ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระโพธิสัตว์"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Disthan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{พุทธศาสนา}}
{{พุทธศาสนา}}
[[ไฟล์:Prajnaparamita_Java.jpg|thumb|210px|พระ[[ปรัชญาปารมิตา]] [[ชวา]] [[ศิลปะศรีวิชัย]]]]

[[ไฟล์:Prajnaparamita_Java.jpg|thumb|210px|[[พระปรัชญาปารมิตา]] [[ชวา]] [[ศิลปะศรีวิชัย]]]]
[[ไฟล์:Bodhisattva Musée Guimet 27971.jpg|thumb|210px|พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ [[ศิลปะขอม]]]]
[[ไฟล์:Bodhisattva Musée Guimet 27971.jpg|thumb|210px|พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ [[ศิลปะขอม]]]]


'''พระโพธิสัตว์''' ({{lang-sa|बोधिसत्त्व}} ''bodhisattva''; {{lang-pi|बोधिसत्त}} ''bodhisatta'') หมายถึง ผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็น[[พระพุทธเจ้า]]<ref>{{อ้างหนังสือ|ผู้แต่ง = [[ราชบัณฑิตยสถาน]]|ชื่อหนังสือ = [[พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554]] เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554|URL = |จังหวัด = กรุงเทพฯ|พิมพ์ที่ = ราชบัณฑิตยสถาน|ปี = 2556|ISBN = 978-616-7073-56-9|จำนวนหน้า = 1,544|หน้า=852}}</ref> คำว่า "โพธิสัตว์" แปลว่า ''ผู้ข้องอยู่ในพระโพธิญาณ''<ref name="พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล"/>
'''พระโพธิสัตว์''' หมายถึง บุคคลที่บำเพ็ญ[[บารมี]]หรือกระทำความดีต่าง ๆ เพื่อให้[[ตรัสรู้]]พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็น[[พระพุทธเจ้า]]ในอนาคตกาล มีพระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมากตามความเชื่อในฝ่าย[[เถรวาท]] และ[[มหายาน]] แต่มีความแตกต่างกันไป

ทั้งฝ่าย[[เถรวาท]]และ[[มหายาน]]เชื่อว่ามีพระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมาก แต่รายละเอียดความเชื่อแตกต่างกันไป


== คำศัพท์ ==
== คำศัพท์ ==
พระโพธิสัตว์ มีภาษาต่างๆ มีดังนี้<ref name="พุทธปฏิมาฝ่ายมหายาน">ผาสุข อินทราวุธ. พุทธปฏิมาฝ่ายมหายาน. กทม. โรงพิมพ์อักษรสมัย. 2543. หน้า 83-84</ref>
พระโพธิสัตว์ มีภาษาต่าง ๆ มีดังนี้<ref name="พุทธปฏิมาฝ่ายมหายาน">ผาสุข อินทราวุธ. พุทธปฏิมาฝ่ายมหายาน. กทม. โรงพิมพ์อักษรสมัย. 2543. หน้า 83-84</ref>
* [[ภาษาสันสกฤต|สันสกฤต]] = โพธิสตฺตฺว
* [[ภาษาสันสกฤต|สันสกฤต]] = โพธิสตฺตฺว
* [[ภาษาบาลี|บาลี]] = โพธิสตฺต
* [[ภาษาบาลี|บาลี]] = โพธิสตฺต
บรรทัด 17: บรรทัด 18:
* [[อักษรโรมัน]] โดยทั่วไป สะกด "Bodhisattva"
* [[อักษรโรมัน]] โดยทั่วไป สะกด "Bodhisattva"


== การสร้างพุทธบารมี ==
== การสร้างบารมี ==
=== ประเภทของพระโพธิสัตว์ ===
=== ประเภทของพระโพธิสัตว์ ===
[[พระธัมมปาละ]] ระบุไว้ในอรรถกถาว่าพระโพธิสัตว์มี 3 ประเภท คือ<ref name="พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน">ราชบัณฑิตยสถาน, ''พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน'', พิมพ์ครั้งที่ 3, ราชบัณฑิตยสถาน, 2552, หน้า 108-11</ref>
[[พระธัมมปาละ]] ระบุไว้ในอรรถกถาสโมทานกถา (ใน[[ปรมัตถทีปนี]]) ว่าพระโพธิสัตว์มี 3 ประเภท คือ<ref>[http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33.3&i=36&p=2 ปกิณณกคาถา], อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก สโมธานกถา</ref>
# '''พระมหาโพธิสัตว์''' พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้ตรัสรู้เป็น[[พระอรหันต์]][[สัมมาสัมพุทธเจ้า]]
# '''พระปัจเจกโพธิสัตว์''' พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็น[[พระปัจเจกพุทธเจ้า]]
# '''พระสาวกโพธิสัตว์''' พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็นพระ[[อนุพุทธะ]]


