ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ปฏิจจสมุปบาท"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 26: บรรทัด 26:
=== ลำดับแห่งปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์ ===
=== ลำดับแห่งปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์ ===


[[ทุกข์|ความทุกข์]] จะดับไปได้เพราะดับ [[ชาติ]] (การเกิดอัตตา"ตัวตน"คิดว่าตนเป็นอะไรอยู่)
[[ทุกข์|ความทุกข์]] จะดับไปได้เพราะ [[ชาติ]] (การเกิดอัตตา"ตัวตน"คิดว่าตนเป็นอะไรอยู่) ดับ


[[ชาติ]] จะดับไปได้เพราะดับ [[ภพ]] (การมีภาระหน้าที่และภาวะทางใจ)
[[ชาติ]] จะดับไปได้เพราะ [[ภพ]] (การมีภาระหน้าที่และภาวะทางใจ) ดับ


[[ภพ]] จะดับไปได้เพราะดับ [[อุปาทาน]] (ความยึดติดในสิ่งต่าง ๆ)
[[ภพ]] จะดับไปได้เพราะ [[อุปาทาน]] (ความยึดติดในสิ่งต่าง ๆ) ดับ


[[อุปาทาน]] จะดับไปได้เพราะดับ [[ตัณหา]] (ความอยาก)
[[อุปาทาน]] จะดับไปได้เพราะ [[ตัณหา]] (ความอยาก) ดับ


[[ตัณหา]] จะดับไปได้เพราะดับ [[เวทนา]] (ความรู้สึกทุกข์หรือสุขหรือเฉยๆ)
[[ตัณหา]] จะดับไปได้เพราะ [[เวทนา]] (ความรู้สึกทุกข์หรือสุขหรือเฉยๆ) ดับ


[[เวทนา]] จะดับไปได้เพราะดับ [[ผัสสะ]] (การสัมผัส)
[[เวทนา]] จะดับไปได้เพราะ [[ผัสสะ]] (การสัมผัส) ดับ


[[ผัสสะ]] จะดับไปได้เพราะดับ [[สฬายตนะ]] ([[อายตนะ]]ใน๖+นอก๖)
[[ผัสสะ]] จะดับไปได้เพราะ [[สฬายตนะ]] ([[อายตนะ]]ใน๖+นอก๖) ดับ


[[สฬายตนะ]] จะดับไปได้เพราะดับ [[นามรูป]] ([[รูปขันธ์]])
[[สฬายตนะ]] จะดับไปได้เพราะ [[นามรูป]] ([[รูปขันธ์]]) ดับ


[[นามรูป]] จะดับไปได้เพราะดับ [[วิญญาณ]] ([[วิญญาณขันธ์]])
[[นามรูป]] จะดับไปได้เพราะ [[วิญญาณ]] ([[วิญญาณขันธ์]]) ดับ


[[วิญญาณ]] จะดับไปได้เพราะดับ [[สังขาร]] (อารมณ์ปรุงแต่งวิญญาณ-[[เจตสิก]])
[[วิญญาณ]] จะดับไปได้เพราะ [[สังขาร]] (อารมณ์ปรุงแต่งวิญญาณ-[[เจตสิก]]) ดับ


[[สังขาร]] จะดับไปได้เพราะดับ [[อวิชชา]] (ความไม่รู้อย่างแจ่มแจ้ง)
[[สังขาร]] จะดับไปได้เพราะ [[อวิชชา]] (ความไม่รู้อย่างแจ่มแจ้ง) ดับ


== สมุทยวาร-นิโรธวาร ==
== สมุทยวาร-นิโรธวาร ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 01:18, 27 มิถุนายน 2557

ปฏิจจสมุปบาท (/ปะติดจะสะหฺมุบบาด/) (บาลี: Paticcasamuppāda; สันสกฤต: Pratītyasamutpāda) เป็นชื่อพระธรรมหัวข้อหนึ่งในศาสนาพุทธ เรียกอีกอย่างว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ


นิยามปฏิจจสมุปบาท

อธิบายถึง การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ

การเทศนาปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า อนุโลมเทศนา

หากแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เช่น ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้ เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา

ลำดับแห่งปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์

ความทุกข์ จะดับไปได้เพราะ ชาติ (การเกิดอัตตา"ตัวตน"คิดว่าตนเป็นอะไรอยู่) ดับ

ชาติ จะดับไปได้เพราะ ภพ (การมีภาระหน้าที่และภาวะทางใจ) ดับ

ภพ จะดับไปได้เพราะ อุปาทาน (ความยึดติดในสิ่งต่าง ๆ) ดับ

อุปาทาน จะดับไปได้เพราะ ตัณหา (ความอยาก) ดับ

ตัณหา จะดับไปได้เพราะ เวทนา (ความรู้สึกทุกข์หรือสุขหรือเฉยๆ) ดับ

เวทนา จะดับไปได้เพราะ ผัสสะ (การสัมผัส) ดับ

ผัสสะ จะดับไปได้เพราะ สฬายตนะ (อายตนะใน๖+นอก๖) ดับ

สฬายตนะ จะดับไปได้เพราะ นามรูป (รูปขันธ์) ดับ

นามรูป จะดับไปได้เพราะ วิญญาณ (วิญญาณขันธ์) ดับ

วิญญาณ จะดับไปได้เพราะ สังขาร (อารมณ์ปรุงแต่งวิญญาณ-เจตสิก) ดับ

สังขาร จะดับไปได้เพราะ อวิชชา (ความไม่รู้อย่างแจ่มแจ้ง) ดับ

สมุทยวาร-นิโรธวาร

การแสดงหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นการแสดงให้เห็น ความเกิดขึ้นแห่งธรรมต่างๆ โดยอาศัยปัจจัยสืบทอดกันไปอย่างนี้ เป็น สมุทยวาร คือฝ่ายสมุทัย ใช้เป็นคำอธิบาย อริยสัจข้อที่สอง (สมุทัยสัจจ์) คือ แสดงให้เห็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ปฏิจสมุปบาทที่แสดงแบบนี้เรียกว่า อนุโลมปฏิจจสมุปบาท

(ดังแสดงสองตัวอย่างที่ผ่านไป เป็น อนุโลมเทศนา และ ปฏิโลมเทศนา ของอนุโลมปฏิจจสมุปบาท ตามลำดับ)

การแสดงตรงกันข้ามกับข้างต้นนี้ เรียกว่า นิโรธวาร คือฝ่ายนิโรธ ใช้เป็นคำอธิบาย อริยสัจข้อที่สาม (นิโรธสัจจ์) เรียกว่า ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท แสดงให้เห็นความดับไปแห่งทุกข์ ด้วยอาศัยความดับไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย สืบทอดกันไป เช่น

เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือสังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ เพราะชาติ ดับชรามรณะ (จึงดับ) ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแค้นใจ ก็ดับ

ดังนี้เรียกว่า อนุโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท

ส่วนปฏิโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ก็พึงแสดงย้อนว่า ชรามรณะเป็นต้น ดับเพราะชาติดับ ชาติดับเพราะภพดับ ฯลฯ สังขารดับเพราะอวิชชาดับ

อิทัปปัจจยตา ธรรมนิยาม ปัจจยาการ

ปฏิจจสมุปบาทนี้ มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก ที่สำคัญคือ อิทัปปัจจยตา(ภาวะที่มีอันนี้ๆเป็นปัจจัย) และปัจจยาการ (อาการที่สิ่งทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่กัน)

ข้อความอ้างอิง

จาก มหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปฏิจจสมุบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก ก็แหละถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นของตื้นนัก ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้นอานนท์ ปฏิจจสมุบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก ดูกรอานนท์เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอุบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร ...

ดูกรอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงเกิดสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิด ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ

จาก ปัจจัยสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖

ภิกษุทั้งหลาย ความจริงแท้ ความไม่คลาดเคลื่อน ความไม่เป็นอย่างอื่น มูลเหตุอันแน่นอนในธาตุอันนั้น ดังพรรณนามาฉะนี้แล เราเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท

(ภิกฺขเว ยา ตตฺร ตถตา อวิตถตา อนฺถตา อิทปฺปจฺจยตา อย วุจฺจติ ภิกฺขเว ปฏิจฺจสมุปฺปาโท)

(ถ้าเขียนทับศัพท์จะได้ว่า -ภิกษุทั้งหลาย ตถตา อวิตถตา อนัญญถตา หลักอิทัปปัจจยตา ดังพรรณนามาฉะนี้แล เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท)

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น