ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โทรทัศน์"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Horus (คุย | ส่วนร่วม)
ย้อนการแก้ไขของ Oilcon (พูดคุย) ไปยังรุ่นก่อนหน้าโดย AlphamaBot
Oilcon (คุย | ส่วนร่วม)
เพิ่มเติมหลักการทำงานของโทรศัทน์
บรรทัด 5: บรรทัด 5:


เครื่องรับโทรทัศนขาว-ดำเครื่องแรกของโลก สร้างขึ้นในปี[[พ.ศ. 2468]] โดยเป็นผลงานการประดิษฐ์ของ[[จอห์น ลอกกี้ เบรียด]] [[ชาวสกอตแลนด์]]<ref>{{Cite web|url=http://www.pembers.freeserve.co.uk/World-TV-Standards/index.html#Timeline|title=World Analogue Television Standards and Waveforms - section - Timeline|publisher=Histrorical television data 2011|accessdate=29 January 2011}}</ref>
เครื่องรับโทรทัศนขาว-ดำเครื่องแรกของโลก สร้างขึ้นในปี[[พ.ศ. 2468]] โดยเป็นผลงานการประดิษฐ์ของ[[จอห์น ลอกกี้ เบรียด]] [[ชาวสกอตแลนด์]]<ref>{{Cite web|url=http://www.pembers.freeserve.co.uk/World-TV-Standards/index.html#Timeline|title=World Analogue Television Standards and Waveforms - section - Timeline|publisher=Histrorical television data 2011|accessdate=29 January 2011}}</ref>

== '''การแพร่ภาพโทรทัศน์พื้นฐาน ''' ==
โทรทัศน์ (television)

การถ่ายทอดเสียงและภาพพร้อมกันจากสถานที่หนึ่ง หรือเครื่องส่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง หรือเครื่องรับ โดยเครื่องดังกล่าว จะปลี่ยนสัญญาณภาพ
และเสียงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อถ่ายทอดออกไป เรียกว่าเครื่องส่งโทรทัศน์ และเครื่องที่เปลี่ยนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากลับเป็นสัญญาณภาพ
และเสียงดังเดิม เรียกว่าเครื่องรับโทรทัศน์

โทรทัศน์แอนะล็อก (analog television)

โทรทัศน์แอนะล็อก คือ โทรทัศน์ที่มีระบบการรับ ส่งสัญญาณภาพ และเสียงในรูปสัญญาณแอนะล็อกแบบเอเอ็ม (AM) และเอฟเอ็ม (FM) เช่น
โทรทัศน์ที่ระบบเอ็นทีเอสซี (NTSC) ระบบพัลล์ (PAL) และซีแคม (SECAM) เป็นต้น
โทรทัศน์ดิจิทัล (digital television)

โทรทัศน์ที่มีระบบการรับส่งสัญญาณภาพและเสียงในรูปดิจิทัล ซึ่งหลายช่องสัญญาณที่มีความถี่เดียวกันสามารถนำมาส่งเป็นช่องสัญญาณเดียวกัน
ได้ โทรทัศน์ดิจิทัล จะให้คุณภาพของภาพ และเสียงดีกว่าระบบแอนะล็อก เช่น ระบบ โทรทัศน์ความคมชัดสูง (High Density Television: HDTV)

การแพร่ภาพ (television broadcasting)

การส่งกระจายภาพ และเสียงออกไป ในรูปสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อให้เครื่องรับสามารถรับภาพ และเสียงได้อย่างต่อเนื่อง เช่น การแพร่ภาพ
โทรทัศน์ ซึ่งจากเดิม ที่เป็นการแพร่ภาพ แบบไม่จำกัด ผู้รับได้รับการพัฒนา มาเป็นแบบแพร่ภาพ เฉพาะทาง เช่น การแพร่ภาพโทรทัศน์ ผ่าน
ดาวเทียม การแพร่ภาพโทรทัศน์ ผ่านสื่อนำสัญญาณเฉพาะ สถานที่โดย อาจรวมถึงการแพร่ภาพ ไปถึงเฉพาะผู้รับที่เป็นสมาชิก หรือเคเบิลทีวี
(Cable TV)
สัญญาณซิงโครไนซ์ (synchronized signal)