นอกจากนี้ ในอรรถกถาเถรคาถา (ในปรมัตถทีปนี) พระธัมมปาละยังจำแนกพระมหาโพธิสัตว์ออกเป็นอีก 3 ประเภท<ref>[http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=137&p=2 นิทานกถาวรรณนา], อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ปฐมวรรค ว่าด้วยคาถาสุภาษิต ในเอกกนิบาต วรรคที่ ๑</ref> คือ
;'''1. ปัญญาธิกโพธิสัตว์'''
:คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 7 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 9 อสงไขย รวมเป็น 16 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น '''พระนิยตโพธิสัตว์''' เมื่อเหลือเวลาอีก 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้าจนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
# '''ปัญญาธิกโพธิสัตว์''' คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 7 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 9 อสงไขย รวมเป็น 16 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น '''พระนิยตโพธิสัตว์''' เมื่อเหลือเวลาอีก 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้าจนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
# '''สัทธาธิกโพธิสัตว์''' คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 14 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 18 อสงไขย รวมเป็น 32 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น '''พระนิยตโพธิสัตว์ ''' เมื่อเหลือเวลาอีก 8 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
# '''วิริยาธิกโพธิสัตว์''' คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 28 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 36 อสงไขย รวมเป็น 64 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น '''พระนิยตโพธิสัตว์ ''' เมื่อเหลือเวลาอีก 16 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน


ตามหลักฐานที่ปรากฏใน[[อรรถกถา]]พบว่า ยิ่งใช้เวลาในการบำเพ็ญบารมีนานเท่าใด พระโพธิสัตว์จะมีพระชนมายุยืนขึ้นในสมัยที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า รวมทั้งสัตว์ที่เกิดในยุคนั้นจะมีอายุยืน และบรรลุธรรมได้ง่ายและมีจำนวนมาก แต่ไม่ประกันว่าศาสนาของพระองค์จะยืนยาวหลายชั่วอายุขัย เช่น พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ มีพระนามว่า '''[[พระโคตมพุทธเจ้า]]''' พระองค์ทรงสร้างบารมีมาทาง '''ปัญญาธิกโพธิสัตว์''' มีพระชนมายุเพียง 80 พรรษา พระวรกายสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร บำเพ็ญ[[ทุกรกิริยา]] 6 ปี พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วาเป็นปกติ มนุษย์สมัยพระองค์มีอายุขัย 100 ปี แต่ในอนาคต เมื่อมนุษย์มีอายุขัย 80,000 ปี จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม[[พระศรีอริยเมตไตรย]]<ref>[http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=1189&Z=1702#48 จักกวัตติสูตร]} พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค</ref> ทรงสร้างบารมีมาทาง"วิริยาธิกะพุทธเจ้า" มีพระวรกายสูงได้ 88 ศอก หรือ 44 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบนจนถึงพรหมโลก เบื้องต่ำตลอดลงไปจนถึงมหาอเวจีนรก
;'''2. สัทธาธิกโพธิสัตว์'''
:คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 14 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 18 อสงไขย รวมเป็น 32 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น '''พระนิยตโพธิสัตว์ ''' เมื่อเหลือเวลาอีก 8 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน


ส่วนเหตุที่ทำให้พระสัจธรรมตั้งอยู่ได้นานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความผ่อนคลายของพระพุทธเจ้าในการแสดง และพระวินัยที่ได้ทรงบัญญัติไว้<ref name="'เหตุให้พระศาสนาดำรงอยู่ไม่นานและนาน"'>[http://www.geocities.ws/tmchote/tpd-mcu/tpd01.htm พระสารีบุตรทูลถามถึงเหตุที่ทำให้พรหมจรรย์ดำรงอยู่นานและไม่นาน], พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, เล่ม 1, หน้า 11-12</ref>
;'''3. วิริยาธิกโพธิสัตว์'''
:คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 28 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 36 อสงไขย รวมเป็น 64 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น '''พระนิยตโพธิสัตว์ ''' เมื่อเหลือเวลาอีก 16 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน


ส่วน[[พระพุทธโฆสะ]]แบ่งพระโพธิสัตว์ออกเป็น 2 ประเภทคือ<ref name="พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล">{{อ้างหนังสือ| ผู้แต่ง = ราชบัณฑิตยสถาน| ชื่อหนังสือ = พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน| URL = | จังหวัด = พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ| พิมพ์ที่ = ราชบัณฑิตยสถาน| ปี = 2552| ISBN = 978-616-7073-03-3| จำนวนหน้า = 734| หน้า = 108-11}}</ref>
ตามหลักฐานที่ปรากฏในพระไตรปิฎกพบว่า ยิ่งใช้เวลาในการบำเพ็ญบารมีนานเท่าใด พระโพธิสัตว์จะมีพระชนมายุยืนขึ้นในสมัยที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า รวมทั้งสัตว์ที่เกิดในยุคนั้นจะมีอายุยืน และบรรลุธรรมได้ง่ายและมีจำนวนมาก แต่ไม่ประกันว่าศาสนาของพระองค์จะยืนยาวหลายชั่วอายุขัย เช่น พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ มีพระนามว่า '''[[พระโคตมพุทธเจ้า]]''' พระองค์ทรงสร้างบารมีมาทาง '''ปัญญาธิกโพธิสัตว์''' มีพระชนมายุเพียง 80 พรรษา พระวรกายสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร บำเพ็ญ[[ทุกรกิริยา]] 6 ปี พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ มนุษย์ยุคพุทธกาลมีอายุขัย 100 ปี ขณะที่ทรงพยากรณ์ถึงภิกษุอชิตเถระว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม[[พระศรีอริยเมตไตรย]]<ref name="'อนาคตวงศ์"'>[http://www.84000.org/anakot/kan1.html#1 อนาคตวงศ์]</ref> ทรงสร้างบารมีมาทาง"วิริยาธิกะพุทธเจ้า" ไม่ได้ทรงพยากรณ์พระชนมายุแต่เทียบกับอายุมนุษย์ในยุคแล้วน่าจะมีพระชมมายุหลักหมื่นปีเป็นอย่างน้อย มีพระวรกายสูงได้ 88 ศอก หรือ 44 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบนจนถึงพรหมโลก เบื้องต่ำตลอดลงไปจนถึงมหาอเวจีนรก มนุษย์ยุคพุทธกาลมีอายุขัย 80,000 ปี
# '''อนิยตโพธิสัตว์''' พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาเลย เรียกว่า '''อนิยตโพธิสัตว์''' ความหมายคือยังไม่แน่นอนว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอาจจะเลิกล้มความปรารถนาเมื่อไรก็ได้

