ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เซลีน ดิออน"
บรรทัด 120: | บรรทัด 120: | ||
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2553 เซลีนได้ออกซิงเกิล "โวเลอร์" ({{lang-fr|Voler}}) ผลงานเพลงซึ่งขับร้องร่วมกับ Michel Sardou ซึ่งบรรจุในอัลบั้มเพลงของ Sardou<ref> [http://www.canoe.com/divertissement/musique/nouvelles/2010/09/22/15440861-ca.html VOLER Michel Sardou en duo avec Céline Dion] ''Canoe.ca'' Retrieved 2010-09-26</ref> นอกจากนี้เธอยังประกาศในเดือนตุลาคมปีเดียวกันว่าเธอได้ประพันธ์เพลงใหม่ให้กับมาร์ด กูเปร นักร้องชาวแคนาดา ชื่อว่า "Entre deux mondes"<ref> [http://www.matin.qc.ca/article_culture.php?id=60358§ion=musique Marc Dupre: un nouvel extrait compose par Celine Dion] ''Branchez-vous!'' Retrieved 2010-10-10</ref> |
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2553 เซลีนได้ออกซิงเกิล "โวเลอร์" ({{lang-fr|Voler}}) ผลงานเพลงซึ่งขับร้องร่วมกับ Michel Sardou ซึ่งบรรจุในอัลบั้มเพลงของ Sardou<ref> [http://www.canoe.com/divertissement/musique/nouvelles/2010/09/22/15440861-ca.html VOLER Michel Sardou en duo avec Céline Dion] ''Canoe.ca'' Retrieved 2010-09-26</ref> นอกจากนี้เธอยังประกาศในเดือนตุลาคมปีเดียวกันว่าเธอได้ประพันธ์เพลงใหม่ให้กับมาร์ด กูเปร นักร้องชาวแคนาดา ชื่อว่า "Entre deux mondes"<ref> [http://www.matin.qc.ca/article_culture.php?id=60358§ion=musique Marc Dupre: un nouvel extrait compose par Celine Dion] ''Branchez-vous!'' Retrieved 2010-10-10</ref> |
||
=== 2554 ถึงปัจจุบัน ''เซลีน'' ''ซ็องซาต็องดร์'' และ '' |
=== 2554 ถึงปัจจุบัน ''เซลีน'' ''ซ็องซาต็องดร์'' และ ''เลิฟด์มีแบ็กทูไลฟ์'' === |
||
จากบทสัมภาษณ์ใน ''[[นิตยสารพีเพิล]]'' ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เซลีนประกาศว่าเธอจะกลับไปแสดงยังซีซาร์สพาเลสในนครลาสเวกัสในการแสดงชุด ''[[เซลีน (มหรสพ)|เซลีน]]'' เป็นการแสดงทั้งสิ้น 3 ปี โดยจะเริ่มต้นในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554<ref> [http://www.people.com/people/article/0,,20343176,00.html Celine Dion Confirms Her Return to Vegas Stage] ''People Magazine'' Retrieved 2010-2-10</ref> เธอกล่าวว่าการแสดงชุดนี้จะรวม "ทุกเพลงของฉันที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีที่ทุกคนอยากได้ยิน" รวมไปถึงเพลงที่คัดสรรจากภาพยนตร์คลาสสิกของฮอลลีวูด<ref> [http://www.people.com/people/article/0,,20343176,00.html Celine Dion Confirms Her Return to Vegas Stage] ''People Magazine'' Retrieved 2010-2-10</ref> เซลีนประกาศว่าเธอกำลังทำงานในสองอัลบั้มใหม่ทั้งภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษโดยร่วมกับ[[เอ. อาร์. ราห์แมน]] ผู้ได้รับรางวัลอะคาเดมีสาขาดนตรี ซึ่งประพันธ์เพลงใหม่ให้เธอสองเพลง <ref> [http://www.google.com/hostednews/canadianpress/article/ALeqM5gb8lDyeCMFKJqPxGVcP2nOmnJc8A Celine Dion says new documentary a 'VIP' pass for fans; talks about being an 'open book'] ''The Canadian Press'' Retrieved 2010-2-16</ref><ref> [http://www.hindustantimes.com/News-Feed/music/Rahman-to-team-up-with-Celine-Dion/Article1-509072.aspx Rahman to team up with Celine Dion] ''Hindustan Times'' Retrieved 2010-2-16</ref> |
จากบทสัมภาษณ์ใน ''[[นิตยสารพีเพิล]]'' ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เซลีนประกาศว่าเธอจะกลับไปแสดงยังซีซาร์สพาเลสในนครลาสเวกัสในการแสดงชุด ''[[เซลีน (มหรสพ)|เซลีน]]'' เป็นการแสดงทั้งสิ้น 3 ปี โดยจะเริ่มต้นในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554<ref> [http://www.people.com/people/article/0,,20343176,00.html Celine Dion Confirms Her Return to Vegas Stage] ''People Magazine'' Retrieved 2010-2-10</ref> เธอกล่าวว่าการแสดงชุดนี้จะรวม "ทุกเพลงของฉันที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีที่ทุกคนอยากได้ยิน" รวมไปถึงเพลงที่คัดสรรจากภาพยนตร์คลาสสิกของฮอลลีวูด<ref> [http://www.people.com/people/article/0,,20343176,00.html Celine Dion Confirms Her Return to Vegas Stage] ''People Magazine'' Retrieved 2010-2-10</ref> เซลีนประกาศว่าเธอกำลังทำงานในสองอัลบั้มใหม่ทั้งภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษโดยร่วมกับ[[เอ. อาร์. ราห์แมน]] ผู้ได้รับรางวัลอะคาเดมีสาขาดนตรี ซึ่งประพันธ์เพลงใหม่ให้เธอสองเพลง <ref> [http://www.google.com/hostednews/canadianpress/article/ALeqM5gb8lDyeCMFKJqPxGVcP2nOmnJc8A Celine Dion says new documentary a 'VIP' pass for fans; talks about being an 'open book'] ''The Canadian Press'' Retrieved 2010-2-16</ref><ref> [http://www.hindustantimes.com/News-Feed/music/Rahman-to-team-up-with-Celine-Dion/Article1-509072.aspx Rahman to team up with Celine Dion] ''Hindustan Times'' Retrieved 2010-2-16</ref> |
||
บรรทัด 126: | บรรทัด 126: | ||
[http://www.eonline.com/uberblog/marc_malkin/b226282_we_know_ceacuteline_dions_post-baby.html We Know Céline Dion's Post-Baby Plans (Hint: Think Oscar!)] E! Online. Retrieved February 15, 2011</ref> ในวันที่ 4 กันยายน เซลีนร่วมในงาน ''เอ็มดีเอเลเบอร์เทเลธอน 2011'' (2011 MDA Labor Telethon) โดยเปิดคลิปที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ในเพลง "[[โอเพนอาร์มส]]" จากการแสดงที่ลาสเวกัสของเธอ<ref>{{cite web|author=|url=http://www.celinedion.com/news/celine-mda-labor-day-telethon-tonight |title=Celine on MDA Labor Day Telethon Tonight | The Official Celine Dion Site |work=Celinedion.com|date= |accessdate=2011-10-29}}</ref> ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554 OWN Network ได้ปฐมทัศน์สารคดีเกี่ยวกับชีวิตของเซลีนตั้งแต่ก่อนการคลอดบุตรชายแฝดของเธอรวมไปถึงขั้นตอนการผลิตการแสดงที่ลาสเวกัสในชื่อ "Celine: 3 Boys and a New Show" หรือ "เซลีน: บุตรชาย 3 คนกับการแสดงชุดใหม่"<ref>{{cite web|author=|url=http://www.celinedion.com/news/%E2%80%98celine-3-boys-and-new-show%E2%80%99-own-weekend |title=‘Celine: 3 Boys and a New Show’ On OWN This Weekend! | The Official Celine Dion Site |work=Celinedion.com|date= |accessdate=2011-10-29}}</ref> สารคดีดังกล่าวได้รับการจัดอันดับที่สองของ OWN ในแคนาดา ในเดือนตุลาคม FlightNetwork.com ได้จัดทำผลสำรวจสอบถามผู้ร่วมสัมภาษณ์ 780 คน ว่าผู้มีชื่อเสียงคนใดที่คุณอยากนั่งข้างๆตอนอยู่บนเครื่องบิน โดยเซลีนได้รับเลือกสูงสุดในร้อยละ 23.7<ref>{{cite web|author=|url=http://www.celinedion.com/news/who-your-dream-celebrity-seat-mate |title=Who Is Your Dream Celebrity Seat-Mate? | The Official Celine Dion Site |work=Celinedion.com|date= |accessdate=2011-10-29}}</ref> เช่นเดียวกับในเดือนกันยายน เซลีนได้ออกจำหน่ายน้ำหอมลำดับที่ 14 ชื่อ "ซิกเนเจอร์" (Signature)<ref name="celinedion1">{{cite web|author=|url=http://www.celinedion.com/news/signature-%E2%80%93-celine%E2%80%99s-new-fragrance-coming-soon-boutique |title=Signature – Celine’s New Fragrance, Coming Soon To The Boutique | The Official Celine Dion Site |work=Celinedion.com|date= |accessdate=2011-10-29}}</ref> ในวันที่ 15 กันยายน เซลีนปรากฏในคอนเสิร์ต ''[[คอนแชร์โต: วันไนต์อินเซ็นทรัลปาร์ค]]'' ของ[[อานเดรอา โบเชลลี]] ณ เซ็นทรัลปาร์ค นิวยอร์ก<ref>{{cite web|author=|url=http://www.celinedion.com/news/celine-appear-andrea-bocelli%E2%80%99s-concert-central-park |title=Celine To Appear At Andrea Bocelli’s Concert in Central Park | The Official Celine Dion Site |work=Celinedion.com|date= |accessdate=2011-10-29}}</ref> ในปี พ.ศ. 2555 เซลีนได้แสดงในงานเทศกาลแจ็สแอนด์บลูส์ประจำปี ค.ศ. 2012 ใน[[จาไมกา]]<ref>{{cite web|url=http://www.jayblessed.com/2012/01/29/videos-celine-dion-performing-live-at-2012-jamaica-jazz-and-blues/ |title=VIDEOS: Celine Dion performing LIVE at 2012 Jamaica Jazz and Blues! | Jay Blessed Media |publisher=Jayblessed.com |date= |accessdate=2012-04-09}}</ref> |
[http://www.eonline.com/uberblog/marc_malkin/b226282_we_know_ceacuteline_dions_post-baby.html We Know Céline Dion's Post-Baby Plans (Hint: Think Oscar!)] E! Online. Retrieved February 15, 2011</ref> ในวันที่ 4 กันยายน เซลีนร่วมในงาน ''เอ็มดีเอเลเบอร์เทเลธอน 2011'' (2011 MDA Labor Telethon) โดยเปิดคลิปที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ในเพลง "[[โอเพนอาร์มส]]" จากการแสดงที่ลาสเวกัสของเธอ<ref>{{cite web|author=|url=http://www.celinedion.com/news/celine-mda-labor-day-telethon-tonight |title=Celine on MDA Labor Day Telethon Tonight | The Official Celine Dion Site |work=Celinedion.com|date= |accessdate=2011-10-29}}</ref> ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554 OWN Network ได้ปฐมทัศน์สารคดีเกี่ยวกับชีวิตของเซลีนตั้งแต่ก่อนการคลอดบุตรชายแฝดของเธอรวมไปถึงขั้นตอนการผลิตการแสดงที่ลาสเวกัสในชื่อ "Celine: 3 Boys and a New Show" หรือ "เซลีน: บุตรชาย 3 คนกับการแสดงชุดใหม่"<ref>{{cite web|author=|url=http://www.celinedion.com/news/%E2%80%98celine-3-boys-and-new-show%E2%80%99-own-weekend |title=‘Celine: 3 Boys and a New Show’ On OWN This Weekend! | The Official Celine Dion Site |work=Celinedion.com|date= |accessdate=2011-10-29}}</ref> สารคดีดังกล่าวได้รับการจัดอันดับที่สองของ OWN ในแคนาดา ในเดือนตุลาคม FlightNetwork.com ได้จัดทำผลสำรวจสอบถามผู้ร่วมสัมภาษณ์ 780 คน ว่าผู้มีชื่อเสียงคนใดที่คุณอยากนั่งข้างๆตอนอยู่บนเครื่องบิน โดยเซลีนได้รับเลือกสูงสุดในร้อยละ 23.7<ref>{{cite web|author=|url=http://www.celinedion.com/news/who-your-dream-celebrity-seat-mate |title=Who Is Your Dream Celebrity Seat-Mate? | The Official Celine Dion Site |work=Celinedion.com|date= |accessdate=2011-10-29}}</ref> เช่นเดียวกับในเดือนกันยายน เซลีนได้ออกจำหน่ายน้ำหอมลำดับที่ 14 ชื่อ "ซิกเนเจอร์" (Signature)<ref name="celinedion1">{{cite web|author=|url=http://www.celinedion.com/news/signature-%E2%80%93-celine%E2%80%99s-new-fragrance-coming-soon-boutique |title=Signature – Celine’s New Fragrance, Coming Soon To The Boutique | The Official Celine Dion Site |work=Celinedion.com|date= |accessdate=2011-10-29}}</ref> ในวันที่ 15 กันยายน เซลีนปรากฏในคอนเสิร์ต ''[[คอนแชร์โต: วันไนต์อินเซ็นทรัลปาร์ค]]'' ของ[[อานเดรอา โบเชลลี]] ณ เซ็นทรัลปาร์ค นิวยอร์ก<ref>{{cite web|author=|url=http://www.celinedion.com/news/celine-appear-andrea-bocelli%E2%80%99s-concert-central-park |title=Celine To Appear At Andrea Bocelli’s Concert in Central Park | The Official Celine Dion Site |work=Celinedion.com|date= |accessdate=2011-10-29}}</ref> ในปี พ.ศ. 2555 เซลีนได้แสดงในงานเทศกาลแจ็สแอนด์บลูส์ประจำปี ค.ศ. 2012 ใน[[จาไมกา]]<ref>{{cite web|url=http://www.jayblessed.com/2012/01/29/videos-celine-dion-performing-live-at-2012-jamaica-jazz-and-blues/ |title=VIDEOS: Celine Dion performing LIVE at 2012 Jamaica Jazz and Blues! | Jay Blessed Media |publisher=Jayblessed.com |date= |accessdate=2012-04-09}}</ref> |
