ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สันนิบาตชาติ"
ล แทนที่ ‘(?mi)\{\{Link FA\|.+?\}\}\n?’ ด้วย ‘’: เลิกใช้ เปลี่ยนไปใช้วิกิสนเทศ |
เก็บกวาด +เก็บกวาดด้วยสจห. |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
{{กล่องข้อมูล ประเทศ |
{{กล่องข้อมูล ประเทศ |
||
| conventional_long_name = สันนิบาตชาติ |
| conventional_long_name = สันนิบาตชาติ |
||
| native_name |
| native_name = League of Nations {{en icon}}<br />Société des Nations {{fr icon}}<br />Sociedad de Naciones {{es icon}} |
||
| linking_name |
| linking_name = League of Nations |
||
| image_coat |
| image_coat = Symbol of the League of Nations.svg |
||
| symbol_type = สัญลักษณ์กึ่งทางการระหว่าง ค.ศ. 1939-1941 |
| symbol_type = สัญลักษณ์กึ่งทางการระหว่าง ค.ศ. 1939-1941 |
||
| image_map = League of Nations Anachronous Map.PNG |
| image_map = League of Nations Anachronous Map.PNG |
||
| map_caption = แผนที่ประเทศสมาชิกสันนิบาต |
| map_caption = แผนที่ประเทศสมาชิกสันนิบาต |
||
| symbol_width |
| symbol_width = 100px |
||
| symbol_type |
| symbol_type = เครื่องหมาย |
||
| admin_center_type |
| admin_center_type = สำนักงานใหญ่ |
||
| admin_center |
| admin_center = [[เจนีวา]] สวิตเซอร์แลนด์<!-- // รอคนมาแก้ไขแม่แบบ |
||
| s1 = United Nations |
| s1 = United Nations |
||
| flag_s1 = Flag of the United Nations (1945-1947).svg--> |
| flag_s1 = Flag of the United Nations (1945-1947).svg--> |
||
| languages_type |
| languages_type = ภาษาทางการ |
||
| languages |
| languages = อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน |
||
| membership_type |
| membership_type = รัฐสมาชิก |
||
| government_type = องค์การระหว่างประเทศ |
| government_type = องค์การระหว่างประเทศ |
||
| leader_title1 |
| leader_title1 = เลขาธิการคนที่ 1 |
||
| leader_name1 |
| leader_name1 = Sir James Eric Drummond |
||
| leader_title2 |
| leader_title2 = เลขาธิการคนที่ 2 |
||
| leader_name2 |
| leader_name2 = Joseph Aveno |
||
| leader_title3 |
| leader_title3 = เลขาธิการคนที่ 3 |
||
| leader_name3 |
| leader_name3 = Seán Lester |
||
| sovereignty_type |
| sovereignty_type = การก่อตั้ง |
||
| established_event1 = [[สนธิสัญญาแวร์ซาย]] |
| established_event1 = [[สนธิสัญญาแวร์ซาย]] |
||
| established_date1 |
| established_date1 = 28 มิถุนายน ค.ศ. 1919 (พ.ศ. 2462) |
||
| established_event2 = ประชุมครั้งแรก |
| established_event2 = ประชุมครั้งแรก |
||
| established_date2 |
| established_date2 = 16 มกราคม ค.ศ. 1920 (พ.ศ. 2463) |
||
| established_event3 = สิ้นสภาพ |
| established_event3 = สิ้นสภาพ |
||
| established_date3 |
| established_date3 = 20 เมษายน ค.ศ. 1947 (พ.ศ. 2490) |
||
| footnote1 |
| footnote1 = |
||
}} |
}} |
||
{{ใช้ปีคศ|width=250px}} |
{{ใช้ปีคศ|width=250px}} |
||
บรรทัด 39: | บรรทัด 39: | ||
[[ไฟล์:Origin of the League of Nations.png|thumb|right|250px|การ์ดที่ระลึกในโอกาสก่อตั้งสันนิบาต คนในรูปคือประธานาธิบดี[[วูดโรว์ วิลสัน]] ผู้เสนอให้ก่อตั้งองค์การนี้ขึ้น]] |
[[ไฟล์:Origin of the League of Nations.png|thumb|right|250px|การ์ดที่ระลึกในโอกาสก่อตั้งสันนิบาต คนในรูปคือประธานาธิบดี[[วูดโรว์ วิลสัน]] ผู้เสนอให้ก่อตั้งองค์การนี้ขึ้น]] |
||
