ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ฟร็องซิส ปีกาบียา"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: เพิ่มข้อความไม่เป็นวิกิขนาดใหญ่
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 28: บรรทัด 28:
Laurencin เป็นเวลา 4 ปีที่สตูดิโอของ Cormon ระหว่างนั้นเขาได้สร้างผลงานที่เป็นงานสีน้ำและเคยถูกจัดแสดงที่ Salon des Artistes Francis อยู่หนหนึ่ง เขาละทิ้งงานสีน้ำแบบดั้งเดิมไปในเวลาอันสั้นและเริ่มหันไปทำงานแนว Impressionism แทน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก Camille Pissarro และ Alfred Sisley เขามีความเชื่อว่า “ภาพวาดไม่ได้เป็นตัวแทนของธรรมชาติ แต่เป็นอารมณ์ที่ถ่ายทอดมาจากประสบการณ์ของศิลปิน” และงานแนวImpressionism ก็สามารถเป็นสื่อที่ถ่ายทอดอุดมการณ์ของเขาได้
Laurencin เป็นเวลา 4 ปีที่สตูดิโอของ Cormon ระหว่างนั้นเขาได้สร้างผลงานที่เป็นงานสีน้ำและเคยถูกจัดแสดงที่ Salon des Artistes Francis อยู่หนหนึ่ง เขาละทิ้งงานสีน้ำแบบดั้งเดิมไปในเวลาอันสั้นและเริ่มหันไปทำงานแนว Impressionism แทน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก Camille Pissarro และ Alfred Sisley เขามีความเชื่อว่า “ภาพวาดไม่ได้เป็นตัวแทนของธรรมชาติ แต่เป็นอารมณ์ที่ถ่ายทอดมาจากประสบการณ์ของศิลปิน” และงานแนวImpressionism ก็สามารถเป็นสื่อที่ถ่ายทอดอุดมการณ์ของเขาได้


Picabia เริ่มแสดงงานแรกของเขาในปี 1905 ที่ Galerie Hausmann ในกรุงปารีส ในนิทรรศการได้จัดแสดงภาพทิวทัศน์จำนวน 61 รูปและได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี หลังจากงานนั้นเขาก็ได้กลายมาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและเริ่มจัดแสดงต่อในกรุงปารีส ลอนดอน และเบอลิน อย่างไรก็ตาม ในปี 1909 เขาได้ละทิ้งงานที่เรียกว่าเป็นสไตล์ของเขาและเปลี่ยนมาเป็นสไตล์ Avant-garde ซึ่งรวมไปถึง Fauvism และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาต้องเลิกแสดงงานที่ Galerie Hausmann ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเองเขาได้แต่งงานกับนักดนตรีผู้นำดนตรีมาสู่ชีวิตของเขา เธอคนนั้นก็คือ Gabrielle Buffet ด้วยเหตุนี้เองก็ทำให้เขาได้ค้นพบจุดเชื่อมโยงระหว่างดนตรีและศิลปะ นอกจากนี้เธอก็ยังทำให้เขาสนใจงานแนว avant-garde มากขึ้นไปอีกจากปี 1909-1913
Picabia เริ่มแสดงงานแรกของเขาในปี 1905 ที่ Galerie Hausmann ในกรุงปารีส ในนิทรรศการได้จัดแสดงภาพทิวทัศน์จำนวน 61 รูปและได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี หลังจากงานนั้นเขาก็ได้กลายมาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและเริ่มจัดแสดงต่อในกรุงปารีส ลอนดอน และเบอลิน อย่างไรก็ตาม ในปี 1909 เขาได้ละทิ้งงานที่เรียกว่าเป็นสไตล์ของเขาและเปลี่ยนมาเป็นสไตล์ Avant-garde ซึ่งรวมไปถึง [[คติโฟวิสต์]] และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาต้องเลิกแสดงงานที่ Galerie Hausmann ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเองเขาได้แต่งงานกับนักดนตรีผู้นำดนตรีมาสู่ชีวิตของเขา เธอคนนั้นก็คือ Gabrielle Buffet ด้วยเหตุนี้เองก็ทำให้เขาได้ค้นพบจุดเชื่อมโยงระหว่างดนตรีและศิลปะ นอกจากนี้เธอก็ยังทำให้เขาสนใจงานแนว avant-garde มากขึ้นไปอีกจากปี 1909-1913