# '''นิยตโพธิสัตว์''' พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว เรียกว่า '''นิยตโพธิสัตว์''' ตามความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นนอน เพราะถ้าถึงนิพพานต้องดำรงค์ฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว แต่ถ้าบารมีและเวลายังไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะพยายามปฏิบัติอย่างยิ่งยวดบังเกิดปัญญาอย่างเยี่ยมยอด ก็ไม่สามารถถึงนิพพานก่อนได้ แม้จะทุกข์ท้อแท้ จนคิดว่าเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่แล้วในที่สุดมหากุศลที่เป็นอนุสัย ก็จะพุ่งกระจายขึ้นมาให้ตั้งมั่นและบำเพ็ญบารมีกันต่อ จนกว่าบารมีและเวลาสมบูรณ์
ส่วนเหตุที่ทำให้พระสัจธรรมตั้งอยู่ได้นานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความท้อพระทัยของพระพุทธเจ้าในการเผยแผ่ธรรมะ และพระวินัยที่ได้ทรงบัญญัติไว้ <ref name="'เหตุให้พระศาสนาดำรงอยู่ไม่นานและนาน"'>[http://www.84000.org/tipitaka/read/?1/7/12 เหตุให้พระศษสนาดำรงอยู่ไม่นานและนาน]</ref>

ส่วน[[พระพุทธโฆสะ]]แบ่งพระโพธิสัตว์ออกเป็น 2 ประเภทคือ<ref name="พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน"/>

;'''1. อนิยตโพธิสัตว์'''
:พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาเลย เรียกว่า '''อนิยตโพธิสัตว์''' ความหมายคือยังไม่แน่นอนว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอาจจะเลิกล้มความปรารถนาเมื่อไรก็ได้

;'''2. นิยตโพธิสัตว์'''
:พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว เรียกว่า '''นิยตโพธิสัตว์''' ตามความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นนอน เพราะถ้าถึงนิพพานต้องดำรงค์ฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว แต่ถ้าบารมีและเวลายังไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะพยายามปฏิบัติอย่างยิ่งยวดบังเกิดปัญญาอย่างเยี่ยมยอด ก็ไม่สามารถถึงนิพพานก่อนได้ แม้จะทุกข์ท้อแท้ จนคิดว่าเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่แล้วในที่สุดมหากุศลที่เป็นอนุสัย ก็จะพุ่งกระจายขึ้นมาให้ตั้งมั่นและบำเพ็ญบารมีกันต่อ จนกว่าบารมีและเวลาสมบูรณ์

;[[อสงไขย]] และ [[กัป]]
จากบทความข้างบน ผู้อ่านคงได้อ่านคำว่า '''อสงไขย''' และ '''กัป''' มาแล้ว ผู้เขียนจะอธิบายสั้นๆ ให้ทราบดังนี้
* '''[[กัป]]''' เป็นหน่วยวัดเวลา ในเชิงประมาณ คือ เมื่อจักรวาลปรากฏขึ้นหรือบังเกิดขึ้น จนพังสูญหายไป 1 ครั้งเรียกว่า 1 กัป
* '''[[อสงไขย]]''' เป็นตัวบ่งปริมาณ เช่น เดียวกับ คำว่า สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน (แต่บางครั้งก็ใช้ในความหมายว่า มากจนนับไม่ถ้วน)
** 1 อสงไขย (ในแง่ของตัวบ่งปริมาณ)มีค่า เท่ากับ โกฏิยกกำลังยี่สิบ หรือ เท่ากับ 10 ยกกำลัง 140 (เลข 1 ตามด้วย เลข 0 ถึง 140 ตัว)

(บางคนสับสน เข้าใจว่า 1 อสงไขย คือ จำนวนกัปที่มี เลข 1 ตามด้วย เลข 0 ถึง 140 ตัว อันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะ '''อสงไขยไม่ใช่กัป''' แต่อสงไขยเป็นตัวบ่งปริมาณ สามารถใช้กับอะไรก็ได้ เช่น อสงไขยปี หรือ อสงไขยชาติ หรือ อสงไขยกัป เป็นต้น)

