ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เชฟโรเลต อิมพาลา"
Jimmy Classic (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
Jimmy Classic (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 4: | บรรทัด 4: | ||
| ขนาด = [[ประเภทของรถยนต์|รถยนต์นั่งขนาดใหญ่]] (Full-size Car) |
| ขนาด = [[ประเภทของรถยนต์|รถยนต์นั่งขนาดใหญ่]] (Full-size Car) |
||
| ลักษณะ = [[รถซีดาน|ซีดาน 4 ประตู]] |
| ลักษณะ = [[รถซีดาน|ซีดาน 4 ประตู]] |
||
| ประเภท = |
|||
| รุ่นก่อนหน้า = ไม่มี |
| รุ่นก่อนหน้า = ไม่มี |
||
| รุ่นต่อ = เชฟโรเลต คาปริซ (Chevrolet Caprice) |
| รุ่นต่อไป = เชฟโรเลต คาปริซ (Chevrolet Caprice) |
||
| เครื่องยนต์ = |
| เครื่องยนต์ = |
||
| ชิ้นส่วนเดียวกับ = |
| ชิ้นส่วนเดียวกับ = |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 18:14, 18 ตุลาคม 2557
เชฟโรเลต อิมพาลา | |
---|---|
ภาพรวม | |
บริษัทผู้ผลิต | เชฟโรเลต |
เริ่มผลิตเมื่อ | ค.ศ. 1957 - 1985 ค.ศ. 1993 - 1996 ค.ศ. 1999 - ปัจจุบัน |
ตัวถังและช่วงล่าง | |
รูปแบบตัวถัง | ซีดาน 4 ประตู |
รุ่นที่คล้ายกัน | โตโยต้า อวาลอน ฟอร์ด คราวน์ วิกตอเรีย โฮลเดน คอมโมดอร์ |
ระยะเหตุการณ์ | |
รุ่นก่อนหน้า | ไม่มี |
รุ่นต่อไป | เชฟโรเลต คาปริซ (Chevrolet Caprice) |
เชฟโรเลต อิมพาลา (อังกฤษ: Chevrolet Impala) เป็นรถขนาดใหญ่ (Full-size Car) ที่ผลิตโดยค่ายรถยนต์เชฟโรเลต และเป็น รถธง (รถที่ได้ชื่อว่า ดีที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด และเป็นความภาคภูมิใจของค่ายรถยนต์นั้นๆ) ของเชฟโรเลต เริ่มผลิตครั้งแรกใน ค.ศ. 1957 โดยเป็นการ "แตกหน่อ" ออกมาจากรถรุ่น เชฟโรเลต เบลแอร์ (Chevrolet Bel-Air) และเป็นรถยนต์เก๋งรุ่นที่มีราคาแพงที่สุดของเชฟโรเลตในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1957 - 1965 แต่ถึงกระนั้น ในช่วงทศวรรษ 1960 มันก็เคยเป็นรถรุ่นที่ทำยอดขายได้สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา และหลังจากนั้น ก็เป็นรถยอดนิยมต่อไปจนถึงช่วงกลางทศวรรษ 1980
เชฟโรเลต อิมพาลา มีวิวัฒนาการตามช่วงเวลาแบ่งเป็น 9 รุ่น (Generation) ดังนี้
รุ่นที่ 1 (ค.ศ. 1957 - 1958)
เชฟโรเลต อิมพาลา รุ่นแรก จริงๆ แล้ว เป็นรถเกรดพรีเมียมรุ่นพิเศษในสังกัดของรถ เชฟโรเลต เบล-แอร์ โดยใช้ชื่อว่า เชฟโรเลต เบล-แอร์ อิมพาลา (Chevrolet Bel-Air Impala) เปิดตัวครั้งแรกใน ค.ศ. 1956 ในงาน General Motors Motorama show และเริ่มผลิตกันอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1957 ชื่อของอิมพาลา ตั้งชื่อตามกวางชนิดหนึ่งในทวีปแอฟริกา ที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ในภาพการโฆษณา ก็ได้มีรูปกวางเป็นเอกลักษณ์เด่น ซึ่งรูปกวางก็ได้กลายเป็นโลโก้ของอิมพาลาต่อไปอีกหลายสิบปี