สัญญาณที่ใช้ผสมกับสัญญาณภาพเพื่อให้การสแกนภาพเป็นไปอย่างถูกต้องตรงจังหวะคือเริ่มต้นพร้อมกันและจบ พร้อมกันอันเป็นขั้นตอนของการ
สร้างภาพบนเครื่องรับโทรทัศน์
ระบบเอ็นทีเอสซี (NTSC)

ระบบการส่งสัญญาณโทรทัศน์ ย่อมาจาก Nation Television System Committee โดยมีการส่ง ๕๒๕ เส้น ๓๐ ภาพต่อ วินาที อาจเรียกระบบนี้ว่า
ระบบเอฟซีซี (FCC) มีการใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศที่เคยอยู่ภายใต้ อาณานิคม ของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนใหญ่
ระบบพัล (PAL)

ระบบการส่งสัญญาณโทรทัศน์ประเภทหนึ่ง ย่อมาจาก Phase Alternative Line หรือเรียกว่า ระบบซีซีไออาร์(CCIR) ซึ่ง เป็นระบบที่พัฒนามาจาก
ระบบโทรทัศน์สีเอ็นทีเอสซี (NTSC) โดยมีการส่ง ๖๒๕ เส้น ๒๕ ภาพต่อวินาที

ระบบซีแคม คม (SECAM)

ระบบการส่งสัญญาณโทรทัศน์ของประเทศฝรั่งเศสย่อมาจาก Se'quantiel Couleur à Me'moire (sequential color with a memory) โดยมีการส่ง
๖๒๕ เส้น ๒๕ภาพต่อวินาที เป็นระบบที่ใช้ในประเทศฝรั่งเศสและหลายประเทศในยุโรป และแอฟริกา

== '''การแพร่ภาพโทรทัศน์พื้นฐาน ''' ==
[[File:พื้นฐานการส่งและรับสัญญาณ.png|thumb|พื้นฐานการส่งและรับสัญญาณ]]
การมองเห็นภาพเคลื่อนไหวเกิดจากการที่เห็นภาพนิ่งที่มีความแตกต่างกันเล็กน้อยซ้อนเรียงกันตั้งแต่ ๑๖ ภาพต่อวินาทีขึ้นไป ซึ่งจะทำให้สายตาของมนุษย์จับการเปลี่ยนแปลงของภาพไม่ทันทำให้มองเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวได้ จากหลักการดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้ในการแพร่ภาพโทรทัศน์เนื่องจากการแพร่ภาพ คือ การส่งภาพและเสียงออกไปในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อให้เครื่องรับสามารถรับภาพเสมือนภาพเคลื่อนไหวและเสียงได้อย่างต่อเนื่อง
หลักในการแพร่ภาพเบื้องต้นคือการส่งสัญญาณภาพในรูปสัญญาณเอ.เอ็ม. และส่งสัญญาณเสียงในรูปสัญญาณเอฟ.เอ็ม. โดยที่เครื่องส่งจะทำการเปลี่ยนภาพที่อยู่ในรูปพลังงานแสงให้เป็นพลังงานทางไฟฟ้า(สัญญาณภาพ) แล้วทำการขยายให้มีกำลังมากขึ้น จากนั้นจึงนำไปผสมสัญญาณกับสัญญาณวิทยุและสัญญาณซิงโครไนซ์ที่จะช่วยทำให้สัญญาณดังกล่าวสอดคล้องหรือร่วมจังหวะกันได้แล้วแพร่กระจายออกสู่อากาศ ในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ส่วนที่เครื่องรับจะทำการแยกสัญญาณภาพที่ผสมมากับสัญญาณวิทยุกับสัญญาณซิงโครไนซ์ให้กลายเป็นภาพปรากฏที่หน้าจอเครื่องรับโทรทัศน์ ดังรูปที่ ๔.๑ โดยการที่เครื่องรับ และเครื่องส่งจะทำงานตรงจังหวะกันได้นั้น เกิดจากสัญญาณซิงโครไนซ์ ที่ได้ทำการผสมสัญญาณ เข้ากับสัญญาณภาพ และสัญญาณวิทยุก่อนส่งเพราะสัญญาณ ซิงโครไนซ์เป็นสัญญาณที่ทำให้การสแกนเป็นไปอย่างถูกต้องทั้งในแนวตั้งและแนวนอน

