ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อวตาร"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 63: | บรรทัด 63: | ||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
||
{{รายการอ้างอิง}} |
{{รายการอ้างอิง}} |
||
{{คอมมอนส์-หมวดหมู่|Avatar}} |
{{คอมมอนส์-หมวดหมู่|Avatar|อวตาร}} |
||
[[หมวดหมู่:ศาสนาฮินดู]] |
[[หมวดหมู่:ศาสนาฮินดู]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 17:27, 6 ธันวาคม 2557
อวตาร (สันสกฤต: अवतार, avatāra) คือการแบ่งภาคมาเกิดบนโลกมนุษย์ของเทพเจ้าองค์ต่าง ๆ ตามความเชื่อของศาสนาฮินดู โดยเทพแบ่งพลังงานส่วนหนึ่งลงมาเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์ เพื่อทำหน้าที่อย่างหนึ่งอย่างใด ในลัทธิไวษณพถือว่าเมื่อศีลธรรมของมนุษย์เสื่อมลง จนเกิดความเดือดร้อนไปทั่ว พระนารายณ์จะอวตารลงมาปราบยุคเข็ญ[1][2]
การอวตารส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับพระนารายณ์ แต่ก็ยังมีที่เชื่อมโยงกับเทวดาอื่น ๆ [3] รายชื่อของพระนารายณ์อวตารปรากฏในคัมภีร์ฮินดูจำนวนมากรวมทั้งอวตารทั้งสิบในครุฑ ปุราณะ และอวตาร 22 ปางในภควัตปุราณะ รวมทั้งที่เพิ่มอีกภายหลังจนนับไม่ถ้วน[4] พระนารายณ์อวตารเป็นส่วนประกอบหลักของลัทธิไวษณพ หลักฐานเกี่ยวกับอวตารยุคแรก ๆ อยู่ในภควัทคีตา[5]
มีเรื่องราวเกี่ยวกับอวตารของพระศิวะและพระพิฆเนศวร และเทพีต่าง ๆ โดยเฉพาะในหมู่ผู้นับถือลัทธิศักติ[5][6] อย่างไรก็ตาม อวตารของพระนารายณ์เป็นที่รู้จักมากที่สุด
อวตารในศาสนาฮินดู
นารายณ์สิบปาง
อวตารของพระวิษณุมีมากมายหลายปาง แต่อวตารซึ่งเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปคืออวตารชุด "ทศาวตาร" (เป็นการสมาสคำว่า "ทศ" (สิบ) เข้ากับคำว่า "อวตาร" จึงหมายถึง "อวตารทั้งสิบ") ซึ่งในประเทศไทยมักเรียกชื่อว่า "นารายณ์สิบปาง" รายชื่ออวตารทั้งสิบปางนั้นปรากฏอยู่ในครุฑปุราณะ (1.86.10"11)[7]
ทั้งนี้ ตามการแบ่งเวลาเป็นยุคของศาสนาฮินดูนั้น อวตารสี่ปางแรกของพระองค์เกิดขึ้นในสัตยยุค สามปางต่อมาเกิดขึ้นในไตรดายุค อวตารปางที่แปดเกิดขึ้นในทวาปรยุค ปางที่เก้าเกิดในกลียุค และปางที่สิบซึ่งเป็นปางสุดท้ายจะเกิดขึ้นเมื่อถึงปลายกลียุค[8]
อวตารทั้งสิบปางของพระวิษณุประกอบด้วย
- มัตสยาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นปลาชื่อ "ศผริ" เพื่อช่วยเหลือพระมนูให้รอดจากโลกาวินาศในช่วงพรหมราตรีจนกระทั่งไว้ตั้งวงศ์มนุษย์ขึ้นมาใหม่ และสังหารอสูรหัยครีวะซึ่งลักเอาพระเวทไปจากพระพรหม เรื่องราวโดยละเอียดปรากฏอยู่ในคัมภีร์มัตสยะปุราณะ
- กูรมาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นเต่าเพื่อรองรับเขาสมุทรมันทรในพิธีกวนเกษียรสมุทร เรื่องราวโดยละเอียดปรากฏอยู่ในคัมภีร์กูรมะปุราณะ
- วราหาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นหมูป่า เพื่อประหารยักษ์หิรัณยากษะ ซึ่งได้ลักเอาแผ่นดินโลกไปจากพื้นสมุทร เรื่องราวโดยละเอียดปรากฏอยู่ในคัมภีร์วราหะปุราณะ
- นรสิงหาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นนรสิงห์ (ครึ่งคนครึ่งสิงห์) เพื่อประหารพญายักษ์หิรัณยกศิปุ ผู้ซึ่งกระทำทารุณกรรมต่อประหลาทกุมารซึ่งภักดีต่อพระวิษณุ
- วามนาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นพราหมณ์หลังค่อมชื่อวามนพราหมณ์ เพื่อปราบพยศของพญายักษ์มหาพลี เรื่องราวโดยละเอียดปรากฏอยู่ในคัมภีร์วามนปุราณะ
- ปรศุรามาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นพราหมณ์ชื่อปรศุราม ("รามผู้ถือขวาน") เพื่อปราบกษัตริย์ผู้มีพันกรชื่อกรรตวิรยะอรชุน ซึ่งกระทำการเบียดเบียนข่มเหงแก่คนวรรณะพราหมณ์อย่างหนัก และกวาดล้างเชื้อวงศ์วรรณะกษัตริย์ที่เป็นบุรุษจนหมดสิ้นทั้งโลก
- รามาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นพระราม กษัตริย์แห่งกรุงอโยธยา วีรบุรุษในมหากาพย์เรื่องรามายณะ
- กฤษณาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นพระกฤษณะ กษัตริย์แห่งกรุงทวารกา ผู้เป็นตัวละครหลักในคัมภีร์ภควตปุราณะ มหากาพย์มหาภารตะ และอนุศาสน์ภควัทคีตา อย่างไรก็ตาม ในทศวาตารฉบับดั้งเดิมนั้นกล่าวว่าพระพลรามซึ่งเป็นพี่ชายของพระกฤษณะเป็นอวตารปางที่แปดของพระวิษณุ ส่วนพระกฤษณะนั้นคือต้นธารแห่งอวตารทุกปางที่ปรากฏในโลก[9]
- พุทธาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นพระโคตมพุทธเจ้า[10] ศาสดาในศาสนาพุทธ ความเชื่อนี้มาจากคัมภีร์ภาควตปุราณะซึ่งเรียบเรียงขึ้นหลังคริสต์ศตวรรษที่ 9[11]
- กัลกยาวตาร - ในอนาคตกาลเมื่อถึงปลายกลียุค พระวิษณุจะอวตารมาเป็นบุรุษขี่ม้าขาวชื่อกัลกิ ("นิรันดร", "กาลเวลา", หรือ "ผู้บำราบความเขลา") เพื่อปราบยุคเข็ญ มีเรื่องราวปรากฏอยู่ในกัลกิปุราณะ
คเณศาวตาร
ในลิงคะปุราณะกล่าวถึงอวตารของพระคเณศเพื่อปราบปีศาจและช่วยเหลือผู้ใจบุญ[12] อุปปุราณะ 2 ฉบับ คือ คเณศปุราณะและมุทคละปุราณะ ซึ่งเป็นคัมภีร์หลักของผู้นับถือลัทธิบูชาพระคเณศได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับอวตารของพระคเณศไว้ โดยในคเณศปุราณะมี 4 ปาง ส่วนในมุทคละปุราณะมี 8 ปาง [13] ทุกปางมักมีจุดมุ่งหมายเพื่อไปฆ่าปีศาจ[14] ทั้ง 8 ปางของพระคเณศได้แก่
- วักรตุณฑะ - มีราชสีห์เป็นพาหนะ
- เอกทันตะ ("งาเดียว") - มีหนูเป็นพาหนะ
- มโหทร ("ท้องใหญ่") - มีหนูเป็นพาหนะ
- คชวักตระ หรือ คชานนะ ("หน้าช้าง") - มีหนูเป็นพาหนะ
- ลัมโภทร ("ท้องใหญ่") - มีหนูเป็นพาหนะ
- วิกฎะ - มีนกยูงเป็นพาหนะ