||
ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555 เซลีนเข้าบันทึกเสียงสำหรับอัลบั้มภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษชุดใหม่ของเธอ<ref name=cd1>{{cite web|title=Celine's New Albums|publisher=celinedion.com|url=http://www.celinedion.com/ca/news/celine%E2%80%99s-new-albums|date=7 June 2012|accessdate=21 September 2012}}</ref> อัลบั้มภาษาฝรั่งเศสใช้ชื่อว่า ''[[ซ็องซาต็องดร์]]'' ออกจำหน่ายเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555<ref>{{cite web | title=Sans attendre' – A Big Day For Germany, Switzerland and Belgium | publisher=celinedion.com | url=http://www.celinedion.com/ca/news/sans-attendre%E2%80%99-%E2%80%93-big-day-germany-switzerland-and-belgium | date=2 November 2012 | accessdate=2 November 2012}}</ref> ส่วนอัลบั้มภาษาอังกฤษเลื่อนกำหนดการออกจำหน่ายเป็นวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556<ref>{{cite web|title=Release Dates For 'Loved Me Back To Life'|publisher=celinedion.com|url=http://www.celinedion.com/ca/news/release-dates-%E2%80%98loved-me-back-life%E2%80%99|date=4 September 2013|accessdate=4 September 2013}}</ref> ในชื่อ ''[[เลิฟด์มีแบ็กทูไลฟ์]]'' ซึงเธอได้ร่วมงานกับนักประพันธ์เพลงและโปรดิวเซอร์ที่หลากหลาย และได้บันทึกเสียงร่วมกับ[[เน-โย]]และ[[สตีวี วันเดอร์]]<ref>{{cite web|title=Celine Dion: Loved Me Back to Life|publisher=celinedion.com|url=http://www.celinedion.com/ca/music/loved-me-back-life|date=4 September 2013|accessdate=4 September 2013}}</ref> โดยออกซิงเกิลแรกเพลง "[[เลิฟด์มีแบ็กทูไลฟ์ (ซิงเกิล)|เลิฟด์มีแบ็กทูไลฟ์]]" เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556<ref>{{cite web|url=http://www.billboard.com/articles/news/5679741/celine-dion-talks-loved-me-back-to-life-single-album-exclusive|title=Celine Dion Talks 'Loved Me Back to Life' Single, Album (Exclusive)|date=29 August 2013|accessdate=29 August 2013|work=Billboard|publisher=Nielsen Business Media, Inc}}</ref> จากความสำเร็จของอัลบั้ม ''ซ็องซาต็องดร์'' เซลีนจึงได้จัดทัวร์คอนเสิร์ต ''[[ซ็องซาต็องดร์ทัวร์]]'' ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ในประเทศเบลเยียมและฝรั่งเศส<ref>{{cite web|title=Celine Dion Returns to Europe for 7 Exceptional shows|publisher=celinedion.com|url=http://www.celinedion.com/ca/press/celine-dion-returns-europe-7-exceptional-shows|date=2013-04-23|accessdate=2013-04-23}}</ref> |
|||
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555 เซลีนได้ให้สัมภาษณ์กับรายการทูเดย์โชว์ของสหรัฐอเมริกาพร้อมวิดีโอเพลงใหม่ระหว่างการบันทึกเสียงในสตูดิโอ "ดิดต์โนว์เลิฟ"<ref>{{cite web|author=|url=http://video.today.msnbc.msn.com/today/47672815 |title=TODAY:Celine Dion: 'Titanic' theme 'will live forever'}}</ref> ในคอลัมน์ของนิตยสาร ''Le journal Montréal'' กล่าวว่าเธอจะมีการออกจำหน่ายอัลบั้มภาษาอังกฤษในวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ในชื่อว่า ''[[วอร์เตอร์แอนด์อะเฟลม]]'' เซลีนกล่าวว่าอัลบั้มนี้จะประกอบไปด้วยเพลงที่นำมาขับร้องใหม่จากการแสดงในลาสเวกัสของเธอร่วมกับเพลงใหม่ และได้โปรดิวเซอร์ที่มีชื่อเสียงอย่าง[[เบบี้เฟส]] [[เน-โย]] และ[[เอก ไวต์]] และได้รับการยืนยันว่าอัลบั้มนี้จะมีเพลงที่ขับร้องร่วมกับ[[สตีวี วันเดอร์]]ในเพลง "โอเวอร์จอยด์"<ref>{{cite web|author=url|http://www.journaldemontreal.com/2012/06/06/son-album-en-anglais |title=Son album en anglais |work=journaldemontreal.com|date =|accessdate=2012-06-06}}</ref> อย่างไรก็ดี เซลีนได้ประกาศผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเธอเมื่อวันที่ 29 กันยายนว่า อัลบั้มดังกล่าวจะเลื่อนการออกจำหน่ายเป็นในปี พ.ศ. 2556<ref>[http://www.celinedion.com/ca/news/message-fans celine dion.com] Message to Fans สืบค้นวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555]</ref> ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 เซลีนได้ออกจำหน่ายอัลบั้มรวมเพลงฮิต ''[[เดอะเบสต์ออฟเซลีนดิออนแอนด์เดวิดฟอสเตอร์]]'' ส่วนอัลบั้มภาษาฝรั่งเศส ''[[ซ็องซาต็องดร์]]'' มีกำหนดการออกจำหน่ายในวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 โดยออกซิงเกิลแรก "[[ปาร์เลอามงแปร์]]" ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555<ref>{{cite web | title=Sneak Preview of Celine's New Single "Parler à mon père"| publisher=celinedion.com | url=http://www.celinedion.com/news/sneak-preview-celine%E2%80%99s-new-single-%E2%80%9Cparler-%C3%A0-mon-p%C3%A8re%E2%80%9D | date=2012-06-29 | accessdate=2012-06-30}}</ref> |
|||
== ชีวิตส่วนตัว == |
== ชีวิตส่วนตัว == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:18, 12 พฤศจิกายน 2556
เซลีน ดิออน | |
---|---|
ข้อมูลพื้นฐาน | |
ชื่อเกิด | เซลีน มารี โกลแด็ต ดียง (Céline Marie Claudette Dion) |
เกิด | 30 มีนาคม พ.ศ. 2511 |
ที่เกิด | ควิเบก ,แคนาดา |
แนวเพลง | ป็อป, บัลลาด, ร็อก |
อาชีพ | นักร้อง |
ช่วงปี | พ.ศ. 2524-ปัจจุบัน |
ค่ายเพลง | โคลัมเบีย โซนี่ บีเอ็มจี |
เว็บไซต์ | celinedion.com |
สำหรับอัลบั้มเพลงในชื่อเดียวกันนี้ ดูที่ เซลีนดิออน (อัลบั้ม)
ดอกเตอร์เซลีน มารี โกลแด็ต ดียง (โรมัน: Céline Marie Claudette Dion) หรือ เซลีน ดียง (โรมัน: Céline Dion (IPA: ⓘ)) หรือ เซลีน ดิออน ตามสำเนียงภาษาอังกฤษ (สมาชิกราชอิสริยาภรณ์แห่งแคนาดาชั้นจตุรถาภรณ์ (OC) , สมาชิกราชอิสริยาภรณ์แห่งควิเบกชั้นจตุรถาภรณ์ (OQ) และสมาชิกเครื่องรัฐอิสริยาภรณ์เลฌียงโดเนอร์แห่งฝรั่งเศสชั้นเบญจมาภรณ์[1][2]) เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2511 เป็นนักร้อง นักประพันธ์ดนตรี และนักแสดงชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส[3][4] เซลีนเกิดในครอบครัวใหญ่ เริ่มต้นการเป็นนักร้องโดยใช้ภาษาฝรั่งเศส หลังจากที่เรอเน อองเชลีล ผู้จัดการส่วนตัวของเธอ (ต่อมาคือสามี) จำนองบ้านของเขาเพื่อเป็นทุนในการออกอัลบั้ม ลาวัวดูบองดีเยอ อัลบั้มภาษาฝรั่งเศสชุดแรก[5] ต่อมาในปี พ.ศ. 2533 เซลีนได้ออกอัลบั้มภาษาอังกฤษอัลบั้มแรกในชื่อว่า ยูนิซัน อันเป็นจุดเริ่มต้นของเธอในวงการเพลงป๊อปสากลในสหรัฐอเมริกา และโลก[6]
เซลีนเป็นที่รู้จักในระดับสากลในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 โดยได้รับรางวัลทั้งจากการประกวดการขับร้องเพลงในเทศกาลการขับร้องสากล จัดโดยบริษัท ยามาฮ่า (อังกฤษ: Yamaha World Song Festival) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2525 และชนะการประกวดเพลงยูโรวิชัน ในปี พ.ศ. 2531[7][8] หลังจากนั้นเธอได้ออกอัลบั้มภาษาฝรั่งเศสอีกหลายชุดในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 จนกระทั่งเธอได้เซ็นสัญญาสังกัดค่ายโซนีเรคอร์ดส ในปี พ.ศ. 2529 ระหว่างช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 เธอได้รับความช่วยเหลือจากเรอเน เซลีนประสบความสำเร็จทั่วโลกกับอัลบั้มภาษาอังกฤษ และอัลบั้มภาษาฝรั่งเศส กลายเป็นหนึ่งในศิลปินที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์วงการเพลงป๊อป[9][10] อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เธอประสบความสำเร็จทั่วโลก เธอได้ประกาศพักงานวงการดนตรีชั่วคราวเพื่อเริ่มชีวิตครอบครัว และใช้เวลาอยู่กับสามีซึ่งขณะนั้นป่วยเป็นโรคมะเร็ง[11][10] หลังจากนั้นเธอได้กลับมาสู่วงการเพลงอีกครั้งในปี พ.ศ. 2545 และเซ็นสัญญาในการแสดงชุด อะนิวเดย์... ที่โรงแรมซีซ่าส์พาเลซ ลาสเวกัส รัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นระยะเวลา 3 ปี (ภายหลังได้ขยายเป็น 5 ปี) [12][13]
ดนตรีของเซลีนได้รับอิทธิพลในแนวดนตรีหลายแนว ตั้งแต่ป็อปปูลาร์, กอสเปล, บัลลาด, คลาสสิก, อาร์แอนด์บี, แจ๊ซ, ประสานเสียง และร็อก กับทั้งสหภาษาตั้งแต่ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาสเปน ภาษาอังกฤษ ภาษาแอฟริกาน และภาษาอิตาลี เซลีนได้รับข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ถึงความสามารถและพลังในการร้องเพลงของเธอ[14][15][16] ในปี พ.ศ. 2547 เซลีนมียอดขายรวมมากกว่า 175 ล้านชุดทั่วโลก และได้รับรางวัลเวิลด์ มิวสิก อวอร์ดส สำหรับการก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศิลปินหญิงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล [17][18] นอกจากนี้ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2550 โซนี่ บีเอ็มจีประกาศว่าเซลีน ดิออนมียอดขายกว่า 200 ล้านชุดทั่วโลก [19]
ประวัติ
วัยเยาว์และก้าวแรกแห่งความสำเร็จ
เซลีน ดิออน เกิดวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2511 ที่ชาร์เลอมาญ เขตชานเมืองทางตะวันออกของเมืองมอนทรีออล รัฐควิเบก ประเทศแคนาดา[20] เป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 14 คน[21] ของนายอาดดีมา ดียง (Adhémar Dion) และนางเทเรส ตองกาย (Thérèse Tanguay) ซึ่งเป็นชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส ครอบครัวนี้มีความผูกพันกับเสียงดนตรีเป็นอย่างมาก ดังเห็นได้จากการที่บิดาและมารดาตั้งชื่อเธอว่า "เซลีน" (ฝรั่งเศส: Celine) ตามบทเพลงชื่อ "เซลีน" อันเป็นผลงานการขับร้องโดย Hugues Aufray นักร้องชาวฝรั่งเศส[22] เมื่อครั้งวัยเยาว์เซลีนร่วมร้องเพลงกับพี่น้องของเธอใน Le Vieux Baril บาร์เปียโนอันเป็นกิจการของครอบครัวเธอ และฝันที่จะเป็นนักร้อง[14] โดยในปี พ.ศ. 2537 เซลีนให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร พีเพิล ว่า "ฉันคิดถึงครอบครัวและบ้านของฉัน แต่ฉันไม่เคยเสียใจที่ฉันเสียเวลาช่วงวัยรุ่นไป ฉันมีความฝันเดียว ฉันอยากเป็นนักร้อง"[23]
เมื่ออายุ 12 ปี แม่และพี่ชายของเธอประพันธ์เพลงให้แก่เซลีน ซึ่งเป็นเพลงแรกในชีวิตของเธอ ชื่อ "เซอเนเตเกิงแรฟว์" (ฝรั่งเศส: Ce n'était qu'un rêve, "มันเป็นเพียงแค่ฝัน") [20] ไมเคิล พี่ชายของเธอได้ส่งเพลงนี้ให้แก่เรอเน อองเชลีล[24] หลังจากเรอเนได้ฟังเพลงนี้แล้ว จึงตัดสินใจปั้นนักร้องคนใหม่ขึ้น[20] เขาจำนองบ้านของเขาเพื่อเป็นทุนในการออกอัลบั้มแรกให้กับเซลีนในชื่อว่า ลาวัวดูบองดีเยอ (ฝรั่งเศส: La voix du bon Dieu) (มีการเล่นคำโดยอาจหมายถึง "เสียงของพระเจ้า" หรือ "วิถีทางแห่งพระเจ้า") ในปี พ.ศ. 2524 ซึ่งกลายเป็นเพลงอันดับ 1 ในท้องถิ่นในเวลานั้น ดนตรีของเธอได้รับความนิยมมากขึ้น เมื่อเธอเข้าร่วมการประกวดการขับร้องเพลงในเทศกาลการขับร้องสากล จัดโดยบริษัท ยามาฮ่า (อังกฤษ: Yamaha World Song Festival) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เธอได้รับรางวัล "ขวัญใจนักดนตรี" จากการลงคะแนนเสียงของคณะดนตรีในวันดังกล่าว (อังกฤษ: Coveted Musician's Award for Top Performer) และได้รับเหรียญทองรางวัล "เพลงยอดเยี่ยม" ในเพลง "แตลมองเชดามูร์ปูร์ตัว" (ฝรั่งเศส: Tellement j'ai d'amour pour toi, "ฉันมีรักมากมายเพื่อคุณ") [24]