== '''การสแกนภาพ ''' ==
[[File:Manita.png|thumb|หลักการสแกนภาพ]]
ภาพโทรทัศน์ที่บันทึกไว้หรือแสดงออกทางหน้าจอจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนเล็กๆ เรียกว่า จุดภาพหรือพิกเซล ซึ่งพิกเซลเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนจากข้อมูลแสง (ความสว่างของภาพ) ให้เป็นค่าทางไฟฟ้าที่เป็นสัญญาณภาพ และแทนสีแดง สีเขียว สีน้ำเงินในภาพโดยการใช้ลำแสงสแกนตามแนวนอนทีละเส้น
จากด้านซ้ายไปด้านขวา และจากด้านบนลงด้านล่าง สัญญาณไฟฟ้าที่ได้จะส่งไปแสดงผลที่เครื่องรับทีละเส้นแบบเส้นต่อเส้น ซึ่งเครื่องรับจะใช้สัญญาณภาพเป็นสัญญาณควบคุมลำอิเล็กตรอนเพื่อเขียนภาพที่หน้าจอเครื่องรับโทรทัศน์ตามภาพที่ส่งมาดังการทำงานเบื้องต้น


== ตัวเลขที่ถูกบังคับให้ส่งคลื่น ==
== ตัวเลขที่ถูกบังคับให้ส่งคลื่น ==
บรรทัด 93: บรรทัด 143:


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==
<ref>http://thaitelecomkm.org/TTE/topic/attach/Television_Broadcasting/index.php</ref>
{{รายการอ้างอิง}}
{{รายการอ้างอิง}}



รุ่นแก้ไขเมื่อ 01:31, 19 ตุลาคม 2557

เครื่องรับโทรทัศน์ Braun HF 1 จากเยอรมนี สมัยปี พ.ศ. 2501

โทรทัศน์ เป็นระบบโทรคมนาคมสำหรับการกระจายและรับภาพเคลื่อนไหวและเสียงระยะไกล คำนี้ยังหมายถึงรายการโทรทัศน์และการแพร่ภาพอีกด้วย คำว่าโทรทัศน์ในภาษาไทย มีที่มาจากคำในภาษาอังกฤษ คือ television ซึ่งเป็นคำผสมจากคำกรีก tele- ("ระยะไกล" — โทร-) และ -vision ที่มาจากภาษาละติน visio ("การมองเห็น" — ทัศน์) มักเรียกย่อเป็น TV (ทีวี)

เครื่องรับโทรทัศนขาว-ดำเครื่องแรกของโลก สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2468 โดยเป็นผลงานการประดิษฐ์ของจอห์น ลอกกี้ เบรียด ชาวสกอตแลนด์[1]

การแพร่ภาพโทรทัศน์พื้นฐาน

โทรทัศน์ (television)