* '''สูญกัป''' หมายถึงกัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น


=== บารมี 30 ทัศ ===
=== บารมี 30 ทัศ ===
บรรทัด 83: บรรทัด 69:
;'''อานิสงส์ บารมี 30 ทัศ ของพระนิยตโพธิสัตว์'''
;'''อานิสงส์ บารมี 30 ทัศ ของพระนิยตโพธิสัตว์'''


:พระนิยตโพธิสัตว์เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก จะมีอานิสงค์ 18 อย่างอยู่ตลอด จนได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า ได้แก่
:พระนิยตโพธิสัตว์เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก จะมีอานิสงค์ 18 อย่างอยู่ตลอด จนได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้แก่
# เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดเป็นคนมีจักษุบอดมาแต่กำเนิด
# เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดเป็นคนมีจักษุบอดมาแต่กำเนิด
# ไม่เป็นหูหนวกแต่กำเนิด
# ไม่เป็นหูหนวกแต่กำเนิด
บรรทัด 92: บรรทัด 78:
# ไม่เกิดในท้องนางทาสี (แต่เกิดในฐานะคนจัณฑาลได้ ดัง พระโพธิสัตว์ มาตังคะฤๅษี ท่านเป็นบุตรคนจัณฑาล แต่ไม่ได้เป็นนางทาสี) นางทาสีคือ ทาสที่เป็นผู้หญิง ที่เกิดมาก็ตกเป็นทาสทันที (ทาสในเรือนเบี้ย)
# ไม่เกิดในท้องนางทาสี (แต่เกิดในฐานะคนจัณฑาลได้ ดัง พระโพธิสัตว์ มาตังคะฤๅษี ท่านเป็นบุตรคนจัณฑาล แต่ไม่ได้เป็นนางทาสี) นางทาสีคือ ทาสที่เป็นผู้หญิง ที่เกิดมาก็ตกเป็นทาสทันที (ทาสในเรือนเบี้ย)
# ไม่เป็นนิยตมิจฉาทิฐิ
# ไม่เป็นนิยตมิจฉาทิฐิ
# ไม่เป็นสตรีเพศ
# ไม่เป็นสตรีเพศ (ยกเว้น[[พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์]]ในร่างเจ้าแม่[[กวนอิม]] [[พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์]] และ[[พระนางตารา]])
# ไม่ทำอนันตริยกรรม
# ไม่ทำ[[อนันตริยกรรม]]
# ไม่เป็นโรคเรื้อน
# ไม่เป็นโรคเรื้อน
# เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดียรฉาน มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และ ไม่ใหญ่ไปกว่าช้าง
# เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดียรฉาน มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และ ไม่ใหญ่ไปกว่าช้าง
บรรทัด 106: บรรทัด 92:


== คุณสมบัติและอัธยาศัยของพระโพธิสัตว์ ==
== คุณสมบัติและอัธยาศัยของพระโพธิสัตว์ ==

=== ธรรมสโมธาน 8 ประการ ===
=== ธรรมสโมธาน 8 ประการ ===


บรรทัด 121: บรรทัด 106:
# เคยให้ชีวิตของตนเป็นทาน เพื่อสัมโพธิญาณมาก่อนในอดีดชาติ
# เคยให้ชีวิตของตนเป็นทาน เพื่อสัมโพธิญาณมาก่อนในอดีดชาติ
# ต้องมี ฉันทะ คือมีความรักความพอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง
# ต้องมี ฉันทะ คือมีความรักความพอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง



:กล่าวถึงพุทธภูมิธรรมของนิยตโพธิสัตว์ ในการเพิ่มพูนบารมีให้มากยิ่งขึ้น มีน้ำใจประกอบไปด้วย '''พุทธภูมิธรรม 4 ประการ''' คือ
:กล่าวถึงพุทธภูมิธรรมของนิยตโพธิสัตว์ ในการเพิ่มพูนบารมีให้มากยิ่งขึ้น มีน้ำใจประกอบไปด้วย '''พุทธภูมิธรรม 4 ประการ''' คือ
บรรทัด 128: บรรทัด 112:
# '''อวัตถานัง''' คือมีพระทัยอธิษฐานอันมั่นคง มิได้หวั่นไหวคลอนแคลน
# '''อวัตถานัง''' คือมีพระทัยอธิษฐานอันมั่นคง มิได้หวั่นไหวคลอนแคลน
# '''หิตจริยา''' คือประกอบไปด้วยพระเมตตา เจริญจิตอยู่ด้วยพรหมวิหารเป็นปกติ
# '''หิตจริยา''' คือประกอบไปด้วยพระเมตตา เจริญจิตอยู่ด้วยพรหมวิหารเป็นปกติ



:'''อัธยาศัย''' ที่ทำให้พระโพธิญานของนิยตโพธิสัตว์แก่กล้ายิ่งขึ้น มี 6 ประการ
:'''อัธยาศัย''' ที่ทำให้พระโพธิญานของนิยตโพธิสัตว์แก่กล้ายิ่งขึ้น มี 6 ประการ
บรรทัด 177: บรรทัด 160:


== ดูเพิ่ม ==
== ดูเพิ่ม ==
* [[โพธิสัตตวจารยาวตาร]]
* [[โพธิสัตตวจรรยาวตาร]]
* [[โพธิสัตว์ศีล]]
* [[โพธิสัตว์ศีล]]
* [[ทศภูมิ]]
* [[ทศภูมิ]]
บรรทัด 190: บรรทัด 173:
* [http://www.buddhismuskunde.uni-hamburg.de/fileadmin/pdf/publikationen/HamburgUP_HBS01_Analayo.pdf The Genesis of the Bodhisattva Ideal] by Bhikkhu Analayo (PDF Document; 5,8 MB)
* [http://www.buddhismuskunde.uni-hamburg.de/fileadmin/pdf/publikationen/HamburgUP_HBS01_Analayo.pdf The Genesis of the Bodhisattva Ideal] by Bhikkhu Analayo (PDF Document; 5,8 MB)


[[หมวดหมู่:พระโพธิสัตว์|*]]
[[หมวดหมู่:พระโพธิสัตว์| ]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:00, 2 พฤษภาคม 2558

พระปรัชญาปารมิตา ชวา ศิลปะศรีวิชัย
พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ศิลปะขอม

พระโพธิสัตว์ (สันสกฤต: बोधिसत्त्व bodhisattva; บาลี: बोधिसत्त bodhisatta) หมายถึง ผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า[1] คำว่า "โพธิสัตว์" แปลว่า ผู้ข้องอยู่ในพระโพธิญาณ[2]

ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานเชื่อว่ามีพระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมาก แต่รายละเอียดความเชื่อแตกต่างกันไป

คำศัพท์

พระโพธิสัตว์ มีภาษาต่าง ๆ มีดังนี้[3]

การสร้างบารมี

ประเภทของพระโพธิสัตว์

พระธัมมปาละ ระบุไว้ในอรรถกถาสโมทานกถา (ในปรมัตถทีปนี) ว่าพระโพธิสัตว์มี 3 ประเภท คือ[4]

  1. พระมหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
  2. พระปัจเจกโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
  3. พระสาวกโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็นพระอนุพุทธะ

นอกจากนี้ ในอรรถกถาเถรคาถา (ในปรมัตถทีปนี) พระธัมมปาละยังจำแนกพระมหาโพธิสัตว์ออกเป็นอีก 3 ประเภท[5] คือ

  1. ปัญญาธิกโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 7 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 9 อสงไขย รวมเป็น 16 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้าจนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
  2. สัทธาธิกโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 14 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 18 อสงไขย รวมเป็น 32 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก 8 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
  3. วิริยาธิกโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 28 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 36 อสงไขย รวมเป็น 64 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก 16 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน

ตามหลักฐานที่ปรากฏในอรรถกถาพบว่า ยิ่งใช้เวลาในการบำเพ็ญบารมีนานเท่าใด พระโพธิสัตว์จะมีพระชนมายุยืนขึ้นในสมัยที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า รวมทั้งสัตว์ที่เกิดในยุคนั้นจะมีอายุยืน และบรรลุธรรมได้ง่ายและมีจำนวนมาก แต่ไม่ประกันว่าศาสนาของพระองค์จะยืนยาวหลายชั่วอายุขัย เช่น พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ มีพระนามว่า พระโคตมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสร้างบารมีมาทาง ปัญญาธิกโพธิสัตว์ มีพระชนมายุเพียง 80 พรรษา พระวรกายสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร บำเพ็ญทุกรกิริยา 6 ปี พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วาเป็นปกติ มนุษย์สมัยพระองค์มีอายุขัย 100 ปี แต่ในอนาคต เมื่อมนุษย์มีอายุขัย 80,000 ปี จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามพระศรีอริยเมตไตรย[6] ทรงสร้างบารมีมาทาง"วิริยาธิกะพุทธเจ้า" มีพระวรกายสูงได้ 88 ศอก หรือ 44 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบนจนถึงพรหมโลก เบื้องต่ำตลอดลงไปจนถึงมหาอเวจีนรก

ส่วนเหตุที่ทำให้พระสัจธรรมตั้งอยู่ได้นานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความผ่อนคลายของพระพุทธเจ้าในการแสดง และพระวินัยที่ได้ทรงบัญญัติไว้[7]

ส่วนพระพุทธโฆสะแบ่งพระโพธิสัตว์ออกเป็น 2 ประเภทคือ[2]

  1. อนิยตโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาเลย เรียกว่า อนิยตโพธิสัตว์ ความหมายคือยังไม่แน่นอนว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอาจจะเลิกล้มความปรารถนาเมื่อไรก็ได้
  2. นิยตโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว เรียกว่า นิยตโพธิสัตว์ ตามความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นนอน เพราะถ้าถึงนิพพานต้องดำรงค์ฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว แต่ถ้าบารมีและเวลายังไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะพยายามปฏิบัติอย่างยิ่งยวดบังเกิดปัญญาอย่างเยี่ยมยอด ก็ไม่สามารถถึงนิพพานก่อนได้ แม้จะทุกข์ท้อแท้ จนคิดว่าเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่แล้วในที่สุดมหากุศลที่เป็นอนุสัย ก็จะพุ่งกระจายขึ้นมาให้ตั้งมั่นและบำเพ็ญบารมีกันต่อ จนกว่าบารมีและเวลาสมบูรณ์

