ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระโพธิสัตว์"
พุทธามาตย์ (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
{{พุทธศาสนา}} |
{{พุทธศาสนา}} |
||
⚫ | |||
⚫ | |||
[[ไฟล์:Bodhisattva Musée Guimet 27971.jpg|thumb|210px|พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ [[ศิลปะขอม]]]] |
[[ไฟล์:Bodhisattva Musée Guimet 27971.jpg|thumb|210px|พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ [[ศิลปะขอม]]]] |
||
'''พระโพธิสัตว์''' ({{lang-sa|बोधिसत्त्व}} ''bodhisattva''; {{lang-pi|बोधिसत्त}} ''bodhisatta'') หมายถึง ผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็น[[พระพุทธเจ้า]]<ref>{{อ้างหนังสือ|ผู้แต่ง = [[ราชบัณฑิตยสถาน]]|ชื่อหนังสือ = [[พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554]] เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554|URL = |จังหวัด = กรุงเทพฯ|พิมพ์ที่ = ราชบัณฑิตยสถาน|ปี = 2556|ISBN = 978-616-7073-56-9|จำนวนหน้า = 1,544|หน้า=852}}</ref> คำว่า "โพธิสัตว์" แปลว่า ''ผู้ข้องอยู่ในพระโพธิญาณ''<ref name="พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล"/> |
|||
'''พระโพธิสัตว์''' หมายถึง บุคคลที่บำเพ็ญ[[บารมี]]หรือกระทำความดีต่าง ๆ เพื่อให้[[ตรัสรู้]]พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็น[[พระพุทธเจ้า]]ในอนาคตกาล มีพระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมากตามความเชื่อในฝ่าย[[เถรวาท]] และ[[มหายาน]] แต่มีความแตกต่างกันไป |
|||
ทั้งฝ่าย[[เถรวาท]]และ[[มหายาน]]เชื่อว่ามีพระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมาก แต่รายละเอียดความเชื่อแตกต่างกันไป |
|||
== คำศัพท์ == |
== คำศัพท์ == |
||
พระโพธิสัตว์ มีภาษา |
พระโพธิสัตว์ มีภาษาต่าง ๆ มีดังนี้<ref name="พุทธปฏิมาฝ่ายมหายาน">ผาสุข อินทราวุธ. พุทธปฏิมาฝ่ายมหายาน. กทม. โรงพิมพ์อักษรสมัย. 2543. หน้า 83-84</ref> |
||
* [[ภาษาสันสกฤต|สันสกฤต]] = โพธิสตฺตฺว |
* [[ภาษาสันสกฤต|สันสกฤต]] = โพธิสตฺตฺว |
||
* [[ภาษาบาลี|บาลี]] = โพธิสตฺต |
* [[ภาษาบาลี|บาลี]] = โพธิสตฺต |
||
บรรทัด 17: | บรรทัด 18: | ||
* [[อักษรโรมัน]] โดยทั่วไป สะกด "Bodhisattva" |
* [[อักษรโรมัน]] โดยทั่วไป สะกด "Bodhisattva" |
||
== การสร้าง |
== การสร้างบารมี == |
||
=== ประเภทของพระโพธิสัตว์ === |
=== ประเภทของพระโพธิสัตว์ === |
||
[[พระธัมมปาละ]] ระบุไว้ในอรรถกถาว่าพระโพธิสัตว์มี 3 ประเภท คือ<ref |
[[พระธัมมปาละ]] ระบุไว้ในอรรถกถาสโมทานกถา (ใน[[ปรมัตถทีปนี]]) ว่าพระโพธิสัตว์มี 3 ประเภท คือ<ref>[http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33.3&i=36&p=2 ปกิณณกคาถา], อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก สโมธานกถา</ref> |
||
# '''พระมหาโพธิสัตว์''' พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้ตรัสรู้เป็น[[พระอรหันต์]][[สัมมาสัมพุทธเจ้า]] |
|||
# '''พระปัจเจกโพธิสัตว์''' พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็น[[พระปัจเจกพุทธเจ้า]] |
|||
# '''พระสาวกโพธิสัตว์''' พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็นพระ[[อนุพุทธะ]] |
|||
นอกจากนี้ ในอรรถกถาเถรคาถา (ในปรมัตถทีปนี) พระธัมมปาละยังจำแนกพระมหาโพธิสัตว์ออกเป็นอีก 3 ประเภท<ref>[http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=137&p=2 นิทานกถาวรรณนา], อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ปฐมวรรค ว่าด้วยคาถาสุภาษิต ในเอกกนิบาต วรรคที่ ๑</ref> คือ |
|||
;'''1. ปัญญาธิกโพธิสัตว์''' |
|||