         การถ่ายทอดเสียงและภาพพร้อมกันจากสถานที่หนึ่ง หรือเครื่องส่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง หรือเครื่องรับ โดยเครื่องดังกล่าว จะปลี่ยนสัญญาณภาพ 
         และเสียงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อถ่ายทอดออกไป เรียกว่าเครื่องส่งโทรทัศน์ และเครื่องที่เปลี่ยนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากลับเป็นสัญญาณภาพ
         และเสียงดังเดิม เรียกว่าเครื่องรับโทรทัศน์
 โทรทัศน์แอนะล็อก (analog television)
        โทรทัศน์แอนะล็อก คือ  โทรทัศน์ที่มีระบบการรับ ส่งสัญญาณภาพ และเสียงในรูปสัญญาณแอนะล็อกแบบเอเอ็ม (AM) และเอฟเอ็ม (FM) เช่น 
        โทรทัศน์ที่ระบบเอ็นทีเอสซี (NTSC) ระบบพัลล์ (PAL) และซีแคม (SECAM) เป็นต้น
 โทรทัศน์ดิจิทัล (digital television) 
        โทรทัศน์ที่มีระบบการรับส่งสัญญาณภาพและเสียงในรูปดิจิทัล ซึ่งหลายช่องสัญญาณที่มีความถี่เดียวกันสามารถนำมาส่งเป็นช่องสัญญาณเดียวกัน
        ได้ โทรทัศน์ดิจิทัล จะให้คุณภาพของภาพ และเสียงดีกว่าระบบแอนะล็อก เช่น ระบบ โทรทัศน์ความคมชัดสูง (High Density Television: HDTV)
 การแพร่ภาพ (television broadcasting) 
        การส่งกระจายภาพ และเสียงออกไป ในรูปสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อให้เครื่องรับสามารถรับภาพ และเสียงได้อย่างต่อเนื่อง เช่น การแพร่ภาพ
        โทรทัศน์ ซึ่งจากเดิม ที่เป็นการแพร่ภาพ แบบไม่จำกัด ผู้รับได้รับการพัฒนา มาเป็นแบบแพร่ภาพ เฉพาะทาง เช่น การแพร่ภาพโทรทัศน์ ผ่าน
        ดาวเทียม การแพร่ภาพโทรทัศน์ ผ่านสื่อนำสัญญาณเฉพาะ สถานที่โดย อาจรวมถึงการแพร่ภาพ ไปถึงเฉพาะผู้รับที่เป็นสมาชิก หรือเคเบิลทีวี 
        (Cable TV)
 สัญญาณซิงโครไนซ์ (synchronized signal)
       สัญญาณที่ใช้ผสมกับสัญญาณภาพเพื่อให้การสแกนภาพเป็นไปอย่างถูกต้องตรงจังหวะคือเริ่มต้นพร้อมกันและจบ พร้อมกันอันเป็นขั้นตอนของการ
       สร้างภาพบนเครื่องรับโทรทัศน์
 ระบบเอ็นทีเอสซี (NTSC) 
       ระบบการส่งสัญญาณโทรทัศน์  ย่อมาจาก Nation Television System Committee โดยมีการส่ง ๕๒๕ เส้น ๓๐ ภาพต่อ วินาที อาจเรียกระบบนี้ว่า
       ระบบเอฟซีซี (FCC) มีการใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศที่เคยอยู่ภายใต้ อาณานิคม ของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนใหญ่
 ระบบพัล (PAL) 
      ระบบการส่งสัญญาณโทรทัศน์ประเภทหนึ่ง ย่อมาจาก Phase Alternative Line หรือเรียกว่า ระบบซีซีไออาร์(CCIR) ซึ่ง เป็นระบบที่พัฒนามาจาก
      ระบบโทรทัศน์สีเอ็นทีเอสซี (NTSC) โดยมีการส่ง ๖๒๕ เส้น ๒๕ ภาพต่อวินาที
 ระบบซีแคม คม (SECAM) 
      ระบบการส่งสัญญาณโทรทัศน์ของประเทศฝรั่งเศสย่อมาจาก Se'quantiel Couleur à Me'moire (sequential color with a memory) โดยมีการส่ง
      ๖๒๕ เส้น ๒๕ภาพต่อวินาที เป็นระบบที่ใช้ในประเทศฝรั่งเศสและหลายประเทศในยุโรป และแอฟริกา

การแพร่ภาพโทรทัศน์พื้นฐาน

ไฟล์:พื้นฐานการส่งและรับสัญญาณ.png
พื้นฐานการส่งและรับสัญญาณ

การมองเห็นภาพเคลื่อนไหวเกิดจากการที่เห็นภาพนิ่งที่มีความแตกต่างกันเล็กน้อยซ้อนเรียงกันตั้งแต่ ๑๖ ภาพต่อวินาทีขึ้นไป ซึ่งจะทำให้สายตาของมนุษย์จับการเปลี่ยนแปลงของภาพไม่ทันทำให้มองเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวได้ จากหลักการดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้ในการแพร่ภาพโทรทัศน์เนื่องจากการแพร่ภาพ คือ การส่งภาพและเสียงออกไปในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อให้เครื่องรับสามารถรับภาพเสมือนภาพเคลื่อนไหวและเสียงได้อย่างต่อเนื่อง