แนวความคิดของประชาคมนานาชาติที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติมีมานานแล้ว ในปี ค.ศ. 1795 อิมมานูเอล คานต์ เสนอให้มีการก่อตั้งองค์การที่จะไกล่เกลี่ยของพิพาทและรักษาสันติภาพระหว่างประเทศในงานเขียนของเขา ''Perpetual Peace: A Philosophical Sketch''<ref>{{cite web|url=http://www.mtholyoke.edu/acad/intrel/kant/kant1.htm|last=คานต์|first=อิมมานูเอล |publisher=Mount Holyoke College| title=Perpetual Peace: A Philosophical Sketch|accessdate=26 พฤศจิกายน 2011}} {{en icon}}</ref> โดยเขาย้ำว่าแนวทางนี้ไม่ใช่การให้มีรัฐบาลปกครองโลก แต่ให้รัฐบาลของแต่ละประเทศเคารพพลเมืองของตน และต้อนรับชาวต่างประเทศในลักษณะที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน สันติภาพระหว่างประเทศก็จะเกิดขึ้น<ref>{{cite web|url=http://www.constitution.org/kant/perpeace.htm|title=Perpetual Peace|author=คานต์, อิมมานูแอล|year=1795|publisher=สมาคมรัฐธรรมนูญ|accessdate=26 พฤศจิกายน 2011}} {{en icon}}</ref> |
แนวความคิดของประชาคมนานาชาติที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติมีมานานแล้ว ในปี ค.ศ. 1795 อิมมานูเอล คานต์ เสนอให้มีการก่อตั้งองค์การที่จะไกล่เกลี่ยของพิพาทและรักษาสันติภาพระหว่างประเทศในงานเขียนของเขา ''Perpetual Peace: A Philosophical Sketch''<ref> {{cite web|url=http://www.mtholyoke.edu/acad/intrel/kant/kant1.htm|last=คานต์|first=อิมมานูเอล |publisher=Mount Holyoke College| title=Perpetual Peace: A Philosophical Sketch|accessdate=26 พฤศจิกายน 2011}} {{en icon}}</ref> โดยเขาย้ำว่าแนวทางนี้ไม่ใช่การให้มีรัฐบาลปกครองโลก แต่ให้รัฐบาลของแต่ละประเทศเคารพพลเมืองของตน และต้อนรับชาวต่างประเทศในลักษณะที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน สันติภาพระหว่างประเทศก็จะเกิดขึ้น<ref> {{cite web|url=http://www.constitution.org/kant/perpeace.htm|title=Perpetual Peace|author=คานต์, อิมมานูแอล|year=1795|publisher=สมาคมรัฐธรรมนูญ|accessdate=26 พฤศจิกายน 2011}} {{en icon}}</ref> |
||
ต่อมาเมื่อเกิด[[สงครามนโปเลียน]]ในศตวรรษที่ 19 ก็มีความพยายามร่วมมือกันเพื่อให้ยุโรปมีความมั่นคงยิ่งขึ้น รวมทั้งได้เกิด[[อนุสัญญาเจนีวา]]ขึ้นเพื่อมนุษยธรรมระหว่างสงคราม และ[[อนุสัญญาเฮก (1899 และ 1907)|อนุสัญญาเฮก]]ซึ่งกำหนดกฎเกณฑ์ของสงครามและการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ และในปี ค.ศ. 1889 นักรณรงค์สันติภาพได้ก่อตั้ง[[สมัชชาสหภาพรัฐสภา]] (Inter-Parliamentary Union: IPU) ขึ้นเพื่อสนับสนุนการเจรจาและการทูตในการแก้ไขข้อพิพาท<ref>{{cite web | title = ก่อนจะเป็น "สันนิบาตชาติ" | publisher = สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา | url =http://www.unog.ch/80256EE60057D930/(httpPages)/B5B92952225993B0C1256F2D00393560?OpenDocument | accessdate = 26 พฤศจิกายน 2011}} {{en icon}}</ref> |
ต่อมาเมื่อเกิด[[สงครามนโปเลียน]]ในศตวรรษที่ 19 ก็มีความพยายามร่วมมือกันเพื่อให้ยุโรปมีความมั่นคงยิ่งขึ้น รวมทั้งได้เกิด[[อนุสัญญาเจนีวา]]ขึ้นเพื่อมนุษยธรรมระหว่างสงคราม และ[[อนุสัญญาเฮก (1899 และ 1907)|อนุสัญญาเฮก]]ซึ่งกำหนดกฎเกณฑ์ของสงครามและการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ และในปี ค.ศ. 1889 นักรณรงค์สันติภาพได้ก่อตั้ง[[สมัชชาสหภาพรัฐสภา]] (Inter-Parliamentary Union: IPU) ขึ้นเพื่อสนับสนุนการเจรจาและการทูตในการแก้ไขข้อพิพาท<ref> {{cite web | title = ก่อนจะเป็น "สันนิบาตชาติ" | publisher = สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา | url =http://www.unog.ch/80256EE60057D930/ (httpPages) /B5B92952225993B0C1256F2D00393560?OpenDocument | accessdate = 26 พฤศจิกายน 2011}} {{en icon}}</ref> |
||