ในปี พ.ศ. 2526 เซลีนเป็นนักร้องชาวแคนาดาคนแรกที่ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำของฝรั่งเศสในซิงเกิล "ดามูร์อูดามีตีเย" (ฝรั่งเศส: D'amour ou d'amitié, "รักหรือเพื่อน") เซลีนยังได้รับรางวัลเฟลิกซ์ในสาขา "นักร้องหญิงยอดเยี่ยม" (อังกฤษ: Best Female performer) และ "นักร้องหน้าใหม่แห่งปี" (อังกฤษ: Discovery of the Year) [12][24] นอกจากนี้เซลีนยังประสบความสำเร็จมากขึ้นทั้งในยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย หลังจากเข้าร่วมประกวดร้องเพลงรายการยูโรวิชัน ในปี พ.ศ. 2531 โดยขับร้องเพลง "เนอปาร์เตปาซองมัว" (ฝรั่งเศส: Ne partez pas sans moi, "อย่าไปโดยไม่มีฉัน") [25] อย่างไรก็ตามเธอก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกา เหตุผลส่วนหนึ่งคือ เธอร้องเพลงภาษาฝรั่งเศส[26] จนกระทั่งเมื่อเธออายุ 18 ปี เธอเห็นการแสดงของไมเคิล แจ็กสัน เธอบอกกับเรอเนว่าเธออยากเป็นนักร้องดั่งไมเคิล แจ็กสัน[27] เรอเนมั่นใจในความสามารถของเธอ จึงเริ่มเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเธอสู่ความเป็นสากลมากขึ้น[20] อาทิ เข้ารับการผ่าตัดทางทันตกรรมเพื่อให้เธอดูดีขึ้น และเรียนภาษาอังกฤษกับ École Berlitz ในปี พ.ศ. 2532[6] ณ จุดนี้เองที่ได้ผันชีวิตของเธอสู่นักร้องระดับสากล
ในปี พ.ศ. 2532 ระหว่างการจัดคอนเสิร์ตทัวร์ แองกอยีโตทัวร์ เสียงของเซลีนได้รับบาดเจ็บ เธอได้ปรึกษา William Gould แพทย์เฉพาะทางโสตศอนาสิกวิทยา[28][29] เขายื่นคำขาดให้เธอเข้ารับการผ่าตัดเส้นเสียงหรือเลือกที่จะงดใช้เสียงตลอด 3 สัปดาห์[28] เซลีนเลือกอย่างหลังและผ่านการฝึกใช้เสียงกับ William Riley[28][29] ทั้ง Gould และ Riley ให้ความเห็นว่า "เธอไม่รู้วิธีการร้องและเธอได้ใช้เสียงเธออย่างเลวร้าย"[28][29]
2533-35 ยูนิซัน ดียงชองต์ปลามงดง และ เซลีนดิออน
หลังจากการเรียนภาษาอังกฤษได้ประมาณ 2 ปี เซลีนได้ออกอัลบั้มเพลงภาษาอังกฤษอัลบั้มแรกในชื่อว่า ยูนิซัน (อังกฤษ: Unison) ในปี พ.ศ. 2533[24] ร่วมกับ วิทโท ลุปราโน และเดวิด ฟอสเตอร์ โปรดิวเซอร์ชาวแคนาดา[14] อัลบั้มนี้ได้รับอิทธิพลดนตรีแนวซอฟต์ร็อกจากคริสต์ทศวรรษ 1980 คำวิพากษ์วิจารณ์อัลบั้ม ยูนิซัน มีมากมาย อาทิ จิม เฟเบอร์จากนิตยสาร เอ็นเตอร์เทนเมนต์วีคลีย์ กล่าวว่าเสียงของเซลีนนั้น "ไม่ได้ตกแต่ง แต่มีรสนิยม"[30] สตีเฟน เออร์เลน จาก ออลมิวสิก กล่าวว่า "นักร้องชาวอเมริกาอันมีความสามารถได้เกิดขึ้นแล้ว" [31] ซิงเกิลจากอัลบั้มนี้ได้แก่เพลง "(อิฟแดร์วอส) เอนีอาเธอร์เวย์" "เดอะลาสโทไนว์" "ยูนิซัน" และ "แวร์ดัสมายฮาร์ตบีทนาว" อันเป็นเพลงแนวบัลลาดเทมโปซอฟต์ร็อก โดดเด่นด้วยเสียงกีตาร์อิเล็กทริกส์ เพลงนี้เป็นเพลงแรกของเธอที่ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ดของสหรัฐอเมริกาโดยขึ้นชาร์ตสูงสุดในอันดับที่ 4[21] อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มแรกที่ทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จักในสหรัฐอเมริกา ยุโรปรวมทั้งในเอเชียด้วย
ในปี พ.ศ. 2534 เซลีนเป็นหนึ่งในนักร้องที่ร่วมร้องเพลง "วอยซ์แดทแคร์" (อังกฤษ: Voices That Care) อันเป็นบทเพลงที่มอบให้แก่กองทหารอเมริกันที่เข้าร่วมสงครามอ่าวเปอร์เซีย แท้จริงแล้ว เซลีนก้าวขึ้นสู่นักร้องระดับสากลอย่างแท้จริงหลังจากการร้องเพลง "บิวตีแอนด์เดอะบีสต์" คู่กับ พีโบ ไบรซัน อันเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์แอนนิเมชัน เรื่อง บิวตีแอนด์เดอะบีสท์ ของวอลท์ดิสนีย์[7] เพลงนี้เป็นแบบอย่างของแนวเพลงที่เซลีนร้องในเวลาต่อมา กล่าวคือ เป็นทำนองสบาย ๆ ในแนวบัลลาดคลาสสิก ซิงเกิลนี้เป็นซิงเกิลที่ 2 ของเธอที่ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ด 10 อันดับแรกในสหรัฐอเมริกา เพลงนี้ยังได้รับรางวัลออสการ์ สาขา "เพลงยอดเยี่ยม" (อังกฤษ: Best Song) และรางวัลแกรมมี สาขา "เพลงป๊อปร้องคู่หรือกลุ่มยอดเยี่ยม" (อังกฤษ: Best Pop Performance by a Duo or Group with Vocal) [32] "บิวตีแอนด์เดอะบีสต์" เป็นเพลงหนึ่งในอัลบั้ม เซลีนดิออน อัลบั้มที่ใช้ชื่อเดียวกับเธอเอง โดยเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จของเธอ ผลงานเพลงในอัลบั้มนี้เซลีนได้ร่วมงานกับเดวิด ฟอสเตอร์ และไดแอน วาเรน เพลงอื่น ๆ ที่ประสบความสำเร็จในอัลบั้มนี้ได้แก่ "อิฟยูอาสก์มีทู" (อังกฤษ: If You Asked Me To) เพลงของแพตติ เลอเบลล์ (อังกฤษ: Patti LaBelle) จากภาพยนตร์เรื่อง Licence to Kill อันออกฉายในปี พ.ศ. 2532 เพลงนี้ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ดสูงสุดในอันดับที่ 4 นอกจากนี้ยังมีเพลง "เลิฟแคนมูฟเมาเทนส์" (อังกฤษ: Love Can Move Mountains) และ "น็อตติงโบรกเคนบัตมายฮาร์ต" (อังกฤษ: Nothing Broken But My Heart) โดยก่อนหน้านี้เธอได้ออกอัลบั้ม ดียงชองต์ปลามงดง (ฝรั่งเศส: Dion chante Plamondon) ในปี พ.ศ. 2534 เป็นอัลบั้มเพลงภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงเก่านำมาร้องใหม่ โดยมีเพลงใหม่ 4 เพลงคือ "เดโมกีซอน" (ฝรั่งเศส: Des mots qui sonnent) "เชอด็องซ์ดองมาแต็ต" (ฝรั่งเศส: Je danse dans ma tête) "แกลเกิงเกอแชมแกลเกิงเกอแชม" (ฝรั่งเศส: Quelqu'un que j'aime, quelqu'un qui m'aime) และ "ลามูร์เอ็กซีสต์อ็องกอร์" (ฝรั่งเศส: L'amour existe encore) แต่เดิมออกจำหน่ายในแคนาดา และฝรั่งเศส ในช่วงปี พ.ศ. 2534 - 2535 เท่านั้น ต่อมาได้ออกจำหน่ายทั่วโลกในปี พ.ศ. 2537 มียอดขาย 1.5 ล้านชุดทั่วโลก และเป็นอัลบั้มภาษาฝรั่งเศสอัลบั้มแรกของเธอที่ออกจำหน่ายทั่วโลก
ในช่วงปี พ.ศ. 2535 อัลบั้ม ยูนิซัน และ เซลีนดิออน รวมทั้งการปรากฏในสื่อต่าง ๆ ทำให้เซลีนเป็นที่รู้จักทั่วอเมริกาเหนือ เธอประสบความสำเร็จในตลาดเพลงภาษาอังกฤษ และมีชื่อเสียงมากขึ้น[26] แต่กระนั้น ขณะที่เธอประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกา แฟนเพลงชาวฝรั่งเศสต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่าเธอเพิกเฉยต่อพวกเขา[33][32] ต่อมาในงานประกาศรางวัลเฟลิกซ์ เซลีนได้รับรางวัล "ศิลปินอังกฤษแห่งปี" เธอกล่าวปฏิเสธในการรับรางวัลนั้น เธอยืนยันว่าเธอเป็นศิลปินฝรั่งเศส ไม่ใช่ศิลปินอังกฤษ[34][6] ซึ่งทำให้เธอได้ฐานแฟนเพลงชาวฝรั่งเศสคืนมา นอกจากความสำเร็จด้านดนตรีแล้ว ในด้านชีวิตส่วนตัว เรอเน ผู้จัดการส่วนตัวของเธอ ซึ่งมีอายุมากกว่าเธอ 26 ปี ได้ผันมาเป็นคนรัก อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์นี้ยังคงเป็นความลับของทั้งคู่ ด้วยกลัวว่าสาธารณชนจะกล่าวว่าทั้งสองไม่เหมาะสมกัน[35]
2536-38 เดอะคัลเลอร์ออฟมายเลิฟ และ เดอ
ในปี พ.ศ. 2536 เธอประกาศความรู้สึกของเธอกับผู้จัดการส่วนตัวของเธอผ่านคำว่า "เดอะคัลเลอร์ออฟ[เฮอร์]เลิฟ" (สีสันความรัก[ของเธอ]) ที่ออกมาในชื่อของอัลบั้ม เดอะคัลเลอร์ออฟมายเลิฟ (อังกฤษ: The Colour of My Love) อัลบั้มเพลงภาษาอังกฤษชุดที่ 3 ของเธอ เซลีนกังวลการวิพากษ์วิจารณ์ความสัมพันธ์ระหว่างเธอ และผู้จัดารส่วนตัว แต่แฟนเพลงของเธอกลับให้การตอบรับอย่างดี[14] ท้ายที่สุด เรอเนและเซลีนได้จัดพิธีสมรสอย่างยิ่งใหญ่ที่โบสถ์บาซิลิกา เมืองมอนทรีออล รัฐควิเบก ประเทศแคนาดาในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2537 ซึ่งออกอากาศทางโทรทัศน์ในแคนาดา
สืบเนื่องจากอัลบั้มนี้เซลีนตั้งใจมอบให้แก่ผู้จัดการส่วนตัวของเธอ ทำให้อัลบั้มนี้ประกอบด้วยเพลงแนวความรัก และโรแมนติก[36] อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จสูงสุดเท่าที่ผ่านมา ด้วยยอดขายกว่า 6 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา, 2 ล้านชุดในแคนาดา และขึ้นชาร์ตอันดับที่ 1 ในหลายประเทศ นอกจากนี้เพลง "เดอะพาวเวอร์ออฟเลิฟ" (อังกฤษ: The Power of Love) ยังขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา, แคนาดา และออสเตรเลียเป็นเพลงแรก (เดิมเป็นเพลงของเจนนิเฟอร์ รัช ในปี พ.ศ. 2529) เพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่เป็นสัญลักษณ์ของเธอถึงช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1990[26] ซิงเกิลถัดมาได้แก่ "เว็นไอฟอลอินเลิฟ" (อังกฤษ: When I Fall in Love) ร้องคู่กับคลิฟ กริฟฟิน และเพลง "มิสเล็ด" (อังกฤษ: Misled) ที่ประสบความสำเร็จในชาร์ตของแคนาดา อัลบั้ม เดอะคัลเลอร์ออฟมายเลิฟ เป็นอัลบั้มแรกของเธอที่ได้รับความนิยมในยุโรป โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรในเพลง "ธิงค์ทไวซ์" (อังกฤษ: Think Twice) ซึ่งขึ้นอันดับ 1 ชาร์ตบริติชเป็นเวลากว่า 5 สัปดาห์ติดต่อกัน อยู่ที่อันดับ 1 รวมทั้งสิ้น 7 สัปดาห์ ซิงเกิลนี้เป็นซิงเกิลที่ 4 ที่ร้องโดยนักร้องหญิงที่มียอดขายเกิน 1 ล้านชุดในสหราชอาณาจักร[37] และอัลบั้มนี้ก็ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว 5 แผ่นซึ่งมียอดขายกว่า 2 ล้านชุด
ถึงแม้เซลีนจะประสบความสำเร็จในอัลบั้มภาษาอังกฤษ แต่เธอก็ยังออกอัลบั้มภาษาฝรั่งเศสไปพร้อม ๆ กับอัลบั้มภาษาอังกฤษด้วย[38] ซึ่งเพลงเหล่านี้ส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จมากกว่าเพลงภาษาอังกฤษของเธอ[33] อาทิ อัลบั้ม อาโลแล็งปียา (ฝรั่งเศส: À l'Olympia) โดยบันทึกเสียงระหว่างการแสดงคอนเสิร์ตของเธอที่โรงละครแล็งปียา ปารีส ประเทศฝรั่งเศส อัลบั้มนี้ออกจำหน่ายในปี พ.ศ. 2537 และมีการออกซิงเกิลโปรโมตอัลบั้มนี้ คือเพลง "คอลลิงยู" (อังกฤษ: Calling You) ขึ้นชาร์ตฝรั่งเศสอันดับสูงสุดที่ 75
เดอ (ฝรั่งเศส: D'eux หรือ เดอะเฟรนช์อัลบั้ม (อังกฤษ: The French Album) ในสหรัฐอเมริกา ออกจำหน่ายในปี พ.ศ. 2538 เป็นอัลบั้มภาษาฝรั่งเศสที่ขายดีที่สุดตลอดกาล[38] เพลงในอัลบั้มนี้ส่วนใหญ่เป็นผลงานการประพันธ์ของชอง-ชาก โกลด์แมน เพลงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดจากอัลบั้มนี้คือเพลง "ปูร์เกอตูแมมอองกอร์" (ฝรั่งเศส: Pour que tu m'aimes encore) ขึ้นชาร์ต 1 ใน 10 ของสหราชอาณาจักร (เป็นหนึ่งในเพลงภาษาฝรั่งเศสไม่กี่เพลงที่ประสบความสำเร็จในชาร์ตสหราชอาณาจักร) และเพลง "เชอเซปา" (ฝรั่งเศส: Je sais pas) ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในชาร์ตของฝรั่งเศส โดยเพลงเหล่านี้ได้นำมาร้องใหม่เป็นภาษาอังกฤษในชื่อว่า "อิฟแธตส์ว็อตอิตเทกส์" อังกฤษ: If That's What It Takes)" และ "ไอด็อนท์โนว์" (อังกฤษ: I Don't Know) ตามลำดับ โดยบรรจุลงในอัลบั้มภาษาอังกฤษชุดต่อมาที่มีชื่อว่า ฟอลลิงอินทูยู (อังกฤษ: Falling into You)
ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 เป็นช่วงของการเปลี่ยนแนวดนตรีของเซลีน จากอิทธิพลของร็อกสู่แนวเพลงป๊อป และโซล (แม้กีตาร์อิเล็กทริกส์ยังคงมีความโดดเด่นในดนตรีของเธอ) เพลงของเธอเริ่มมีความนุ่มนวล และใช้ทำนองที่เบาลง และแต่ละเพลงก็จะมีช่วงสำคัญคือการร้องเสียงสูงเท่าที่เสียงของเธอสามารถร้องได้[39] ดนตรีใหม่นี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิจารณ์หลายคน อาทิ แอเรียน เบอร์เกอร์ จากนิตยสาร เอ็นเตอร์เทนเมนท์วีคลีย์ กล่าวว่า "เสียงของเธอผาดโผน" และเป็น "เพลงบัลลาดที่น่าชื่นชม"[40] เป็นผลให้เธอมักถูกเปรียบเทียบกับศิลปินอื่น ๆ อย่างมารายห์ แครี และวิทนีย์ ฮูสตัน[41] นอกจากนี้ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความน่าเบื่อซ้ำซากในแนวดนตรีของเธอ เช่นในอัลบั้ม เดอะคัลเลอร์ออฟมายเลิฟ ที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากงานดนตรีของเธอก่อนหน้านี้[42][36] แม้ว่าเสียงยกย่อง และการวิพากษ์วิจารณ์จะเบาบางลง เซลีนยังคงได้รับความนิยมในชาร์ตสากลทั่วโลก และในปี พ.ศ. 2539 เซลีนได้รับรางวัลเวิลด์ มิวสิก อวอร์ดส ในสาขา "นักร้องหญิงชาวแคนาดาที่มียอดขายทั่วโลกยอดเยี่ยมแห่งปี" (อังกฤษ: World’s Best-selling Canadian Female Recording Artist of the Year) เป็นครั้งที่ 3 และในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 เซลีนได้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในนักร้องที่มียอดขายสูงสุดในโลก พร้อมกับนักร้องหญิงอย่าง มารายห์ แครี และวิทนีย์ ฮูสตัน[43]