Picabia ได้พยายามค้นหาสไตล์งานอีกครั้งที่จะสามารถถ่ายทอดความเป็นปัญญาชนหัวก้าวหน้าของเขาได้อย่างเหมาะสมลงตัวที่สุด เขาทดลองเปลี่ยนจากสไตล์หนึ่งไปยังอีกสไตล์เช่น Fauvism, Cubism และงาน abstract แม้อนาคตของเขาในฐานะศิลปินจะยังมีความไม่แน่นอน แต่เขาและภรรยาก็เริ่มต้นสร้างครอบครัวด้วยการมีลูกคนแรกด้วยกันในปี 1910 และคนที่ 2 ในปีต่อมา เขาและภรรยาได้เข้าร่วม Sociètè Normande de Peinture Moderne ซึ่งเป็นที่ที่ส่งเสริมและสนับสนุนทฤษฎี correspondence และความสัมพันธ์ของงานศิลปะทั้งหมดแบบสหวิทยาการ และมันนำพามาสู่การจัดนิทรรศการเป็นประจำทุกปีและอีเว้นท์อื่นๆ เป็นการสร้างเครือข่ายและสังคมกับศิลปินคนอื่นๆ ในปี 1911 Picabia ได้พบกับ Marcel Duchamp ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทั้งในชีวิตจริงและบนเส้นทางงานศิลปะ
Picabia ได้พยายามค้นหาสไตล์งานอีกครั้งที่จะสามารถถ่ายทอดความเป็นปัญญาชนหัวก้าวหน้าของเขาได้อย่างเหมาะสมลงตัวที่สุด เขาทดลองเปลี่ยนจากสไตล์หนึ่งไปยังอีกสไตล์เช่น Fauvism, Cubism และงาน abstract แม้อนาคตของเขาในฐานะศิลปินจะยังมีความไม่แน่นอน แต่เขาและภรรยาก็เริ่มต้นสร้างครอบครัวด้วยการมีลูกคนแรกด้วยกันในปี 1910 และคนที่ 2 ในปีต่อมา เขาและภรรยาได้เข้าร่วม Sociètè Normande de Peinture Moderne ซึ่งเป็นที่ที่ส่งเสริมและสนับสนุนทฤษฎี correspondence และความสัมพันธ์ของงานศิลปะทั้งหมดแบบสหวิทยาการ และมันนำพามาสู่การจัดนิทรรศการเป็นประจำทุกปีและอีเว้นท์อื่นๆ เป็นการสร้างเครือข่ายและสังคมกับศิลปินคนอื่นๆ ในปี 1911 Picabia ได้พบกับ Marcel Duchamp ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทั้งในชีวิตจริงและบนเส้นทางงานศิลปะ

รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:17, 3 ธันวาคม 2557

Francis Picabia (ภาษาฝรั่งเศส: [fʁɑ̃sis pikabja]; ชื่อเต็ม Francis-Marie Martinez de Picabia, 22 มกราคม ค.ศ.1879 – 30 พฤศจิกายน ค.ศ.1953)


ฟรานซิส พิคาเบีย
เกิด22 มกราคม ค.ศ. 1879
กรุงปารีส, ฝรั่งเศส
เสียชีวิต30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1953
กรุงปารีส, ฝรั่งเศส
สัญชาติฝรั่งเศส
อาชีพจิตรกร ช่างภาพ กวี นักพิมพ์
มีชื่อเสียงจากผู้เคลื่อนไหวคนสำคัญลัทธิดาดาในอเมริกาและฝรั่งเศส

ประวัติ

ฟรานซิส พิคาเบีย เกิดเมื่อปีค.ศ.1879 กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยเป็นลูกชายคนเดียวของฟรานซิสโก้ วิเซนต์ มาติเนส พิคาเบีย กับมารี ซีซิล ดาแวนหญิงชาวฝรั่งเศส พิคาเบียได้กำเนิดขึ้นในตระกูลที่ร่ำรวย จึงทำให้เขาได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน ท่องเที่ยว และมีความสุขกับชีวิตที่หรูหรา อย่างไรก็ตามเมื่อเขาอายุได้7ปี แม่ของเขาได้จากไปด้วยวัณโรคและในปีถัดไป ยายของเขาก็ได้เสียชีวิตลง เขาจึงตกอยู่ในการดูแลของพ่อ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่สถานทูตคิวบา,มอริส ดาแวน ผู้เป็นลุง และอัลฟองส์ ดาแวน นักธุรกิจร่ำรวยผู้เป็นตาของเขา บ้านนี้จึงเป็นที่รู้จักในนามบ้านที่ปราศจากผู้หญิง