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มีกลุ่มอำนาจใหญ่สองกลุ่มในยุโรปที่ขัดแย้งกัน และเป็นสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งมีทหารเสียชีวิต 8.5 ล้านนาย ผู้บาดเจ็บ 21 ล้านคน และพลเรือนเสียชีวิต 10 ล้านคน สงครามนี้ได้ส่งผลกระทบในทุกด้านของชีวิต และทำให้เกิดกระแสต่อต้านสงครามทั่วโลก จนเกิดวลีเรียกสงครามโลกครั้งที่หนึ่งว่า "สงครามเพื่อที่จะหยุดสงครามทั้งหมด" และมีการสืบสวนถึงสาเหตุอย่างถี่ถ้วน ซึ่งพบว่าเกิดจาก การแข่งขันทางอาวุธ พันธมิตร การทูตลับ และเสรีภาพในการเข้าร่วมสงครามของรัฐต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ส่วนตน จึงมีการเสนอให้ |
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มีกลุ่มอำนาจใหญ่สองกลุ่มในยุโรปที่ขัดแย้งกัน และเป็นสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งมีทหารเสียชีวิต 8.5 ล้านนาย ผู้บาดเจ็บ 21 ล้านคน และพลเรือนเสียชีวิต 10 ล้านคน สงครามนี้ได้ส่งผลกระทบในทุกด้านของชีวิต และทำให้เกิดกระแสต่อต้านสงครามทั่วโลก จนเกิดวลีเรียกสงครามโลกครั้งที่หนึ่งว่า "สงครามเพื่อที่จะหยุดสงครามทั้งหมด" และมีการสืบสวนถึงสาเหตุอย่างถี่ถ้วน ซึ่งพบว่าเกิดจาก การแข่งขันทางอาวุธ พันธมิตร การทูตลับ และเสรีภาพในการเข้าร่วมสงครามของรัฐต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ส่วนตน จึงมีการเสนอให้มีองค์การระหว่างประเทศที่จะทำหน้าที่หยุดสงครามในอนาคตด้วย[[การลดอาวุธ]] การทูตอย่างเปิดเผย การตัดสินข้อพิพาท ความร่วมมือระหว่างชาติ การควบคุมสิทธิในการเข้าร่วมสงคราม และการลงโทษประเทศที่ทำผิดกฎ |
||
บุคคลสำคัญที่มีส่วนทำให้สันนิบาตชาติเป็นความจริงขึ้นมาคือประธานาธิบดี[[วูดโรว์ วิลสัน]]แห่งสหรัฐอเมริกา การตั้งสันนิบาตชาติเป็นหนึ่งใน[[หลักการสิบสี่ข้อ]]ของวิลสัน ซึ่งข้อ 14 ระบุว่า ''การรวมตัวกันของประชาชาติควรจะถูกก่อตั้งขึ้นภายใต้พันธะที่แน่นอนเพื่อจุดประสงค์ที่สามารถให้ความช่วยเหลือกันได้กับทุกฝ่าย และให้การรับรองแก่รัฐที่มีขนาดเล็กกว่าเทียบเท่ากับตนเอง โดยการจัดตั้งองค์การสันนิบาตชาติขึ้นมา''<ref>{{cite web |first=วูดโรว์|last=วิลสัน|authorlink=วูดโรว์ วิลสัน| date = 8 มกราคม 1918 |title = หลักการสิบสี่ข้อของประธานาธิบดีวิลสัน | publisher =The Avalon Project | url =http://www.yale.edu/lawweb/avalon/wilson14.htm | accessdate = 26 พฤศจิกายน 2011}} {{en icon}}</ref> โดยในระหว่าง[[การประชุมสันติภาพที่ปารีส (1919)|การประชุมสันติภาพที่ปารีส]] ซึ่งมีสามประเทศใหญ่ผู้ชนะสงครามเข้าร่วมคือ อเมริกา ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร แนวความคิดการก่อตั้งสันนิบาตชาติของวิลสันได้รับการยอมรับ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของ[[สนธิสัญญาแวร์ซายส์]] |
บุคคลสำคัญที่มีส่วนทำให้สันนิบาตชาติเป็นความจริงขึ้นมาคือประธานาธิบดี[[วูดโรว์ วิลสัน]]แห่งสหรัฐอเมริกา การตั้งสันนิบาตชาติเป็นหนึ่งใน[[หลักการสิบสี่ข้อ]]ของวิลสัน ซึ่งข้อ 14 ระบุว่า ''การรวมตัวกันของประชาชาติควรจะถูกก่อตั้งขึ้นภายใต้พันธะที่แน่นอนเพื่อจุดประสงค์ที่สามารถให้ความช่วยเหลือกันได้กับทุกฝ่าย และให้การรับรองแก่รัฐที่มีขนาดเล็กกว่าเทียบเท่ากับตนเอง โดยการจัดตั้งองค์การสันนิบาตชาติขึ้นมา''<ref> {{cite web |first=วูดโรว์|last=วิลสัน|authorlink=วูดโรว์ วิลสัน| date = 8 มกราคม 1918 |title = หลักการสิบสี่ข้อของประธานาธิบดีวิลสัน | publisher =The Avalon Project | url =http://www.yale.edu/lawweb/avalon/wilson14.htm | accessdate = 26 พฤศจิกายน 2011}} {{en icon}}</ref> โดยในระหว่าง[[การประชุมสันติภาพที่ปารีส (1919)|การประชุมสันติภาพที่ปารีส]] ซึ่งมีสามประเทศใหญ่ผู้ชนะสงครามเข้าร่วมคือ อเมริกา ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร แนวความคิดการก่อตั้งสันนิบาตชาติของวิลสันได้รับการยอมรับ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของ[[สนธิสัญญาแวร์ซายส์]] |