# '''ปัญญาธิกโพธิสัตว์''' คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 7 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 9 อสงไขย รวมเป็น 16 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น '''พระนิยตโพธิสัตว์''' เมื่อเหลือเวลาอีก 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้าจนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน |
|||
⚫ | # '''สัทธาธิกโพธิสัตว์''' คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 14 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 18 อสงไขย รวมเป็น 32 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น '''พระนิยตโพธิสัตว์ ''' เมื่อเหลือเวลาอีก 8 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน |
||
⚫ | # '''วิริยาธิกโพธิสัตว์''' คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 28 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 36 อสงไขย รวมเป็น 64 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น '''พระนิยตโพธิสัตว์ ''' เมื่อเหลือเวลาอีก 16 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน |
||
⚫ | ตามหลักฐานที่ปรากฏใน[[อรรถกถา]]พบว่า ยิ่งใช้เวลาในการบำเพ็ญบารมีนานเท่าใด พระโพธิสัตว์จะมีพระชนมายุยืนขึ้นในสมัยที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า รวมทั้งสัตว์ที่เกิดในยุคนั้นจะมีอายุยืน และบรรลุธรรมได้ง่ายและมีจำนวนมาก แต่ไม่ประกันว่าศาสนาของพระองค์จะยืนยาวหลายชั่วอายุขัย เช่น พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ มีพระนามว่า '''[[พระโคตมพุทธเจ้า]]''' พระองค์ทรงสร้างบารมีมาทาง '''ปัญญาธิกโพธิสัตว์''' มีพระชนมายุเพียง 80 พรรษา พระวรกายสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร บำเพ็ญ[[ทุกรกิริยา]] 6 ปี พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วาเป็นปกติ มนุษย์สมัยพระองค์มีอายุขัย 100 ปี แต่ในอนาคต เมื่อมนุษย์มีอายุขัย 80,000 ปี จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม[[พระศรีอริยเมตไตรย]]<ref>[http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=1189&Z=1702#48 จักกวัตติสูตร]} พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค</ref> ทรงสร้างบารมีมาทาง"วิริยาธิกะพุทธเจ้า" มีพระวรกายสูงได้ 88 ศอก หรือ 44 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบนจนถึงพรหมโลก เบื้องต่ำตลอดลงไปจนถึงมหาอเวจีนรก |
||
;'''2. สัทธาธิกโพธิสัตว์''' |
|||
⚫ | |||
⚫ | ส่วนเหตุที่ทำให้พระสัจธรรมตั้งอยู่ได้นานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความผ่อนคลายของพระพุทธเจ้าในการแสดง และพระวินัยที่ได้ทรงบัญญัติไว้<ref name="'เหตุให้พระศาสนาดำรงอยู่ไม่นานและนาน"'>[http://www.geocities.ws/tmchote/tpd-mcu/tpd01.htm พระสารีบุตรทูลถามถึงเหตุที่ทำให้พรหมจรรย์ดำรงอยู่นานและไม่นาน], พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, เล่ม 1, หน้า 11-12</ref> |
||
;'''3. วิริยาธิกโพธิสัตว์''' |
|||
⚫ | |||
ส่วน[[พระพุทธโฆสะ]]แบ่งพระโพธิสัตว์ออกเป็น 2 ประเภทคือ<ref name="พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล">{{อ้างหนังสือ| ผู้แต่ง = ราชบัณฑิตยสถาน| ชื่อหนังสือ = พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน| URL = | จังหวัด = พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ| พิมพ์ที่ = ราชบัณฑิตยสถาน| ปี = 2552| ISBN = 978-616-7073-03-3| จำนวนหน้า = 734| หน้า = 108-11}}</ref> |
|||
⚫ | ตามหลักฐานที่ปรากฏใน |
||
⚫ | |||