2539-42 ฟอลลิงอินทูยู เล็ตส์ทอล์กอะเบาต์เลิฟ และ ซีลซูฟฟีเซแดมเม
อัลบั้ม ฟอลลิงอินทูยู (อังกฤษ: Falling into You) เป็นอัลบั้มภาษาอังกฤษลำดับที่ 4 ของเธอ ออกจำหน่ายในปี พ.ศ. 2539 นับเป็นความสำเร็จของเธอในอีกระดับหนึ่ง อัลบั้มนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและยังแสดงถึงพัฒนาการทางดนตรีของเธออีกด้วย[35] อัลบั้มนี้มีองค์ประกอบหลายส่วน เพื่อให้เข้าถึงแฟนเพลงในกลุ่มที่กว้างขึ้น อาทิ ส่วนของดนตรี มีการใช้วงออเคสตราร่วมบรรเลง, เสียงร้องเพลงแบบแอฟริกัน และเสียงแบบแปลก ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรีอย่างไวโอลิน, กีตาร์สเปน, ทรอมโบน และแซ็กโซโฟน บรรเลงเพื่อสร้างดนตรีแบบใหม่[44] เพลงจากอัลบั้มนี้มีแนวเพลงหลากหลายแนว อาทิ "ฟอลลิงอินทูยู" (อังกฤษ: Falling into You) และ "ริเวอร์ดีปเมาน์เทนไฮ" (เพลงเดิมของทิน่า เทอร์เนอร์) ที่มีเครื่องดนตรีบรรเลงอย่างโดดเด่น, "อิตส์ออลคัมมิงแบ็กทูมีนาว" (อังกฤษ: It's All Coming Back to Me Now) (เพลงเดิมของจิม สเตนแมน) , และเพลงเดิมของอีริค คาร์แมน อย่าง "ออลบายมายเซลฟ์" (อังกฤษ: All by Myself) ที่ยังคงคงแบบดนตรีซอฟต์ร็อก แต่เพิ่มการผสมผสานในแนวคลาสสิกด้วยเสียงของเปียโน และซิงเกิลอันดับหนึ่ง "บีคอสยูเลิฟด์มี" (อังกฤษ: Because You Loved Me) ผมงานการประพันธ์ของไดแอน วาเรน เพลงแนวบัลลาดประกอบภาพยนตร์เรื่อง Up Close & Personal ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2539[43]
ฟอลลิงอินทูยู เป็นผลงานของเซลีนที่ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ในด้านดีอย่างมากมาย ในขณะที่แดน เลอรอย กล่าวว่าผลงานนี้ไม่ได้แตกต่างจากอัลบั้มอื่นๆ ก่อนหน้านี้มากนัก[45] และสตีเฟน โฮลเดน จากนิตยสาร นิวยอร์กไทมส์ และนาคาลี นีโคลส์ จากนิตยสาร ลอสแอนเจลิสไทมส์ กล่าวว่าเพลงในอัลบั้มนี้เป็นเหมือนแบบเดิม ๆ[46][47] คำวิพากษ์วิจารณ์อื่น ๆ อาทิ ชัค เอ็ดดี จากนิตยสาร เอ็นเตอร์เทนเม็นท์วีคลีย์, สตีเฟน โทมัส เออร์เลไวน์ จากนิตยสาร เอเอ็มจี และแดเนียล ดัชฮาลส์กล่าวว่าอัลบั้มนี้ "กระตุ้นความสนใจ", "เร่าร้อน", "ทันสมัย", "สง่างาม" และ "เป็นผลงานประณีตยอดเยี่ยม"[48][44] ฟอลลิงอินทูยู เป็นอัลบั้มที่ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด และประสบความสำเร็จสูงสุดเท่าที่ผ่านมา อัลบั้มนี้ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในหลายประเทศและเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาล[49] นอกจากนี้ อัลบั้มนี้ยังได้รับรางวัลแกรมมี สาขา "อัลบั้มเพลงป๊อปยอดเยี่ยม" (อังกฤษ: Best Pop Album) และรางวัลเกียรติยศสูงสุดของแกรมมี "อัลบั้มแห่งปี"[50] เธอก็เป็นที่รู้จักของโลกมากขึ้น เมื่อเซลีนได้รับการทาบทามในการร้องเพลง "เดอะพาวเวอร์ออฟเดอะดรีม" ในงานพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิก 1996 ที่เมืองแอตแลนตา[51] นอกจากนี้ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2539 เซลีนเริ่มต้นการจัดคอนเสิร์ตทัวร์ฟอลลิงอินทูยู เพื่อสนับสนุนยอดขายของอัลบั้ม ฟอลลิงอินทูยู โดยไปเยือนเมืองสำคัญต่าง ๆ ทั่วโลก
อัลบั้มถัดมาของเซลีนคือ เล็ตส์ทอล์กอะเบาต์เลิฟ (อังกฤษ: Let's Talk About Love) ออกจำหน่ายในปี พ.ศ. 2540[39] บันทึกเสียงที่ลอนดอน, นครนิวยอร์ก, ลอสแอนเจลิส, ซึ่งมีแขกรับเชิญพิเศษมากมายที่มาร่วมร้องในอัลบั้มนี้ อันประกอบด้วย บาร์บรา สตรัยแซนด์ ในเพลง "เทลล์ฮิม" (อังกฤษ: Tell Him) , วงบีจีส์ ในเพลง "อิมมอร์ทอลิตี" (อังกฤษ: Immortality) , ลูชิอาโน ปาวารอตติ ในเพลง "ไอเฮตยูเด็นไอเลิฟยู" (อังกฤษ: I Hate You Then I Love You) [35][52] นอกจากนี้ยังมีนักดนตรีคนอื่นๆได้ร่วมในผลงานอัลบั้มชุดนี้เช่นกัน อาทิ คาโรล์ คิง, เซอร์ จอร์จ มาร์ติน, เจไมกา นักร้องจากไดอาน่าคิงที่เข้ามาสร้างเสียงดนตรีแบบเรกเก้ในเพลง "ทรีตเฮอร์ไลค์อะเลดี" (อังกฤษ: Treat Her Like a Lady)"[53] แม้จะมีศิลปินมากมายร่วมงานในอัลบั้มชุดนี้ แต่อัลบั้มนี้จึงยังคงธีมในเรื่องของ "ความรัก" เหมือนอัลบั้มชุดก่อนๆ โดยเฉพาะความรักแบบพี่น้อง ในเพลง "แวร์อิสเดอะเลิฟ" (อังกฤษ: Where Is the Love) และ "เล็ตส์ทอล์กอะเบาต์เลิฟ" (อังกฤษ: Let's Talk About Love) [54] ซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดจากอัลบั้มนี้คือเพลง "มายฮาร์ตวิลโกออน" (อังกฤษ: My Heart Will Go On) ผลงานการประพันธ์ของเจมส์ ฮอร์เนอร์ และอำนวยการผลิตโดยเจมส์ และวอลเตอร์อะฟาแนซิฟ [50] เพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่อง ไททานิก เพลงนี้ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ทั่วโลก และเป็นหนึ่งในเพลงที่เป็นสัญลักษณ์ของเซลีน ดิออน[55] ซิงเกิล "มายฮาร์ตวิลโกออน" และ "ธิงค์ทไวซ์" ทำให้เซลีนเป็นนักร้องหญิงคนเดียวที่สามารถทำยอดขายซิงเกิลในสหราชอาณาจักรได้เกิน 1 ล้านชุด[56] ในการสนับสนุนยอดขายอัลบั้มนี้ เซลีนได้ทัวร์คอนเสิร์ต เล็ตส์ทอล์กอะเบาต์เลิฟ ในระหว่างปี พ.ศ. 2541 - 2542[57]
เซลีนปิดท้ายในคริสต์ทศวรรษ 1990 กับอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอีก 2 อัลบั้ม คือ ดีสอาร์สเปเชียลไทมส์ (อังกฤษ: These Are Special Times) ออกจำหน่ายในปี พ.ศ. 2541 เป็นเพลงเทศกาลคริสต์มาส และอัลบั้มเพลงฮิตอย่าง ออลเดอะเวย์... อะดิเคดออฟซอง (อังกฤษ: All the Way… A Decade of Song) ในปี พ.ศ. 2542[58] ในอัลบั้ม ดีสอาร์สเปเชียลไทมส์ เซลีนมีส่วนร่วมในการประพันธ์เพลงในอัลบั้มมากขึ้น ในอัลบั้มนี้ประกอบไปด้วยดนตรีแนวคลาสสิกโดยมีวงออร์เคสตราร่วมบรรเลงในทุก ๆ เพลง[59] เพลง "แอมยัวร์แองเจิล" (อังกฤษ: I'm your angel) เป็นผลงานจากการร้องคู่กับอาร์. เคลลี ซึ่งเป็นซิงเกิลที่ 4 ในอัลบั้ม ดีสอาร์สเปเชียลไทมส์ และซิงเกิลสุดท้ายของเธอที่ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา ในส่วนของอัลบั้ม ออลเดอะเวย์... อะดิเคดออฟซอง เป็นอัลบั้มเพลงฮิตที่นำเพลงเก่ามารวมกับเพลงใหม่ 7 เพลง ซิงเกิลแรกเปิดตัวด้วยเพลง "แดทส์เดอะเวย์อิทอิส" (อังกฤษ: That's the Way It Is) , เพลง "เดอะเฟิร์สไทม์เอเวอร์ไอซอยัวร์เฟซ" ซึ่งเดิมขับร้องโดยโรเบอร์ตา เฟลค และเพลง "ออลเดอะเวย์" ร้องคู่กับแฟรงค์ ซินาทรา[58] ในช่วงท้ายคริสต์ทศวรรษที่ 1990 เซลีนมียอดขายอัลบั้มกว่า 100 ล้านชุดทั่วโลก ทำให้เธอได้รับรางวัลจากอุตสาหกรรมดนตรีมากมาย[9] เธอกลายเป็นหนึ่งในดีว่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเพลงร่วมสมัย ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่เธอได้รับการเชื้อเชิญเข้าร่วมการแสดงของสถานีโทรทัศน์ดนตรีวีเอชวัน ในรายการพิเศษ ดีว่าส์ไลฟ์ ในปี พ.ศ. 2541 ร่วมกับ อารีธา แฟรงคลิน, กลอเรีย เอสเตฟาน, ชาเนีย ทเวน และ มารายห์ แครี ซึ่งนั่นทำให้เธอได้รับอิสริยาภรณ์จากบ้านเกิดของเธอ คือ ราชอิสริยาภรณ์แห่งแคนาดาชั้นจตุรถาภรณ์ (OC) และรัฐอิสริยาภรณ์แห่งควิเบกชั้นจตุรถาภรณ์ (OQ) [38] ในปีต่อมาเธอได้รับตำแหน่งในหอเกียรติยศการออกกากาศแห่งแคนาดา และได้รับเกียรติในทางเดินแห่งเกียรติยศของแคนาดา[60] นอกจากนี้เธอยังได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขานักร้องหญิงยอดเยี่ยม และรางวัลเพลงแห่งปี สำหรับเพลง "มายฮาร์ตวิลโกออน" (เพลงนี้ได้รับรางวัล 4 รางวัล โดย 2 รางวัลมอบให้แก่ผู้ประพันธ์เพลง) [61]
เมื่อเปรียบเทียบกับอัลบั้มในช่วงแรก ๆ ของเธอ ทั้งคุณภาพและดนตรีในเพลงของเธอได้เปลี่ยนไปอย่างมาก อิทธิพลจากดนตรีแนวซอฟต์ร็อกกลายมาเป็นเพลงในแนวโซล และมีสไตล์เป็นเพลงร่วมสมัยมากขึ้น อย่างไรก็ตามธีมของ "ความรัก" ก็ยังมีให้เห็นในทุก ๆ อัลบั้มของเธอ ซึ่งเป็นสาเหตุให้นักวิจารณ์กล่าวว่าผลงานของเธอซ้ำซาก[62] บทวิจารณ์อัลบั้ม เล็ตส์ทอล์กอะเบาต์เลิฟ ของร็อบ โอคอนเนอร์กล่าวว่า
สิ่งที่ไม่เคยหยุดทำให้ฉันประหลาดใจก็คือ ความซ้ำซากอย่างที่สุด, ดนตรีที่ถูกครอบงำด้วยความจำเจมักจะได้รับการสรรเสริญจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทางดนตรีว่าไร้ที่ติ เรือที่จมทำให้ฉันนึกถึงทำนองเพลง ["มายฮาร์ตวิลโกออน"] ที่ไถไปเรื่อย ๆเป็นเวลา 4 นาทีกว่า ๆ และอัลบั้มนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่มีที่สิ้นสุด มันไม่มีข้อสงสัยเลยหรือว่าทำไมฉันถึงกลัวเวลาไปหาหมอฟัน[63]
นอกจากนี้เซลีนยังได้รับคำวิจารณ์ในเพลง "เดอะเฟิร์สไทม์เอเวอร์ไอซอยัวร์เฟซ" และ "ออลเดอะวย์" ซึ่งกล่าวไว้ในทางลบว่า "น่าขนลุก" ทั้งแอลลิสสัน สตีวาร์ดจาก เดอะชิกคาโกทรีบูน และเออร์ไวน์จาก ออลมิวสิก[64] แม้ว่าเธอยังคงได้รับการสรรเสริญจากความสามารถในการร้องเพลงของเธอ (เอลิซา การ์ดเนอร์ จาก แอล.เอ.ไทมส์ เรียกเสียงของเธอว่า "เทคนิคที่น่าพิศวง") [15] เสียงของเธอในช่วงแรก ๆ ทำให้ต้องหยุดฟัง และสตีฟ ดอลลาร์ ได้วิจารณ์อัลบั้ม ดีสอาร์สปเชียลไทมส์ ว่า "เสียงของเธอดุจดังมหาบรรพตโอลิมปัสอันไม่มีภูเขาใด หรือระดับใด ๆ สามารถเทียบวัดได้"[65]
2543-46 กำเนิดบุตรชาย, อะนิวเดย์แฮสคัม วันฮาร์ต และ อวีนฟีย์เอกาตร์ตีป
ภายหลังการออกอัลบั้มกว่า 13 อัลบั้มในคริสต์ทศวรรษ 1990 เซลีนได้ประกาศระหว่างการออกอัลบั้ม ออลเดอะเวย์... อะดิเคดออฟซอง อัลบั้มล่าสุดของเธอในขณะนั้นว่า เธอต้องการพำนักที่ใดที่หนึ่งเป็นการถาวร และเริ่มต้นใช้ชีวิตครอบครัว[66][67] ซึ่งในขณะนั้นเรอเน สามีของเธอป่วยเป็นโรคมะเร็งที่คอหอย ทำให้เธอเสียกำลังใจอย่างมาก[68] ในขณะนั้น แม้เซลีนจะพักงานจากวงการดนตรี แต่เธอก็ไม่สามารถหนีความเป็นจุดสนใจในวงการได้ ในปี พ.ศ. 2543 เนชันแนลเอ็นไควเรอร์ ตีพิมพ์เรื่องราวเท็จเกี่ยวกับเธอ มีรูปเธอและเรอเน สามีของเธอพร้อมพาดหัวว่า "เซลีน - 'ฉันท้องลูกแฝด!'"[69] เซลีนฟ้องร้องสำนักพิมพ์นิตยสารนี้กว่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[70] บรรณาธิการของ เอ็นไควเรอร์ ได้พิมพ์ข้อความขอโทษ และขอถอนคำพูดในนิตยสารฉบับต่อมา และบริจาคเงินแก่สมาคมผู้ป่วยโรคมะเร็งของอเมริกา (อังกฤษ: American Cancer Society) เพื่อเป็นเกียรติแก่เซลีน และสามีของเธอ ในปีต่อมาขณะที่สามีของเธอรักษาอยู่ เซลีนได้ให้กำเนิดบุตรชายในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2544 ที่ฟลอริดา และให้ชื่อว่าเรอเน-ชาลส์[71][72] ภายหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 เซลีนได้กลับสู่วงการดนตรีอีกครั้ง และออกอากาศทางโทรทัศน์ในเพลง "ก็อดเบลสอเมริกา" ในคอนเสิร์ต อเมริกา: อุทิศแก่วีรบุรุษ ชัค เทย์เลอร์จากนิตยสาร บิลบอร์ด ได้กล่าวไว้ว่า "การแสดง...เข้าสู่จิตใจของฉันที่จะเฉลิมฉลองศิลปินของเรา ความสามารถที่ทำให้อารมณ์และจิตวิญญาณหวั่นไหว, ซาบซึ้ง, เต็มไปด้วยความหมาย เติมแต่งด้วยความสง่างาม นี่คือความรู้สึกตอบสนองทางดนตรีที่เธอแบ่งปันกับพวกเราทุกคน ที่ยังค้นหาหนทางแก้ปัญหาความยากลำบากเหล่านั้น"[73]
หลังจากการพักงานด้านดนตรีกว่า 3 ปี เซลีนได้กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้ม อะนิวเดย์แฮสคัม (อังกฤษ: A New Day Has Come) ออกจำหน่ายในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2545 อัลบั้มนี้เป็นตัวแทนถึงชีวิตส่วนตัวของเซลีนได้มากที่สุด และแสดงให้เห็นถึงอีกด้านหนึ่งของเซลีนอย่างเพลง "อะนิวเดย์แฮสคัม", "แอมอะไลฟ์" และ "กู๊ดบาย (เดอะแซดเดสเวิร์ด)" เป็นการเปลี่ยนแปลงที่แสดงถึงความรับผิดชอบที่มากขึ้นของเธอในฐานะเป็น "แม่" ซึ่งเธอได้กล่าวไว้ว่า "การเป็นแม่ทำให้คุณเติบโตขึ้น"[74] เธอกล่าวว่า "วันใหม่ที่มาถึง (A New Day Has Come) สำหรับเรอเน และฉัน คือลูกของเรา มันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำให้กับลูกของเรา... เพลง ["อะนิวเดย์แฮสคัม"] เป็นตัวแทนถึงความรู้สึกของฉันในตอนนี้ และเป็นตัวแทนของทั้งอัลบั้ม"[11] อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จเชิงธุรกิจอย่างสูง แต่กลับได้รับข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมาย โดยมีนักวิจารณ์ได้ให้ความเห็นไว้ว่าอัลบั้มนี้ "ลืมไปได้เลย" และเนื้อเพลงนั้นก็ "ไร้ความมีชีวิตชีวา"[75] ทั้งร็อบ เชฟฟิลด์ จากนิตยสาร โรลลิงสโตน และเคน ทักเกอร์ จากนิตยสาร เอ็นเตอร์เทนเมนท์วีคลีย์ ได้วิจารณ์เกี่ยวกับเพลงของเซลีนไว้ว่าไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยจากการที่เธอได้พัก และจัดประเภทเพลงของเธอว่า ซ้ำๆซากๆ ไม่น่าสนใจ คุณภาพปานกลาง[76][77] ซาล ซินควิมานิ จากนิตยสาร สแลนท์ เรียกอัลบั้มเธอว่า "เป็นอัลบั้มที่ยืดยาด, เพลงป๊อปที่เหนอะหนะ"[78]