||
[[กติกาสันนิบาตชาติ]]ถูกร่างขึ้นโดยคณะกรรมการพิเศษ โดยมี 44 ประเทศที่เซ็นยอมรับกติกานี้ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย อย่างไรก็ดีแม้วิลสันจะประสบผลสำเร็จในการผลักดันให้สันนิบาตชาติเป็นจริงขึ้นมา ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปีเดียวกัน แต่รัฐสภาอเมริกากลับมีมติไม่ยอมให้ประเทศอเมริกาเข้าร่วมสันนิบาต เนื่องจากเกรงว่าจะมีข้อผูกมัดตามมา ซึ่งจะเป็นสาเหตุที่ทำให้สันนิบาตล่มในเวลาต่อมา |
[[กติกาสันนิบาตชาติ]]ถูกร่างขึ้นโดยคณะกรรมการพิเศษ โดยมี 44 ประเทศที่เซ็นยอมรับกติกานี้ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย อย่างไรก็ดีแม้วิลสันจะประสบผลสำเร็จในการผลักดันให้สันนิบาตชาติเป็นจริงขึ้นมา ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปีเดียวกัน แต่รัฐสภาอเมริกากลับมีมติไม่ยอมให้ประเทศอเมริกาเข้าร่วมสันนิบาต เนื่องจากเกรงว่าจะมีข้อผูกมัดตามมา ซึ่งจะเป็นสาเหตุที่ทำให้สันนิบาตล่มในเวลาต่อมา |
||
บรรทัด 52: | บรรทัด 52: | ||
== ตราสัญลักษณ์ == |
== ตราสัญลักษณ์ == |
||
มีตราสัญลักษณ์กึ่งทางการเกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1939 ซึ่งเป็นดาวห้าเหลี่ยมสองดวงในรูปห้าเหลี่ยมสีน้ำเงิน สื่อความหมายถึงทวีปในโลก 5 ทวีป และเผ่าพันธุ์ 5 เผ่า (ขาว เหลือง น้ำตาล ดำ แดง) ตามที่เชื่อกันในสมัยนั้น ด้านบนเป็นชื่อภาษาอังกฤษ (''League of Nations'') ส่วนด้านล่างเป็นภาษาฝรั่งเศส ("''Société des Nations''")<ref>{{cite web|publisher=สหประชาชาติ|accessdate=26 พฤศจิกายน 2011|url=http://visit.un.org/wcm/content/site/visitors/lang/en/home/about_us/un_offices|title=ภาษาและตราสัญลักษณ์}} {{en icon}}</ref> |
มีตราสัญลักษณ์กึ่งทางการเกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1939 ซึ่งเป็นดาวห้าเหลี่ยมสองดวงในรูปห้าเหลี่ยมสีน้ำเงิน สื่อความหมายถึงทวีปในโลก 5 ทวีป และเผ่าพันธุ์ 5 เผ่า (ขาว เหลือง น้ำตาล ดำ แดง) ตามที่เชื่อกันในสมัยนั้น ด้านบนเป็นชื่อภาษาอังกฤษ (''League of Nations'') ส่วนด้านล่างเป็นภาษาฝรั่งเศส ("''Société des Nations''") <ref> {{cite web|publisher=สหประชาชาติ|accessdate=26 พฤศจิกายน 2011|url=http://visit.un.org/wcm/content/site/visitors/lang/en/home/about_us/un_offices|title=ภาษาและตราสัญลักษณ์}} {{en icon}}</ref> |
||
== โครงสร้าง == |
== โครงสร้าง == |
||
บรรทัด 68: | บรรทัด 68: | ||
* คณะกรรมการทาส ทำหน้าที่ขจัดระบอบทาสและการบังคับขายประเวณี โดยเฉพาะในประเทศอาณานิคม |
* คณะกรรมการทาส ทำหน้าที่ขจัดระบอบทาสและการบังคับขายประเวณี โดยเฉพาะในประเทศอาณานิคม |
||
* คณะกรรมการเพื่อผู้ลี้ภัย มีผลงานโดดเด่นคือการนำเชลยศึกสงคราม 427,000 คน จากประเทศรัสเซียส่งกลับประเทศดั้งเดิม 26 ประเทศ |
* คณะกรรมการเพื่อผู้ลี้ภัย มีผลงานโดดเด่นคือการนำเชลยศึกสงคราม 427,000 คน จากประเทศรัสเซียส่งกลับประเทศดั้งเดิม 26 ประเทศ |
||
* คณะกรรมการเศรษฐกิจและการเงิน |
* คณะกรรมการเศรษฐกิจและการเงิน |
||
* คณะกรรมการดูแลดินแดนใต้อาณัติสันนิบาต (ดูที่[[#ดินแดนใต้อาณัติ|ดินแดนใต้อาณัติ]]) |
* คณะกรรมการดูแลดินแดนใต้อาณัติสันนิบาต (ดูที่[[#ดินแดนใต้อาณัติ|ดินแดนใต้อาณัติ]]) |
||
* คณะกรรมการศึกษาสถานะทางกฎหมายของสตรี ต่อมากลายเป็น[[คณะกรรมการเพื่อสถานะของสตรี]] ในสหประชาชาติ |
* คณะกรรมการศึกษาสถานะทางกฎหมายของสตรี ต่อมากลายเป็น[[คณะกรรมการเพื่อสถานะของสตรี]] ในสหประชาชาติ |
||
บรรทัด 83: | บรรทัด 83: | ||
เมื่อเริ่มต้นมีรัฐสมาชิกร่วมก่อตั้งสันนิบาต 42 ประเทศ แต่มีเพียง 23 ประเทศเท่านั้นที่เป็นสมาชิกจนกระทั่งยุบสันนิบาตในปี ค.ศ. 1946 ซึ่งประเทศไทยรวมอยู่ในประเทศเหล่านี้ด้วย |