ลุงของเขาเป็นคนรักศิลปะและนักสะสม ผู้ทำให้พิคาเบียมีความสนใจในจิตรกรคลาสสิคของฝรั่งเศส อาทิเช่น เฟลิกซ์ ซีม(Felix Ziem) และเฟอร์ดินาน รอยเบิร์ด(Ferdinand Roybert) ส่วนตาของเขาที่เป็นช่างภาพมือสมัครเล่น ก็ได้สอนเขาเกี่ยวกับการถ่ายภาพด้วย และหลังจากนั้นฟิคาเบียจึงได้ใช้กล้องเพื่อช่วยในการทำงานของเขา [1]

ช่วงแรกของการเป็นศิลปิน

ในปี 1895 Picabia ได้เข้าเรียนที่ École des Arts Decoratifs ที่เดียวกับที่ Vincent van Goh และ Henri Toulouse-Lautrec เคยเรียน, เขาเป็นลูกศิษย์ของ Fernand Cormon, Ferdinand Humbert และ Albert Charkes Wallet ถึง 2 ปี

หลังจากนั้นเขาก็ได้ทำงานกับเพื่อนร่วมห้องของเขา Georges Brague และ Marie Laurencin เป็นเวลา 4 ปีที่สตูดิโอของ Cormon ระหว่างนั้นเขาได้สร้างผลงานที่เป็นงานสีน้ำและเคยถูกจัดแสดงที่ Salon des Artistes Francis อยู่หนหนึ่ง เขาละทิ้งงานสีน้ำแบบดั้งเดิมไปในเวลาอันสั้นและเริ่มหันไปทำงานแนว Impressionism แทน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก Camille Pissarro และ Alfred Sisley เขามีความเชื่อว่า “ภาพวาดไม่ได้เป็นตัวแทนของธรรมชาติ แต่เป็นอารมณ์ที่ถ่ายทอดมาจากประสบการณ์ของศิลปิน” และงานแนวImpressionism ก็สามารถเป็นสื่อที่ถ่ายทอดอุดมการณ์ของเขาได้

Picabia เริ่มแสดงงานแรกของเขาในปี 1905 ที่ Galerie Hausmann ในกรุงปารีส ในนิทรรศการได้จัดแสดงภาพทิวทัศน์จำนวน 61 รูปและได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี หลังจากงานนั้นเขาก็ได้กลายมาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและเริ่มจัดแสดงต่อในกรุงปารีส ลอนดอน และเบอลิน อย่างไรก็ตาม ในปี 1909 เขาได้ละทิ้งงานที่เรียกว่าเป็นสไตล์ของเขาและเปลี่ยนมาเป็นสไตล์ Avant-garde ซึ่งรวมไปถึง คติโฟวิสต์ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาต้องเลิกแสดงงานที่ Galerie Hausmann ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเองเขาได้แต่งงานกับนักดนตรีผู้นำดนตรีมาสู่ชีวิตของเขา เธอคนนั้นก็คือ Gabrielle Buffet ด้วยเหตุนี้เองก็ทำให้เขาได้ค้นพบจุดเชื่อมโยงระหว่างดนตรีและศิลปะ นอกจากนี้เธอก็ยังทำให้เขาสนใจงานแนว avant-garde มากขึ้นไปอีกจากปี 1909-1913

Picabia ได้พยายามค้นหาสไตล์งานอีกครั้งที่จะสามารถถ่ายทอดความเป็นปัญญาชนหัวก้าวหน้าของเขาได้อย่างเหมาะสมลงตัวที่สุด เขาทดลองเปลี่ยนจากสไตล์หนึ่งไปยังอีกสไตล์เช่น Fauvism, Cubism และงาน abstract แม้อนาคตของเขาในฐานะศิลปินจะยังมีความไม่แน่นอน แต่เขาและภรรยาก็เริ่มต้นสร้างครอบครัวด้วยการมีลูกคนแรกด้วยกันในปี 1910 และคนที่ 2 ในปีต่อมา เขาและภรรยาได้เข้าร่วม Sociètè Normande de Peinture Moderne ซึ่งเป็นที่ที่ส่งเสริมและสนับสนุนทฤษฎี correspondence และความสัมพันธ์ของงานศิลปะทั้งหมดแบบสหวิทยาการ และมันนำพามาสู่การจัดนิทรรศการเป็นประจำทุกปีและอีเว้นท์อื่นๆ เป็นการสร้างเครือข่ายและสังคมกับศิลปินคนอื่นๆ ในปี 1911 Picabia ได้พบกับ Marcel Duchamp ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทั้งในชีวิตจริงและบนเส้นทางงานศิลปะ

  1. http://www.theartstory.org/artist-picabia-francis.htm