ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สงครามรัสเซีย–ญี่ปุ่น"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Setawut (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 152: บรรทัด 152:
ประธานาธิบดี[[ธีโอดอร์ โรสเวลต์]] แห่งสหรัฐอเมริกา ได้เสนอให้สหรัฐอเมริกาเป็นคนกลางในการจัดเจรจาสันติภาพนี้ขึ้น ซึ่งทำให้เขาได้รับ[[รางวัลโนเบล]]สาขาสันติภาพในเวลาต่อมา ฝ่ายรัสเซียได้ส่ง เซรกี วิตเต เป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายรัสเซีย ในขณะที่ฝ่ายญี่ปุ่นมี โคะมุระ จุตะโร ที่จบการศึกษาจาก[[มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด]] เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายญี่ปุ่น และได้ลงนามในสันธิสัญญาสันติภาพ ในวันที่ 5 กันยายน 1905 ณ อู่ทัพเรือพอร์ตสมัท ในตำบลพอร์ทสมัท ของ[[รัฐนิวแฮมป์เชียร์]] ทำให้สนธิสัญญานี้ถูกรู้จักกันในชื่อ "สนธิสัญญาพอร์ตสมัท" ในการนี้รัสเซียให้การยอมรับว่าเกาหลีเป็นเขตใต้อิทธิพลของญี่ปุ่น และรัสเซียตกลงที่จะย้ายออกจากเกาหลีไปแมนจูเรีย นอกจากนี้ ภายหลังลงนาม ประธานาธิบดี[[ธีโอดอร์ โรสเวลต์]] ยังสนับสนุนให้รัสเซีย ปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ญี่ปุ่น
ประธานาธิบดี[[ธีโอดอร์ โรสเวลต์]] แห่งสหรัฐอเมริกา ได้เสนอให้สหรัฐอเมริกาเป็นคนกลางในการจัดเจรจาสันติภาพนี้ขึ้น ซึ่งทำให้เขาได้รับ[[รางวัลโนเบล]]สาขาสันติภาพในเวลาต่อมา ฝ่ายรัสเซียได้ส่ง เซรกี วิตเต เป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายรัสเซีย ในขณะที่ฝ่ายญี่ปุ่นมี โคะมุระ จุตะโร ที่จบการศึกษาจาก[[มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด]] เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายญี่ปุ่น และได้ลงนามในสันธิสัญญาสันติภาพ ในวันที่ 5 กันยายน 1905 ณ อู่ทัพเรือพอร์ตสมัท ในตำบลพอร์ทสมัท ของ[[รัฐนิวแฮมป์เชียร์]] ทำให้สนธิสัญญานี้ถูกรู้จักกันในชื่อ "สนธิสัญญาพอร์ตสมัท" ในการนี้รัสเซียให้การยอมรับว่าเกาหลีเป็นเขตใต้อิทธิพลของญี่ปุ่น และรัสเซียตกลงที่จะย้ายออกจากเกาหลีไปแมนจูเรีย นอกจากนี้ ภายหลังลงนาม ประธานาธิบดี[[ธีโอดอร์ โรสเวลต์]] ยังสนับสนุนให้รัสเซีย ปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ญี่ปุ่น


รัสเซียยังยุติสัญญาสิทธิ25ปีในการเช่าพอร์ตสมัท ตลาดจนน่านน้ำและคาบสมุทรในบริเวณนั้น และมอบครึ่งหนึ่งส่วนใต้ของ[[เกาะซาฮาลิน]]แก่ญี่ปุ่น ซึ่งต่อมา ญี่ปุ่นได้เสียดินแดนส่วนนี้แก่[[สหภาพโซเวียต]]ภายหลังพ่ายแพ้[[สงครามโลกครั้งที่สอง]]
รัสเซียยังยุติสัญญาสิทธิ25ปีในการเช่าพอร์ตสมัท ตลอดจนน่านน้ำและคาบสมุทรในบริเวณนั้น และยกครึ่งหนึ่งส่วนใต้ของ[[เกาะซาฮาลิน]]แก่ญี่ปุ่น ซึ่งต่อมา ญี่ปุ่นได้เสียดินแดนส่วนนี้แก่[[สหภาพโซเวียต]]ภายหลังพ่ายแพ้[[สงครามโลกครั้งที่สอง]]

== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==
{{คอมมอนส์-หมวดหมู่|Russo-Japanese War|สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น}}
{{คอมมอนส์-หมวดหมู่|Russo-Japanese War|สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น}}

รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:07, 2 เมษายน 2557

สงครามรัสเซีย–ญี่ปุ่น
สถานที่
{{{place}}}

สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (อังกฤษ: Russo-Japanese War, ญี่ปุ่น: 日露戦争โรมาจินิชิโระ เซ็นโซ) เป็น สงครามครั้งใหญ่ครั้งแรกในศตวรรษที่ 20 อันเนื่องมาจากลัทธิจักรวรรดินิยมของจักรวรรดิรัสเซียและจักรวรรดิญี่ปุ่น ในบริเวณทางใต้ของแมนจูเรียในพื้นที่คาบสมุทรเหลียวตง, เสิ่นหยาง และบริเวณเกาหลีในพื้นที่คาบสมุทรเกาหลี, ทะเลเหลือง

รัสเซียได้ร้องขอท่าเรือน้ำอุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิกไว้ [1] สำหรับกองทัพเรือและเพื่อการค้าทางทะเลของพวกเขา ซึ่งเมืองวลาดิวอสต็อกของรัสเซียสามารถเปิดดำเนินการได้อย่างเต็มที่ เฉพาะในฤดูร้อนเท่านั้น แต่เมืองพอร์ตอาเธอร์ (ลวี่ชุนเกาในปัจจุบัน) สามารถเปิดดำเนินการได้ตลอดทั้งปี ซึ่งตั้งแต่สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 ยุติลง ในปี ค.ศ. 1903 รัสเซียไม่สามารถตกลงและเจรจากับญี่ปุ่นได้ ญี่ปุ่นจึงเลือกวิธีการทำสงครามเพื่อให้ได้ครอบงำคาบสมุทรเกาหลี ภายหลังการเจรจาอันยากเย็นได้จบลงในปี ค.ศ. 1904 กองทัพจักรพรรดินาวีญี่ปุ่นได้เข้าโจมตีภาคตะวันออกของรัสเซียที่พอร์ตอาเธอร์ และฐานทัพเรือในจังหวัดเหลียวตง ที่รัสเซียเช่าจากจีนอยู่ รัสเซียไม่สามารถต้านทานแสนยานุภาพของกองทัพแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิได้ไม่ว่าจะทั้งทั้งทางบกและทางทะเล

ผลการรบคือกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ได้รับชัยชนะเหนือกองทัพของจักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งเป็นที่ไม่คาดคิดสำหรับประเทศผู้สังเกตการณ์ต่างๆ จากสงครามครั้งนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนสมดุลของขั้วอำนาจโลก และญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่มีบทบาทในเวทีโลก

เบื้องหลัง

ภายหลังการปฏิรูปเมจิ ในปี ค.ศ. 1868 รัฐบาลแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิมีนโยบายในการพัฒนาชาติให้เท่าทันตะวันตก โดยการพัฒนาเทศโนโลยี บุคคลากร ให้ทันสมัยต่อโลก จนในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นกลายเป็นรัฐอุตสาหกรรมที่ทันสมัย​​ในเวลาน้อยกว่าครึ่งศตวรรษ ญี่ปุ่นที่รักษาอธิปไตยของพวกเขาไว้ได้รับการยอมรับในฐานะชาติที่เท่าเทียมกับมหาอำนาจตะวันตก

รัสเซียซึ่งถือเป็นจักรวรรดิที่แข็งแกร่งและเป็นมหาอำนาจ มีความทะเยอทะยานต่อดินแดนในเอเชียตะวันออก ในคริสต์ทศวรรษที่ 1890 รัสเซียได้ขยายอาณาเขตไปทั่วเอเชียกลาง ไปยังอัฟกานิสถาน กระบวนการดูดกลืนรัฐท้องถิ่นของรัสเซียยังคงดำเนินไป ญี่ปุ่นที่ได้มีความหวั่นเกรงต่อรัสเซียหวังที่จะมีอิทธิพลในภูมิภาค จึงได้ถือเอาเกาหลีและแมนจูเรียบางส่วนเป็นรัฐหน้าด่าน

สงครามจีน-ญี่ปุ่น (1894–1895)

นายพลชาวจีนจากเปียงยาง ยอมศิโรราบต่อกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1894

รัฐบาลแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิเห็นว่า อาณาจักรเกาหลี ซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ใกล้กับญี่ปุ่น และกำลังอยู่ภายใต้จักรวรรดิชิง จะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการปกป้องอธิปไตยและรักษาความปลอดภันของชาติตน ซึ่งประชากรและเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังมีความต้องการทางปัจจัยด้านนโยบายทางต่างประเทศของญี่ปุ่น อย่างน้อยที่สุด ญี่ปุ่นคิดว่าหากญี่ปุ่นไม่ได้เข้าครอบครองเกาหลี ก็หวังว่าเกาหลีจะเป็นอิสระปราศจากการครอบงำโดยชาติใดๆ

จากชัยชนะของจักรวรรดิญี่ปุ่นเหนือจักรวรรดิชิง นำไปสู่สนธิสัญญาชิโมะโนะเซะกิ และจีนสูญเสียอิทธิพลเหนือคาบสมุทรเกาหลีและคาบสมุทรเหลียวตง รวมถึงเสียดินแดนไต้หวัน ให้แก่ญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามรัสเซียซึ่งยังมีความทะเยอทะยานในภูมิภาคนี้อยู่ ได้พยายามชักชวนเยอรมนีและฝรั่งเศส ในการกดดันและบีบญี่ปุ่น โดยเรียกร้องให้ญี่ปุ่นปลดปล่อยคาบสมุทรเหลียวตง

การรุกล้ำของรัสเซีย

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1897 กองทัพเรือรัสเซียได้ปรากฏขึ้นที่พอร์ตอาเธอร์ เดิมรัสเซียต้องการพอร์ตอาเทอร์ซึ่งเป็นเมืองท่าเขตน้ำอุ่นอยู่แล้ว และต้องการพอร์ทอาเธอร์โดยเร็วที่สุด ในปี ค.ศ. 1898 รัสเซียจึงได้เลือกที่จะเช่าพอร์ตอาร์เธอร์, ต้าเหลียงว่าน และน่านน้ำโดยรอบ จากจีน ซึ่งชาวรัสเซียเชื่ออย่างยิ่งว่า วิธีนี้จะทำให้พวกเขาไม่สูญเสียเวลาในการเข้าครอบครอง

ภายหลังเข้าบริหารพอร์ตอาเธอร์แล้ว ปีต่อมารัสเซียได้สร้างทางรถไฟจากฮาร์บิน ผ่านเสิ่นหยาง สู่พอร์ตอาเธอร์ ซึ่งการพัฒนาทางรถไฟนี้เองเป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อการก่อกบฏนักมวย

รัสเซียเริ่มที่จะแผ่อิทธิพลเข้าไปในเกาหลี โดยในปี ค.ศ. 1898 พวกเขาได้รับสัมปทานการทำเหมืองแร่และการป่าไม้ที่อยู่ใกล้แม่น้ำยาลิวและตูเหมิน [2] ก่อให้เกิดความวิตกกังวลมากในญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นตัดสินใจเข้าโจมตีก่อนที่ทางรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรีย จะแล้วเสร็จ

ความร่วมมือด้านหน่วยข่าวกรอง ระหว่างอังกฤษ-ญี่ปุ่น

ก่อนสงครามจะอุบัติขึ้น หน่วยข่าวกรองของอังกฤษและญี่ปุ่น ได้ร่วมมือกันที่จะต่อต้านรัสเซีย[3] กองทัพบริติชอินเดีย ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่มลายูและจีน มักจะดักจับและอ่านโทรเลขและที่เกี่ยวข้องกับการทหารและสงคราม ซึ่งได้มีการแบ่งปันข้อมูลที่ได้มาแก่ญี่ปุ่น [4] ในทางกลับกัน ญี่ปุ่นก็ได้แบ่งปันข้อมูลเกียวกับรัสเซียแก่อังกฤษเป็นภาษาอังกฤษที่สมบูรณ์แบบ ที่เขียนโดยหน่วยข่าวกรองของญี่ปุ่น [5] และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน่วยข่าวกรองของอังกฤษและญี่ปุ่น ได้รวบรวมหลักฐานมาก ว่าเยอรมนีกำลังสนับสนุนรัสเซียเข้าสู่สงคราม เพื่อต้องการให้เกิดความสั่นคลอนทางด้านดุลย์อำนาจในชาติยุโรป ทำให้อังกฤษได้ตระหนักมากขึ้นถึงภัยคุกคามต่อนานาชาติ[6]

ประกาศสงคราม

ดินแดนแมนจูเรียทั้งหมด โดยที่สีแดงอ่อนคือแมนจูเรียของรัสเซีย

จักรวรรดิญี่ปุ่น ได้ประกาศสงครามในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 [7] อย่างไรก็ตาม สามชั่วโมงก่อนที่ทางรัฐบาลรัสเซียจะได้รับทราบถึงคำประกาศสงคราม จักรวรรดินาวีญี่ปุ่นได้ทำการโจมตีกองเรือของรัสเซียทางตะวันออกของพอร์ตอาเธอร์ เมื่อข่าวทราบไปถึง จักรพรรดินีคาไลที่ 2 แห่งรัสเซีย ทำให้ถึงกับทรงตื่นตะลึง ทรงไม่เชื่อว่าญี่ปุ่นจะสามารถกระทำสงครามโดยไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ และได้ทรงรับคำยืนยันจากรัฐมนตรีของพระองค์ว่า ญี่ปุ่นจะไม่ต่อสู้ ซึ่งรัสเซียได้ประกาศสงครามในแปดวันต่อมา[8]

ญี่ปุ่นที่ชาญฉลาดนั้นได้อ้างถึงการโจมตีสวีเดนของรัสเซีย เมื่อ ค.ศ. 1809 ว่าครั้งนั้นรัสเซียก็ไม่ได้ประกาศสงครามก่อน และการร้องขอที่จะประกาศสงครามก่อนที่สงครามจะเริ่มก็ไม่ได้ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ จนกระทั่งสงครามได้สิ้นสุดลงในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1907 โดยมีผลตั้งแต่ 26 มกราคม ค.ศ. 1910 [9]

จักรวรรดิชิงซึ่งแพ้สงครามต่อญี่ปุ่นมาแล้วได้มีความพยายามเอาใจญี่ปุ่น โดยการเสนอความช่วยเหลือทางการทหารไปยังญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ได้ปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม หยวน ซื่อไข่ ได้ส่งทูตไปพบกับนายพลของญี่ปุ่นหลายต่อหลายครั้ง เพื่อมอบอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และชาวแมนจูเรียบางส่วนก็เข้าร่วมรบกับทั้งสองฝ่าย ในฐานะทหารรับจ้าง

แนวร่วมของรัสเซีย

มอนเตเนโกร ได้ประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เป็นสัญญาณของการสนับสนุนศีลธรรมทางทหารสำหรับรัสเซีย เนื่องด้วยเป็นการตอบแทนรัสเซียในการช่วยมอนเตเนโกรต่อการต่อต้านจักรวรรดิออตโตมัน แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดทางการขนส่งและระยะทาง ผลงานและความพยายามในการช่วยเหลือรัสเซียจึงถูกจำกัด โดยการส่งทหารชาวมอนเตรเนโกรจำนวนเล็กน้อยเข้าร่วมกับกองทัพจักรวรรดิรัสเซียแทน

เหตุการณ์ในปี 1904

พอร์ตอาเธอร์บนคาบสมุทรเหลียวตงทางตอนใต้ของดินแดนแมนจูเรีย ได้กลายเป็นฐานทัพเรือสำคัญของกองทัพเรือจักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อรัสเซียในการมีอำนาจและอิทธิพลในทะเลตะวันออก และเพื่อการนั้น รัสเซียจึงต้องประมือกับญี่ปุ่นเป็นอย่างแรก

ยุทธนาวีพอร์ตอาเธอร์

กองปืนใหญ่ของรัสเซียบนชายฝั่งระดมยิงต่อต้านกองเรือจักรวรรดิญี่ปุ่น

คืนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1904 จักรวรรดินาวีญี่ปุ่นภายใต้บัญชาการของ พลเรือเอก โทโง เฮฮะชิโร ได้เปิดศึกโดยเรือพิฆาตตอร์ปิโด[10] ได้โจมตีเรือรบของรัสเซียที่พอร์ตอาเธอร์ จากการโจมตีนั้นได้สร้างความเสียหายให้แก่เรือรบ เทสซาเรวิช และ เร็ทวิซัน เรือรบที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพเรือรัสเซีย ที่ลอยลำอยู่ทางตะวันออก และ เรือลาดตระเวน พัลลาดา[11] จากการโจมตีเหล่านี้ได้พัฒนาในการต่อสู้ของกองทัพเรือรัสเซียในเช้าวันถัดไป ทำให้กองเรือจักรวรรดินาวีญี่ปุ่นมีความลังเลที่จะโจมตีต่อ ซึ่งนี่เองทำให้กองเรือของพลเรือเอกโทโงไม่สามารถที่จะโจมตีเรือของรัสเซียได้ เพราะว่ากองเรือของรัสเซียถูกปกป้องโดยกองปืนใหญ่ที่อยู่บนชายฝั่ง ถึงกระนั้นรัสเซียก็มีความลังเลที่จะออกเรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการเสียชีวิตของ พลเรือเอก สเตฟาน มารารอฟ เมื่อ 13 เมษายน 1904

อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการเหล่านี้ก้ได้เปิดช่องทางให้กองทัพญี่ปุ่นสามารถยกพลขึ้นบกที่อินชอน ในเกาหลีได้ ซึ่งต่อมาไม่นานญี่ปุ่นก็เข้ายึดครองกรุงฮันยัง (โซล) และเกาหลีก็กลายเป็น รัฐในอารักขาของจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งต่อมา กองพลที่ 1 แห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นภายใต้บัญชาการของ พลเอก คุโระกิ ทะเมะโมะโตะ ก็พร้อมที่จะข้ามแม่น้ำเพื่อยึดครองแมนจูเรีย

การรบที่แม่น้ำยาลู

ภาพวาดสมรภูมิแม่น้ำยาลู วาดโดยวะตะนะเบะ โนะบุกะซุ ในปี ค.ศ. 1904

วันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1904 สมรภูมิแม่น้ำยาลูกลายเป็นการรบภาคพื้นดินครั้งแรกของสงคราม กองพลที่หนึ่งแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นซึ่งเคลื่อนพลจากเกาหลีได้ข้ามแม่น้ำยาลูเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู้แมนจูเรียได้บุกโจมตีที่ตั้งของรัสเซีย โดยการวางแผนอย่างดีโดยพลเอกคุโระกิ รัสเซียซึ่งพ่ายแพ้ทางกลยุทธ์ของญี่ปุ่นและมีกำลังทางทหารที่น้อยกว่าจึงได้รับคำสั่งให้ถอยทัพ จากความพ่ายแพ้ของกองกำลังเฉพาะกิจรัสเซียตะวันออก ได้ทำให้รัสเซียล้มเลิกความคิดที่ว่า การทำสงครามกับญี่ปุ่นนั้นเป็นเรื่องง่ายและรัสเซียจะได้รับชัยชนะในเวลาอันสั้น[12] ทหารญี่ปุ่นได้รุดหน้าต่อไปยังอีกหลายจุดบนชายฝั่งดินแดนแมนจูเรีย และขับไล่รัสเซียให้ถอยร่นกลับไปพอร์ตอาเธอร์ ซึ่งเมื่อกองทัพญี่ปุ่นตามไปถึงพอร์ตอาเธอร์ในวันที่ 25 พฤษภาคมแล้ว ก็เกิดการรบขึ้นที่เรียกว่า การรบที่หนานชาง ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นได้รับชัยชนะ แต่ก็ต้องสูญเสียกำลังพลไปจำนวนมากจากความพยายามในการรักษาฐานที่มั่นของรัสเซีย

การปิดล้อมพอร์ตอาเธอร์

ภาพวาดพื้นที่สมรภูมิ การปิดล้อมพอร์ตอาเธอร์

ในคืนวันที่ 13- 14 กุมภาพันธุ์ 1904 ญี่ปุ่นได้พยายามที่จะปิดกั้นทางเข้าทางทะเลสู่พอร์ตอาเธอร์ โดยได้จมเรือกลไฟบรรทุกซีเมนต์หลายลำในเขตน้ำลึกก่อนที่จะเข้าถึงท่าเรือแต่ก็ไม่เป็นผล[13] ในขณะความพยายามของครั้งที่สองในการปิดล้อมพอร์ตอาเธอร์ในคืนวันที่ 3-4 พฤษภาคม 1904 เองก็ล้มเหลว ซึ่งก่อนหน้านั้นในเดือนมีนาคม พลเรือโทมารารอฟได้รับคำสั่งจากกองเรือแปซิฟิกที่หนึ่งในการทลายการปิดล้อม

12 เมษายน 1904 เรือรบรัสเซียสองลำ อันได้แก่ เรือธง เปโตรปาวลอฟสก์ (Petropavlovsk) และเรือลาดตระเวน ปาเบดา (Pobeda) มุ่งหน้าออกจากพอร์ตอาเธอร์ แต่ก็ถูกทุ่นระเบิดของญี่ปุ่นเสียก่อนบริเวณปากทางเข้า ทำให้เรือธงเปโตรปาวลอฟวก์อัปปางลงในทันทีในขณะที่เรือปาเบดาถูกลากกลับไปที่ท่าเพื่อซ่อมแซม ซึ่งในเหตุการณ์นี้พลเรือโทมารารอฟได้เสียชีวิตไปพร้อมกับเรือธงเปโตรปาวลอฟท์

15 เมษายน 1904 รัฐบาลรัสเซียได้แสดงการคุกคามผู้สื่อข่าวอังกฤษที่กำลังโดยสารเรือการข่าวของอังกฤษ ไฮ้มุ๋น ไปในพื้นที่ปะทะ เพื่อรายงานสถานการณ์ไปยังสำนักงานของหนังสือพิมพ์ Times ในกรุงลอนดอน ซึ่งรัสเซียกังวลว่าสื่ออังกฤษจะตีพิมพ์ถึงสถานการณ์ ว่ารัสเซียที่กำลังเพลี่ยงพล้ำแก่กองเรือญี่ปุ่น

รัสเซียเรียนรู้ถึงกลยุทธ์ของญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว ในเรื่องของทุ่นระเบิด ในวันที่ 15 พฤษภาคม 1904 รัสเซียได้เริ่มปฏิบัติการเอาคืน โดยเป้าหมายคือเรือรบญี่ปุ่นสองลำ ยะชิมะ และ ฮะสึเซะ ซึ่งเรือทั้งสองลำได้ถูกทุ่นระเบิดของรัสเซีย เรือฮะสึเซะอัปปางลงในเวลาไม่กี่นาที พร้อมๆกับลูกเรือ 450 นาย ในขณะที่ยะชิมะ ถูกทุ่นระเบิดขณะกำลังถูกลากจูงไปซ่อมบำรุง ต่อมาในวันที่ 23 มิถุนายน 1904 ความพยายามในการทลายวงล้อม ภายใต้คำสั่งของ พลเรือเอก วีลเกียฟต์ ล้มเหลว ซึ่งในปลายเดือน กองเรือญี่ปุ่นได้ยิงปืนใหญ่ไปยังท่าเรือพอร์ตอาเธอร์

การล้อมโจมตีพอร์ตอาเธอร์

การระดมยิงในภารกิจล้อมโจมตีพอร์ตอาเธอร์ 1904

การล้อมโจมตีพอร์ตอาเธอร์ ได้เริ่มขึ้นในเดือนเมษายน 1904 ช่วงเวลาเดียวกันกับการปิดล้อมพอร์ตอาเธอร์ กองทหารญี่ปุ่นได้พยายามโจมตีป้อมรัสเซียบนยอดเขาที่สามารถมองเห็นท่าเรืออยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ มีทหารญี่ปุ่นบาดเจ็บล้มตายมากกว่าพันนายในภารกิจนี้

แต่ด้วยความสามารถของหมู่ปืนใหญ่ Krupp howitzers (เส้นผ่าศูนย์กลางกระบอกปืน: 11 นิ้ว) ผลิตโดยเยอรมัน ทำให้ญี่ปุ่นสามารถเข้ายึดครองป้อมปราการนี้ได้ในเดือนธันวาคม 1904 การยึดป้อมปราการนี้เองทำให้กองทหารญี่ปุ่นเกิดความได้เปรียบ เนื่องจากสามารถยิงปืนใหญ่ระยะไกลสู่เขตของกองเรือรัสเซียได้ ซึ่งทำให้กองเรือรัสเซียไม่สามารถตอบโต้กองปืนใหญ่ภาคพื้นดินของญี่ปุ่นอย่างมีประสิทธิผล และไม่สามารถฝ่าวงล้อมของกองเรือญี่ปุ่นที่ปิดอ่าวอยู่ได้ ญี่ปุ่นสามารถจมเรือ 4 ลำของรัสเซียไปในภารกิจนี้ ด้วยชัยชนะของญี่ปุ่น นี่เป็นกรณีศึกษาทางประวัติศาสตร์และการทหารที่สำคัญ ที่กองทหารบกสามารถมีชัยเหนือกองเรือโดยการยิงปืนใหญ่

เมื่อความพยายามในการรักษาฐานที่มั่นจากการโอบล้อมของญี่ปุ่นได้ล้มเหลวลง กองกำลังรัสเซียภาคเหนือ ได้ถอยร่นจากพอร์ตอาเธอร์ไปยังมุกเดน (เสิ่นหยาง) พลตรี อนาโตลี สเตสซีล ผู้บัญชาการกองทหารรักษาการพอร์ตอาเธอร์ กล่าวว่า เป้าหมายที่จะต้องปกป้องเมืองได้สูญสิ้นไปทั้งหมดภายหลังจากที่กองเรือถูกทำลาย และแต่ละครั้งที่ญี่ปุ่นโจมตี ฝ่ายรัสเซียก็บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ในขณะที่ฝ่ายญี่ปุ่นมีความสูญเสียนั้นน้อยมาก เรื่องนี้ส่งผลให้ พลตรี สเตสซีล ตัดสินใจยอมจำนนต่อนายพลของญี่ปุ่นในวันที่ 2 มกราคม 1905 ทำให้ญี่ปุ่นเข้ายึดครองพอร์ตอาเธอร์ได้สำเร็จ ซึ่งการตัดสินใจของพลตรีสเตสซีลครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจโดยตัวของเขาเอง ไม่มีการแจ้งหรือขอคำปรึกษาต่อต้นสังกัดหรือรัฐบาลพระเจ้าซาร์มาก่อน ซึ่งล้วนแต่คัดค้านและไม่พอใจอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจโดยพลการของเขา ซึ่งทำให้ในปี 1908 เขาถูกพิพากษาประหารชีวิต ด้วยเหตุผลการป้องกันดินแดนในอารักขาที่ไร้ความสามารถของเขา และกระทำการฝ่าผืนคำสั่ง

ยุทธนาวีทะเลเหลือง

เรือธง มิกะซะ ของพลเรือเอกโทโง
เรือธง เทรซาเรวิช ของพลเรือตรีวีลเกียฟต์

ด้วยการถึงแก่อนิจกรรมในการรบ ของพลเรือโท สเตฟาน มาการอฟ ระหว่างการปิดล้อมพอร์ตอาเธอร์ในเดือนเมษายน 1904 ทางกองทัพส่วนกลางของรัสเซีย ได้แต่งตั้ง พลเรือตรี วิลเง็มล์ วีลเกียฟต์ มาเป็นผู้บัญชาการประจำกองบัญชาการกองเรือตะวันออก พร้อมกันนี้ได้รับคำสั่งให้โจมตีกองกำลังญี่ปุ่นที่พอร์ตอาเธอร์ และเคลื่อนพลไปเสริมที่วลาดิวอสต็อก ในการนี้เขาได้บัญชาการเรือธง เทรซาเรวิช (Tsesarevich) ซึ่งเป็นหนึ่งในเรือธงที่ทรงเกียรติที่สุดของรัสเซีย

พลเรือตรี วีลเกียฟต์ ได้เคลื่อนกองเรือของเขา ซึ่งประกอบด้วย 6 เรือประจัญบาน, 4 เรือลาดตระเวน และ 14 เรือพิฆาตตอร์ปิโด สู่ทะเลเหลือง ในเช้ามืดวันที่ 10 สิงหาคม 1904 ซึ่งที่นั่น กองเรือญี่ปุ่นที่บัญชาการโดย พลเรือเอก โทโง เฮฮะชิโร ด้วย 4 เรือประจัญบาน, 10 เรือลาดตระเวน และ 18 เรือพิฆาตตอร์ปิโด ได้มารออยู่แล้ว

เวลา 12.15น. โดยประมาณ กองเรือทั้งสองอยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นกันและกัน และในเวลาประมาณ 13.00น. นายพลโทโง ได้พยายามจะฝ่าแนวกระบวนเรือรัสเซีย โดยมุ่งกองเรือเข้าหากองเรือรัสเซียเป็นรูปตัว T และเริ่มยิงหมู่ปืนหลักเป็นระยะทาง 12 กิโลเมตร ซึ่งไกลที่สุดเท่าที่มีการเคยบันทึกในขณะนั้น[14] กองเรือรัสเซียได้ยิงปืนใหญ่ตอบโต้กลับ แต่ด้วยระยะห่างของทั้งคู่จึงยังไม่มีกระสุนโดนเป้า เวลาผ่านไปราว 30 นาทีหลังการเริ่มระดมยิงอย่างต่อเนื่อง ทั้งคู่ได้อยู่ในระยะห่าง 6 กิโลเมตร และเริ่มโจมตีด้วยหมู่ปืนรอง เวลาประมาณ 18.30น. กระสุนปืนใหญ่ลูกหนึ่งจากเรือของนายพลโทโง ตกยังสะพานเดินเรือของเรือธงที่นายพลวีลเกียฟต์บัญชาการอยู่ และสังหารเขาในทันที

จากกระสุนปืนใหญ่ลูกเมื่อครู่ ทำให้หางเสือของเรือธง เทรซาเรวิช เกิดการติดขัดทำให้เธอแล่นไปในทิศทางที่ผิด ซึ่งทำให้กองเรือรัสเซียเกิดความสับสน อย่างไรก็ตาม พลเรือเอก โทโง ได้ตัดสินใจที่จะจมเทรซาเรวิช และระดมยิงเธอต่อไป แต่เธอก็ได้ถูกช่วยเหลือไว้จากเรือรบนามบุรุษว่า เร็ตวีซัน (Retvizan) ซึ่งได้มาลากเธอออกไปจากดงกระสุนปืนใหญ่ของนายพลโทโง[15] นายพลโทโงซึ่งรับรู้ถึงการมาเยือนของกองเรือบอลติกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ไม่เสี่ยงที่จะตามไปโจมตี และถอนกองเรือกลับพอร์ตอาเธอร์

การเคลื่อนพลของกองเรือบอลติก

เส้นทาง วันที่และตำแหน่งของกองเรือบอลติก

จักรพรรดินีโคลัสที่ 2 ทรงประสงค์พิชิตญี่ปุ่นโดยเร็ว จึงส่งกองเรือบอลติกที่ประจำอยู่ยุโรปมาสนับสนุนกองเรือตะวันออก กองเรือบอลติก (หรือ กองเรือแปซิฟิกที่ 2) อยู่ภายใต้การบัญชาการของ พลเรือโท ซีโนวี โรซเดสท์เวนสกี

กองเรือเริ่มออกเดินทางในวันที่ 15 ตุลาคม 1904 ซึ่งจะต้องเดินทางด้วยระยะทางเกือบครึ่งโลกจากทะเลบอลติกสู่มหาสมุทรแปซิฟิก และต้องใช้เส้นทางผ่านแหลมกู๊ดโฮปซึ่งเป็นเส้นทางที่ไกลกว่า อันเป็นผลมาจากกรณีทะเลเหนือ (อังกฤษ: Dogger Bank incident) ที่เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 1904 กองเรือรัสเซียยิงเรือประมงอังกฤษที่พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรือตอร์ปิโดของศัตรู ส่งผลให้อังกฤษประท้วงรัสเซียโดยการไม่อนุญาตให้กองเรือรัสเซียเดินเรือผ่านคลองสุเอซ ทำให้กองเรือรัสเซียต้องใช้ระยะเวลาเดินทางกว่า 7 เดือน การเคลื่อนพลครั้งนี้ได้รับความสนใจจากชาวรัสเซียและยุโรปมาก

เนื่องจากระยะทางที่ไกลมาก ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างยากลำบาก อันเป็นผลมาจากความไม่คุ้นเคยต่อสภาพอากาศของลูกเรือ, ปัญหาด้านเครื่องยนต์ขัดข้อง ตลอดจนการซื้อถ่านหินตามเมืองท่ารายทางนั้นก็ลำบาก เนื่องจากเมืองท่าของอังกฤษปฏิเสธการจำหน่ายถ่านหินแก่กองเรือบอลติก

เหตุการณ์ในปี 1905

ยุทธนาวีช่องแคบสึชิมะ

ระหว่างที่กองเรือแปซิฟิกที่ 2 แห่งจักรวรรดิรัสเซีย (กองเรือบอลติก) เดินทางข้ามทะเลกว่า 33,000 กิโลเมตรมาพอร์ตอาเธอร์ ขวัญและกำลังใจของทหารเรือรัสเซียถูกบั่นทอนไปอย่างมากตั้งแต่กองเรือเดินทางถึงมาดากัสการ์ และทราบข่าวถึงความพ่ายแพ้อย่างหมดท่าที่พอร์ตอาเธอร์ พลเรือตรี โรซเดสท์เวนสกี ตอนนี้ได้แต่หวังให้กองเรือไปถึงท่าเรือวลาดิวอสต็อกโดยเร็วที่สุด ซึ่งมีอยู่ 3 เส้นทางด้วยกันที่จะยังวลาดิวอสต็อก ซึ่งเส้นทางที่ใกล้ที่สุดต้องผ่านช่องแคบชิสึมะ ที่อยู่ระหว่างเกาหลีและญี่ปุ่น แต่ทั้งนี้ เส้นทางนี้ก็เป็นเส้นทางที่เสี่ยงที่สุดด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นเส้นทางที่กองเรือญี่ปุ่นใช้สัญจรระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีซึ่งญี่ปุ่นตั้งฐานทัพเรืออยู่

พลเรือเอก โทโง ได้ตระหนักอย่างดีถึงความเคลื่อนไหวของรัสเซียภายหลังจากเสียดินแดนพอร์ตอาเธอร์ไป ว่ากองเรือรัสเซียกำลังพยายามไปเทียบท่าที่ท่าเรือรัสเซียอื่นๆในตะวันออกไกล ตลอดจนวลาดิวอสต็อก ระหว่างนี้ นายพลโทโงได้เริ่มวางแผนการรบ และซ่อมบำรุงเรือรบต่างๆ เพื่อเตรียมรับกับการมาเยือนของกองเรือบอลติก

กองเรือผสมของญี่ปุ่น แต่เดิมมีเรือประจัญบาน 6 ลำ ได้ถูกปรับลดเหลือ 4 ลำ (2 ลำนำไปใช้งานเกี่ยวกับเหมืองแร่) และมีเรือลาดตระเวนและเรือพิฆาตตอรืปิโดตลอดจนเรืออื่นๆ อีก 104 ลำ ในขณะที่กองเรือบอลติก ประกอบด้วยเรือประจัญบาน 8 ลำ ซึ่งในจำนวนนี้มีเรือชั้น บอร์โอดิโน (Borodino) ซึ่งเป็นเรือชั้นใหม่ เข้าร่วมภารกิจด้วย และประกอบด้วยเรือลาดตระเวนและเรือพิฆาตตอรืปิโดตลอดจนเรืออื่นๆ รวมกันอีก 20 ลำ

เช้าวันที่ 27 พฤษภาคม 1905 ภาพถ่ายกองเรือญี่ปุ่นมุ่งหน้าสู่กองเรือบอลติก

ปลายเดือน พฤษภาคม 1905 กองเรือบอลติกใกล้จะถึงวลาดิวอสต็อก และเลือกเส้นทางที่ใกล้และเสี่ยงกว่า คือผ่านช่องแคบชิสึมะ โดยเลือกที่จะเดินทางในตอนกลางคืนเพื่อเลี่ยงที่จะถูกตรวจเจอ แต่นับเป็นโชคร้ายของกองเรือรัสเซีย ขณะผ่านช่องแคบในคืนวันที่ 26 พฤษภาคม 1905 เรือพยาบาลที่ตามมายังคงเปิดเดินเครื่องยนต์และส่องไฟเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายการสงครามสากล[16] ทำให้กองเรือบอลติกถูกตรวจเจอโดยกองเรือลาดตระเวนรับจ้างของญี่ปุ่น ชินะโนะ มะรุ โดยได้ส่งสัญญาณวิทยุแจ้งไปยังศูนย์บัญชาการของพลเรือเอกโทโง และกองเรือผสมก็ได้รับคำสั่งออกปฏิบัติการในทันที[17] นอกจากนี้ยังได้รับข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองทหารเรือของญี่ปุ่นที่ไปสอดแนมมา ว่ากองเรือรัสเซีย จัดกระบวนเรือเป็นแถวตอนเรียงสอง ทำให้นายพลโทโง ตัดสินใจจะทำการ "ข้ามกระบวน T"[18] กับกระบวนเรือรัสเซีย (นำกระบวนเรือฝ่าอีกกระบวนเรือในทิศทางตั้งฉาก) การปะทะเปิดฉากขึ้น ในเวลา 14.08น. ของวันที่ 27 พฤษภาคม โดยกองเรือรัสเซียเปิดฉากโจมตีด้วยการระดมยิงใส่กองเรือผสมของญี่ปุ่น กองเรือญี่ปุ่นแล่นตัดทะลุกระบวนเรือทั้งสองแถวของรัสเซียทำมุม 40° แล้วเลี้ยวกลับเป็นรูปตัวยู (U) หัวแถวของกองเรือรัสเซียเสียขบวน และถูกบีบให้แล่นขนานกับกองเรือผสมของนายพลโทโง ควันจากปล่องไฟของกองเรือรัสเซียลอยบังทางปืนของตัวเอง จากนั้นเรือรบทุกลำของกองเรือญี่ปุ่นก็ระดมยิงใส้เรือกองเรือบอลติก กองเรือบอลติกไม่สามารถต้านทางกองเรือญี่ปุ่นได้จนเรือหลายลำต้องหนี แต่หลายลำก็ถูกไล่ตามจนทัน การรบวันแรกสิ้นสุดลงในเวลา 19.27 โดยมีเรือรบรัสเซียบางส่วนหนีรอดไปได้ ซึ่งกองเรือญี่ปุ่น ได้ปฏิบัติการไล้ตามในเช้าวันรุ่งขึ้น

เมื่อการรบสิ้นสุดลง มีเรือรัสเซียเพียง 3 ลำเท่านั้นที่หนีรอดไปถึงวลาดิวอสต็อก ส่วนที่เหลือถูกญี่ปุ่นจมและยึด กำลังพลรัสเซียเสียชีวิตกว่า 5,000 นาย และถูกจับเป็นเชลยกว่า 6,000 นายส่วนกำลังพลญี่ปุ่นเสียชีวิต 117 นาย ข่าวที่กองเรือบอลติกพ่ายแพ้หมดสภาพในเวลาแค่วันเดียว สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งรัสเซียและยุโรป รัสเซียซึ่งขนะนี้ไม่เหลือศักยภาพที่จะสู้รบกับญี่ปุ่นได้อีก จึงยอมจำนน และนำไปสู่การลงนามสนธิสัญญาพอร์ตสมัท เป็นอันสิ้นสุดสงคราม กองทัพเรือรัสเซียได้ถูกตำหนิอย่างรุนแรงและเกิดความไม่พอใจรัฐบาลขึ้นในหมู่ประชาชน เป็นจุดเริ่มต้นของความตกต่ำของราชวงศ์โรมานอฟ กองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ประจักษ์แสนยานุภาพต่อนานาชาติ และขึ้นมาแทนที่อันดับของกองทัพเรือจักรวรรดิรัสเซีย