เมื่อเริ่มต้นมีรัฐสมาชิกร่วมก่อตั้งสันนิบาต 42 ประเทศ แต่มีเพียง 23 ประเทศเท่านั้นที่เป็นสมาชิกจนกระทั่งยุบสันนิบาตในปี ค.ศ. 1946 ซึ่งประเทศไทยรวมอยู่ในประเทศเหล่านี้ด้วย |
||
สันนิบาตมีจำนวนรัฐสมาชิกมากที่สุดคือ 58 ประเทศในช่วงปี ค.ศ. 1934-1935<ref>{{cite web|url=http://www.indiana.edu/~league/nationalmember.htm|publisher=มหาวิทยาลัยแห่งรัฐอินเดียนา|accessdate=26 พฤศจิกายน 2011|title=รัฐสมาชิกของสันนิบาตชาติ}} {{en icon}}</ref> |
สันนิบาตมีจำนวนรัฐสมาชิกมากที่สุดคือ 58 ประเทศในช่วงปี ค.ศ. 1934-1935<ref> {{cite web|url=http://www.indiana.edu/~league/nationalmember.htm|publisher=มหาวิทยาลัยแห่งรัฐอินเดียนา|accessdate=26 พฤศจิกายน 2011|title=รัฐสมาชิกของสันนิบาตชาติ}} {{en icon}}</ref> |
||
== ดินแดนใต้อาณัติ == |
== ดินแดนใต้อาณัติ == |
||
{{บทความหลัก|ดินแดนในอาณัติของสันนิบาตชาติ}} |
{{บทความหลัก|ดินแดนในอาณัติของสันนิบาตชาติ}} |
||
<!-- หมายเหตุ: ดินแดนใต้อาณัติ คือ mandate ในขณะที่ดินแดนในอารักขา คือ protectorate; เช็คได้ที่ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิต--> |
<!-- หมายเหตุ: ดินแดนใต้อาณัติ คือ mandate ในขณะที่ดินแดนในอารักขา คือ protectorate; เช็คได้ที่ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิต--> |
||
บรรทัด 95: | บรรทัด 95: | ||
* C คือเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ที่ "สมควรที่สุดที่จะอยู่ใต้อาณัติ... เพื่อที่ชนพื้นเมืองจะได้รับการปกป้องดังที่กล่าวมาแล้ว[สำหรับ B] |
* C คือเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ที่ "สมควรที่สุดที่จะอยู่ใต้อาณัติ... เพื่อที่ชนพื้นเมืองจะได้รับการปกป้องดังที่กล่าวมาแล้ว[สำหรับ B] |
||
ส่วนประเทศมหาอำนาจขณะนั้น 7 ประเทศได้ '''รับมอบอาณัติ''' (mandatory) คือมีอำนาจปกครองดินแดนใต้อาณัติของสันนิบาต ได้แก่ สหราชอาณาจักร, สหพันธ์แอฟริกาใต้, ฝรั่งเศส, เบลเยียม, นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น |
ส่วนประเทศมหาอำนาจขณะนั้น 7 ประเทศได้ '''รับมอบอาณัติ''' (mandatory) คือมีอำนาจปกครองดินแดนใต้อาณัติของสันนิบาต ได้แก่ สหราชอาณาจักร, สหพันธ์แอฟริกาใต้, ฝรั่งเศส, เบลเยียม, นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น |
||
ดินแดนใต้อาณัติทั้งหมดไม่ได้รับเอกราชจวบจนสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด ยกเว้นประเทศอิรักประเทศเดียวที่ได้รับเอกราชและเข้าร่วมสันนิบาตในปี ค.ศ. 1932 หลังจากสันนิบาตถูกยุบดินแดนใต้อาณัติเหล่านี้ถูกโอนไปให้สหประชาชาติดูแล เรียกว่า ดินแดนมอบหมายของสหประชาชาติ (United Nations Trust Territories) และเป็นเอกราชทั้งหมดในปี ค.ศ. 1990 |
ดินแดนใต้อาณัติทั้งหมดไม่ได้รับเอกราชจวบจนสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด ยกเว้นประเทศอิรักประเทศเดียวที่ได้รับเอกราชและเข้าร่วมสันนิบาตในปี ค.ศ. 1932 หลังจากสันนิบาตถูกยุบดินแดนใต้อาณัติเหล่านี้ถูกโอนไปให้สหประชาชาติดูแล เรียกว่า ดินแดนมอบหมายของสหประชาชาติ (United Nations Trust Territories) และเป็นเอกราชทั้งหมดในปี ค.ศ. 1990 |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:55, 30 พฤษภาคม 2558
สันนิบาตชาติ League of Nations (อังกฤษ) Société des Nations (ฝรั่งเศส) Sociedad de Naciones (สเปน) | |
---|---|
แผนที่ประเทศสมาชิกสันนิบาต | |
สำนักงานใหญ่ | เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ |
ภาษาทางการ | อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน |
การปกครอง | องค์การระหว่างประเทศ |
• เลขาธิการคนที่ 1 | Sir James Eric Drummond |