      หลักในการแพร่ภาพเบื้องต้นคือการส่งสัญญาณภาพในรูปสัญญาณเอ.เอ็ม. และส่งสัญญาณเสียงในรูปสัญญาณเอฟ.เอ็ม. โดยที่เครื่องส่งจะทำการเปลี่ยนภาพที่อยู่ในรูปพลังงานแสงให้เป็นพลังงานทางไฟฟ้า(สัญญาณภาพ) แล้วทำการขยายให้มีกำลังมากขึ้น จากนั้นจึงนำไปผสมสัญญาณกับสัญญาณวิทยุและสัญญาณซิงโครไนซ์ที่จะช่วยทำให้สัญญาณดังกล่าวสอดคล้องหรือร่วมจังหวะกันได้แล้วแพร่กระจายออกสู่อากาศ ในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ส่วนที่เครื่องรับจะทำการแยกสัญญาณภาพที่ผสมมากับสัญญาณวิทยุกับสัญญาณซิงโครไนซ์ให้กลายเป็นภาพปรากฏที่หน้าจอเครื่องรับโทรทัศน์ ดังรูปที่ ๔.๑ โดยการที่เครื่องรับ และเครื่องส่งจะทำงานตรงจังหวะกันได้นั้น เกิดจากสัญญาณซิงโครไนซ์ ที่ได้ทำการผสมสัญญาณ เข้ากับสัญญาณภาพ และสัญญาณวิทยุก่อนส่งเพราะสัญญาณ ซิงโครไนซ์เป็นสัญญาณที่ทำให้การสแกนเป็นไปอย่างถูกต้องทั้งในแนวตั้งและแนวนอน 

การสแกนภาพ

หลักการสแกนภาพ

ภาพโทรทัศน์ที่บันทึกไว้หรือแสดงออกทางหน้าจอจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนเล็กๆ เรียกว่า จุดภาพหรือพิกเซล ซึ่งพิกเซลเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนจากข้อมูลแสง (ความสว่างของภาพ) ให้เป็นค่าทางไฟฟ้าที่เป็นสัญญาณภาพ และแทนสีแดง สีเขียว สีน้ำเงินในภาพโดยการใช้ลำแสงสแกนตามแนวนอนทีละเส้น จากด้านซ้ายไปด้านขวา และจากด้านบนลงด้านล่าง สัญญาณไฟฟ้าที่ได้จะส่งไปแสดงผลที่เครื่องรับทีละเส้นแบบเส้นต่อเส้น ซึ่งเครื่องรับจะใช้สัญญาณภาพเป็นสัญญาณควบคุมลำอิเล็กตรอนเพื่อเขียนภาพที่หน้าจอเครื่องรับโทรทัศน์ตามภาพที่ส่งมาดังการทำงานเบื้องต้น

ตัวเลขที่ถูกบังคับให้ส่งคลื่น

  • VHF มีจำนวน 12 ช่อง คือ ช่อง 1-12 บางกรณีอาจถึง 13 ช่อง คือจนถึงช่อง 13 นั้นเอง (บางครั้งก็ใช้ตัวอักษรโรมัน เรียกการส่งคลื่นในบางประเทศ)
  • UHF มีจำนวน 72 ช่อง คือ ช่อง 13-84 บางกรณีอาจเริ่มตั้งแต่ช่อง 14 เพราะฉะนั้นมาตรฐานอาจจะเหลือเป็น 71 ช่อง

ทั้งนี้ บางประเทศอาจส่งโทรทัศน์มากกว่ามาตรฐานก็ว่าได้ ยกตัวอย่างเช่น มีบางประเทศอาจจะส่งโทรทัศน์ในระบบวีเอชเอฟตั้งแต่ช่อง 1 ถึงช่อง 18 และระบบยูเอชเอฟตั้งแต่ช่อง 19 ถึงช่อง 72 เป็นต้น และระบบทั้ง 2 เป็นช่องส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่กำหนดได้แน่นอนที่สุด แม้จะออกอากาศโดยใช้เสาอากาศภาคพื้นดิน