เบล-แอร์ อิมพาลา มีจุดเด่นในเรื่องของการทาสีภายนอกด้วยสีเขียวโทนใหม่ Emerald Green, การตกแต่งภายในที่เน้นสีขาว, ใช้ไฟท้ายแบบ 6 ดวง และไฟข้างอีก 2 ดวง และตัวถังแบบ Hardtop 2ประตู ที่ผลิตควบคู่ไปกับรถแบบเปิดประทุน 2 ประตู (Convertible)
ส่วนเครื่องยนต์ก็มีให้เลือก 3 แบบ คือ เครื่อง Blue Fame 6สูบ 3900ซีซี, Turbo Fire วี8 4600ซีซี และ W-series Turbo Thrust วี8 5700ซีซี
ตลอดเวลาของการผลิตรุ่นแรกนี้ อิมพาลาจะเป็นเพียงรถเกรดหนึ่งในสังกัดขึ้นตรงรถรุ่นอื่น ยังไม่แยกตัวออกมาเป็นรถรุ่นใหม่ที่เป็นอิสระ แต่ในวงการรถโดยทั่วไป ก็นับรถรุ่น เบล-แอร์ อิมพาลา ว่าเป็น เชฟโรเลต อิมพาลา รุ่นแรก
รุ่นที่ 2 (ค.ศ. 1958 - 1960)
หลังจากกระแสตอบรับของเบล-แอร์ อิมพาลา ดีมาก เชฟโรเลตจึงแยกอิมพาลา ออกมาเป็นรถรถรุ่นใหม่ของเชฟโรเลต คือ เป็น เชฟโรเลต อิมพาลาอย่างเต็มตัว ไม่ขึ้นตรงกับเบล-แอร์ อีกต่อไป และเริ่มผลิตรถแบบ Hardtop 4ประตู รวมถึงคูเป้ 2 ประตู ครอบคลุมความต้องการมากขึ้น มีไฟท้ายแบบ 6 ดวง เรียงตัวกันเป็นรูปทรงแบบ "หยดน้ำตา" (แบบเดียวกับที่ใช้ในรถเชฟโรเลตรุ่นอื่นๆ ในยุคเดียวกัน) ทำครีบหลังขนาดใหญ่ไว้บนไฟท้าย ทำให้หลายคนคิดว่ามันดูคล้ายรถแบ็ตโบมิลของยอดหมนุษย์ Batman ส่วนการตกแต่งภายในจะเน้นโทนสีสดใสเพื่อให้อารมณ์รถสปอร์ต ในช่วงนี้ อิมพาลาได้รับความนิยมอย่างสูงและเป็นรถรุ่นที่มียอดขายสูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา และปูทางความสำเร็จให้อิมพาลารุ่นต่อๆ มา ประสบความสำเร็จอย่างสูงต่อไปอีกหลายทศวรรษ
เครื่องยนต์มี 3 ตัวเลือก แบบเดียวกับที่ใช้ในรุ่นที่ 1
รุ่นที่ 3 (ค.ศ. 1960 - 1964)
อิมพาลารุ่นที่ 3 ถูกออกแบบใหม่โดยใช้ชัสซีส์แบบ B-body มีรูปทรงแบบที่เรียบๆ และเหลี่ยม กว่ารุ่นก่อน และมีการผลิตรถรุ่น อิมพาลา เอสเอส (Impala Super Sport) ขึ้น รวมทั้งรถแบบ station wagon ส่วนเครื่องยนต์ ก็ทำออกมา 5 แบบ คือ 3800ซีซี 6สูบ, 4600ซีซี วี8, 5400ซีซี วี8, 6700ซีซี วี8 และ 7000ซีซี วี8 อิมพาลารุ่นที่ 3 ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด ในช่วงปลายของรุ่นที่ 3 ใน ค.ศ. 1964 ปีสุดท้ายของรุ่นที่ 3 เชฟโรเลต สามารถขายอิมพาลาได้กว่า 1 ล้านคันในปีเดียว เป็นยอดขายที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของอิมพาลา
นอกจากนี้ ใน ค.ศ. 1961 ก็ได้เปิดตัวอิมพาลา เอสเอส (Impala SS) ซื่ง SS มาจากคำว่า Super Sport ซึ่งเน้นเครื่องยนต์ลูกสูบใหญ่ ให้กำลังมาก ถือเป็นตำนานที่สำคัญ ซึ่งได้มีการพัฒนาเคียงคู่กับอิมพาลามาจนถึงปัจจุบัน
ในต่างประเทศ อิมพาลารุ่นที่ 3 นอกจากจะมียอดขายดีแล้ว ยังเป็นกระแสโด่งดังอีกด้วย เช่น วงดนตรีชื่อดังในยุคนั้น คือ เดอะบีชบอยส์ ได้เปิดตัวอัลบั้มเพลงที่มีชื่อว่า 409 ซึ่งมีเนื้อหาถึงความนิยมในรถอิมพาลารุ่นวี8 6700ซีซี (ซึ่งเท่ากับ 409 ลูกบาศก์นิ้ว) หรือแม้แต่ศิลปินสมัยใหม่อย่าง Eazy-E และ Dr. Dre ก็ได้นำอิมพาลารุ่นที่ 3 ไปประกอบการถ่ายทำมิวสิกวีดีโอ
สำหรับในประเทศไทย เชฟโรเลตอิมพาลา รุ่นที่ 3 แบบเปิดประทุน ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ กลายเป็นรถเกียรติยศ ที่ใช้ต้อนรับบุคคลสำคัญหลายท่าน ที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย เช่นอาภัสรา หงสกุล และภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก เมื่อครั้งรับตำแหน่งนางงามจักรวาล ตลอดกระทั่งนักกีฬาทีมชาติไทย ซึ่งได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เช่นขาวผ่อง สิทธิชูชัย, พเยาว์ พูนธรัตน์, สมรักษ์ คำสิงห์, วิจารณ์ พลฤทธิ์ เป็นต้น
รุ่นที่ 4 (ค.ศ. 1964 - 1970)
อิมพาลารุ่นที่ 4 ก็เป็นอีกรุ่นหนึ่งซึ่งถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในอเมริกา โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ในปี ค.ศ. 1965 เป็นปีที่ 2 ที่อิมพาลามียอดขายทะลุล้านคันในปีเดียว ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยจนถึงปัจจุบัน เชฟโรเลตได้สร้างรถเกรดหรูหราระดับพรีเมียมของอิมพาลา ชื่อว่า เชฟโรเลต อิมพาลา คาปริซ (Chevrolet Impala Capice) ซึ่งต่อมาก็ได้แยกตัวออกเป็นรถตระกูลใหม่ คือ เชฟโรเลต คาปริซ (Chevrolet Caprice) ซึ่งเป็นรถรุ่นที่หรูหราที่สุด และแพงที่สุดของเชฟโรเลตแทนที่อิมพาลา
ตั้งแต่ค.ศ. 1966 เป็นต้นมา อิมพาลาก็เริ่มเสื่อมความนิยมลงบ้าง ยอดขายรถเปิดประทุนลดลงตกเป็นอันดับสอง รองจาก ฟอร์ด มัสแตง แต่ในภาพรวมก็ยังถือว่ายังประสำความสำเร็จอย่างดี
รุ่นที่ 5 (ค.ศ. 1970 - 1976)
อิมพาลารุ่นที่ 5 ถูกออกแบบใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น จนเป็นรถยนต์ประเภทเก๋งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ของเจเนรัลมอเตอร์ ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กที่สุดคือ 4100ซีซี 6สูบ และใหญ่ที่สุดคือ 7000ซีซี 8สูบ ทว่าในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1973 ได้เกิดวิกฤติน้ำมันแพงขึ้นระลอกหนึ่ง ราคาน้ำมันพุงสูงขึ้น 3 เท่าในครึ่งปีแรกของวิกฤตการณ์ กระทบยอดขายของรถที่มีขนาดใหญ่ ราคาแพง และใช้น้ำมันมากอย่างอิมพาลาอย่างจัง ในเวลาเพียง 2 ปี นับจากเกิดวิกฤตการณ์ จากที่เคยขายอิมพาลาได้ปีละเกือบล้านคัน ก็เหลือยอดขายเพียง 176,376 คันในปี ค.ศ. 1975
อิมพาลารุ่นที่ 5 เป็นรุ่นสุดท้ายที่มีรถตัวถังแบบเปิดประทุนได้ เพราะหลังจากคณะกรรมการตรวจสอบความปลอดภัยของรถยนต์ได้ทดสอบการชนของรถเปิดประทุนหลายรุ่น พบว่ามีความเสียงสูงที่ผู้โดยสารจะได้รับบาดเจ็บ ชาวอเมริกันจึงเริ่มไม่สนใจรถเปิดประทุน จนต้องเลิกผลิตไปในที่สุด
รุ่นที่ 6 (ค.ศ. 1976 - 1985)
อิมพาลารุ่นที่ 6 มีขนาดที่เล็กลง สั้นลง แคบลง แต่สูงขึ้น ตัวถังแบบ Hardtop และ Convertible ถูกยกเลิก เครื่องยนต์รุ่นที่ลูกสูบเล็กถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง คือขนาด 3800 ซีซี และเริ่มมีการผลิตเครื่องยนต์ วี6 ควบคู่ไปกับเครื่องยนต์ 6สูบทั่วไป เพื่อประหยัดน้ำมันลงบ้าง(วี6 ประหยัดน้ำมันกว่า 6สูบทั่วไป) แต่ก็ไม่ช่วยอะไรมากนัก ในช่วงประมาณปี 1981 ราคาน้ำมันพุงเกือบ 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากที่เคยมีราคาเพียง 3-4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในปี ค.ศ. 1973 ทำให้อิมพาลา คงเหลือแต่เพียงชื่อเสียงว่าเป็นรถที่ดี หรูหราเท่านั้น แต่ไม่ค่อยมีใครซื้ออิมพาลาแล้ว ยอดขายอิมพาลาลดลงอย่างมาก
ใน ค.ศ. 1985 เชฟโรเลต ได้เลิกผลิตอิมพาลาลงชั่วคราว คงเหลือไว้แต่รถรุ่นเชฟโรเลต คาปริซ ผลิตเป็นรถใหญ่เพียงรุ่นเดียว
รุ่นที่ 7 (ค.ศ. 1993 - 1996)
อิมพาลารุ่นที่ 7 หลังจากหยุดการผลิตไปถึง 8 ปี เชฟโรเลตออกแบบรถใหม่โดยลดความยาวและความกว้างของตัวถังลงเพื่อความทันสมัย โดยปรากฏตัวครั้งแรกในงานดีทรอยท์ออโตโชว์ 1992 และเริ่มผลิตอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1993 อิมพาลารุ่นนี้ มีชื่อเสียงในฐานะรถฟูลไซส์สมรรถนะสูง เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่องยนต์ขนาด 5700ซีซี วี8ปรับปรุงใหม่ มีสมรรถนะสูงกว่าเดิมมาก (กำลัง 260 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 7.1 วินาที) จนได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานตำรวจสหรัฐ ที่ได้เลือกใช้ เชฟโรเลต อิมพาลา เป็นรถตำรวจในราชการ ใช้ตั้งแต่การใช้งานพื้นฐานไปจนถึงไล่จับรถผู้ต้องหา และนอกจากนี้ อิมพาลายังได้เปลี่ยนไปใช้ฝาครอบวาล์วแบบเหล็กหล่อ เพิ่มความทนทาน
ใน ค.ศ. 1996 อิมพาลาก็หยุดผลิตไปอีก ครั้งนี้ ถือเป็นการยุติการผลิตอิมพาลาสายพันธุ์แท้ เพราะการผลิตอิมพาลารุ่นต่อไป เป็นการเปลี่ยนชื่อของรถรุ่น เชฟโรเลต ลูมินา (Chevrolet Lumina) มาเป็น เชฟโรเลต อิมพาลา ซึ่งไม่ได้พัฒนามาจากอิมพาลาโดยตรง