บารมี 30 ทัศ

บารมี หมายถึง การกระทำที่ประเสริฐ การกระทำที่ประกอบด้วยกุศลเจตนาคุณงามความดีที่ควรกระทำ คุณงามความดีที่ได้บำเพ็ญมา คุณสมบัติที่ทำให้ยิ่งใหญ่ เป็นธรรมส่วนหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งช่วย เหลือเกื้อกูลให้ผู้ปฏิบัติได้ถึงซึ่งโพธิญาณ

บารมีที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ คือ[3]

  • 1. ทานบารมี หมายถึง การสละออก การให้ต่างๆ โดยมีเจตนาช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสำคัญ
  • 2. ศีลบารมี หมายถึง การรักษาศีลให้เป็นปกติ หากเป็นฆราวาสหมายถึงการถือศีล 5 หากเป็นนักบวชคือการถือศีล 8 ขึ้นไป
  • 3. เนกขัมมะบารมี หมายถึง การออกบวช หากฆราวาสถือศีล 8 ก็นับเป็นเนกขัมบารมีได้เช่นกัน เพราะเป็นการกระทำเพื่อเว้นจากกามสุข
  • 4. ปัญญาบารมี หมายถึง การกระทำเพื่อเพิ่มพูนปัญญา ปัญญาแบ่งออกเป็นปัญญาทางโลกและทางธรรม เนื่องจากพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตตกาล จึงต้องมีปัญญาความรู้มาก เพื่อจะได้สั่งสอนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้ การเรียนของพระโพธิสัตว์จึงต้องเรียนมากกว่าผู้อื่น
  • 5. วิริยะบารมี หมายถึง การกระทำที่ใช้ความเพียรเป็นที่ตั้ง การมีวิริยะอาจไม่ได้หมายถึงการเพียรจนกระทั่งตัวตายในครั้งเดียว แต่หมายถึงมีความพยายามทำอยู่เรื่อยๆ ทำไปทีละน้อยตามกำลังจนกว่าจะสำเร็จ

สัมมัปปธานหรือความเพียรที่ถูกต้อง มี 4 อย่างคือ

o สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น
o ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว
o ภาวนาปธาน เพียรทำบุญให้เกิดขึ้น
o อนุรักขนาปธาน เพียรรักษาการทำบุญไว้ต่อเนื่อง
  • 6. ขันติบารมี หมายถึง การอดทนอดกลั้นต่อสิ่งต่างๆ
  • 7. สัจจะบารมี หมายถึง การรักษาคำพูด ไม่กลับกลอก แม้ว่าจะต้องสละบางสิ่งเพื่อรักษาคำพูดไว้
  • 8. อธิษฐานบารมี หมายถึง การตั้งมั่นในความปรารถนา ตั้งจิตมั่นต่อคำอธิษฐาน
  • 9. เมตตาบารมี หมายถึง การมีความปรารถดี มีความรักต่อสัตว์ทั้งหลายในโลกอย่างเท่าเทียม ประดุจมารดารักบุตร เมตตาแตกต่างจากราคะตรงที่ ราคะอาจรักเฉพาะตัวหรือพวกพ้อง แต่เมตตาเป็นรักที่ไม่แบ่งแยก
  • 10. อุเบกขาบารมี หมายถึง การวางเฉย มีใจเป็นกลาง การปล่อยวางในสิ่งที่ผิดพลาด ในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ วางเฉยในความทุกข์ของตน และสัตว์ที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากมีปัญญาเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรมของตน ไม่มีใครได้รับความยากลำบากโดยไม่มีเหตุปัจจัย ล้วนแล้วแต่เป็นกรรมที่เคยทำมาทั้งสิ้น

ซึ่งในแต่ละบารมีนั้นแบ่งย่อยเป็น 3 ขั้น ได้แก่

  1. บารมีขั้นต้น คือ เนื่องด้วยวัตถุ และทรัพย์นอกกาย เช่น การสละทรัพย์ช่วยผู้อื่น จัดเป็น ทานบารมี, รักษาศีลแม้ว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง จัดเป็น ศีลบารมี, หรือ ยอมถือบวชโดยไม่อาลัยในทรัพย์สิน จัดเป็น เนกขัมบารมี เป็นต้น
  2. บารมีขั้นกลางหรืออุปบารมี คือ เนื่องด้วยเลือดเนื้อ อวัยวะ เช่น การสละเลือดเนื้ออวัยวะแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานอุปบารมี, การใช้ปัญญารักษาอวัยวะเลือดเนื้อของผู้อื่น จัดเป็น ปัญญาอุปบารมี ,การมีความเพียรจนไม่อาลัยในเลือดเนื้อหรืออวัยวะ จัดเป็น วิริยะอุปบารมี, มีเมตตาต่อผู้ที่จะมาทำร้ายเลือดเนื้ออวัยวะของตน จัดเป็น เมตตาอุปบารมี, หรือ มีความอดทนอดกลั้นต่อผู้ที่จะมาทำลายอวัยวะของตน จัดเป็น ขันติอุปบารมี เป็นต้น
  3. บารมีขั้นสูงสุดหรือปรมัตถบารมี คือ เนื้องด้วยชีวิต เช่น การสละชีวิตเป็นทานแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานปรมัตถบารมี , ยอมสละแม้ชีวิตเพื่อจะรักษาคำพูด จัดเป็น สัจจปรมัตถบารมี, ตั้งจิตไม่หวั่นไหวต่อคำอธิษฐานแม้จะต้องเสียชีวิต จัดเป็น อธิษฐานปรมัตถบารมี, หรือ วางเฉยต่อผู้ที่จะมาทำร้ายชีวิตของตน จัดเป็น อุเบกขาปรมัตถบารมี เป็นต้น

ดังนั้น จึงรวมเป็นบารมี 30 ทัศ

อานิสงส์ บารมี 30 ทัศ ของพระนิยตโพธิสัตว์
พระนิยตโพธิสัตว์เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก จะมีอานิสงค์ 18 อย่างอยู่ตลอด จนได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้แก่
  1. เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดเป็นคนมีจักษุบอดมาแต่กำเนิด
  2. ไม่เป็นหูหนวกแต่กำเนิด
  3. ไม่เป็นคนบ้า
  4. ไม่เป็นคนใบ้
  5. ไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย
  6. ไม่เกิดในมิลักขประเทศคือประเทศป่าเถื่อน
  7. ไม่เกิดในท้องนางทาสี (แต่เกิดในฐานะคนจัณฑาลได้ ดัง พระโพธิสัตว์ มาตังคะฤๅษี ท่านเป็นบุตรคนจัณฑาล แต่ไม่ได้เป็นนางทาสี) นางทาสีคือ ทาสที่เป็นผู้หญิง ที่เกิดมาก็ตกเป็นทาสทันที (ทาสในเรือนเบี้ย)
  8. ไม่เป็นนิยตมิจฉาทิฐิ
  9. ไม่เป็นสตรีเพศ
  10. ไม่ทำอนันตริยกรรม
  11. ไม่เป็นโรคเรื้อน
  12. เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดียรฉาน มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และ ไม่ใหญ่ไปกว่าช้าง
  13. ไม่เกิดใน ขุปปิปาสิกเปรต นิชฌานตัณหิกเปรต และกาลกัญจิกาสุรกาย
  14. ไม่เกิดในอเวจีนรก และโลกันตนรก
  15. เมื่อเกิดเป็นเทวดาในกามาพจรสวรรค์ ก็ไม่เกิดเป็นเทวดาผู้นับเข้าในเทวดาจำพวกเป็นมาร
  16. เมื่อเกิดเป็นรูปพรหม จะไม่เกิดใน ปัญจสุทธวาสพรหมโลก (พรหมชั้นอนาคามี) และอสัญญสัตตาภูมิพรหม ( มีแต่รูปอย่างเดียว)
  17. ไม่เกิดในอรูปพรหมโลก
  18. ไม่เกิดในจักรวาลอื่น
อานิสงส์พิเศษอีกอย่างหนึ่งของนิยตโพธิสัตว์ คือ การทำอธิมุตตกาลกริยา คือเมื่อท่านเกิดเป็นเทวดาหรือพระพรหม เกิดความเบื่อหน่าย ในการเสวยสุขนั้น ปรารถนาที่จะสร้างบารมีในโลกมนุษย์ ท่านก็สามารถทำการอธิมุตต คืออธิษฐานให้จุติ (ตายจากการเป็นเทพ) มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ทันที ได้โดยง่าย ซึ่งเหล่าเทพเทวดาอื่นๆ ไม่สามารถทำอย่างนี้ได้