หลังจากการวาดจินตนาการจากประสบการณ์ส่วนตัว เซลีนได้ออกอัลบั้ม วันฮาร์ต (อังกฤษ: One Heart) ในปี พ.ศ. 2546 อันเป็นตัวแทนของความรู้สึกปิติในชีวิตของเธอ[79] อัลบั้มนี้เพลงส่วนใหญ่ประกอบด้วยเพลงเต้น เปลี่ยนแนวจากการร้องเสียงสูงๆ สู่แนวเพลงบัลลาดที่น่าตื่นเต้นซึ่งเธอได้ผสมผสานมันด้วยตัวเอง อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จในระดับปานกลาง และสามารถบอกเป็นนัยได้ถึงความไม่สามารถที่จะเอาชนะกำแพงของความคิดใหม่ๆ ของเธอ คำพูดอย่าง "คิดแล้วว่าเป็นแบบนี้" และ "พื้นๆ ธรรมดา" สามารถพบได้ในบทวิจารณ์ทั่วไป[80][81] อัลบั้มนี้เปิดตัวด้วยซิงเกิล "ไอโดรฟออลไนต์" เพลงเดิมของรอย ออร์บิสัน เป็นเพลงธีมแคมเปญของไครส์เลอร์ (อังกฤษ: Chrysler) [82] ซึ่งเป็นเพลงที่ผสมผสานแนวแดนซ์-ป๊อป,ร็อกแอนด์โรลล์เข้าด้วยกัน ทำให้หวนนึกถึงผลงานเพลงของแชร์ ช่วงคริสต์ทศววรษ 1980 อย่างไรก็ตามเพลงนี้ได้ยกเลิกจากแคมเปญดังกล่าวไป ขณะที่เซลีนพยายามที่จะทำให้ผู้สนับสนุนพอใจ[83] กลางคริสต์ทศววรษ 2000 แนวดนตรีของเซลีนเปลี่ยนไปสู่ลักษณะความเป็นแม่ซึ่งพบได้ในอัลบั้ม มิราเคิล ในปี พ.ศ. 2547 มิราเคิล เป็นโครงการที่รวมรวมสื่อภาพ และเสียงผสมผสานกัน โดยได้ช่างภาพชื่อดังอย่างแอน เกดเดสมาร่วมงาน ในธีมที่จะผสานทารก และแม่ อัลบั้มนี้ซึมซาบแนวเพลงกล่อมเด็กอย่าง lullabies และเพลงแนวรัก, แรงบันดาลใจ โดยนำเพลง 2 เพลงที่เคยได้รับความนิยมมาร้องใหม่ เพลง "ว็อตอะวันเดอร์ฟูลเวิลด์" (อังกฤษ: What a Wonderful World) เพลงเดิมของหลุยส์ อาร์มสตรอง และเพลง "บิวตีฟูลบอย" ของจอห์น เลนนอน อัลบั้ม มิราเคิล ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์จากชาร์ลส์ เทย์เลอร์ จากนิตยสาร บิลบอร์ด ซึ่งกล่าวไว้ว่าซิงเกิล "บิวตี้ฟูลบอย" เป็น "อัญมณีที่ไม่เคยนึกถึง" และเรียกเซลีนว่า "ศิลปินอมตะ และมีความสามารถรอบตัว",[84] ชัค อาร์โนลด์ จากนิตยสาร พีเพิล กล่าวว่าอัลบั้มละเอียดอ่อนในด้านจิตใจมากเกินไป[85] ขณะที่แนนซี มิลเลอร์จากนิตยสาร เอ็นเตอร์เทนเมนท์วีคลีย์ แสดงความคิดเห็นไว้ว่า "การกระทำของแม่ทั้งหมดในโลกก็เป็นเพียงแค่การฉวยโอกาส"[86]
อัลบั้มภาษาฝรั่งเศส อวีนฟีย์เอกาตร์ตีป (ฝรั่งเศส: 1 fille & 4 types, 1 สาว 4 ชาย) ออกจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ. 2546 เป็นผลงานชุดที่ 2 ตั้งแต่เธอกลับมาสู่วงการดนตรีอีกครั้ง อัลบั้มนี้แสดงถึงว่าเซลีนพยายามที่จะแสดงภาพลักษณ์ความเป็น "ดีว่า" อัลบั้มนี้มีผู้ร่วมงานมากมาย อาทิ ชอง-ชาก โกลด์แมน, ชีลดา อาร์เซล, เอริก บองซี และชาก เวอเนอรูโซ ซึ่งเธอเคยร่วมงานมาแล้วในอัลบั้มภาษาฝรั่งเศสที่เคยได้รับความนิยมของเธอ ซีลซูฟฟีเซแดมเม และเดอ อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มแห่งความกดดันโดยตัวของเซลีนเอง ภาพปกอัลบั้มแสดงถึงความผ่อนคลาย และเรียบง่ายของเซลีน ซึ่งตรงกันข้ามกับภาพปกที่ผ่านมาของเธอ อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จในด้านการวิพากษ์วิจารณ์: สตีเฟน เออร์ไวน์ จาก ออลมิวสิก กล่าว่าอัลบั้มนี้ "กลับไปสู่เพลงป๊อปที่เรียบง่ายที่ไม่ค่อยพบในช่วงเวลาหนึ่ง"[87]
แม้ว่าอัลบั้มของเธอค่อนข้างประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นสัญญาณในด้านลบ ซึ่งเห็นได้จากคำวิพากษ์วิจารณ์แง่ลบต่างๆในอัลบั้ม เดอะคอลเลคเตอส์ซีรีส์ ชุดที่ 1 (อังกฤษ: The Collector's Series, Volume One) ออกจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ. 2543 และอัลบั้ม วันฮาร์ต ออกจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ. 2546 ด้วยเสน่ห์ของเซลีนในอัลบั้มหลังๆได้ลดลง เนื่องจากธีมที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น เพลงของเธอได้รับการเปิดในวิทยุน้อยลง และความนิยมในเพลงแนวบัลลาดอย่างเซลีน, มารายห์ และวิทนีย์น้อยลง ปัจจุบันแนวเพลงฮิปฮอป, เทมโป ได้รับความนิยมมากขึ้น[88] อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2547 เซลีนมียอดจำหน่ายอัลบั้มของเธอรวมกว่า 175 ล้านชุด และได้รับรางวัลชอปาร์ดไดมอนด์ (อังกฤษ: Chopard Diamond Award) จากเวิลด์ มิวสิก อวอร์ดสสำหรับยอดขายของเธอ และเป็นศิลปินที่เป็นตัวแทนของ "ยอดขายมากกว่า 100 ล้านชุดในชีวิตดนตรี"[89]
2546-50 อะนิวเดย์...
ช่วงต้นปี พ.ศ. 2545 เซลีนได้ประกาศลงนามในการแสดงที่มีชื่อว่า อะนิวเดย์... (อังกฤษ: A New Day...) โดยเปิดการแสดงที่โรงแรมซีซ่าร์พาเลซ ลาสเวกัส เป็นเวลา 3 ปี รวมจำนวนการแสดงกว่า 600 รอบ 5 วันต่อสัปดาห์[90] ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็น "หนึ่งในการตัดสินใจด้านธุรกิจที่ชาญฉลาดในรอบปีโดยศิลปินเพียงคนเดียว"[91] เซลีนได้รับแรงบันดาลการแสดงชุดนี้จากการไปชมการแสดงชุด โอ อันเป็นผลงานการสร้างสรรค์โดยฟรังโก ดรากอน (ฝรั่งเศส: Franco Dragone) ระหว่างการพักจากงานดนตรีของเธอ การแสดงเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2546 ในโรงละครโคลอสเซียม จำนวน 4,000 ที่นั่งซึ่งออกแบบเพื่อการแสดงนี้โดยเฉพาะ[90] การแสดงนี้สร้างสรรค์โดยฟรังโก ดรากอน โดยผสมผสานระหว่างการเต้น, ดนตรี และแสงสี ในการแสดงเซลีนร้องเพลงยอดนิยมของเธอ พร้อมกับขบวนนักเต้นและอุปกรณ์พิเศษมากมาย ไมค์ เวเธอร์ฟอร์ด นักวิจารณ์รู้สึกว่าในตอนแรก เซลีนไม่ผ่อนคลายเท่าที่ควร ในตอนนั้นมันยากที่จะหานักร้องที่ร้องเพลงท่ามกลางเวทีที่ประดับสิ่งตกแต่งมากมาย พร้อมขบวนนักเต้น อย่างไรก็ตาม เขาได้ให้ความเห็นว่า การแสดงสามารถให้ความสุขได้ง่ายมากขึ้น เนื่องจากเซลีนพัฒนาการวางตัวบนเวที และเสื้อผ้าที่เรียบง่ายมากขึ้น[55]
การแสดงนี้ได้รับการตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างดี แม้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงราคาบัตรเข้าชมที่แพงเกินไป แต่การแสดงขายบัตรหมดเกือบทุกรอบตั้งแต่เปิดการแสดงเมื่อปี พ.ศ. 2546 การแสดงชุดนี้ออกแบบท่าเต้นโดยเมีย ไมเคิล นักออกแบบท่าเต้นที่มีชื่อเสียงระดับโลก จากรายงานของ โพลสตาร์ เซลีนมียอดจำหน่ายบัตร 322,000 ใบ ทำรายได้กว่า 43.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นปี พ.ศ. 2548 และในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2548 บัตรเข้าชมขายหมด 315 รอบจาก 384 รอบ[92] นอกจากนี้ในช่วงท้ายปี พ.ศ. 2548 เซลีนทำรายได้มากกว่า 76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ดการแสดงที่ทำรายได้สูงสุดประจำปี 2005 ในอันดับที่ 6[93] อะนิวเดย์... เป็นคอนเสิร์ตทัวร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับที่ 6 ในสหรัฐอเมริกา[94] สืบเนื่องจากความสำเร็จของการแสดง เซลีนได้เซ็นสัญญาขยายระยะเวลาการแสดงถึงท้ายปี พ.ศ. 2550 จนเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2550 ได้ประกาศว่าการแสดงรอบสุดท้ายจะจัดขึ้นในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2550 โดยบัตรการแสดงช่วงหลังเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 ได้ขายหมดตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม[95] ในส่วนของสื่อบันทึกการแสดง ได้ออกจำหน่ายในชื่อว่า ไลฟ์อินลาสเวกัส - อะนิวเดย์... ในรูปแบบดีวีดี และบลูเรย์ ออกจำหน่ายในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ในยุโรป และวันรุ่งขึ้นในอเมริกาเหนือ[96] ส่วนในประเทศไทยได้ออกจำหน่ายในรูปแบบดีวีดีในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2551[97]
2550 - 2552 แดล เทกกิงแชนเซส และเทกกิงแชนเซสทัวร์
หลังจากที่เซลีนได้ออกอัลบั้มรวมเพลงฮิตภาษาฝรั่งเศส องเนอชองช์ปา (ฝรั่งเศส: On Ne Change Pas) เมื่อ พ.ศ. 2548 แล้ว เซลีนได้พักงานด้านการออกอัลบั้มในปี พ.ศ. 2549 จนกระทั่งเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2550 ได้ออกอัลบั้มภาษาฝรั่งเศสชุดล่าสุดในชื่อว่า แดล (ฝรั่งเศส: D'elles, "พวกหล่อนเหล่านั้น") ขึ้นชาร์ตอัลบั้มแคนาดาอันดับ 1 ด้วยยอดจำหน่ายกว่า 72,000 ชุดในสัปดาห์แรก นับเป็นอัลบั้มอันดับหนึ่งอัลบั้มที่ 10 ของเธอในยุคซาวด์สแกน และเป็นอัลบั้มที่ 8 ที่เปิดตัวในชาร์ตในอันดับที่หนึ่ง อัลบั้มนี้ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว 2 แผ่นจากประเทศแคนาดา และมียอดการส่งออกอัลบั้มไปยังทั่วโลกกว่าอีก 5 แสนชุดในสัปดาห์แรก[98] แดล ยังขึ้นชาร์ตอันดับที่หนึ่งในฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม พร้อมทั้งเพลง "เอซีลนองแรสเตกวีน (เชอเซอเรแซลเลอ-ลา)" ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มดังกล่าวเปิดตัวในอันดับที่หนึ่งในชาร์ตซิงเกิลประเทศฝรั่งเศส ในปีเดียวกัน เธอยังได้ออกจำหน่ายอัลบั้มภาษาอังกฤษชุด เทกกิงแชนเซส ออกจำหน่ายในยุโรปเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน อเมริกาเหนือวันที่ 13 พฤศจิกายน[99] และในประเทศไทยวันที่ 15 พฤศจิกายน นับเป็นสตูดิโออัลบั้มภาษาอังกฤษแรกของเธอภายหลังอออัลบั้ม วันฮาร์ต ในปี พ.ศ. 2546 อัลบั้มดังกล่าวมีการผสมผสานแนวเพลงป๊อป อาร์แอนด์บี และร็อก[100] ซึ่งเป็นผลงานร่วมกับจอห์น แชงค์ส, เบ็น มูดดี (อดีตสมาชิกวงอีวาเนสเซนซ์), คริสเตียน ลันดิน, เพียร์ อสตรอม, ลินดา เพอร์รี, เน-โย่ นอกจากนี้ยังขับร้องเพลง "อะเวิลด์ทูบีลีฟอิน" ร่วมกับยูนะ อิโตะ นักร้องชาวญี่ปุ่น[101][102] เซลีนกล่าวว่า "ฉันคิดว่าอัลบั้มนี้เป็นตัวแทนของพัฒนาการทางการร้องเพลงของฉัน... ฉันรู้สึกเข้มแข็งกว่าเดิมและอาจกล้าหาญขึ้นกว่าในอดีต ฉันแค่รู้สึกรักในดนตรีและชีวิตของฉันมากที่สุดในชีวิตของฉัน"[103] นอกจากนี้เธอยังจัดคอนเสิร์ตทัวร์เทกกิงแชนเซสเพื่อประชาสัมพันธ์อัลบั้มดังกล่าว เริ่มต้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ในแอฟริกาใต้ โดยเปิดการแสดงทั่วโลกใน 5 ทวีปกว่า 132 รอบการแสดง[104]
วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เซลีน ดิออนได้รับเบญจมาภรณ์เลชียงโดเนอร์อันเป็นเครื่องรัฐอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสจากนายนีโกลา ซาร์โกซี ประธานาธิบดี ณ พระราชวังเอลีเซ (ฝรั่งเศส: Palais de l’Élysée, /ปาเลเดอเลลีเซ/) [2] ,ในวันที่ 21 สิงหาคม ปีเดียวกันนั้น เซลีน ดิออน ได้รับการประสาทปริญญาสังคีตศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยลาวาล (ฝรั่งเศส: Université Laval) [105]
คอนเสิร์ตทัวร์เทกกิงแชนเซสประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกา ขึ้นอันดับหนึ่งในบ็อกสกอร์ของนิตยสาร บิลบอร์ด โดยมียอดจำหน่ายตั๋วหมดทุกใบทุกรอบในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เซลีนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจูโน่ในปี พ.ศ. 2551 ประกอบไปด้วยรางวัลศิลปินแห่งปี, อัลบั้มป๊อปแห่งปี (เทกกิงแชนเซส), อัลบั้มภาษาฝรั่งเศสแห่งปี (แดล) , อัลบั้มแห่งปี (แดล และ เทกกิงแชนเซส)[106] ในปีต่อมาเธอยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจูโน่อีก 3 รางวัลคือ รางวัลแฟนช็อยส์, รางวัลเพลงแห่งปี ("เทกกิงแชนเซส") และ มิวสิกดีวีดีแห่งปี (ไลฟ์อินลาสเวกัส - อะนิวเดย์...)[107]
ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 เซลีนได้แสดงคอนเสิร์ตสาธารณะเฉลิมฉลองครบรอบ 400 ปีเมืองควิเบกซึ่งขับร้องเพลงภาษาฝรั่งเศสทั้งหมด[108] ณ แปลนออฟอับราฮัม ควิเบกซิตี้ ประเทศแคนาดา[109] โดยมีผู้ชมทั้ง ณ บริเวณการแสดงและผ่านทางโทรทัศน์ประมาณ 490,000 คน โดยเรียกคอนเสิร์ตดังกล่าวว่า เซลีนซูร์เลแปลน โดยออกจำหน่ายดีวีดีและบลูเรย์คอนเสิร์ตดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 พฤศจกายน พ.ศ. 2551ในแคนาดา และวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ในฝรั่งเศส[110] ปลายเดือนตุลาคมในปีเดียวกันเซลีนได้ออกจำหน่ายอัลบั้มรวมเพลงฮิต มายเลิฟ: เอสเซนเชียลคอลเลกชัน[111] ซึ่งออกจำหน่ายใน 2 รูปแบบคือซีดีแผ่นเดียวและสองแผ่น โดยในรูปแบบหลังได้ใช้ชื่อว่า มายเลิฟ: อัลติเมตเอสเซนเชียลคอลเลกชัน
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2552 เซลีนได้รับการจัดอันดับเป็นศิลปินแห่งทศวรรษลำดับที่ 20 ของอเมริกา และเป็นศิลปินหญิงแห่งทศวรรษของอเมริกาในอันดับที่ 2 ด้วยยอดจำหน่ายอัลบั้มรวมทั้งทศวรรษกว่า 17.57 ล้านชุด[112] ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 นิสตยสารฟอร์บส รายงานว่าเซลีนทำรายได้ในช่วงปี พ.ศ. 2551 รวมกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นอับดับที่ 2 รองจาก มาดอนน่า นอกจากนี้เธอยังวางแผนกลับไปแสดง ณ ลาสเวกัสในปี พ.ศ. 2553[113] ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เซลีนแถลงการแท้งบุตรของเธอตั้งแต่ขั้นตอนการปฏิสนธิ [114][115]
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552 โพลล์สตาร์ประกาศว่าเซลีนเป็นศิลปินเดี่ยวที่มียอดจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตสูงสุดในทศวรรษและเป็นอันดับที่สองเมื่อนับศิลปินประเภทวง โดยเป็นรองเพียงวงเดฟแมทธิวส์แบนด์[116] เซลีนทำรายได้กว่า 522.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการแสดงชุด อะนิวเดย์... ที่ซีซาร์พาเลส[116]
ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2552 โฆษกส่วนตัวของเซลีนได้ประกาศว่าเธอกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สอง[117][118] และยังกล่าวด้วยว่าจะคลอดบุตรในราวเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 อย่างไรก็ดีในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ได้ประกาศว่าการตั้งครรภ์ของเธอประสบความล้มเหลว แต่เธอยังคงพยายามในการมีบุตรคนที่สองด้วยวิธีเด็กหลอดแก้ว[119][120] อย่างไรก็ดีภายหลังการทำเด็กหลอดแก้วถึง 6 ครั้ง จึงได้มีการประกาศในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ว่าเธอตั้งครรภ์บุตรแฝด[121] ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 มีการประกาศว่าเซลีนและเรอเนคาดว่าจะได้บุตรชายแฝด และคาดว่าจะให้กำเนิดในราวเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2553[122][123] ต่อมาในวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ได้ประกาศว่าเซลีนเข้าตรวจ ณ ศูนย์การแพทย์เซนต์แมรี ใน หาดเวสต์ปาล์ม รัฐฟลอริดา ว่า[124][125] "เพื่อป้องกันบุตรของเธอคลอดก่อนกำหนดซึ่งเป็นมาตรฐานการดูแลทางคลินิกทั่วไปของผู้ที่มีบุตรแฝด"[126] ต่อมาในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เซลีนได้ให้กำเนิดบุตรชายแฝดด้วยวิธีการผ่าตัด ณ ศูนย์การแพทย์เซนต์แมรี[127]
ยูเอสเอทูเดย์ ประกาศว่าเซลีนจะออกฉายภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับ คอนเสิร์ตทัวร์เทกกิงแชนเซส โดยใช้ชื่อว่า เซลีน: ธรูดิอายส์ออฟเดอะเวิลด์ และจะออกฉายในโรงภาพยนตร์ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553[128] ภาพยนตร์สารคดีชุดนี้ประกอบด้วยเบื้องหลังการแสดงทั้งบนเวทีและนอกเวที พร้อมด้วยวิดีโอพิเศษเกี่ยวกับครอบครัวของเธอขณะที่ท่องเที่ยวไปกับเธอ[128] ออกจำหน่ายโดยโซนีพิกเจอร์สโดยเครือบริษัทย่อยฮอตทิกเก็ต[128]
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2553 เดอะลอสแองเจิลลิสไทมส์ ตีพิมพ์รายชื่อผู้ที่มีรายได้สูงสุดประจำปี และเปิดเผยว่าเซลีน ดิออนอยู่ในอันดับสูงสุดตลอดกว่าทศวรรษ ด้วยรายได้กว่า 747.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี พ.ศ. 2543 - 2552 (ค.ศ. 2000 - 2009)[129] ซึ่งมีรายได้ส่วนใหญ๋มาจากการจำหน่วยบัตรชมคอนเสิร์ตกว่า 522.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[130]
อนึ่ง ผลการสำรวจของ แฮร์ริสโพล ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 ปรากฏว่า เซลีนเป็นนักร้องซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ชนะ วงยูทู, เอลวิส เพรสลีย์ และ เดอะบีตเทิลส์ โดยมีองค์ประกอบเป็นปัจจัยทางเพศ, กลุ่มการเมือง, ภูมิศาสตร์ และรายได้ ของผู้แสดงความคิดเห็น[131] นอกจากนี้ นิตยสาร เดอะไฟแนนเชียล ยังเปิดเผยผลสำรวจว่า เซลีนเป็นนักร้องผู้ได้รับความนิยมมากที่สุดท่ามกลางหมู่ประชากรเพศหญิง, ผู้นิยมประชาธิปไตย และผู้พำนักในภาคตะวันออก และภาคใต้ ของสหรัฐอเมริกา รวมถึงผู้มีรายได้ระหว่าง US$35k and US$74.9k.[132][133]
หนังสือพิมพ์พื้นเมืองของมอนทรีออล Le Journal de Quebec ประกาศว่าเซลีนได้รับการยกย่องให้เป็น "ศิลปินแห่งทศวรรษ" ในจังหวัดบ้านเกิดของเธอในควิเบก เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552[134] โดยทำการสำรวจทางออนไลน์สอบถามไปยังผู้อ่านเพื่อลงคะแนนให้กับผู้ที่พวกเขาคิดว่าสมควรได้รับรางวัลดังกล่าว[134]
ในงานประกาศผลรางวัลแกรมมีครั้งที่ 52 เซลีนได้ร่วมแสดงกับสโมกีย์ โรบินสัน, อัชเชอร์, เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน และแคร์รี อันเดอร์วูดเพื่อุทิศให้กับไมเคิล แจ็กสัน[135] โดยศิลปินทั้งห้าคนร่วมร้องเพลง "เอิร์ธซอง" ของไมเคิลหน้าจอยักษ์ 3 มิติ[136]
ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553 เซลีนจะออกจำหน่ายอัลบั้มบันทึกการแสดงสด เทกกิงแชนเซสเวิลด์ทัวร์: เดอะคอนเสิร์ต ในรูปแบบซีดีและดีวีดี และวีดิทัศน์ภาพยนตร์เรื่อง เซลีน: ธรูดิอายส์ออฟเดอะเวิลด์ ในรูปแบบดีวีดีและบลูเรย์ ทั้งสองยังประกอบด้วยฉบับดีลักซ์และบุกเล็ต 52 หน้าพร้อมโปสการ์ด[137][138]
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2553 เซลีนได้ออกซิงเกิล "โวเลอร์" (ฝรั่งเศส: Voler) ผลงานเพลงซึ่งขับร้องร่วมกับ Michel Sardou ซึ่งบรรจุในอัลบั้มเพลงของ Sardou[139] นอกจากนี้เธอยังประกาศในเดือนตุลาคมปีเดียวกันว่าเธอได้ประพันธ์เพลงใหม่ให้กับมาร์ด กูเปร นักร้องชาวแคนาดา ชื่อว่า "Entre deux mondes"[140]
2554 ถึงปัจจุบัน เซลีน ซ็องซาต็องดร์ และ เลิฟด์มีแบ็กทูไลฟ์
จากบทสัมภาษณ์ใน นิตยสารพีเพิล ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เซลีนประกาศว่าเธอจะกลับไปแสดงยังซีซาร์สพาเลสในนครลาสเวกัสในการแสดงชุด เซลีน เป็นการแสดงทั้งสิ้น 3 ปี โดยจะเริ่มต้นในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554[141] เธอกล่าวว่าการแสดงชุดนี้จะรวม "ทุกเพลงของฉันที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีที่ทุกคนอยากได้ยิน" รวมไปถึงเพลงที่คัดสรรจากภาพยนตร์คลาสสิกของฮอลลีวูด[142] เซลีนประกาศว่าเธอกำลังทำงานในสองอัลบั้มใหม่ทั้งภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษโดยร่วมกับเอ. อาร์. ราห์แมน ผู้ได้รับรางวัลอะคาเดมีสาขาดนตรี ซึ่งประพันธ์เพลงใหม่ให้เธอสองเพลง [143][144]
การเตรียมการในการกลับมาของเธอสู่ลาสเวกัส ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ เซลีนได้ให้บทสัมภาษณ์พิเศษในรายการ เดอะโอปราห์วินฟรีย์โชว์ ขณะการแสดงในฤดูกาลสุดท้ายซึ่งเป็นครั้งที่ 27 ในการเยือนรายการดังกล่าว [145] และกล่าวถึงการแสดงที่ซีซาร์พาเลซของเธอรวมถึงครอบครัวของเธอ[146] นอกจากนี้เธอยังร่วมแสดงในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 81 ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 6 โดยขับร้องเพลง "สไมล์" ในช่วงรำลึกศิลปินในอดีต[147] ในวันที่ 4 กันยายน เซลีนร่วมในงาน เอ็มดีเอเลเบอร์เทเลธอน 2011 (2011 MDA Labor Telethon) โดยเปิดคลิปที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ในเพลง "โอเพนอาร์มส" จากการแสดงที่ลาสเวกัสของเธอ[148] ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554 OWN Network ได้ปฐมทัศน์สารคดีเกี่ยวกับชีวิตของเซลีนตั้งแต่ก่อนการคลอดบุตรชายแฝดของเธอรวมไปถึงขั้นตอนการผลิตการแสดงที่ลาสเวกัสในชื่อ "Celine: 3 Boys and a New Show" หรือ "เซลีน: บุตรชาย 3 คนกับการแสดงชุดใหม่"[149] สารคดีดังกล่าวได้รับการจัดอันดับที่สองของ OWN ในแคนาดา ในเดือนตุลาคม FlightNetwork.com ได้จัดทำผลสำรวจสอบถามผู้ร่วมสัมภาษณ์ 780 คน ว่าผู้มีชื่อเสียงคนใดที่คุณอยากนั่งข้างๆตอนอยู่บนเครื่องบิน โดยเซลีนได้รับเลือกสูงสุดในร้อยละ 23.7[150] เช่นเดียวกับในเดือนกันยายน เซลีนได้ออกจำหน่ายน้ำหอมลำดับที่ 14 ชื่อ "ซิกเนเจอร์" (Signature)[151] ในวันที่ 15 กันยายน เซลีนปรากฏในคอนเสิร์ต คอนแชร์โต: วันไนต์อินเซ็นทรัลปาร์ค ของอานเดรอา โบเชลลี ณ เซ็นทรัลปาร์ค นิวยอร์ก[152] ในปี พ.ศ. 2555 เซลีนได้แสดงในงานเทศกาลแจ็สแอนด์บลูส์ประจำปี ค.ศ. 2012 ในจาไมกา[153]
ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555 เซลีนเข้าบันทึกเสียงสำหรับอัลบั้มภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษชุดใหม่ของเธอ[154] อัลบั้มภาษาฝรั่งเศสใช้ชื่อว่า ซ็องซาต็องดร์ ออกจำหน่ายเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555[155] ส่วนอัลบั้มภาษาอังกฤษเลื่อนกำหนดการออกจำหน่ายเป็นวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556[156] ในชื่อ เลิฟด์มีแบ็กทูไลฟ์ ซึงเธอได้ร่วมงานกับนักประพันธ์เพลงและโปรดิวเซอร์ที่หลากหลาย และได้บันทึกเสียงร่วมกับเน-โยและสตีวี วันเดอร์[157] โดยออกซิงเกิลแรกเพลง "เลิฟด์มีแบ็กทูไลฟ์" เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556[158] จากความสำเร็จของอัลบั้ม ซ็องซาต็องดร์ เซลีนจึงได้จัดทัวร์คอนเสิร์ต ซ็องซาต็องดร์ทัวร์ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ในประเทศเบลเยียมและฝรั่งเศส[159]
ชีวิตส่วนตัว
เซลีนพบเรอเน อองเชลลีล สามีและผู้จัดการส่วนตัวของเธอครั้งแรกในปี พ.ศ. 2523 เมื่อเธออายุได้ 12 ปี และเรอเนอายุ 38 ปี ภายหลังที่เธอและมารดาส่งเดโมเทปในเพลงที่พวกเขาประพันธ์กันเอง ทั้งสองเริ่มต้นความสัมพันธ์ในปี พ.ศ. 2530 หมั่นในปี พ.ศ. 2534 จนกระทั่งเข้าพิธีสมรสในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2537 ณ โบสถ์นอร์ต-เดม บาซิลิกา ในเมืองมอนทรีออล รัฐควิเบก ประเทศแคนาดา ทั้งสองจัดพิธีสมรสกันอีกครั้งในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2543 ณ เมืองลาสเวกัส
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2543 เซลีนเข้ารับการผ่าตัด ณ คลินิกกำเนิดบุตรในนิวยอร์กเพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ ต่อมาเธอตัดสินใจใช้วิธีเด็กหลอดแก้วแทนจนกระทั่งให้กำเนิดบุตรคนแรกในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2544 ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 เรอเนประกาศว่าเซลีนตั้งครรภ์แฝดคู่ได้ 14 สัปดาห์แล้ว ภายหลังการทดลองเด็กหลอดแก้วกว่า 6 ครั้ง ในวันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เซลีนได้ให้กำเนิดบุตรแฝดชายของเธอในเวลา 11:11 น. และ 11:12 น. ตามลำดีบ ณ ศูนย์การแพทย์เซนต์แมรี ณ เวสค์ปาล์มบีช รัฐฟลอริด้า[160] แฝดทั้งสองได้ชื่อว่า "เอ็ดดี" ตามเอ็ดดี มาร์เนย์ นักประพันธ์เพลงคนโปรดของเซลีน และ "เนลสัน "ตามเนลสัน เมดัลลา อดีตประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้[161] เซลีนปรากฏในภาพปกนิตยสาร พิเพิล ในฉบับวนที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553 พร้อมบุตรแฝดทั้งสองของเธอ[162] เซลีนถ่ายแบบพร้อมบุตรชายแรกเกิดของเธอบนปกนิตยสาร เฮลโล! ของแคนาดาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553[163]
