ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เหตุการณ์การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลีโอจีน"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ล ย้อนการแก้ไขที่ 6072954 สร้างโดย 202.5.88.146 (พูดคุย) |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
ออฟทำจ้าาาา |
|||
{{ปรับภาษา}} |
{{ปรับภาษา}} |
||
{{ต้องการอ้างอิง}} |
{{ต้องการอ้างอิง}} |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 17:07, 17 กรกฎาคม 2558
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
เหตุการณ์การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส-พาลิโอจีน เกิดขึ้นเมื่อราว 65 ล้านปีที่แล้ว เป็นหนึ่งในการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก มีการสูญพันธุ์ครั้งนี้เกิดหลังเหตุการณ์การสูญพันธุ์เพอร์เมียน-ไทรแอสสิก ซึ่งอยู่ระหว่าง 214-199 ล้านปีก่อน ส่วนในปลายยุคครีเทเชียส ซึ่งกวาดล้างสิ่งมีชีวิตไปกว่า 70% รวมถึงพวกไดโนเสาร์ เทอโรซอร์ และสัตว์เลื้อยคลานใต้ทะเล[ต้องการอ้างอิง] สิ่งมีชีวิตที่ไม่สูญพันธุ์ ได้แก่พวกหนู สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก เต่า ปลาซีลาแคนด์ และงู[ต้องการอ้างอิง] สาเหตุการสูญพันธุ์สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากอุกกาบาตที่พุ่งชนโลกบริเวณคาบสมุทรยูคาทาน ประเทศเม็กซิโก
ทฤษฎีต่างที่อธิบายการสูญพันธุ์
- ทฤษฎีอุกบาตชนโลก เป็นทฤษฎีที่น่าเชื่อถือที่สุด โดยสาเหตุของทฤษฎีนี้ เพราะว่ามีการค้นพบหลุมอุกบาต ขนาด 10.กม ในบริเวณแหลมยูกาตัน ประเทศเม็กซิโก และนอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุอิริเดียม ที่พบมากในอุกกาบาต ในบริเวณแหลมยูกาตันด้วย ซึ่งแร่ธาตุอิริเดียม พวกนี้อาจมาจากอุกบาตที่พุ่งชนโลก ในบริเวณนั้น
- ทฤษฎีภูเขาไฟระเบิด เป็นทฤษฎีที่น่าเชื่อถือเช่นเดียวอุกบาตพุ่งชนโลก ซึ่งภูเขาไฟทั่วโลกอาจระเบิดพร้อมกัน ทำให้พืชที่ไดโนเสาร์กินพืชกินนั้นเป็นพิษเมื่อมันกินเข้าไป ทำให้พวกไดโนเสาร์กินพืชต่างล้มตาย และเมื่อพวกกินเนื้อไม่มีอาหารคือพวกกินพืช พวกมันก็ล่ากันเอง จนสูญพันธุ์ในที่สุด
- ทฤษฎีอากาศหนาวขึ้นและการเปลียนแปลงกะทันหันของสภาพแวดล้อม โดยฤดูกาลในโลกอาจเปลี่ยนแปลง ทำให้มีหิมะตก จนอากาศหนาวขึ้น และเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง พวกสัตว์อาจปรับตัวไม่ทันและสูญพันธุ์ในที่สุด
- ทฤษฎีไข่ถูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขโมย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินไข่อาจเพิ่มจำนวนขึ้น และเข้าไปกินไข่ของสัตว์อื่น แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นสัตว์เลื้อยคลานใต้ทะเลพวกอิกธีโอซอร์ ที่ไม่วางไข่บนบกจะไม่สูญพันธุ์ รวมทั้งแอมโมไนต์ ปลาในมหายุคมีโซโสอิคด้วย[ต้องการอ้างอิง]
หนังสืออ่านเพิ่ม
- Fortey, R (2005). Earth: An Intimate History. Vintage. ISBN 9780375706202.
แหล่งข้อมูลอื่น
- "The Chicxulub Debate". Princeton University. 2007. สืบค้นเมื่อ 2007-08-02.
- McLean D (1995). "The Deccan Traps Volcanism-Greenhouse Dinosaur Extinction Theory". University of Vermont. สืบค้นเมื่อ 2007-08-02.
- Kring DA (2005). "Chicxulub Impact Event: Understanding the K–T Boundary". NASA Space Imagery Center. สืบค้นเมื่อ 2007-08-02.
- Cowen R (2000). "The K–T extinction". University of California Museum of Paleontology. สืบค้นเมื่อ 2007-08-02.
- "What killed the dinosaurs?". University of California Museum of Paleontology. 1995. สืบค้นเมื่อ 2007-08-02.
- Rincon, P (2004-03-01). "Dinosaur impact theory challenged". BBC News. สืบค้นเมื่อ 2007-08-02.
- Lovett RA (2006-10-30). ""Dinosaur Killer" Asteroid Only One Part of New Quadruple-Whammy Theory". National Geographic News. สืบค้นเมื่อ 2007-08-02.
- "BBC—Radio 4 In Our Time—KT Boundary" (RealAudio). BBC News. สืบค้นเมื่อ 2008-03-13.
- Alleyne, Richard (2010-03-04). "Dinosaurs wiped out by asteroid impact that turned earth into a 'hellish' place". London: The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ 2010-03-05.