รุ่นที่ 8 (ค.ศ. 1999 - 2005)
ดังที่กล่าวไว้ อิมพาลารุ่นที่ 8 ไม่ใช้รถที่พัฒนามาจากตระกูลอิมพาลาโดยตรง แต่เป็นรถรุ่นอื่นที่เปลี่ยนชื่อมาใช้ชื่ออิมพาลา ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ และถึงแม้จะใช้ชื่ออิมพาลา แต่พัฒนามาแบบมาจากลูมินา และใช้อะไหล่ของลูมินาทั้งหมด แทบไม่เหมือนอิมพาลาของเดิมแม้แต่น้อย แต่ก็สามารถสานต่อชื่อของอิมพาลาได้อย่างดี
อิมพาลารุ่นที่ 8 เป็นรุ่นแรกของอิมพาลาที่เปลี่ยนไปใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ในช่วงแรกของการผลิต อิมพาลาใช้เครื่องยนต์ 2 แบบ คือ วี6 3400ซีซี กับ 3800 ซีซี 200 แรงม้า เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 6.5 วินาที และยังได้มีการออกแบบอิมพาลารุ่นพิเศษ 9C1-9C3 สำหรับใช้งานในหน่วยงานราชการ หน่วยตำรวจ หน่วยดับเพลิง โดยเสริมระบบกันสะเทือนให้แข็งแกร่ง ใช้เครื่องยนต์ วี6 3800ซีซี และนอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ตัดไฟเพื่อช่วยในการพรางตัวในการสืบราชการ (อุปกรณ์ดังกล่าวมีเฉพาะรถ 9C1-9C3 ที่ขายให้กับราชการเท่านั้น ไม่มีให้ในรถที่ขายให้กับผู้ซื้อทั่วไป)
รุ่นที่ 9 (ค.ศ. 2005 - ปัจจุบัน)
อิมพาลารุ่นที่ 9 เปิดตัวในงานลอสแอนเจลิสออโตโชว์ 2005 ใช้ชัสซีส์แบบ W-body ร่วมกับรถบูอิค ลาครอส (Buick LaCrosse) เครื่องยนต์พื้นฐานเป็นเครื่องยนต์วี6 3500ซีซี ตามมาด้วยเครื่องยนต์วี6 3900ซีซี และแรงที่สุดคือเครื่องยนต์วี8 5300ซีซี เป็นเครื่องยนต์วี8 ที่ขับเคลื่อนล้อหน้ารุ่นแรงของเชฟโรเลต มีกำลัง 303 แรงม้า เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ใน 5.6 วินาที ตกตแงภายในด้วยลายไม้วอลนัทสีโทนอ่อน ปุ่มควบคุมแบบโครเมียม มีสัญลักษณ์อิมพาลาสีเงินวาวบนหน้าปัทม์ ต่อมาในค.ศ. 2007 ได้มีการออกรถอิมพาลา FFV ที่สามารถใช้เชื้อเพลิงได้ทุกชนิดตั้งแต่เบนซิน, แก๊สโซฮอล์, E20 ไปจนถึง E85 รวมทั้งเครื่องยนต์พลังงานทดแทนประเภทอื่นๆ
ปัจจุบัน อิมพาลามียอดขายสูงเป็นอันดับที่ 8 ของสหรัฐอเมริกา[ต้องการอ้างอิง] ที่ถึงแม้จะไม่มากเหมือนเมื่อครั้งยุคทศวรรษ 1960 แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จได้ด้วยดี
ภาพอื่นๆ
-
ไฟท้ายรูปหยดน้ำตาและครีบหลังอันเลื่องชื่อของรุ่นที่ 2
-
หน้าปัทม์ความเร็วแบบคลาสสิกของรุ่นที่ 5
-
อิมพาลารุ่นที่ 2 แบบเปิดประทุนได้
-
ไฟท้าย 6 ดวงอันเลืองชื่อของอิมพาลา เอสเอส ปี 1961
-
อิมพาลารุ่นที่ 2 ตัวถังแบบกระบะ
-
เครื่องยนต์ในอิมพาลา เอสเอส ปี 1963
-
ไฟท้ายของอิมพาลารุ่นปัจจุบัน