• เลขาธิการคนที่ 2 | Joseph Aveno |
• เลขาธิการคนที่ 3 | Seán Lester |
การก่อตั้ง | |
28 มิถุนายน ค.ศ. 1919 (พ.ศ. 2462) | |
• ประชุมครั้งแรก | 16 มกราคม ค.ศ. 1920 (พ.ศ. 2463) |
• สิ้นสภาพ | 20 เมษายน ค.ศ. 1947 (พ.ศ. 2490) |
สันนิบาตชาติ เป็นองค์การระหว่างประเทศ ตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1919 จากการประชุมสันติภาพที่ปารีส ของประเทศผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เพื่อป้องกันสงครามและความขัดแย้งในอนาคต โดยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศด้วยการเจรจาและการทูต รวมทั้งพัฒนาความเป็นอยู่ของมนุษย์ เช่น สิทธิแรงงาน ทาส ยาเสพติด การค้าอาวุธ ซึ่งนับเป็นองค์การระหว่างประเทศองค์การแรกที่มีภารกิจในด้านนี้ อย่างไรก็ดีเนื่องจากสันนิบาตไม่มีกองกำลังของตัวเอง จึงต้องพึ่งพาชาติมหาอำนาจในการดำเนินการตามคำสั่ง สันนิบาตชาติจึงล้มเหลวในการป้องกันสงครามโลกครั้งที่สอง และเมื่อสงครามจบถูกยุบไปและแทนที่ด้วยสหประชาชาติกระทั่งปัจจุบัน
ที่มา
แนวความคิดของประชาคมนานาชาติที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติมีมานานแล้ว ในปี ค.ศ. 1795 อิมมานูเอล คานต์ เสนอให้มีการก่อตั้งองค์การที่จะไกล่เกลี่ยของพิพาทและรักษาสันติภาพระหว่างประเทศในงานเขียนของเขา Perpetual Peace: A Philosophical Sketch[1] โดยเขาย้ำว่าแนวทางนี้ไม่ใช่การให้มีรัฐบาลปกครองโลก แต่ให้รัฐบาลของแต่ละประเทศเคารพพลเมืองของตน และต้อนรับชาวต่างประเทศในลักษณะที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน สันติภาพระหว่างประเทศก็จะเกิดขึ้น[2]
ต่อมาเมื่อเกิดสงครามนโปเลียนในศตวรรษที่ 19 ก็มีความพยายามร่วมมือกันเพื่อให้ยุโรปมีความมั่นคงยิ่งขึ้น รวมทั้งได้เกิดอนุสัญญาเจนีวาขึ้นเพื่อมนุษยธรรมระหว่างสงคราม และอนุสัญญาเฮกซึ่งกำหนดกฎเกณฑ์ของสงครามและการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ และในปี ค.ศ. 1889 นักรณรงค์สันติภาพได้ก่อตั้งสมัชชาสหภาพรัฐสภา (Inter-Parliamentary Union: IPU) ขึ้นเพื่อสนับสนุนการเจรจาและการทูตในการแก้ไขข้อพิพาท[3]
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มีกลุ่มอำนาจใหญ่สองกลุ่มในยุโรปที่ขัดแย้งกัน และเป็นสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งมีทหารเสียชีวิต 8.5 ล้านนาย ผู้บาดเจ็บ 21 ล้านคน และพลเรือนเสียชีวิต 10 ล้านคน สงครามนี้ได้ส่งผลกระทบในทุกด้านของชีวิต และทำให้เกิดกระแสต่อต้านสงครามทั่วโลก จนเกิดวลีเรียกสงครามโลกครั้งที่หนึ่งว่า "สงครามเพื่อที่จะหยุดสงครามทั้งหมด" และมีการสืบสวนถึงสาเหตุอย่างถี่ถ้วน ซึ่งพบว่าเกิดจาก การแข่งขันทางอาวุธ พันธมิตร การทูตลับ และเสรีภาพในการเข้าร่วมสงครามของรัฐต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ส่วนตน จึงมีการเสนอให้มีองค์การระหว่างประเทศที่จะทำหน้าที่หยุดสงครามในอนาคตด้วยการลดอาวุธ การทูตอย่างเปิดเผย การตัดสินข้อพิพาท ความร่วมมือระหว่างชาติ การควบคุมสิทธิในการเข้าร่วมสงคราม และการลงโทษประเทศที่ทำผิดกฎ
บุคคลสำคัญที่มีส่วนทำให้สันนิบาตชาติเป็นความจริงขึ้นมาคือประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันแห่งสหรัฐอเมริกา การตั้งสันนิบาตชาติเป็นหนึ่งในหลักการสิบสี่ข้อของวิลสัน ซึ่งข้อ 14 ระบุว่า การรวมตัวกันของประชาชาติควรจะถูกก่อตั้งขึ้นภายใต้พันธะที่แน่นอนเพื่อจุดประสงค์ที่สามารถให้ความช่วยเหลือกันได้กับทุกฝ่าย และให้การรับรองแก่รัฐที่มีขนาดเล็กกว่าเทียบเท่ากับตนเอง โดยการจัดตั้งองค์การสันนิบาตชาติขึ้นมา[4] โดยในระหว่างการประชุมสันติภาพที่ปารีส ซึ่งมีสามประเทศใหญ่ผู้ชนะสงครามเข้าร่วมคือ อเมริกา ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร แนวความคิดการก่อตั้งสันนิบาตชาติของวิลสันได้รับการยอมรับ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาแวร์ซายส์
กติกาสันนิบาตชาติถูกร่างขึ้นโดยคณะกรรมการพิเศษ โดยมี 44 ประเทศที่เซ็นยอมรับกติกานี้ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย อย่างไรก็ดีแม้วิลสันจะประสบผลสำเร็จในการผลักดันให้สันนิบาตชาติเป็นจริงขึ้นมา ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปีเดียวกัน แต่รัฐสภาอเมริกากลับมีมติไม่ยอมให้ประเทศอเมริกาเข้าร่วมสันนิบาต เนื่องจากเกรงว่าจะมีข้อผูกมัดตามมา ซึ่งจะเป็นสาเหตุที่ทำให้สันนิบาตล่มในเวลาต่อมา
สันนิบาตชาติเปิดประชุมคณะมนตรีหกวันหลังจากสนธิสัญญาแวร์ซายส์มีผลบังคับใช้ ต่อมาสำนักงานใหญ่ถูกย้ายไปกรุงเจนีวา และมีการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1920
ตราสัญลักษณ์
มีตราสัญลักษณ์กึ่งทางการเกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1939 ซึ่งเป็นดาวห้าเหลี่ยมสองดวงในรูปห้าเหลี่ยมสีน้ำเงิน สื่อความหมายถึงทวีปในโลก 5 ทวีป และเผ่าพันธุ์ 5 เผ่า (ขาว เหลือง น้ำตาล ดำ แดง) ตามที่เชื่อกันในสมัยนั้น ด้านบนเป็นชื่อภาษาอังกฤษ (League of Nations) ส่วนด้านล่างเป็นภาษาฝรั่งเศส ("Société des Nations") [5]
โครงสร้าง
องค์กรที่สำคัญมี 3 องค์กรคือ:
- สมัชชา (Assembly) เป็นที่ประชุมใหญ่ขององค์การ ประกอบด้วยผู้แทนของประเทศสมาชิกทั้งหมด มีหน้าที่พิจารณาปัญหาต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสันติภาพของโลก
- คณะมนตรี (Council) ทำหน้าที่ควบคุมสมัชชา ประกอบด้วยสมาชิกถาวร 4 ประเทศ คือ ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี และญี่ปุ่น และสมาชิกประเภทไม่ถาวรที่มาจากการเลือกตั้งอีก 4 ประเทศ ทำหน้าที่พิจารณาเรื่องต่าง ๆ ที่เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของสมัชชา ทั้งนี้มติของคณะมนตรีซึ่งเป็นมติสูงสุด จะต้องเป็นฉันทามติเท่านั้นจึงสามารถบังคับใช้ได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้สันนิบาตล่มเมื่อญี่ปุ่นและอิตาลีกลับกลายเป็นผู้คุกคามสันติภาพเสียเองในเวลาต่อมา
- สำนักงานเลขาธิการ (Secretary-General) เลขาธิการที่ได้รับเลือกมีหน้าที่จัดทำรายงาน รักษาเอกสาร อำนวยการวิจัย และประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ
และมีหลายหน่วยงานและคณะกรรมการ (commission) อื่น ๆ อีก ซึ่งบางองค์การเมื่อยุบสันนิบาตชาติก็ได้ถ่ายโอนไปในสังกัดของสหประชาชาติ
- ศาลยุติธรรมถาวรระหว่างประเทศ (ต่อมากลายเป็นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ) ทำหน้าที่พิจารณาคดีและตัดสินข้อพิพาทระหว่างประเทศ
- องค์การแรงงานระหว่างประเทศ มีผลงานโดดเด่นได้แก่ การรณรงค์ให้ทำงานแปดชั่วโมงต่อวัน การรณรงค์คัดค้านแรงงานเด็ก และสนับสนุนสิทธิของผู้หญิงในสถานที่ทำงาน
- องค์การอนามัย (ต่อมากลายเป็นองค์การอนามัยโลก) มีผลงานโดดเด่นทางด้านการต่อสู้โรคเรื้อน มาลาเรีย ไข้เหลือง และไข้รากสาดใหญ่
- คณะกรรมการทาส ทำหน้าที่ขจัดระบอบทาสและการบังคับขายประเวณี โดยเฉพาะในประเทศอาณานิคม
- คณะกรรมการเพื่อผู้ลี้ภัย มีผลงานโดดเด่นคือการนำเชลยศึกสงคราม 427,000 คน จากประเทศรัสเซียส่งกลับประเทศดั้งเดิม 26 ประเทศ
- คณะกรรมการเศรษฐกิจและการเงิน
- คณะกรรมการดูแลดินแดนใต้อาณัติสันนิบาต (ดูที่ดินแดนใต้อาณัติ)
- คณะกรรมการศึกษาสถานะทางกฎหมายของสตรี ต่อมากลายเป็นคณะกรรมการเพื่อสถานะของสตรี ในสหประชาชาติ
- คณะกรรมการการสื่อสารและคมนาคม มีผลงานจัดตั้งอนุสัญญาเพื่อควบคุมท่าเรือ น่านน้ำ และทางรถไฟ ระหว่างประเทศ
- คณะกรรมการเพื่อความร่วมมือทางปัญญา (ต่อมากลายเป็นองค์การยูเนสโก) ทำหน้าที่ปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา สนับสนุนความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย การแลกเปลี่ยนวารสารและสิ่งตีพิมพ์ระหว่างประเทศ