คุณสมบัติและอัธยาศัยของพระโพธิสัตว์

ธรรมสโมธาน 8 ประการ

สำหรับพระโพธิสัตว์ ที่เป็น อนิยตโพธิสัตว์ แต่สร้างบารมี 30 ทัศ และมีธรรมสโมธาน 8 ประการสมบูรณ์แล้ว ได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกเฉพาะพระพักตร์พุทธเจ้า โดยจะได้รับพุทธพยากรณ์โดยนัยว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงนามว่าอย่างนั้น ในกัปอันเป็นอนาคตที่เท่านั้น และก็จะกลายเป็น นิยตโพธิสัตว์ ทันที คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้ ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน
ธรรมสโมธาน 8 ประการคือ
  1. ได้เกิดเป็นมนุษย์
  2. เป็นบุรุษเพศ ไม่เป็นกะเทย
  3. มีอุปนิสสัยปัจจัยแห่งพระอรหันต์รุ่งเรืองอยู่ในขันธสันดาน (ถ้าเกิดเปลี่ยนใจก็จะเป็นพระอรหันต์ทันที)
  4. ต้องพบพระพุทธเจ้าขณะมีพระชนม์ชีพอยู่ และได้สร้างกองบุญกุศลต่อหน้าพระพักตร์
  5. ต้องเป็นบรรพชิต หรือต้องเป็น โยคี ฤๅษี ดาบส หรือปริพาชก ที่มีลัทธิเชื่อว่า บุญมี บาปมี ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป ต้องไม่เป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน
  6. ต้องมีอภิญญาและฌานสมาบัติ อันเชี่ยวชาญ
  7. เคยให้ชีวิตของตนเป็นทาน เพื่อสัมโพธิญาณมาก่อนในอดีดชาติ
  8. ต้องมี ฉันทะ คือมีความรักความพอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง
กล่าวถึงพุทธภูมิธรรมของนิยตโพธิสัตว์ ในการเพิ่มพูนบารมีให้มากยิ่งขึ้น มีน้ำใจประกอบไปด้วย พุทธภูมิธรรม 4 ประการ คือ
  1. อุสสาโห คือประกอบไปด้วยพระอุตสาหะ มีความเพียรอันสลักติดแน่นในจิตใจอย่างมั่นคง
  2. อุมัตโต คือประกอบด้วยปัญญา มีปัญญาเชียวชาญเฉียบคม
  3. อวัตถานัง คือมีพระทัยอธิษฐานอันมั่นคง มิได้หวั่นไหวคลอนแคลน
  4. หิตจริยา คือประกอบไปด้วยพระเมตตา เจริญจิตอยู่ด้วยพรหมวิหารเป็นปกติ
อัธยาศัย ที่ทำให้พระโพธิญานของนิยตโพธิสัตว์แก่กล้ายิ่งขึ้น มี 6 ประการ
  1. เนกขัม พอใจในการรักษาศีล การบวช หรือบรรพชา
  2. วิเวก พอใจอยู่ในที่สงบ
  3. อโลภ พอใจในการบริจาคทาน
  4. อโทส พอใจในความไม่โกรธ เจริญเมตตา
  5. อโมห พอใจในการพิจารณาคุณและโทษ เจริญปัญญา
  6. นิพพาน พอใจที่ยกตนออกจากภพ ไม่ยินดีในการเวียนว่ายตายเกิด ประสงค์นิพพานเป็นอย่างยิ่ง

จริยธรรม 10 ประการ

จริยธรรม 10 ประการของพระโพธิสัตว์ ประกอบด้วย[3]
  1. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า ร่างกายจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
  2. พระโพธิสัตว์ ครองชีพโดยไม่ปรารถนาว่าจะไม่มีภัยอันตราย
  3. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีอุปสรรคในการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์
  4. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีมารขัดขวางการปฏิบัติภารกิจ
  5. พระโพธิสัตว์ ถือว่าทำงานให้นานที่สุด โดยไม่ปรารถนาจะให้สำเร็จผลเร็ว
  6. พระโพธิสัตว์ คบเพื่อน โดยไม่ปรารถนาจะได้รับผลประโยชน์จากเพื่อน
  7. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาว่า จะให้คนอื่นต้องตามใจตนเองเสมอไปทุกอย่าง
  8. พระโพธิสัตว์ ทำความดีกับคนอื่น โดยไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทน
  9. พระโพธิสัตว์ เห็นลาภแล้ว ไม่ปรารถนาว่าจะได้รับ
  10. พระโพธิสัตว์ เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี ติเตียนนินทาแล้ว ไม่ปรารถนาที่จะตอบโต้

คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์

คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์มีอยู่ 3 ข้อใหญ่ [3]
  1. มหาปรัชญาหรือปัญญาอันยิ่งใหญ่ หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส
  2. มหากรุณา หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีจิตกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างปราศจากขอบเขต พร้อมที่จะสละตนเองเพื่อช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์
  3. มหาอุปาย หมายความว่าพระโพธิสัตว์จะต้องมีวิธีการชาญฉลาดในการแนะนำ อบรมสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าถึงสัจธรรม

คุณสมบัติทั้งสามข้อนี้ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ข้อแรกเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม ส่วนข้อหลัง 2 ข้อเป็นการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น

มหาปณิธาน 4

มหาปณิธาน 4 ประกอบด้วย [3]
  1. เราจะละกิเลสให้หมด
  2. เราจะศึกษาสัจธรรมให้จบ
  3. เราจะช่วยโปรดสัตว์ทั้งหลายให้สิ้น
  4. เราจะบรรลุพระพุทธภูมิอันประเสริฐสุด

รายนามพระโพธิสัตว์

อ้างอิง

  1. ราชบัณฑิตยสถานพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2556. 1,544 หน้า. หน้า 852. ISBN 978-616-7073-56-9
  2. 2.0 2.1 ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2552. 734 หน้า. หน้า 108-11. ISBN 978-616-7073-03-3
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 ผาสุข อินทราวุธ. พุทธปฏิมาฝ่ายมหายาน. กทม. โรงพิมพ์อักษรสมัย. 2543. หน้า 83-84
  4. ปกิณณกคาถา, อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก สโมธานกถา
  5. นิทานกถาวรรณนา, อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ปฐมวรรค ว่าด้วยคาถาสุภาษิต ในเอกกนิบาต วรรคที่ ๑
  6. จักกวัตติสูตร} พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
  7. พระสารีบุตรทูลถามถึงเหตุที่ทำให้พรหมจรรย์ดำรงอยู่นานและไม่นาน, พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, เล่ม 1, หน้า 11-12

ดูเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น