- วิฆนราช ("ราชาแห่งอุปสรรค") - มีพญาเศษะนาคราชเป็นพาหนะ
- ธูมราวรรณ ("สีเทา") - มีม้าเป็นพาหนะ
อวตารของพระศิวะ
แม้ว่าจะมีการอ้างอิงคัมภีร์ปุราณะต่างๆว่าพระศิวะมีการอวตารแต่ไม่เป็นที่เชื่อถือแพร่หลายนักในไศวนิกาย [5][15] ลิงกะปุราณะกล่าวว่าอวตารของพระศิวะมี 28 ปาง[16] ในศิวะปุราณะ เรื่องราวของพระศิวะที่นำรูปแบบวีระภัทรที่น่ากลัวของพระองค์เพื่อกำราบนรสิงห์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระนารายณ์ เมื่อไม่ได้ผลพระศิวะ แปลงกายเป็นมนุษย์สิงโต - นกศารภะ เรื่องราวจบลงด้วยการที่นรสิงห์กลายเป็นบ่าวของพระศิวะ[17] หนุมานในบางท้องที่ถือว่าเป็นอวตารปางที่สิบเอ็ดของพระศิวะ[18][19][20][21]
อวตารของเทพี/ศักติ
ในลิทธิศักติมีอวตารเช่นกัน ในเทวีภควัต ปุราณะอธิบายถึงอวตารของเทวีที่จะมาปราบคนชั่วและปกป้องคนดี โดยมีการอวตารมากเท่าพระนารายณ์ [22] พระลักษมี เทวีของพระนารายณ์ อวตารมาเป็นนางสีดามเหสีของพระรามและนางราธา มเหสีของพระกฤษณะ [23] พระลักษมีและพระสรัสวตีเป็นเทวีที่มีผู้บูชามากและมีการอวตาร[24]
อวตารในศาสนาพุทธ
อวตารกับวัชรยาน
ความเชื่อของชาวพุทธที่นับถือนิกายวัชรยาน ถือว่าพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์อวตารหรือแบ่งภาคได้เช่นเดียวกันเช่น พระอาทิพุทธะอวตารมาเป็นพระธยานิพุทธะ พระโพธิสัตว์อวตารเป็นยิดัม นอกจากนี้ชาวพุทธในทิเบตเชื่อว่า ทะไลลามะเป็นอวตารของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ และปันเชนลามะเป็นอวตารของพระอมิตาภพุทธะ เป็นต้น[25]
อวตารกับเถรวาท
ในความเชื่อของชาวพุทธนิกายเถรวาท จะไม่เชื่อว่าการอวตารมีจริง เพราะจิตนั้นมีดวงเดียว (ตามบทที่ว่า เอกะ จะรัง จิตตัง...) เพียงแต่เกิดดับตลอดเวลา เมื่อจิตนั้นเกิดเป็นเทพเจ้าไม่ว่าชั้นใดๆ หากแปลงกายเป็นมนุษย์ (เนรมิตขึ้นมาชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เช่น พระอินทร์แปลงเป็นพราหมณ์แก่) โดยจิตเดิมยังอยู่เป็นเทพเจ้าบนสวรรค์นั้น มีจริง แต่การที่จิตนั้นลงมาเกิดอวตารเป็นมนุษย์ โดยการอยู่ในครรภ์ คลอดออกมา เจริญเติบโตเล่าเรียนรู้เลยทั้ง ๆ ที่ยังมีจิต (เหมือนกัน ดวงเดียวกัน) อีกดวง ยังเป็นเทพเจ้าบนสวรรค์นั้นเป็นไปตามความจริงไม่ได้ ตามหลักที่ปรากฏในพระอภิธรรม[25]
อ้างอิง
- ↑ Matchett, Freda (2001). Krishna, Lord or Avatara?: the relationship between Krishna and Vishnu. 9780700712816. p. 4. ISBN 9780700712816.
- ↑ Introduction to World Religions, by Christopher Hugh Partridge, pg. 148, at Books.Google.com
- ↑ Kinsley, David (2005). Lindsay Jones (บ.ก.). Gale's Encyclopedia of Religion. Vol. 2 (Second ed.). Thomson Gale. pp. 707–708. ISBN 0-02-865735-7.