คลื่นความถี่ส่ง

แบ่งเป็น 3 ประเภทดังนี้

ประเภทเครื่องส่งกับเสาอากาศภาคพื้นดิน

ประเภทเครื่องส่งกับดาวเทียม

ประเภทอื่น

ประเภทของเครื่องรับโทรทัศน์

ขนาดภาพของโทรทัศน์ส่วนใหญ่ที่ส่งมาตามบ้านมักจะมีขนาดเล็กมากกว่าจอเครื่องรับโทรทัศน์ทั่วไป ขนาดของโทรทัศน์ที่แสดงในตารางเป็นขนาดอย่างน้อยที่สุดที่ภาพจะไม่ถูกบีบอัดให้เล็กลง โดยทั่วไปมักใช้ SDTV ที่ภาพมีขนาดพอดีกับ 8 นิ้วแต่ภาพก็จะมาถูกขยายให้ใหญ่เท่ากับขนาดของเครื่องรับโทรทัศน์ที่อยู่ตามบ้านซึ่งอาจอยู่ที่ 14-28 นิ้ว ส่วนเครื่องรับโทรทัศน์ตั้งแต่แบบ HDTV ขึ้นไปจะเป็นการส่งสัญญาณภาพที่มีขนาดใหญ่มากกว่าเพื่อความชัดของภาพ และโดยทั่วไปมักใช้เครื่องรับโทรทัศน์ขนาด 32 นิ้วขึ้นไปในการรับชมแบบความละเอียดสูง ถ้าเครื่องรับโทรทัศน์ตามบ้านมีขนาดเล็กกว่าขนาดของภาพที่ส่งมา ภาพก็จะถูกบีบอัดให้เล็กลงตามขนาดของเครื่องรับโทรทัศน์

ชื่อ ขนาด อัตราส่วน อักษรย่อ
โทรทัศน์ความละเอียดต่ำ 320 × 240 4 : 3 LDTV (240p)
โทรทัศน์ความละเอียดมาตรฐาน 640 × 480 4 : 3 SDTV (480p)
โทรทัศน์ความละเอียดมาตรฐาน (ภาพกว้าง) 1024 × 576 9 : 16 EDTV (576p)
โทรทัศน์ความละเอียดสูง (ภาพกว้าง) 1920 × 1080 16 : 9 HDTV (1080p)
โทรทัศน์ความละเอียดสูงมาก (ภาพกว้าง) 2560 × 1440 16 : 9 EHDTV (1440p)
โทรทัศน์ความละเอียดสูงยิ่ง (4k) (ภาพกว้าง) 3840 × 2160 16 : 9 QHDTV (2160p)
โทรทัศน์ความละเอียดสูงยิ่งยวด (8k) (ภาพกว้าง) 7680 × 4320 16 : 9 UHDTV (4320p)
  • โทรทัศน์ความละเอียดต่ำ จะใช้ส่งเฉพาะในโทรศัพท์เคลื่อนที่เท่านั้น
  • โทรทัศน์ความละเอียดสูงมาก จะไม่มีการใช้ โดยในอนาคตจะข้ามไปใช้โทรทัศน์ 4k แทนและมักเป็นความละเอียดสำหรับสื่อบนอินเทอร์เน็ตเท่านั้น
  • โทรทัศน์ 4k เริ่มทดลองออกอากาศที่ประเทศญี่ปุ่นในปี 2012 และเริ่มแพร่ภาพครั้งแรกที่ มหกรรมฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล
  • โทรทัศน์ 8k เริ่มทดลองออกอากาศที่ประเทศญี่ปุ่นในปี 2016 และเริ่มแพร่ภาพครั้งแรกที่ มหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน

การจัดเวลาออกอากาศ

ประเทศต่างๆ ที่มีเขตเวลาของประเทศเพียงเขตเดียวจะแจ้งเวลาออกอากาศเพียง 1 เวลาตามปกติเท่านั้น เช่น ในประเทศไทย ส่วนประเทศที่มีขนาดใหญ่มากและมีเขตเวลาหลายเขตจะแจ้งเวลาในการออกอากาศของรายการโทรทัศน์ต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา มีช่วงแบ่งเขตเวลาหลักๆ ในประเทศทั้งหมด 4 เขตหลัก กับอีก 4 เขตย่อยและจะนับทางซ้ายสุดของประเทศเป็นเขตที่ 1 ตามมาด้วยจนถึงด้านขวาสุดเป็นเขตที่ 4 โดยในโทรทัศน์จะทำการแจ้งเวลาที่ 2 เขตตรงกลาง คือ เขตที่ 2 และ 3 ของประเทศเท่านั้น ส่วนที่เหลือผู้ชมจะต้องบวกลบเวลากันเอาเอง ซึ่งรายการได้ฉายพร้อมกันทั้งประเทศจะแจ้งเวลาดังนี้