รัฐสมาชิก
เมื่อเริ่มต้นมีรัฐสมาชิกร่วมก่อตั้งสันนิบาต 42 ประเทศ แต่มีเพียง 23 ประเทศเท่านั้นที่เป็นสมาชิกจนกระทั่งยุบสันนิบาตในปี ค.ศ. 1946 ซึ่งประเทศไทยรวมอยู่ในประเทศเหล่านี้ด้วย
สันนิบาตมีจำนวนรัฐสมาชิกมากที่สุดคือ 58 ประเทศในช่วงปี ค.ศ. 1934-1935[6]
ดินแดนใต้อาณัติ
เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจบลง ประเทศผู้แพ้ เช่น เยอรมนี และจักรวรรดิออตโตมัน จำต้องสละอาณานิคมซึ่งเป็นบทลงโทษจากประเทศผู้ชนะสงคราม การประชุมสันติภาพที่ปารีสจึงได้ตกลงให้รัฐบาลต่าง ๆ บริหารอาณาบริเวณเหล่านี้ในนามของสันนิบาต เรียกว่า ดินแดนใต้อาณัติ (mandate) ซึ่งอำนาจของสันนิบาตในการจัดการได้รับการรับรองจากมาตรา 22 ของกติกาสันนิบาตชาติ โดยมีคณะกรรมการจัดการดินแดนใต้อาณัติเป็นผู้ดูแล
ดินแดนใต้อาณัติถูกแบ่งออกเป็นสามประเภท A B C ตามมาตรา 22
- A คือดินแดนที่เคยอยู่ในจักรวรรดิออตโตมันมาก่อน ที่ "ต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้ได้รับมอบอาณัติเป็นระยะเวลาหนึ่งจนกว่าจะสามารถปกครองตนเองได้"
- B คือดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคมของเยอรมนีมาก่อน ที่ "ต้อง[ได้รับการเข้ามาดูแล]เพื่อรักษาเสรีภาพทางมโนธรรมและศาสนา...และเพื่อยับยั้งการค้าทาส การค้าอาวุธ"
- C คือเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ที่ "สมควรที่สุดที่จะอยู่ใต้อาณัติ... เพื่อที่ชนพื้นเมืองจะได้รับการปกป้องดังที่กล่าวมาแล้ว[สำหรับ B]
ส่วนประเทศมหาอำนาจขณะนั้น 7 ประเทศได้ รับมอบอาณัติ (mandatory) คือมีอำนาจปกครองดินแดนใต้อาณัติของสันนิบาต ได้แก่ สหราชอาณาจักร, สหพันธ์แอฟริกาใต้, ฝรั่งเศส, เบลเยียม, นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น
ดินแดนใต้อาณัติทั้งหมดไม่ได้รับเอกราชจวบจนสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด ยกเว้นประเทศอิรักประเทศเดียวที่ได้รับเอกราชและเข้าร่วมสันนิบาตในปี ค.ศ. 1932 หลังจากสันนิบาตถูกยุบดินแดนใต้อาณัติเหล่านี้ถูกโอนไปให้สหประชาชาติดูแล เรียกว่า ดินแดนมอบหมายของสหประชาชาติ (United Nations Trust Territories) และเป็นเอกราชทั้งหมดในปี ค.ศ. 1990
นอกจากดินแดนใต้อาณัติแล้ว สันนิบาตยังปกครองดินแดนลุ่มแม่น้ำซาร์เป็นเวลา 15 ปี ก่อนจะจัดให้มีประชามติ ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เลือกที่จะกลับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนี และยังปกครองเมืองอิสระแห่งดันซิก (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโปแลนด์) ตั้งแต่ค.ศ. 1920 - 1939
อ้างอิง
- ↑ คานต์, อิมมานูเอล. "Perpetual Peace: A Philosophical Sketch". Mount Holyoke College. สืบค้นเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2011. (อังกฤษ)
- ↑ คานต์, อิมมานูแอล (1795). "Perpetual Peace". สมาคมรัฐธรรมนูญ. สืบค้นเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2011. (อังกฤษ)
- ↑ (httpPages) /B5B92952225993B0C1256F2D00393560?OpenDocument "ก่อนจะเป็น "สันนิบาตชาติ"". สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา. สืบค้นเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2011.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่า|url=
(help) (อังกฤษ) - ↑ วิลสัน, วูดโรว์ (8 มกราคม 1918). "หลักการสิบสี่ข้อของประธานาธิบดีวิลสัน". The Avalon Project. สืบค้นเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2011. (อังกฤษ)
- ↑ "ภาษาและตราสัญลักษณ์". สหประชาชาติ. สืบค้นเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2011. (อังกฤษ)
- ↑ "รัฐสมาชิกของสันนิบาตชาติ". มหาวิทยาลัยแห่งรัฐอินเดียนา. สืบค้นเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2011. (อังกฤษ)