ภาพลักษณ์
ในวัยเยาว์ เซลีนเติบโตขึ้นด้วยเสียงเพลงจากศิลปินต่างๆ อาทิ อารีธา แฟรงคลิน, ไมเคิล แจ็กสัน, คาโรล์ คิง, แอน มัวเรย์, บาร์บรา สตรัยแซนด์ และวงบีจีส์ ซึ่งในภายหลังได้ร่วมงานดนตรีกับเธอด้วย ระหว่างที่เธอเล่นที่บาร์เปียโนของพ่อแม่ร่วมกับพี่น้องของเธอ เธอได้ร้องเพลงหลายเพลงของ Ginette Reno และนักร้องชื่อดังชาวควิเบกอีกหลายคน เธอยังชื่นชอบผลงานของ เอดิต เพียฟ, เซอร์เอลตัน จอห์น และลูชิอาโน ปาวารอตติ นักร้องโอเปร่า และนักร้องแนวโซลอีกหลายคนในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960, 1970, 1980 รวมทั้งโรเบอร์ตา เฟลค, เอตตา เจมส์ และแพตตี ลาเบลล์ ซึ่งเธอได้นำเพลงของนักร้องเหล่านี้มาร้องใหม่ในภายหลัง ทักษะภาษาอังกฤษของเธอได้รับอิทธิพลหลากหลายแนวเพลง ทั้งป๊อป, ร็อก, กอสเปล, อาร์แอนด์บี และโซล เนื้อเพลงของเธอมุ่งประเด็นในเรื่องของความยากจน, ความอดอยากของโลก, ลักษณะของจิตวิญญาณ ด้วยความรักและโรแมนติก[36][54] ภายหลังที่เธอให้กำเนิบุตรชาย แนวเพลงของเธอได้เปลี่ยนไปเน้นความสัมพันธ์ และความรักแบบพี่น้อง เซลีนต้องเผชิญกับคำวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ที่กล่าวว่าเพลงของเธอนั้นมักจะเป็นแนวป๊อป และโซล ซึ่งอ่อนไหวมากเกินไป[6][62][63] เคธ แฮร์ริส จากนิตยสาร โรลล์ลิงสโตน ได้กล่าวไว้ว่า "อารมณ์เพลงของเซลีนนั้นมีลวดลาย และความท้าทายมากกว่าความสงบเสงี่ยมเรียบร้อย และสันโดษ... [เธอ]ยืนอยู่บนจุกสุดท้ายของโซ่แห่งการเปลี่ยนตำแหน่งระหว่างอาธีรา, วิทนีย์ และมารายห์... เซลีนยืนอยู่บนสัญลักษณ์ของความรู้สึกแนวเพลงป๊อป ยิ่งใหญ่ยิ่งดี มากเกินไปแต่ไม่เคยพอ ยิ่งแบ่งอารมณ์เพลงยิ่งทำให้รู้สึกถึงอารมณ์อันแท้จริง"[164] อัลบั้มภาษาฝรั่งเศสของเซลีนเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่าง ดนตรีมีแนวโน้มที่ลึกขึ้น และหลากหลายมากกว่าเพลงในภาษาอังกฤษ ผลลัพธ์ก็คือความสำเร็จ และมีชื่อเสียงมากกว่าอัลบั้มภาษาอังกฤษ[165][33]
เซลีนได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลในโลก[166][33][6] และจากบางแหล่งข้อมูล เธอมีความสามารถร้องเพลงได้ 5 อ็อกเตฟ[167] ในการนับถอยหลัง "22 เสียงสุดยอดทางดนตรี" โดยนิตยสาร เบล็นเดอร์ และ เอ็มทีวี เธอได้อันดับที่ 9 (อันดับที่ 6 ในผู้หญิง) และอยู่ในอันดับที่ 4 ในนิตยสาร โคฟ (อังกฤษ: Cove') ในรายชื่อ "100 ศิลปินป๊อปที่โดดเด่นที่สุด"[16][168][169] ในผลงานแรกของเธอ นักวิจารณ์หลายคนต้อนรับเธอด้วยการวิจารณ์เสียงของเธอ และยกย่องความเชี่ยวชาญ, ความเข้มของการร้องเพลง ชาร์ลส์ อเล็กซานเดอร์ จากนิตยสาร ไทม์ กล่าวว่า "เสียงของเธอผ่านไปอย่างราบเรียบอย่างง่ายดาย จากเสียงกระซิบลึกๆสู่เสียงสูง เสียงหวานๆของเธอประกอบด้วยพลังและความสง่างาม"[26] แม้ว่าเซลีนมีความก้าวหน้าทางดนตรี แต่การร้องของเธอมีความใกล้เคียงกับเพลงร่วมสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทนีย์ ฮูสตัน และมารายห์ แครี[170] และเธอได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องของการร้องเพลงที่เกินไป และขาดอารมณ์ร่วม ซึ่งพบได้ในผลงานช่วงแรกๆของเธอ[65][47] นักวิจารณ์คนหนึ่งได้กล่าวว่าอารมณ์ของเธอ "เหมือนถูกฝึกมา โดยปราศจากความรักในเสียงของเธอ" และกล่าวว่าเธอ "ใช้เสียงมากกว่าหัวใจ"[40]
นักวิจารณ์หลายคนกล่าวว่าเซลีนมีส่วนร่วมในงานด้านการสร้างเพลงของเธอน้อยมาก ซึ่งทำให้ผลงานของเธอมีมากเกินไป[167] และไม่เป็นตัวของเธอ[33] นอกจากนี้ ขณะที่เธอเติบโตมากับครอบครัวที่พี่น้องเป็นนักดนตรีทั้งหมด แต่เธอไม่เคยได้เรียนวิธีการเล่นเครื่องดนตรีอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม เธอช่วยในการประพันธ์เพลงภาษาฝรั่งเศสในช่วงแรกๆของเธอ และพยายามที่จะมีส่วนร่วมในงานด้านการผลิต และบันทึกเสียงในอัลบั้มของเธอ ในอัลบั้มภาษาอังกฤษอัลบั้มแรกของเธอ ซึ่งเธอบันทึกเสียงในช่วงที่เธอยังไม่แตกฉานทางภาษาอังกฤษมากนัก เป็นผลให้เธอไม่สามารถแสดงความสามารถของเธอออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเธอควรนำความสร้างสรรค์ใส่เข้าไปมากกว่านี้[33] ต่อมาเธอได้ออกอัลบั้มภาษาอังกฤษลำดับที่ 2 เซลีนดิออน เธอมีส่วนร่วมในงานการสร้างและบันทึกเสียงมากขึ้น ด้วยความหวังที่จะลบล้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์เดิมๆให้หมดไป เธอกล่าวว่า "ในอัลบั้มที่ 2 ฉันมีทางเลือกที่จะกลัวอีกครั้ง และไม่มีความสุข 100% หรือว่าเลิกหวาดกลัว และเป็นส่วนหนึ่งของอัลบั้ม นี่คืออัลบั้มของฉัน"[33] เธอร่วมงานด้านการสร้างและการบันทึกเสียงในอัลบั้มชุดต่อๆมา ช่วยประพันธ์เพลงในบางเพลง เช่น ในเพลงของอัลบั้ม เล็ตส์ทอล์กอะเบาต์เลิฟ และ ดีสอาร์สเปเชียลไทม์[171]
แม้เธอจะประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังคงเป็นประเด็นของสื่อมวลชนในการเขียนเรื่องล้อเลียน และเรื่องตลก เธอมักถูกเลียนแบบในรายการโทรทัศน์ต่างๆ อาทิ MADtv, แซทเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ และ เซาท์ปาร์ค ในเรื่องของการออกเสียงของเธอ, ความอนุรักษนิยม และการเคลื่อนไหวของเธอบนเวที เธอยังถูกเลียนแบบในรายการ รอยัลแคนาเดียนแอร์ฟารส์ และ ดีสอาวร์แฮสทเวนตีทูมินิทส์ อย่างไรก็ตาม เซลีนได้กล่าวว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรจากการล้อเลียนดังกล่าว และเธอรู้สึกยินดีที่มีคนเลียนแบบเธอ[74] เธอเชิญ Ana Gasteyer ผู้เขียนล้อเลียนเธอในเอสเอ็นแอลบนเวทีการแสดงของเธอครั้งหนึ่ง เซลีน ดิออน เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสื่อมวลชนน้อยครั้งมาก อย่างไรก็ดี ใน พ.ศ. 2548 หลังจากเหตุการณ์พายุเฮอร์ริเคนแคทรินาพัดถล่มสหรัฐอเมริกา เซลีนได้วิจารณ์รัฐบาลแห่งรัฐลุยเซียนาผ่านทางรายการแลร์รีคิงไลฟ์ (อังกฤษ: Larry King Live) ถึงความล่าช้าในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพายุดังกล่าว เซลีนร้องไห้น้ำตานองใบหน้าและกล่าวว่า "เราต้องไปที่นั่นในทันใด เพื่อช่วยผู้คนที่เหลือรอดอยู่ คราวที่ส่งกองรบไปสังหารผู้คนในตะวันออกกลางนั้นกลับทำได้ในไม่กี่วินาที แต่เหตุใดคราวที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นการรีบด่วนภายในประเทศกลับทำได้ช้า"[172] ภายหลังเซลีนแถลงว่า "ตอนที่ฉันให้สัมภาษณ์ในรายการแลร์รีคิงไลฟ์ซึ่งเป็นรายการสำคัญขนาดนั้น ฉันรู้สึกตกเป็นเป้าสายตาซึ่งเป็นช่วงที่ค่อนจะวางตัวลำบากนัก ฉันย่อมมีความคิดความเห็นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่ก็เป็นไปตามประสานักร้อง เพราะฉันไม่ใช่นักการเมือง"[173]
กิจกรรมการกุศลและงานอื่นๆ
งานอื่นๆ
นอกจากการร้องเพลงแล้ว เซลีนยังได้เปิดแฟรนไชส์ร้านอาหารฝรั่งเศสชื่อว่า "Nickels Grill" ในปี พ.ศ. 2533 และในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2547 สายการบินแห่งชาติแคนาดาได้เลือกเซลีน ดิออน เป็นพรีเซ็นเตอร์โปรโมตแคมเปญเที่ยวบินพิเศษ และเครื่องบินใหม่ของสายการบิน โดยเลือกเพลง "ยูแอนด์ไอ" (อังกฤษ: You and I) ซึ่งเป็นผลงานการขับร้องของเซลีน เป็นเพลงหลักในการโปรโมตครั้งนี้[174] นอกจากนี้เซลีนยังออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำหอมและแว่นตา โดยเซ็นสัญญากับบริษัทโคตี้ จำกัด ในด้านการดูแลการผลิต[175][176][177] และล่าสุดเซลีนได้ออกจำหน่ายน้ำหอมชื่อ "เซลีนดิออน" รุ่นเซนเซชันแนล (อังกฤษ: Sensational) และในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เซลีนเตรียมออกจำหน่ายน้ำหอมรุ่นใหม่ลำดับที่ 6 ในชื่อว่า ชิก [178] น้ำหอมตราเซลีน ดิออน ได้รับรางวัลมากมาย อาทิ รายวัล FiFi 2 รางวัล[179][180] โดยตั้งแต่เริ่มการจำหน่ายน้ำหอมของเธอตั้งแต่ พ.ศ. 2545 น้ำหอมของเธอทำรายได้กว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [181]
กิจกรรมการกุศล
เซลีนได้ให้ความช่วยเหลือมูลนิธิ, องค์กรการกุศลทั่วโลก โดยเฉพาะกองทุนแคนาดาเพื่อการสร้างเนื้อเยื่อในกระเพาะปัสสาวะ (อังกฤษ: Canadian Cystic Fibrosis Foundation (CCFF)) ตั้งแต่ พ.ศ. 2525 [182] โดยได้รับแรงบันดาลใจจากคาเรน หลานสาวของเธอที่เสียชีวิตด้วยโรคเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะตั้งแต่อายุ 16 ปี ในปี พ.ศ. 2546 เซลีนได้เข้าร่วมในโครงการจัดคอนเสิร์ตวันเด็กโลก (อังกฤษ: World Children's Day) ร่วมกับจอช โกรแบน และ Yolanda Adams มีผู้ร่วมสนับสนุนอาทิ แม็คโดนัลด์ รายได้จากการจัดงานครั้งนี้ได้บริจาคแก่มูลนิธิเด็กกว่า 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงองค์กรเกี่ยวกับสุขภาพของเด็ก นอกจากนี้เซลีนยังเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของมูลนิธิ T.J. Martell กองทุนของเจ้าหญิงไดอาน่าแห่งเวลส์ และกองทุนด้านสุขภาพและการศึกษาอีกมากมาย เซลีนร่วมบริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา และยังเคยจัดรายการการกุศลหาทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดียเมื่อปลายปี พ.ศ. 2547 ซึ่งมียอดบริจาครวมกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [183] และล่าสุดหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มณฑลเสฉวนของจีนเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551 เซลีนบริจาคเงิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐแก่กองทุนเพื่อเด็กและเยาวชนของจีน พร้อมสาสน์แสดงความเสียใจอีกด้วย [184]
ผลงาน
ผลงานเพลง
เซลีน ดิออน มีผลงานด้านดนตรีมากมาย ด้านล่างนี้เป็นผลงานของเซลีน ดิออน ในขณะที่สังกัดค่ายโซนีมิวสิกที่บันทึกในห้องบันทึกเสียง ผลงานของเซลีน ดิออนดูได้ที่ ผลงานอัลบั้มเพลงของเซลีน ดิออน และ ผลงานซิงเกิลของเซลีน ดิออน
อัลบั้มภาษาอังกฤษที่บันทึกในห้องบันทึกเสียง
|
อัลบั้มภาษาฝรั่งเศสที่บันทึกในห้องบันทึกเสียง
|
ซิงเกิล
ปี | ซิงเกิล | อันดับสูงสุด | |||
---|---|---|---|---|---|
แคนาดา | สหรัฐอเมริกา | สหราชอาณาจักร | ฝรั่งเศส | ||
2533 | "แวร์ดัสมายฮาร์ตบีตนาว" | 6 | 4 | 72 | 20 |
2535 | "อิฟยูอาสกต์มีทู" | 3 | 4 | 57 | — |
"บิวตีแอนด์เดอะบีสต์ " | 2 | 9 | 9 | — | |
2536 | "เดอะพาวเวอร์ออฟเลิฟ" | 1 | 1 | 1 | 1 |
"เอิงการ์ซงปาก็อมเลโซตร์ (ซิกกี)" | — | — | — | 1 | |
2537 | "ธิงทไวซ์" | 1 | 2 | 1 | 1 |
2538 | "ปูร์เกอตูแมมอองกอร์" | 1 | 1 | 1 | 1 |
"เชอเซปา" | — | — | — | 1 | |
2539 | "บีคอสยูเลิฟด์มี" | 1 | 1 | 5 | 19 |
"อิตส์ออลคัมมิงแบ็กทูมีนาว" | 2 | 2 | 3 | 13 | |
2540 | "ออลบายมายเซลฟ์" | — | 4 | 6 | 5 |
"เทลล์ฮิม" | 12 | — | 3 | 4 | |
2541 | "เดอะรีซัน" | — | — | 11 | 1 |
"มายฮาร์ตวิลโกออน" | 1 | 1 | 1 | 1 | |
"อิมมอร์ทอลิตี" | — | — | 5 | 15 | |
"แอมยัวร์แองเจิล" (ร้องกับ R. Kelly) | 37 | 1 | 3 | 97 | |
"ซีลซูฟฟีเซแดมเม " | — | — | — | 4 | |
2543 | "ไอว็อนต์ยูทูนีดมี" | 1 | — | — | — |
2544 | "ซูเลอวอง" (คู่กับ การู) | 14 | — | — | 1 |
2545 | "อะนิวเดย์แฮสคัม" | 2 | 22 | 7 | 23 |
2546 | "ไอโดรฟออลไนต์" | 1 | 45 | 27 | 22 |
"ตูลอร์เดซอม" | 2 | — | — | 3 | |
2548 | "เชอเนอวูอูบลีปา" | 1 | — | — | 2 |
2550 | "เอซีลนองแรสเตกวีน (เชอเซอเรแซล-ลา)" | — | — | — | 1 |
ซิงเกิลอันดับ 1 | 8 | 5 | 4 | 8 |
คอนเสิร์ตทัวร์
ผลงานการแสดง
ละครชุด
- ทัชด์บายแอนแองเจิล (อังกฤษ: Touched by an Angel)
- เดอะแนนนี (อังกฤษ: The Nanny)
- ลาเฟอเรอร์เดอเซลีน (ฝรั่งเศส: La fureur de Céline)
- เดเฟลอร์ซูร์ลาแนช (ฝรั่งเศส: Des fleurs sur la neige)
อ้างอิง
- ↑ Legion of Honour. (2008, 22 May). [Online]. Available: http://www.celinemaniacs.com/news_e.html. (22 May 2008).
