในการทำหัวไม้เช่น คาร์บอนไฟเบอร์ ไทเทเนียม หรือ สแกนเดียม แต่ถึงแม้ว่าวัตถุดิบจะไม่ใช่ไม้แล้วก็ตาม แต่ชื่อ "หัวไม้"ยังคงใช้เรียกไม้ที่มีลักษณะและความมุ่งหมายในการใช้ที่เหมือนกัน หัวไม้ในปัจจุบันส่วนมากมีก้านไม้ที่ทำจากกราไฟต์ และหัวไม้ที่ทำจากไทเทเนียม เหล็กกล้า หรือวัสดุผสม

"หัวไม้" (wood) เป็นไม้ที่ยาวที่สุดและมักจะใช้กับช็อตที่ต้องการระยะไกล หัวของหัวไม้นั้นมีขนาดใหญ่ โดยดั้งเดิม หัวของหัวไม้ทำมาจากไม้พลับหรือเมเปิล ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ หัวไม้สมัยใหม่มีลักษณะกลวง ทำจากเหล็ก ไทแทเนียม หรือวัสถุผสม

หัวไม้ที่ยาวที่สุด เรียกว่าหัวไม้หนึ่ง หรือ "ไดรเวอร์" โดยหัวไม้นี้จะมีหัวขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งเหมาะสำหรับการตีจากที หัวไม้อื่นที่สั้นกว่า เช่นหัวไม้สาม หรือหัวไม้ห้า มักเรียกเป็นหัวไม้แฟร์เวย์ โดยหัวไม้เหล่านี้จะสั้นกว่า และมีองศาหน้าไม้มากกว่า ทำให้สามารถตีจากพื้นหญ้าได้ ไดรเวอร์สามารถใช้ตีจากพื้นหญ้าได้เช่นกัน แต่ต้องใช้ความสามารถที่สูงกว่าในการควบคุม และหน้าของหัวไม้ต้องได้รับการทดสอบว่าเมีอกระทบลูกจะเด้งที่เป็นไปตามกฎ r&a ต้องได้รับลองก่อนที่จะนำไปใช้แข่งขันในระดับอาชีพได้

ในปัจจุบัน มีหัวไม้แบบใหม่ที่รู้จักกันในชื่อไฮบริด (hybrid) หรือที่บางครั้งคนไทยเรียกว่าไม้กระเทย ซึ่งรวมคุณสมบัติการตีตรงๆแบบเหล็กรวมกับจุดศูนย์กลางแรงโน้มถ่วงที่ต่ำแบบหัวไม้ที่มีองศาหน้าไม้สูง โดยไม้ไฮบริดนี้มักจะใช้ในการเล่นช็อตระยะไกลจากรัฟ หรือผู้เล่นที่มีปัญหาในการตีเหล็กยาว

หัวเหล็ก

ไม้หัวเหล็ก (iron) หรือที่มักเรียกสั้นๆว่า "เหล็ก" ใช้ในการตีระยะสั้นกว่าหัวไม้ โดยทั่วไปจะเป็นช็อตที่ตีขึ้นกรีน เหล็กเป็นไม้กอล์ฟที่สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง โดยนักกอล์ฟที่มีความสามารถสูงสามารถตีช็อตได้หลายแบบโดยไม้อันเดียว เหล็กมักจะมีเลขตั้งแต่ 1 ถึง 9 โดยยิ่งเลขต่ำ องศาหน้าไม้ก็จะต่ำ และก้านจะยาว เหล็กที่สั้นที่สุดเรียกว่าเวดจ์ ชุดเหล็กทั่วไปมักประกอบไปด้วยเหล็กตั้งแต่เบอร์ 3 ถึงพิชชิงเวดจ์ ผู้เล่นที่มีความสามารถบางคนอาจใช้เหล็ก 2 แต่เหล็ก 1 ในปัจจุบันมีใช้กันน้อยมาก แม้แต่กับนักกอล์ฟอาชีพ ความนิยมใช้เหล็กยาว (เบอร์ต่ำ) ที่ลดลง มีผลมาจากการพัฒนาไม้ไฮบริด ซึ่งให้เส้นโคจรที่ดี และตีง่ายกว่า

หัวไฮบริด

พัตเตอร์

"พัตเตอร์" (putter) มีหัวหลายรูปแบบ แต่สิ่งที่สำคัญคือจะมีองศาหน้าไม้ที่ต่ำมาก และก้านที่สั้น ออกแบบมาเพื่อผลักลูกกอล์ฟให้กลิ้งบนพื้นมากกว่าที่จะลอยสู่อากาศ โดยทั่วไปพัตเตอร์จะใช้บนกรีน แต่บางครั้งอาจใช้ในการตีขึ้นกรีนจากแฟร์เวย์หรือฟรินจ์ (พื้นที่รอบกรีน) ที่ตัดหญ้าสั้นและเรียบ

เวดจ์

"เวดจ์" (wedge) คือเหล็กที่มีองศาหน้าไม้มากกว่า 44 องศา "พิชชิงเวดจ์" (pitching wedge) มีองศาหน้าไม้ 44 ถึง 50 องศา และมีการออกแบบที่ใกล้เคียงกับเหล็กทั่วไป "แซนด์เวดจ์" (sand wedge) มีการออกแบบเป็นพิเศษซึ่งสิ่งที่เรียกว่า "เบานซ์" (bounce) และมีองศาหน้าไม้ 54 ถึง 58 องศา ทำให้ผู้เล่นสามารถตีจากทรายหรือรัฟได้ง่าย "แกปเวดจ์" (gap wedge) มีองศาหน้าไม้อยู่ระหว่างพิชชิงเวดจ์และแซนด์เวดจ์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ (gap มีความหมายว่าช่องว่างระหว่างกลาง) "ลอบเวดจ์" (lob wedge) คือเวดจ์ที่มีองศาหน้าไม้สูงมาก (อาจถึง 68 องศา) ใช้ในการตีขึ้นกรีน จากทราย หรือใช้ในช็อตแก้ไขที่ต้องใช้ช็อตลูกโด่งมากและระยะทางสั้น ผู้ผลิตไม้กอล์ฟส่วนใหญ่ ผลิตเวดจ์ตั้งแต่ 48 ถึง 60 องศา และมีเบานซ์หลายแบบ