⚫ | # '''นิยตโพธิสัตว์''' พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว เรียกว่า '''นิยตโพธิสัตว์''' ตามความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นนอน เพราะถ้าถึงนิพพานต้องดำรงค์ฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว แต่ถ้าบารมีและเวลายังไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะพยายามปฏิบัติอย่างยิ่งยวดบังเกิดปัญญาอย่างเยี่ยมยอด ก็ไม่สามารถถึงนิพพานก่อนได้ แม้จะทุกข์ท้อแท้ จนคิดว่าเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่แล้วในที่สุดมหากุศลที่เป็นอนุสัย ก็จะพุ่งกระจายขึ้นมาให้ตั้งมั่นและบำเพ็ญบารมีกันต่อ จนกว่าบารมีและเวลาสมบูรณ์ |
||
⚫ | |||
ส่วน[[พระพุทธโฆสะ]]แบ่งพระโพธิสัตว์ออกเป็น 2 ประเภทคือ<ref name="พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน"/> |
|||
;'''1. อนิยตโพธิสัตว์''' |
|||
⚫ | |||
;'''2. นิยตโพธิสัตว์''' |
|||
⚫ | |||
;[[อสงไขย]] และ [[กัป]] |
|||
จากบทความข้างบน ผู้อ่านคงได้อ่านคำว่า '''อสงไขย''' และ '''กัป''' มาแล้ว ผู้เขียนจะอธิบายสั้นๆ ให้ทราบดังนี้ |
|||
* '''[[กัป]]''' เป็นหน่วยวัดเวลา ในเชิงประมาณ คือ เมื่อจักรวาลปรากฏขึ้นหรือบังเกิดขึ้น จนพังสูญหายไป 1 ครั้งเรียกว่า 1 กัป |
|||
* '''[[อสงไขย]]''' เป็นตัวบ่งปริมาณ เช่น เดียวกับ คำว่า สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน (แต่บางครั้งก็ใช้ในความหมายว่า มากจนนับไม่ถ้วน) |
|||
** 1 อสงไขย (ในแง่ของตัวบ่งปริมาณ)มีค่า เท่ากับ โกฏิยกกำลังยี่สิบ หรือ เท่ากับ 10 ยกกำลัง 140 (เลข 1 ตามด้วย เลข 0 ถึง 140 ตัว) |
|||
(บางคนสับสน เข้าใจว่า 1 อสงไขย คือ จำนวนกัปที่มี เลข 1 ตามด้วย เลข 0 ถึง 140 ตัว อันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะ '''อสงไขยไม่ใช่กัป''' แต่อสงไขยเป็นตัวบ่งปริมาณ สามารถใช้กับอะไรก็ได้ เช่น อสงไขยปี หรือ อสงไขยชาติ หรือ อสงไขยกัป เป็นต้น) |
|||
* '''สูญกัป''' หมายถึงกัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น |
|||
=== บารมี 30 ทัศ === |
=== บารมี 30 ทัศ === |
||
บรรทัด 83: | บรรทัด 69: | ||
;'''อานิสงส์ บารมี 30 ทัศ ของพระนิยตโพธิสัตว์''' |
;'''อานิสงส์ บารมี 30 ทัศ ของพระนิยตโพธิสัตว์''' |
||
:พระนิยตโพธิสัตว์เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก จะมีอานิสงค์ 18 อย่างอยู่ตลอด จนได้ตรัสรู้ |
:พระนิยตโพธิสัตว์เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก จะมีอานิสงค์ 18 อย่างอยู่ตลอด จนได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้แก่ |
||
# เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดเป็นคนมีจักษุบอดมาแต่กำเนิด |
# เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดเป็นคนมีจักษุบอดมาแต่กำเนิด |
||
# ไม่เป็นหูหนวกแต่กำเนิด |
# ไม่เป็นหูหนวกแต่กำเนิด |
||
บรรทัด 92: | บรรทัด 78: | ||
# ไม่เกิดในท้องนางทาสี (แต่เกิดในฐานะคนจัณฑาลได้ ดัง พระโพธิสัตว์ มาตังคะฤๅษี ท่านเป็นบุตรคนจัณฑาล แต่ไม่ได้เป็นนางทาสี) นางทาสีคือ ทาสที่เป็นผู้หญิง ที่เกิดมาก็ตกเป็นทาสทันที (ทาสในเรือนเบี้ย) |
# ไม่เกิดในท้องนางทาสี (แต่เกิดในฐานะคนจัณฑาลได้ ดัง พระโพธิสัตว์ มาตังคะฤๅษี ท่านเป็นบุตรคนจัณฑาล แต่ไม่ได้เป็นนางทาสี) นางทาสีคือ ทาสที่เป็นผู้หญิง ที่เกิดมาก็ตกเป็นทาสทันที (ทาสในเรือนเบี้ย) |
||
# ไม่เป็นนิยตมิจฉาทิฐิ |
# ไม่เป็นนิยตมิจฉาทิฐิ |
||
# ไม่เป็นสตรีเพศ |
|||
# ไม่เป็นสตรีเพศ (ยกเว้น[[พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์]]ในร่างเจ้าแม่[[กวนอิม]] [[พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์]] และ[[พระนางตารา]]) |
|||
# ไม่ทำอนันตริยกรรม |
# ไม่ทำ[[อนันตริยกรรม]] |
||
# ไม่เป็นโรคเรื้อน |
# ไม่เป็นโรคเรื้อน |
||
# เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดียรฉาน มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และ ไม่ใหญ่ไปกว่าช้าง |
# เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดียรฉาน มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และ ไม่ใหญ่ไปกว่าช้าง |
||
บรรทัด 106: | บรรทัด 92: | ||
== คุณสมบัติและอัธยาศัยของพระโพธิสัตว์ == |
== คุณสมบัติและอัธยาศัยของพระโพธิสัตว์ == |
||
=== ธรรมสโมธาน 8 ประการ === |
=== ธรรมสโมธาน 8 ประการ === |
||
บรรทัด 121: | บรรทัด 106: | ||
# เคยให้ชีวิตของตนเป็นทาน เพื่อสัมโพธิญาณมาก่อนในอดีดชาติ |
# เคยให้ชีวิตของตนเป็นทาน เพื่อสัมโพธิญาณมาก่อนในอดีดชาติ |
||
# ต้องมี ฉันทะ คือมีความรักความพอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง |
# ต้องมี ฉันทะ คือมีความรักความพอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง |
||
:กล่าวถึงพุทธภูมิธรรมของนิยตโพธิสัตว์ ในการเพิ่มพูนบารมีให้มากยิ่งขึ้น มีน้ำใจประกอบไปด้วย '''พุทธภูมิธรรม 4 ประการ''' คือ |
:กล่าวถึงพุทธภูมิธรรมของนิยตโพธิสัตว์ ในการเพิ่มพูนบารมีให้มากยิ่งขึ้น มีน้ำใจประกอบไปด้วย '''พุทธภูมิธรรม 4 ประการ''' คือ |
||
บรรทัด 128: | บรรทัด 112: | ||
# '''อวัตถานัง''' คือมีพระทัยอธิษฐานอันมั่นคง มิได้หวั่นไหวคลอนแคลน |
# '''อวัตถานัง''' คือมีพระทัยอธิษฐานอันมั่นคง มิได้หวั่นไหวคลอนแคลน |
||
# '''หิตจริยา''' คือประกอบไปด้วยพระเมตตา เจริญจิตอยู่ด้วยพรหมวิหารเป็นปกติ |
# '''หิตจริยา''' คือประกอบไปด้วยพระเมตตา เจริญจิตอยู่ด้วยพรหมวิหารเป็นปกติ |
||
:'''อัธยาศัย''' ที่ทำให้พระโพธิญานของนิยตโพธิสัตว์แก่กล้ายิ่งขึ้น มี 6 ประการ |
:'''อัธยาศัย''' ที่ทำให้พระโพธิญานของนิยตโพธิสัตว์แก่กล้ายิ่งขึ้น มี 6 ประการ |
||
บรรทัด 177: | บรรทัด 160: | ||
== ดูเพิ่ม == |
== ดูเพิ่ม == |
||
* [[โพธิสัต |
* [[โพธิสัตตวจรรยาวตาร]] |
||
* [[โพธิสัตว์ศีล]] |
* [[โพธิสัตว์ศีล]] |
||
* [[ทศภูมิ]] |
* [[ทศภูมิ]] |
||
บรรทัด 190: | บรรทัด 173: | ||
* [http://www.buddhismuskunde.uni-hamburg.de/fileadmin/pdf/publikationen/HamburgUP_HBS01_Analayo.pdf The Genesis of the Bodhisattva Ideal] by Bhikkhu Analayo (PDF Document; 5,8 MB) |
* [http://www.buddhismuskunde.uni-hamburg.de/fileadmin/pdf/publikationen/HamburgUP_HBS01_Analayo.pdf The Genesis of the Bodhisattva Ideal] by Bhikkhu Analayo (PDF Document; 5,8 MB) |
||
[[หมวดหมู่:พระโพธิสัตว์| |
[[หมวดหมู่:พระโพธิสัตว์| ]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:00, 2 พฤษภาคม 2558
ส่วนหนึ่งของชุดบทความ |
ศาสนาพุทธ |
---|
พระโพธิสัตว์ (สันสกฤต: बोधिसत्त्व bodhisattva; บาลี: बोधिसत्त bodhisatta) หมายถึง ผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า[1] คำว่า "โพธิสัตว์" แปลว่า ผู้ข้องอยู่ในพระโพธิญาณ[2]
ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานเชื่อว่ามีพระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมาก แต่รายละเอียดความเชื่อแตกต่างกันไป
คำศัพท์
พระโพธิสัตว์ มีภาษาต่าง ๆ มีดังนี้[3]
- สันสกฤต = โพธิสตฺตฺว
- บาลี = โพธิสตฺต
- ภาษาจีน = 菩萨
- ญี่ปุ่น = 菩薩 (bosatsu)
- เกาหลี = 보살 (bosal)
- ทิเบต = changchub sempa (byang-chub sems-dpa')
- เวียดนาม = Bồ Tát
- อักษรโรมัน โดยทั่วไป สะกด "Bodhisattva"
การสร้างบารมี
ประเภทของพระโพธิสัตว์
พระธัมมปาละ ระบุไว้ในอรรถกถาสโมทานกถา (ในปรมัตถทีปนี) ว่าพระโพธิสัตว์มี 3 ประเภท คือ[4]
- พระมหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
- พระปัจเจกโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
- พระสาวกโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็นพระอนุพุทธะ