8/7 Central หมายถึง 16:00 (4 pm) นาฬิกาตรงเขตย่อยที่ 1 ของประเทศ (Hawaii Time)
8/7 Central หมายถึง 17:00 (5 pm) นาฬิกาตรงเขตย่อยที่ 2 ของประเทศ (Alaska Time)
  • 8/7 Central หมายถึง 18:00 (6 pm) นาฬิกาตรงเขตหลักที่ 1 ของประเทศ (Pacific Time)
  • 8/7 Central หมายถึง 19:00 (7 pm) นาฬิกาตรงเขตหลักที่ 2 ของประเทศ (Mountain Time)
  • 8/7 Central หมายถึง 20:00 (8 pm) นาฬิกาตรงเขตหลักที่ 3 ของประเทศ (Central Time)
  • 8/7 Central หมายถึง 21:00 (9 pm) นาฬิกาตรงเขตหลักที่ 4 ของประเทศ (Eastern Time)
8/7 Central หมายถึง 22:00 (10 pm) นาฬิกาตรงเขตย่อยที่ 3 ของประเทศ (Atlantic Time)
8/7 Central หมายถึง 22:30 (10:30 pm) นาฬิกาตรงเขตย่อยที่ 4 ของประเทศ (Newfoundland Time)

เพราะฉะนั้นถ้าแจ้งเวลามาเป็น 8/7 Central ทางด้านซ้ายสุดของประเทศจะได้รับชมในเวลา 18:00 (6 pm) นาฬิกา (เขตเวลาการออกอากาศของสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่นับแค่ 48 รัฐในแผ่นดินใหญ่ซึ่งผนวกเวลาในส่วนของ Atlantic Time กับ Newfoundland Time เข้าไปไว้กับ Eastern Time และไม่นับรวม Hawaii Time กับ Alaska Time ที่จะห่างออกไปอีก 1-2 ชั่วโมง) แต่โดยส่วนมากแล้วถ้าฉายพร้อมกันทั้งประเทศจะทำให้บางเขตไม่เหมาะสมและตรงกับในช่วงเวลาตอนเย็นหรือเวลาทำงาน ฉะนั้นอีกครึ่งประเทศทางด้านซ้าย 2 ส่วนโดยส่วนมากจะได้รับชมช้ากว่าครึ่งประเทศทางด้านขวา 1-2 ชั่วโมงเพื่อให้ตรงกับเวลาที่ผู้คนเลิกงานแล้ว โดยจะถูกจัดการตารางโดย Affiliate หรือสถานีย่อยเพื่อความเหมาะสม

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

[2]

  1. "World Analogue Television Standards and Waveforms - section - Timeline". Histrorical television data 2011. สืบค้นเมื่อ 29 January 2011.
  2. http://thaitelecomkm.org/TTE/topic/attach/Television_Broadcasting/index.php

หนังสืออ่านเพิ่ม

  • Albert Abramson, The History of Television, 1942 to 2000, Jefferson, NC, and London, McFarland, 2003, ISBN 0-7864-1220-8.
  • Pierre Bourdieu, On Television, The New Press, 2001.
  • Tim Brooks and Earle March, The Complete Guide to Prime Time Network and Cable TV Shows, 8th ed., Ballantine, 2002.
  • Jacques Derrida and Bernard Stiegler, Echographies of Television, Polity Press, 2002.
  • David E. Fisher and Marshall J. Fisher, Tube: the Invention of Television, Counterpoint, Washington, DC, 1996, ISBN 1-887178-17-1.
  • Steven Johnson, Everything Bad is Good for You: How Today's Popular Culture Is Actually Making Us Smarter, New York, Riverhead (Penguin), 2005, 2006, ISBN 1-59448-194-6.
  • Jerry Mander, Four Arguments for the Elimination of Television, Perennial, 1978.
  • Jerry Mander, In the Absence of the Sacred, Sierra Club Books, 1992, ISBN 0-87156-509-9.
  • Neil Postman, Amusing Ourselves to Death: Public Discourse in the Age of Show Business, New York, Penguin US, 1985, ISBN 0-670-80454-1.
  • Evan I. Schwartz, The Last Lone Inventor: A Tale of Genius, Deceit, and the Birth of Television, New York, Harper Paperbacks, 2003, ISBN 0-06-093559-6.
  • Beretta E. Smith-Shomade, Shaded Lives: African-American Women and Television, Rutgers University Press, 2002.
  • Alan Taylor, We, the Media: Pedagogic Intrusions into US Mainstream Film and Television News Broadcasting Rhetoric, Peter Lang, 2005, ISBN 3-631-51852-8.

แหล่งข้อมูลอื่น

แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA