ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ฟร็องซิส ปีกาบียา"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 27: | บรรทัด 27: | ||
ในปี 1895 พิคาเบียได้เข้าเรียนที่ École des Arts Decoratifs ถึง 2 ปี หลังจากนั้นเขาก็ได้ทำงานกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา[[จอร์จ บราค]]และ[[มารี ลอเรนซิน]]เป็นเวลา 4 ปีที่สตูดิโอของCormon ระหว่างนั้นเขาได้สร้างผลงานที่เป็นงานสีน้ำและเคยถูกจัดแสดงที่ [[Salon des Artistes Francis]] อยู่หนหนึ่ง เขาละทิ้งงานสีน้ำแบบดั้งเดิมไปในเวลาอันสั้นและเริ่มหันไปทำงานแนว[[ลัทธิประทับใจ]]แทน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก[[กามีย์ ปีซาโร]]และ[[อัลเฟรด ซิสลีย์]] เขามีความเชื่อว่า “ภาพวาดไม่ได้เป็นตัวแทนของธรรมชาติ แต่เป็นอารมณ์ที่ถ่ายทอดมาจากประสบการณ์ของศิลปิน” และงานแนวลัทธิประทับใจ ก็สามารถเป็นสื่อที่ถ่ายทอดอุดมการณ์ของเขาได้ |
ในปี 1895 พิคาเบียได้เข้าเรียนที่ École des Arts Decoratifs ถึง 2 ปี หลังจากนั้นเขาก็ได้ทำงานกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา[[จอร์จ บราค]]และ[[มารี ลอเรนซิน]]เป็นเวลา 4 ปีที่สตูดิโอของCormon ระหว่างนั้นเขาได้สร้างผลงานที่เป็นงานสีน้ำและเคยถูกจัดแสดงที่ [[Salon des Artistes Francis]] อยู่หนหนึ่ง เขาละทิ้งงานสีน้ำแบบดั้งเดิมไปในเวลาอันสั้นและเริ่มหันไปทำงานแนว[[ลัทธิประทับใจ]]แทน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก[[กามีย์ ปีซาโร]]และ[[อัลเฟรด ซิสลีย์]] เขามีความเชื่อว่า “ภาพวาดไม่ได้เป็นตัวแทนของธรรมชาติ แต่เป็นอารมณ์ที่ถ่ายทอดมาจากประสบการณ์ของศิลปิน” และงานแนวลัทธิประทับใจ ก็สามารถเป็นสื่อที่ถ่ายทอดอุดมการณ์ของเขาได้ |
||
พิคาเบียเริ่มแสดงงานแรกของเขาในปี 1905 ที่ Galerie Hausmann ในกรุงปารีส ในนิทรรศการได้จัดแสดงภาพทิวทัศน์จำนวน 61 รูปและได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี หลังจากงานนั้นเขาก็ได้กลายมาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและเริ่มจัดแสดงต่อในกรุงปารีส ลอนดอน และเบอลิน อย่างไรก็ตาม ในปี 1909 เขาได้ละทิ้งงานที่เรียกว่าเป็นสไตล์ของเขาและเปลี่ยนมาเป็นสไตล์ |
พิคาเบียเริ่มแสดงงานแรกของเขาในปี 1905 ที่ [[Galerie Hausmann]] ในกรุงปารีส ในนิทรรศการได้จัดแสดงภาพทิวทัศน์จำนวน 61 รูปและได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี หลังจากงานนั้นเขาก็ได้กลายมาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและเริ่มจัดแสดงต่อในกรุงปารีส ลอนดอน และเบอลิน อย่างไรก็ตาม ในปี 1909 เขาได้ละทิ้งงานที่เรียกว่าเป็นสไตล์ของเขาและเปลี่ยนมาเป็นสไตล์ [[อาว็อง-การ์ด]] ซึ่งรวมไปถึง [[คติโฟวิสต์]] และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาต้องเลิกแสดงงานที่ Galerie Hausmann ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเองเขาได้แต่งงานกับนักดนตรีผู้นำดนตรีมาสู่ชีวิตของเขา เธอคนนั้นก็คือ [[แกเบรียล บัฟเฟ]] ด้วยเหตุนี้เองก็ทำให้เขาได้ค้นพบจุดเชื่อมโยงระหว่างดนตรีและศิลปะ นอกจากนี้เธอก็ยังทำให้เขาสนใจงานแนว อาว็อง-การ์ด มากขึ้นไปอีกจากปี 1909-1913 |
||
พิคาเบียได้พยายามค้นหาสไตล์งานอีกครั้งที่จะสามารถถ่ายทอดความเป็นปัญญาชนหัวก้าวหน้าของเขาได้อย่างเหมาะสมลงตัวที่สุด เขาทดลองเปลี่ยนจากสไตล์หนึ่งไปยังอีกสไตล์เช่น คติโฟวิสต์, [[ลัทธิคิวบิสม์]] และงาน[[ศิลปะนามธรรม]] แม้อนาคตของเขาในฐานะศิลปินจะยังมีความไม่แน่นอน แต่เขาและภรรยาก็เริ่มต้นสร้างครอบครัวด้วยการมีลูกคนแรกด้วยกันในปี 1910 และคนที่ 2 ในปีต่อมา เขาและภรรยาได้เข้าร่วม [[Sociètè Normande de Peinture Moderne]] ซึ่งเป็นที่ที่ส่งเสริมและสนับสนุน[[ความสัมพันธ์ของงานศิลปะแบบสหวิทยาการ]] และมันนำพามาสู่การจัดนิทรรศการเป็นประจำทุกปีและอีเว้นท์อื่นๆ เป็นการสร้างเครือข่ายและสังคมกับศิลปินคนอื่นๆ ในปี 1911 พิคาเบียได้พบกับ [[มาเซล ดูช็องป์]] ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทั้งในชีวิตจริงและบนเส้นทางงานศิลปะ |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:34, 3 ธันวาคม 2557
Francis Picabia (ภาษาฝรั่งเศส: [fʁɑ̃sis pikabja]; ชื่อเต็ม Francis-Marie Martinez de Picabia, 22 มกราคม ค.ศ.1879 – 30 พฤศจิกายน ค.ศ.1953)
ฟรานซิส พิคาเบีย | |
---|---|
Francis Picabia on the French Rivera, c1930s | |
เกิด | 22 มกราคม ค.ศ. 1879 กรุงปารีส, ฝรั่งเศส |
เสียชีวิต | 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1953 กรุงปารีส, ฝรั่งเศส |
สัญชาติ | ฝรั่งเศส |
อาชีพ | จิตรกร ช่างภาพ กวี นักพิมพ์ |
มีชื่อเสียงจาก | ผู้เคลื่อนไหวคนสำคัญลัทธิดาดาในอเมริกาและฝรั่งเศส |
ประวัติ
ฟรานซิส พิคาเบีย เกิดเมื่อปีค.ศ.1879 กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยเป็นลูกชายคนเดียวของฟรานซิสโก้ วิเซนต์ มาติเนส พิคาเบีย กับมารี ซีซิล ดาแวนหญิงชาวฝรั่งเศส พิคาเบียได้กำเนิดขึ้นในตระกูลที่ร่ำรวย จึงทำให้เขาได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน ท่องเที่ยว และมีความสุขกับชีวิตที่หรูหรา อย่างไรก็ตามเมื่อเขาอายุได้7ปี แม่ของเขาได้จากไปด้วยวัณโรคและในปีถัดไป ยายของเขาก็ได้เสียชีวิตลง เขาจึงตกอยู่ในการดูแลของพ่อ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่สถานทูตคิวบา,มอริส ดาแวน ผู้เป็นลุง และอัลฟองส์ ดาแวน นักธุรกิจร่ำรวยผู้เป็นตาของเขา บ้านนี้จึงเป็นที่รู้จักในนามบ้านที่ปราศจากผู้หญิง