นอกจากนี้ ในอรรถกถาเถรคาถา (ในปรมัตถทีปนี) พระธัมมปาละยังจำแนกพระมหาโพธิสัตว์ออกเป็นอีก 3 ประเภท[5] คือ
- ปัญญาธิกโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 7 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 9 อสงไขย รวมเป็น 16 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้าจนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
- สัทธาธิกโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 14 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 18 อสงไขย รวมเป็น 32 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก 8 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
- วิริยาธิกโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 28 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 36 อสงไขย รวมเป็น 64 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก 16 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
ตามหลักฐานที่ปรากฏในอรรถกถาพบว่า ยิ่งใช้เวลาในการบำเพ็ญบารมีนานเท่าใด พระโพธิสัตว์จะมีพระชนมายุยืนขึ้นในสมัยที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า รวมทั้งสัตว์ที่เกิดในยุคนั้นจะมีอายุยืน และบรรลุธรรมได้ง่ายและมีจำนวนมาก แต่ไม่ประกันว่าศาสนาของพระองค์จะยืนยาวหลายชั่วอายุขัย เช่น พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ มีพระนามว่า พระโคตมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสร้างบารมีมาทาง ปัญญาธิกโพธิสัตว์ มีพระชนมายุเพียง 80 พรรษา พระวรกายสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร บำเพ็ญทุกรกิริยา 6 ปี พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วาเป็นปกติ มนุษย์สมัยพระองค์มีอายุขัย 100 ปี แต่ในอนาคต เมื่อมนุษย์มีอายุขัย 80,000 ปี จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามพระศรีอริยเมตไตรย[6] ทรงสร้างบารมีมาทาง"วิริยาธิกะพุทธเจ้า" มีพระวรกายสูงได้ 88 ศอก หรือ 44 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบนจนถึงพรหมโลก เบื้องต่ำตลอดลงไปจนถึงมหาอเวจีนรก
ส่วนเหตุที่ทำให้พระสัจธรรมตั้งอยู่ได้นานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความผ่อนคลายของพระพุทธเจ้าในการแสดง และพระวินัยที่ได้ทรงบัญญัติไว้[7]
ส่วนพระพุทธโฆสะแบ่งพระโพธิสัตว์ออกเป็น 2 ประเภทคือ[2]
- อนิยตโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาเลย เรียกว่า อนิยตโพธิสัตว์ ความหมายคือยังไม่แน่นอนว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอาจจะเลิกล้มความปรารถนาเมื่อไรก็ได้
- นิยตโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว เรียกว่า นิยตโพธิสัตว์ ตามความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นนอน เพราะถ้าถึงนิพพานต้องดำรงค์ฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว แต่ถ้าบารมีและเวลายังไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะพยายามปฏิบัติอย่างยิ่งยวดบังเกิดปัญญาอย่างเยี่ยมยอด ก็ไม่สามารถถึงนิพพานก่อนได้ แม้จะทุกข์ท้อแท้ จนคิดว่าเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่แล้วในที่สุดมหากุศลที่เป็นอนุสัย ก็จะพุ่งกระจายขึ้นมาให้ตั้งมั่นและบำเพ็ญบารมีกันต่อ จนกว่าบารมีและเวลาสมบูรณ์
บารมี 30 ทัศ
บารมี หมายถึง การกระทำที่ประเสริฐ การกระทำที่ประกอบด้วยกุศลเจตนาคุณงามความดีที่ควรกระทำ คุณงามความดีที่ได้บำเพ็ญมา คุณสมบัติที่ทำให้ยิ่งใหญ่ เป็นธรรมส่วนหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งช่วย เหลือเกื้อกูลให้ผู้ปฏิบัติได้ถึงซึ่งโพธิญาณ
บารมีที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ คือ[3]
- 1. ทานบารมี หมายถึง การสละออก การให้ต่างๆ โดยมีเจตนาช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสำคัญ
- 2. ศีลบารมี หมายถึง การรักษาศีลให้เป็นปกติ หากเป็นฆราวาสหมายถึงการถือศีล 5 หากเป็นนักบวชคือการถือศีล 8 ขึ้นไป
- 3. เนกขัมมะบารมี หมายถึง การออกบวช หากฆราวาสถือศีล 8 ก็นับเป็นเนกขัมบารมีได้เช่นกัน เพราะเป็นการกระทำเพื่อเว้นจากกามสุข
- 4. ปัญญาบารมี หมายถึง การกระทำเพื่อเพิ่มพูนปัญญา ปัญญาแบ่งออกเป็นปัญญาทางโลกและทางธรรม เนื่องจากพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตตกาล จึงต้องมีปัญญาความรู้มาก เพื่อจะได้สั่งสอนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้ การเรียนของพระโพธิสัตว์จึงต้องเรียนมากกว่าผู้อื่น
- 5. วิริยะบารมี หมายถึง การกระทำที่ใช้ความเพียรเป็นที่ตั้ง การมีวิริยะอาจไม่ได้หมายถึงการเพียรจนกระทั่งตัวตายในครั้งเดียว แต่หมายถึงมีความพยายามทำอยู่เรื่อยๆ ทำไปทีละน้อยตามกำลังจนกว่าจะสำเร็จ
สัมมัปปธานหรือความเพียรที่ถูกต้อง มี 4 อย่างคือ
- o สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น
- o ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว
- o ภาวนาปธาน เพียรทำบุญให้เกิดขึ้น
- o อนุรักขนาปธาน เพียรรักษาการทำบุญไว้ต่อเนื่อง
- 6. ขันติบารมี หมายถึง การอดทนอดกลั้นต่อสิ่งต่างๆ
- 7. สัจจะบารมี หมายถึง การรักษาคำพูด ไม่กลับกลอก แม้ว่าจะต้องสละบางสิ่งเพื่อรักษาคำพูดไว้
- 8. อธิษฐานบารมี หมายถึง การตั้งมั่นในความปรารถนา ตั้งจิตมั่นต่อคำอธิษฐาน
- 9. เมตตาบารมี หมายถึง การมีความปรารถดี มีความรักต่อสัตว์ทั้งหลายในโลกอย่างเท่าเทียม ประดุจมารดารักบุตร เมตตาแตกต่างจากราคะตรงที่ ราคะอาจรักเฉพาะตัวหรือพวกพ้อง แต่เมตตาเป็นรักที่ไม่แบ่งแยก
- 10. อุเบกขาบารมี หมายถึง การวางเฉย มีใจเป็นกลาง การปล่อยวางในสิ่งที่ผิดพลาด ในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ วางเฉยในความทุกข์ของตน และสัตว์ที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากมีปัญญาเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรมของตน ไม่มีใครได้รับความยากลำบากโดยไม่มีเหตุปัจจัย ล้วนแล้วแต่เป็นกรรมที่เคยทำมาทั้งสิ้น
ซึ่งในแต่ละบารมีนั้นแบ่งย่อยเป็น 3 ขั้น ได้แก่
- บารมีขั้นต้น คือ เนื่องด้วยวัตถุ และทรัพย์นอกกาย เช่น การสละทรัพย์ช่วยผู้อื่น จัดเป็น ทานบารมี, รักษาศีลแม้ว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง จัดเป็น ศีลบารมี, หรือ ยอมถือบวชโดยไม่อาลัยในทรัพย์สิน จัดเป็น เนกขัมบารมี เป็นต้น
- บารมีขั้นกลางหรืออุปบารมี คือ เนื่องด้วยเลือดเนื้อ อวัยวะ เช่น การสละเลือดเนื้ออวัยวะแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานอุปบารมี, การใช้ปัญญารักษาอวัยวะเลือดเนื้อของผู้อื่น จัดเป็น ปัญญาอุปบารมี ,การมีความเพียรจนไม่อาลัยในเลือดเนื้อหรืออวัยวะ จัดเป็น วิริยะอุปบารมี, มีเมตตาต่อผู้ที่จะมาทำร้ายเลือดเนื้ออวัยวะของตน จัดเป็น เมตตาอุปบารมี, หรือ มีความอดทนอดกลั้นต่อผู้ที่จะมาทำลายอวัยวะของตน จัดเป็น ขันติอุปบารมี เป็นต้น
- บารมีขั้นสูงสุดหรือปรมัตถบารมี คือ เนื้องด้วยชีวิต เช่น การสละชีวิตเป็นทานแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานปรมัตถบารมี , ยอมสละแม้ชีวิตเพื่อจะรักษาคำพูด จัดเป็น สัจจปรมัตถบารมี, ตั้งจิตไม่หวั่นไหวต่อคำอธิษฐานแม้จะต้องเสียชีวิต จัดเป็น อธิษฐานปรมัตถบารมี, หรือ วางเฉยต่อผู้ที่จะมาทำร้ายชีวิตของตน จัดเป็น อุเบกขาปรมัตถบารมี เป็นต้น
ดังนั้น จึงรวมเป็นบารมี 30 ทัศ
- อานิสงส์ บารมี 30 ทัศ ของพระนิยตโพธิสัตว์
- พระนิยตโพธิสัตว์เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก จะมีอานิสงค์ 18 อย่างอยู่ตลอด จนได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้แก่
- เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดเป็นคนมีจักษุบอดมาแต่กำเนิด
- ไม่เป็นหูหนวกแต่กำเนิด
- ไม่เป็นคนบ้า
- ไม่เป็นคนใบ้
- ไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย
- ไม่เกิดในมิลักขประเทศคือประเทศป่าเถื่อน
- ไม่เกิดในท้องนางทาสี (แต่เกิดในฐานะคนจัณฑาลได้ ดัง พระโพธิสัตว์ มาตังคะฤๅษี ท่านเป็นบุตรคนจัณฑาล แต่ไม่ได้เป็นนางทาสี) นางทาสีคือ ทาสที่เป็นผู้หญิง ที่เกิดมาก็ตกเป็นทาสทันที (ทาสในเรือนเบี้ย)
- ไม่เป็นนิยตมิจฉาทิฐิ
- ไม่เป็นสตรีเพศ
- ไม่ทำอนันตริยกรรม
- ไม่เป็นโรคเรื้อน
- เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดียรฉาน มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และ ไม่ใหญ่ไปกว่าช้าง
- ไม่เกิดใน ขุปปิปาสิกเปรต นิชฌานตัณหิกเปรต และกาลกัญจิกาสุรกาย
- ไม่เกิดในอเวจีนรก และโลกันตนรก
- เมื่อเกิดเป็นเทวดาในกามาพจรสวรรค์ ก็ไม่เกิดเป็นเทวดาผู้นับเข้าในเทวดาจำพวกเป็นมาร
- เมื่อเกิดเป็นรูปพรหม จะไม่เกิดใน ปัญจสุทธวาสพรหมโลก (พรหมชั้นอนาคามี) และอสัญญสัตตาภูมิพรหม ( มีแต่รูปอย่างเดียว)
- ไม่เกิดในอรูปพรหมโลก
- ไม่เกิดในจักรวาลอื่น
- อานิสงส์พิเศษอีกอย่างหนึ่งของนิยตโพธิสัตว์ คือ การทำอธิมุตตกาลกริยา คือเมื่อท่านเกิดเป็นเทวดาหรือพระพรหม เกิดความเบื่อหน่าย ในการเสวยสุขนั้น ปรารถนาที่จะสร้างบารมีในโลกมนุษย์ ท่านก็สามารถทำการอธิมุตต คืออธิษฐานให้จุติ (ตายจากการเป็นเทพ) มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ทันที ได้โดยง่าย ซึ่งเหล่าเทพเทวดาอื่นๆ ไม่สามารถทำอย่างนี้ได้
คุณสมบัติและอัธยาศัยของพระโพธิสัตว์
ธรรมสโมธาน 8 ประการ
- สำหรับพระโพธิสัตว์ ที่เป็น อนิยตโพธิสัตว์ แต่สร้างบารมี 30 ทัศ และมีธรรมสโมธาน 8 ประการสมบูรณ์แล้ว ได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกเฉพาะพระพักตร์พุทธเจ้า โดยจะได้รับพุทธพยากรณ์โดยนัยว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงนามว่าอย่างนั้น ในกัปอันเป็นอนาคตที่เท่านั้น และก็จะกลายเป็น นิยตโพธิสัตว์ ทันที คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้ ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน
- ธรรมสโมธาน 8 ประการคือ
- ได้เกิดเป็นมนุษย์
- เป็นบุรุษเพศ ไม่เป็นกะเทย
- มีอุปนิสสัยปัจจัยแห่งพระอรหันต์รุ่งเรืองอยู่ในขันธสันดาน (ถ้าเกิดเปลี่ยนใจก็จะเป็นพระอรหันต์ทันที)
- ต้องพบพระพุทธเจ้าขณะมีพระชนม์ชีพอยู่ และได้สร้างกองบุญกุศลต่อหน้าพระพักตร์
- ต้องเป็นบรรพชิต หรือต้องเป็น โยคี ฤๅษี ดาบส หรือปริพาชก ที่มีลัทธิเชื่อว่า บุญมี บาปมี ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป ต้องไม่เป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน
- ต้องมีอภิญญาและฌานสมาบัติ อันเชี่ยวชาญ
- เคยให้ชีวิตของตนเป็นทาน เพื่อสัมโพธิญาณมาก่อนในอดีดชาติ
- ต้องมี ฉันทะ คือมีความรักความพอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง
- กล่าวถึงพุทธภูมิธรรมของนิยตโพธิสัตว์ ในการเพิ่มพูนบารมีให้มากยิ่งขึ้น มีน้ำใจประกอบไปด้วย พุทธภูมิธรรม 4 ประการ คือ
- อุสสาโห คือประกอบไปด้วยพระอุตสาหะ มีความเพียรอันสลักติดแน่นในจิตใจอย่างมั่นคง
- อุมัตโต คือประกอบด้วยปัญญา มีปัญญาเชียวชาญเฉียบคม
- อวัตถานัง คือมีพระทัยอธิษฐานอันมั่นคง มิได้หวั่นไหวคลอนแคลน
- หิตจริยา คือประกอบไปด้วยพระเมตตา เจริญจิตอยู่ด้วยพรหมวิหารเป็นปกติ
- อัธยาศัย ที่ทำให้พระโพธิญานของนิยตโพธิสัตว์แก่กล้ายิ่งขึ้น มี 6 ประการ
- เนกขัม พอใจในการรักษาศีล การบวช หรือบรรพชา
- วิเวก พอใจอยู่ในที่สงบ
- อโลภ พอใจในการบริจาคทาน
- อโทส พอใจในความไม่โกรธ เจริญเมตตา
- อโมห พอใจในการพิจารณาคุณและโทษ เจริญปัญญา
- นิพพาน พอใจที่ยกตนออกจากภพ ไม่ยินดีในการเวียนว่ายตายเกิด ประสงค์นิพพานเป็นอย่างยิ่ง
จริยธรรม 10 ประการ
- จริยธรรม 10 ประการของพระโพธิสัตว์ ประกอบด้วย[3]
- พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า ร่างกายจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
- พระโพธิสัตว์ ครองชีพโดยไม่ปรารถนาว่าจะไม่มีภัยอันตราย
- พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีอุปสรรคในการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์
- พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีมารขัดขวางการปฏิบัติภารกิจ
- พระโพธิสัตว์ ถือว่าทำงานให้นานที่สุด โดยไม่ปรารถนาจะให้สำเร็จผลเร็ว
- พระโพธิสัตว์ คบเพื่อน โดยไม่ปรารถนาจะได้รับผลประโยชน์จากเพื่อน
- พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาว่า จะให้คนอื่นต้องตามใจตนเองเสมอไปทุกอย่าง
- พระโพธิสัตว์ ทำความดีกับคนอื่น โดยไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทน
- พระโพธิสัตว์ เห็นลาภแล้ว ไม่ปรารถนาว่าจะได้รับ
- พระโพธิสัตว์ เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี ติเตียนนินทาแล้ว ไม่ปรารถนาที่จะตอบโต้
คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์
- คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์มีอยู่ 3 ข้อใหญ่ [3]
- มหาปรัชญาหรือปัญญาอันยิ่งใหญ่ หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส
- มหากรุณา หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีจิตกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างปราศจากขอบเขต พร้อมที่จะสละตนเองเพื่อช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์
- มหาอุปาย หมายความว่าพระโพธิสัตว์จะต้องมีวิธีการชาญฉลาดในการแนะนำ อบรมสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าถึงสัจธรรม
คุณสมบัติทั้งสามข้อนี้ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ข้อแรกเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม ส่วนข้อหลัง 2 ข้อเป็นการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น
มหาปณิธาน 4
- มหาปณิธาน 4 ประกอบด้วย [3]
- เราจะละกิเลสให้หมด
- เราจะศึกษาสัจธรรมให้จบ
- เราจะช่วยโปรดสัตว์ทั้งหลายให้สิ้น
- เราจะบรรลุพระพุทธภูมิอันประเสริฐสุด
รายนามพระโพธิสัตว์
อ้างอิง
- ↑ ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2556. 1,544 หน้า. หน้า 852. ISBN 978-616-7073-56-9
- ↑ 2.0 2.1 ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2552. 734 หน้า. หน้า 108-11. ISBN 978-616-7073-03-3
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 ผาสุข อินทราวุธ. พุทธปฏิมาฝ่ายมหายาน. กทม. โรงพิมพ์อักษรสมัย. 2543. หน้า 83-84
- ↑ ปกิณณกคาถา, อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก สโมธานกถา
- ↑ นิทานกถาวรรณนา, อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ปฐมวรรค ว่าด้วยคาถาสุภาษิต ในเอกกนิบาต วรรคที่ ๑
- ↑ จักกวัตติสูตร} พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
- ↑ พระสารีบุตรทูลถามถึงเหตุที่ทำให้พรหมจรรย์ดำรงอยู่นานและไม่นาน, พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, เล่ม 1, หน้า 11-12
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
- Who Are Bodhisattvas?, an excerpt from Lankavatara Sutra
- The Thirty-Seven Practices of Bodhisattvas, all-in-one page with memory aids & collection of different versions.
- What A Bodhisattva Does: Thirty-Seven Practices by Ngulchu Thogme with slide show format.
- Access to Insight Library: Bodhi's Wheel409
- The Genesis of the Bodhisattva Ideal by Bhikkhu Analayo (PDF Document; 5,8 MB)