- ↑ Bryant, Edwin Francis (2007). Krishna: A Sourcebook. Oxford University Press US. p. 18. ISBN 9780195148916.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 Sheth, Noel (Jan. 2002). "Hindu Avatāra and Christian Incarnation: A Comparison". Philosophy East and West. University of Hawai'i Press. 52 (1 (Jan. 2002)): 98–125. doi:10.1353/pew.2002.0005.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Hawley, John Stratton (2006). The life of Hinduism. University of California Press. p. 174. ISBN 9780520249141.
{{cite book}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|coauthors=
ถูกละเว้น แนะนำ (|author=
) (help) - ↑ Garuda Purana (1.86.10-11)
- ↑ Matchett, p. 86.
- ↑ O Keshava! O Lord of the universe! O Lord Hari, who have assumed the form of Balarama, the yielder of the prowl All glories to You! On Your brilliant white body You wear garments the color of a fresh blue rain cloud. These garments are colored like the beautiful dark hue of the River Yamuna, who feels great fear due to the striking of Your plowshare] Dasavatara stotra
- ↑ List of Hindu scripture that declares Gautama Buddha as 9th Avatar of Vishnu as follows [Harivamsha (1.41) Vishnu Purana (3.18) Bhagavata Purana (1.3.24, 2.7.37, 11.4.23 name="Bhagavata Purana 1.3.24">Bhagavata Purana 1.3.24
- ↑ Estimated dates given by some notable scholars include: R. C. Hazra – 6th c., Radhakamal Mukherjee – 9th–10th c., Farquhar – 10th c., Nilakanta Sastri – 10th c., S. N. Dasgupta – 10th c.Kumar Das 2006, pp. 172–173
- ↑ Grimes, John A. (1995). Gaṇapati: song of the self. SUNY Press. p. 105. ISBN 9780791424391.
- ↑ Phyllis Granoff, "Gaṇeśa as Metaphor," in Robert L. Brown (ed.) Ganesh: Studies of an Asian God, pp. 94-5, note 2. ISBN 0-7914-0657-1
- ↑ Grimes, pp. 100-105.
- ↑ Parrinder, Edward Geoffrey (1982). Avatar and incarnation. Oxford: Oxford University Press. p. 88. ISBN 0-19-520361-5.
- ↑ Winternitz, Moriz (1981). A History of Indian Literature, Volume 1. Motilal Banarsidass. pp. 543–544. ISBN 9788120802643.
{{cite book}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|coauthors=
ถูกละเว้น แนะนำ (|author=
) (help) - ↑ Soifer, pp. 91-92.
- ↑ Lutgendorf, Philip (2007). Hanuman's tale: the messages of a divine monkey. Oxford University Press US. p. 44. ISBN 9780195309218.
- ↑ Catherine Ludvík (1994). Hanumān in the Rāmāyaṇa of Vālmīki and the Rāmacaritamānasa of Tulasī Dāsa. Motilal Banarsidass Publ. pp. 10–11. ISBN 9788120811225.
- ↑ Sontheimer, Gunther-Dietz (1990). "God as King for All: The Sanskrit Malhari Mahatmya and it's context". ใน Hans Bakker (บ.ก.). The History of Sacred Places in India as Reflected in Traditional Literature. BRILL. ISBN 9004093184.
{{cite book}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|chapterurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|chapter-url=
) (help) p.118 - ↑ Sontheimer, Gunther-Dietz (1989). "Between Ghost and God: Folk Deity of the Deccan". ใน Alf Hiltebeitel (บ.ก.). Criminal Gods and Demon Devotees: Essays on the Guardians of Popular Hinduism. SUNY Press. ISBN 0887069819.
{{cite book}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|chapterurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|chapter-url=
) (help) p.332 - ↑ Brown, Cheever Mackenzie (1990). The triumph of the goddess: the canonical models and theological visions of the Devī-Bhāgavata Purāṇa. SUNY Press. p. 32. ISBN 9780791403631.
- ↑ Hindu Avatāra and Christian Incarnation: A Comparison, Noel Sheth Philosophy East and West, Vol. 52, No. 1 (Jan., 2002), pp. 98, 117.
- ↑ Brown, p. 270.
- ↑ 25.0 25.1 พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. พิมพ์ครั้งที่ 2. ราชบัณฑิตยสถาน. 2548. หน้า 78-79.