ภายหลังสงคราม

สนธิสัญญาพอร์ตสมัท

แม้ว่าทางพฤตินัย การรบจะสิ้นสุดลงตั้งแต่รัสเซียพ่ายแพ้ในยุทธนาวีช่องแคบชิสึมะ แต่ในทางนิตินัยถือว่าสงครามได้ยุติลง เมื่อทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ (สนธิสัญญาสงบศึก) รัสเซียภายหลังแสงครามอย่างสิ้นเชิง ก็เผชิญกับกระแสการปฏิวัติ ปนะชาชนขยาดต่อสงคราม แท้จริงแล้ว ภายหลังยุทธนาวีช่องแคบชิสึมะ ทางรัฐบาลพระเจ้าซาร์จะส่งทหารเข้าไปรบต่ออีกก็ย่อมได้ แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจ, สถานะการคลังของรัฐบาล ตลอดจนความพ่ายแพ้ในศึกครั้งผ่านๆมาทั้งทางบกและทางทะเลต่อญี่ปุ่นได้สร้างความอับอายเกินกว่าที่จะรับได้อีก เช่นนั้นแล้ว จักรพรรดิซาร์นีโคลัสที่ 2 จึงทรงเลือกที่จะเจรจาสันติภาพกับญี่ปุ่น (ยอมจำนน) เพื่อที่รัฐบาลกลางจะได้มีสมาธิในการจัดการความยุ่งยากและความปั่นป่วนภายในประเทศที่เริ่มปะทุขึ้น

ประธานาธิบดีธีโอดอร์ โรสเวลต์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้เสนอให้สหรัฐอเมริกาเป็นคนกลางในการจัดเจรจาสันติภาพนี้ขึ้น ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในเวลาต่อมา ฝ่ายรัสเซียได้ส่ง เซรกี วิตเต เป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายรัสเซีย ในขณะที่ฝ่ายญี่ปุ่นมี โคะมุระ จุตะโร ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายญี่ปุ่น และได้ลงนามในสันธิสัญญาสันติภาพ ในวันที่ 5 กันยายน 1905 ณ อู่ทัพเรือพอร์ตสมัท ในตำบลพอร์ทสมัท ของรัฐนิวแฮมป์เชียร์ ทำให้สนธิสัญญานี้ถูกรู้จักกันในชื่อ "สนธิสัญญาพอร์ตสมัท" ในการนี้รัสเซียให้การยอมรับว่าเกาหลีเป็นเขตใต้อิทธิพลของญี่ปุ่น และรัสเซียตกลงที่จะย้ายออกจากเกาหลีไปแมนจูเรีย นอกจากนี้ ภายหลังลงนาม ประธานาธิบดีธีโอดอร์ โรสเวลต์ ยังสนับสนุนให้รัสเซีย ปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ญี่ปุ่น

รัสเซียยังยุติสัญญาสิทธิ25ปีในการเช่าพอร์ตสมัท ตลอดจนน่านน้ำและคาบสมุทรในบริเวณนั้น และยกครึ่งหนึ่งส่วนใต้ของเกาะซาฮาลินแก่ญี่ปุ่น ซึ่งต่อมา ญี่ปุ่นได้เสียดินแดนส่วนนี้แก่สหภาพโซเวียตภายหลังพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง

อ้างอิง

  1. Forczyk, p. 22 "Tsar's diary entry"
  2. Paine, p. 317
  3. Chapman, John W. M. "Russia, Germany and the Anglo-Japanese Intelligence Collaboration, 1896–1906" pages 41–55 from Russia War, Peace and Diplomacy edited by Mark & Ljubica Erickson, London: Weidenfeld & Nicolson, 2004 page 42.
  4. Chapman, John W.M. "Russia, Germany and the Anglo-Japanese Intelligence Collaboration, 1896–1906" pages 41–55 from Russia War, Peace and Diplomacy edited by Mark & Ljubica Erickson, London: Weidenfeld & Nicolson, 2004 page 55.
  5. Chapman, John W.M. "Russia, Germany and the Anglo-Japanese Intelligence Collaboration, 1896–1906" pages 41–55 from Russia War, Peace and Diplomacy edited by Mark & Ljubica Erickson, London: Weidenfeld & Nicolson, 2004. p. 54.
  6. Chapman, John W. M. "Russia, Germany and the Anglo-Japanese Intelligence Collaboration, 1896–1906" pages 41–55 from Russia War, Peace and Diplomacy edited by Mark & Ljubica Erickson, London: Weidenfeld & Nicolson, 2004. pp. 52–54.
  7. ความน่าเชื่อถือจากนักวิจัยทางวิชาการ เอะจิโระ ยะมะซะ จากร่างปฏิญญาข้อความของญี่ปุ่นจากสงคราม— see Naval Postgraduate School (US) thesis: Na, Sang Hyung. "The Korean-Japanese Dispute over Dokdo/Takeshima," p. 62 n207 ธันวาคม 2007, citing Byang-Ryull Kim. (2006). Ilbon Gunbu'ui Dokdo Chim Talsa (The Plunder of Dokdo by the Japanese Military), p. 121.
  8. Connaughton, p. 34.
  9. Yale University: Laws of War: Opening of Hostilities (Hague III) ; 18 ตุลาคม 1907, Avalon Project at Yale Law School.
  10. Grant p. 12, 15, 17, 42
  11. Shaw, Albert (March, 1904). "The Progress of the World – Japan's Swift Action". The American Monthly Review of Reviews. New York: The Review of Reviews Company. 29 (3): 260 {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: postscript (ลิงก์)
  12. Connaughton, p.65
  13. Grant, p. 48–50
  14. Forczyk p. 50
  15. Forczyk p. 53
  16. Watts p. 22
  17. Mahan p. 455
  18. Mahan p. 456

แม่แบบ:Link GA