ลุงของเขาเป็นคนรักศิลปะและนักสะสม ผู้ทำให้พิคาเบียมีความสนใจในจิตรกรคลาสสิคของฝรั่งเศส อาทิเช่น เฟลิกซ์ ซีม(Felix Ziem) และเฟอร์ดินาน รอยเบิร์ด(Ferdinand Roybert) ส่วนตาของเขาที่เป็นช่างภาพมือสมัครเล่น ก็ได้สอนเขาเกี่ยวกับการถ่ายภาพด้วย และหลังจากนั้นฟิคาเบียจึงได้ใช้กล้องเพื่อช่วยในการทำงานของเขา [1]
ช่วงแรกของการเป็นศิลปิน
ในปี 1895 พิคาเบียได้เข้าเรียนที่ École des Arts Decoratifs ถึง 2 ปี หลังจากนั้นเขาก็ได้ทำงานกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขาจอร์จ บราคและมารี ลอเรนซินเป็นเวลา 4 ปีที่สตูดิโอของCormon ระหว่างนั้นเขาได้สร้างผลงานที่เป็นงานสีน้ำและเคยถูกจัดแสดงที่ Salon des Artistes Francis อยู่หนหนึ่ง เขาละทิ้งงานสีน้ำแบบดั้งเดิมไปในเวลาอันสั้นและเริ่มหันไปทำงานแนวลัทธิประทับใจแทน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากกามีย์ ปีซาโรและอัลเฟรด ซิสลีย์ เขามีความเชื่อว่า “ภาพวาดไม่ได้เป็นตัวแทนของธรรมชาติ แต่เป็นอารมณ์ที่ถ่ายทอดมาจากประสบการณ์ของศิลปิน” และงานแนวลัทธิประทับใจ ก็สามารถเป็นสื่อที่ถ่ายทอดอุดมการณ์ของเขาได้
พิคาเบียเริ่มแสดงงานแรกของเขาในปี 1905 ที่ Galerie Hausmann ในกรุงปารีส ในนิทรรศการได้จัดแสดงภาพทิวทัศน์จำนวน 61 รูปและได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี หลังจากงานนั้นเขาก็ได้กลายมาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและเริ่มจัดแสดงต่อในกรุงปารีส ลอนดอน และเบอลิน อย่างไรก็ตาม ในปี 1909 เขาได้ละทิ้งงานที่เรียกว่าเป็นสไตล์ของเขาและเปลี่ยนมาเป็นสไตล์ อาว็อง-การ์ด ซึ่งรวมไปถึง คติโฟวิสต์ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาต้องเลิกแสดงงานที่ Galerie Hausmann ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเองเขาได้แต่งงานกับนักดนตรีผู้นำดนตรีมาสู่ชีวิตของเขา เธอคนนั้นก็คือ แกเบรียล บัฟเฟ ด้วยเหตุนี้เองก็ทำให้เขาได้ค้นพบจุดเชื่อมโยงระหว่างดนตรีและศิลปะ นอกจากนี้เธอก็ยังทำให้เขาสนใจงานแนว อาว็อง-การ์ด มากขึ้นไปอีกจากปี 1909-1913
พิคาเบียได้พยายามค้นหาสไตล์งานอีกครั้งที่จะสามารถถ่ายทอดความเป็นปัญญาชนหัวก้าวหน้าของเขาได้อย่างเหมาะสมลงตัวที่สุด เขาทดลองเปลี่ยนจากสไตล์หนึ่งไปยังอีกสไตล์เช่น คติโฟวิสต์, ลัทธิคิวบิสม์ และงานศิลปะนามธรรม แม้อนาคตของเขาในฐานะศิลปินจะยังมีความไม่แน่นอน แต่เขาและภรรยาก็เริ่มต้นสร้างครอบครัวด้วยการมีลูกคนแรกด้วยกันในปี 1910 และคนที่ 2 ในปีต่อมา เขาและภรรยาได้เข้าร่วม Sociètè Normande de Peinture Moderne ซึ่งเป็นที่ที่ส่งเสริมและสนับสนุนความสัมพันธ์ของงานศิลปะแบบสหวิทยาการ และมันนำพามาสู่การจัดนิทรรศการเป็นประจำทุกปีและอีเว้นท์อื่นๆ เป็นการสร้างเครือข่ายและสังคมกับศิลปินคนอื่นๆ ในปี 1911 พิคาเบียได้พบกับ มาเซล ดูช็องป์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทั้งในชีวิตจริงและบนเส้นทางงานศิลปะ