- ↑ 2.0 2.1 CelineDion.com. (2008, 18 May). Celine To Receive the French Legion of Honor Medal. [Online]. Available: http://www.celinedion.com/celinedion/english/whatsgoinon_pr.cgi?id=41. (22 May 2008).
- ↑ Celine Dion. Grammy.com. Retrieved July 23, 2008.
- ↑ Britannica.com. Céline Dion เรียกข้อมูลวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2549
- ↑ ประวัติเซลีน ดิออน "Canoe Jam!" สืบค้นวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2550
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 "The Canadian Encyclopedia". Céline Dion Biography.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ 7.0 7.1 Bliss, Karen. "25 Years of Canadian Artists." Canadian Musician. March 1, 2004, p. 34. ISSN: 07089635 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Bliss" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ "Past Eurovision Winners." Baltics Worldwide. September 13, 2007.
- ↑ 9.0 9.1 Taylor, Chuck. "Epic/550's Dion offers Hits." Billboard. November 6, 1999, p. 1. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Chuck" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ 10.0 10.1 "The Ultimate Diva". CNN. October 22, 2002. Retrieved September 13, 2007.
- ↑ 11.0 11.1 Celine Dion. "Interview with Celine Dion." Peter Nansbridge. The National. With Alison Smith. CBC-TV. March 28, 2002. Transcript. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Trans" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ 12.0 12.1 "Celine Dion Biography." The Biography Channel. September 13, 2007.
- ↑ Helligar, Jeremy. "Celine Dion livin' la vida Vegas!." Us. March 31, 2003, p. 56.
- ↑ 14.0 14.1 14.2 14.3 Alexander, Charles P. เดอะพาวเวอร์ออฟเซลีน ดิออน". ไทม์ 7 มีนาคม พ.ศ. 2537 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Time1" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ 15.0 15.1 Gardner, Elysa. วิจารณ์อัลบั้ม: ฟอลลิงอินทูยู ลอสแองเจิลลิสไทมส์ Los Angeles, Calif.: November 16, 1997, p. 68) อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Elysa" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ 16.0 16.1 "Cove Magazine". The 100 Outstanding Pop Vocalists.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "cove" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ Dion, Lavigne score trophies at World Music Awards. CBC News.ca November 5, 2007 เรียกข้อมูลวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
- ↑ Celine Dion, Patti LaBelle to be honored at World Music Awards in Monaco International Herald Tribune November 2007 เรียกข้อมูลวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
- ↑ แดล โซนี่ บีเอ็มจี เรียกข้อมูลวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
- ↑ 20.0 20.1 20.2 20.3 "Profiles of Celine Dion, Enrique Iglesias, Moby." Paula Zahn, Charles Molineaux, Gail O'Neill. People in the News. May 18, 2002. Transcript.
- ↑ 21.0 21.1 ข่าวซีลีน ดิออน ฮอลลีวู้ดสตาร์
- ↑ Germain, Georges-Herbert (1998). Céline: The Authorized Biography. translated by David Homel and Fred Reed. Dundurn Press. pp. p. 16. ISBN 1-55002-318-7.
{{cite book}}
:|pages=
has extra text (help)) - ↑ "Rock on the Net". Céline Dion.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ 24.0 24.1 24.2 24.3 ประวัติเซลีน ดิออน "Canoe Jam!" เรียกข้อมูลวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2550
- ↑ O'Connor, John Kennedy (2007-04-02). The Eurovision Song Contest - The Official History. UK: Carlton Books. ISBN 978-1-84442-994-3.
- ↑ 26.0 26.1 26.2 26.3 Alexander, Charles P. "The Arts & Media/Music: At Age Five She Belted Out French pop tunes standing atop tables." Time International. February 28, 1994. pg 44.
- ↑ เซลีน ดิออน โดย VH1.com เรียกข้อมูลวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2548
- ↑ 28.0 28.1 28.2 28.3 Bombardier, Denise (2009). L'énigmatique Céline Dion (ภาษาFrench). Albin Michel, XO éditions. pp. 172–173. ISBN 978-2-84563-413-8.
{{cite book}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - ↑ 29.0 29.1 29.2 Germain, Georges-Hébert (2010). René Angélil: Derrière le conte de fées. Michel Lafon. p. 279-280.
- ↑ "Entertainment Weekly". Review--Céline Dion Unison.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ "Allmusic". Review--Céline Dion Unison.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ 32.0 32.1 Alexander, Charles P. The Power of Celine Dion". Time 7 มีนาคม พ.ศ. 2537 เรียกข้อมูลวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2551
- ↑ 33.0 33.1 33.2 33.3 33.4 33.5 33.6 "Celine Dion." Newsmakers 1995, Issue 4. Gale Research, 1995.
- ↑ "Céline Dion". Céline Dion Biography.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ 35.0 35.1 35.2 "Celine Dion." Contemporary Musicians, Volume 25. Gale Group, 1999.
- ↑ 36.0 36.1 36.2 Celine Dion, The Colour of My Love. Plugged in สืบค้นวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2550
- ↑ "Celinedion.com". The Journey so Far.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ 38.0 38.1 38.2 "Celine Dion." Compton's by Britannica. Encyclopedia Britannica. 2005.
- ↑ 39.0 39.1 All Music Guide. "Review- Let's Talk About Love." November 1998. เรียกข้อมูลวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
- ↑ 40.0 40.1 "Entertainment weekly". Céline Dion--Review.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ "Entertainment weekly". The Colour of My Love--Review.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ All Music Guide. "Review- The Colour of My Love" สืบค้นวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 (อังกฤษ)
- ↑ 43.0 43.1 Jerome, Jim. "The Dream That Drives Her. (Singer Celine Dion) (Interview)" Ladies Home Journal November 1, 1997. 146 (4). อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Inter" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ 44.0 44.1 "Entertainment Weekly". Review --Falling into You.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ "Yahoo Music". Review --Falling into You.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ Stephen, Holden. Review: Falling into you. New York Times. (Late Edition (East Coast)). New York, N.Y.: April 14, 1996. pp. 2.30, 2 pgs)
- ↑ 47.0 47.1 Nichols, Natalie. Pop music review: The Grammy Winner is Charming At the Universal Amphitheatre But Her Singing Still Lacks Emotional Connection. Los Angeles Times. Los Angeles: March 27, 1997. p. 47)
- ↑ "Allmusic". Review --Falling into You.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ "Angelfire.com". Céline Dion Discography.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ 50.0 50.1 "Celine Dion." Artistdirect.com เรียกข้อมูลวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2550
- ↑ Carwell, Nikea. "Over the Years." Variety. November 13, 2000. p. 66. Volume: 380; Number: 13. ISSN: 00422738.
- ↑ "Celine Dion, เล็ตส์ทอล์กอะเบาต์เลิฟ พลักด์อิน เรียกข้อมูลวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2550
- ↑ เซลีน ดิออน Junior Canadian Encyclopedia (2002) . Historica Foundation of Canada. 2002.
- ↑ 54.0 54.1 "เซลีน ดิออน เล็ตส์ทอล์กอะเบาต์เลิฟ" พลักด์อิน เรียกข้อมูลวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2550
- ↑ 55.0 55.1 Weatherford, Mike (2004). "Show review: As Dion feels more comfortable, her show improves". Reviewjournal.com.
- ↑ The Guardian. 'People are jealous' . December 10, 2007. สืบค้นวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 (อังกฤษ)
- ↑ "Babs, Pavarotti, Others May Sing With Celine". Rolling Stone. August 6, 1998. สืบค้นวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 (อังกฤษ)
- ↑ 58.0 58.1 Taylor, Chuck. "Epic/550's Dion offers Hits." Billboard. November 6, 1999. p. 1.
- ↑ Lewis, Randy. "Album Review / Pop; Celine Dion Aims to Be the Christmas Star; These Are Special Times. Los Angeles Times. October 1998. F-28.
- ↑ "canadaswalkoffame.com". Canada's Walk of Fame.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ "That thing: Lauryn Hill sets Grammy record." CNN. February 24, 1999. เรียกข้อมูลัวนที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2550
- ↑ 62.0 62.1 "findarticles.com". The unsinkable Céline Dion - French-Canadian singer - Interview.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ 63.0 63.1 "Yahoo Music". Let's Talk About Love:Review.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ Stewart, Allison. Review:All the Way...A decade of Song. Chicago Tribune. Chicago, Ill.: December 12, 1999. p. 10)
- ↑ 65.0 65.1 Dollar, Steve. Review: These Are Special Times. The Atlanta Constitution. Atlanta, Georgia: November 3, 1998. p. C.01)
- ↑ "The Ultimate Diva" ซีเอ็นเอ็น October 22, 2002. เรียกข้อมูลวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2550
- ↑ "VH1". Céline Dion: Let's Talk About Success: The Singer Explains Her Career High-Points.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ King, Larry. Larry King Live. Personal Interview Interview With Celine Dion. CNN. March 26, 2002.
- ↑ ข่าวบีบีซี "Celine sues US tabloid for $20 m". February 29, 2000. เรียกข้อมูลวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
- ↑ Court TV Online. " Celine Dion Sues National Enquirer Over Twin Pregnancy Story." February 29, 2000. เรียกข้อมูลวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
- ↑ CNN. "Celine Dion Gives Birth to Baby Boy." January 25, 2001. เรียกข้อมูลวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
- ↑ Pappas, Ben. "Celine fights for her marriage." Us. April 22, 2002. pg 30.
- ↑ Taylor, Chuck. Céline Dion: God Bless America. บิลบอร์ด magazine. New York: October 6, 2001. Vol.113, Iss. 40; pg. 22, 1 pgs.
- ↑ 74.0 74.1 "VH1". Céline Dion: Let's Talk About Success: The Singer Explains Her Career High-Points.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ Tyrangiel, Josh. "Heart, No Soul." Time; Canadian edition. April 8, 2002. pg. 61
- ↑ "Rolling Stone". Review--A New Day has come.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ Entertainment Weekly. "Album Review: A New Day Has Come." March 22, 2002. Retrieved May 17, 2007.
- ↑ "Slant Magazine". Review--A New Day Has Come.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ Flick, Larry. One Heart. Billboard magazine. New York: March 29, 2003. Vol.115, Iss. 13; pg. 30, 1 pgs
- ↑ "Allmusic". Review--One Heart.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ Durchholz, Daniel. One Heart:Céline's a Diva Who Still Goes On and On. St.Louis Post - Dispatch. St. Louis, Mo.: April 24, 2003. pg. F.3
- ↑ Stein, Jason. "Celine Dion sings flat for Chrysler." Automotive News. November 24, 2003. Volume 78.
- ↑ Murray, Sonia. Céline Dion's latest takes easy, well-worn route. The Atlanta Journal–Constitution. Atlanta, Georgia: March 25, 2003. pg. C.1.
- ↑ Taylor, Chuck. Céline Dion: "Beautiful Boy". Billboard. New York: October 16, 2004. Vol.116, Iss. 42; pg. 33, 1 pgs
- ↑ Arnold, Chuck. "Review: Celine Dion, Miracle." People Magazine. November 22, 2004. pg, 48.
- ↑ "Entertainment Weekly". Review: Miracle.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ "Allmusic". Review--1 Fille & 4 Types.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ Gardner, Elysa. Mariah Carey, 'standing again'. USA Today. November 28, 2002. สืบค้นวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551 (อังกฤษ)
- ↑ Diamond Award. World Music Awards. สืบค้นวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551 (อังกฤษ)
- ↑ 90.0 90.1 Helligar, Jeremy. "Celine Dion livin' la vida Vegas!." Us. March 31, 2003, p. 56.
- ↑ Di Nunzio, Miriam. 'A New Day': Vegas gamble pays off for Céline Dion". Chicago Sun-Times, March 20, 2005.
- ↑ "Dion extends long Las Vegas stint". BBC. September 19, 2004.
- ↑ "Billboard.com". U2 Tops Billboard's Money Makers Chart.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ "You Tube". Céline Dion.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ "BBC News". Céline Dion is leaving Las Vegas.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ "Celine Dion debuts new single, "Taking Chances"... new Album and Worldwide tour, to come!". Key Dates: December 11, 2007.
{{cite web}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|1=
(help) - ↑ เว็บไซต์ของโซนี บีเอ็มจี ประเทศไทย เซลีน ดิออน - ไลฟ์อินลาสเวกัส อะนิวเดย์... เรียกข้อมูลวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551
- ↑ "Celine Dion". International Superstar Celine Dion Dominates the Charts with a #1 Debut. สืบค้นเมื่อ June 1 2007.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|dateformat=
ถูกละเว้น (help) - ↑ "celinedion.com. "What's Goin' On. Taking Chances - Celine's New English Album." August 24, 2007. Retrieved May 9, 2007.
- ↑ Eva Simpson; Caroline Hedley. "3AM: Celine Dion." Daily Mirror. July 30, 2007.pg 17.
- ↑ Johnson, Kevin C. "Ne-Yo Rides His R&B Vision to the Top." Saint Louis Post-Dispatch. June 21, 2007. p. 5.
- ↑ Taylor, Chuck. "Celine Ready To Take 'Chances' On New Album". Billboard. September 11, 2007. Retrieved September 13, 2007.
- ↑ "Coming attractions: Dion channels cool, fiesty 'Woman'". USA Today. September 13, 2007.
- ↑ "celinedion.com". "Concert Dates." Retrieved November 7, 2007.
- ↑ Yahoo! Québec. (2008, 7 août). Céline Dion deviendra docteure en musique au Palais Montcalm le 21 août. [En ligne]. Disponible à: http://qc.news.yahoo.com/s/capress/080807/arts/celine_diplome (Accée: 8 août 2008)
- ↑ Juno Awards. National Post. Retrieved April 3, 2008.
- ↑ Collins, Leah (2009-02-03) "Nickelback leads Juno nominations". Canada.com. Retrieved 2009-10-15
- ↑ Céline Dion à Québec : Près de 250 000 personnes sur les Plaines, LCN. (See the reportage). Consulted on August 23, 2008.
- ↑ Richer, Jocelyne, Céline Dion à Québec vendredi: le 400e promet un spectacle mémorable, La Presse Canadienne, August 19, 2008, consulted online on August 22, 2008 on Yahoo! news.
- ↑ Céline sur les Plaines : Un moment rempli d'émotions, LCN. Consulted on August 23, 2008.
- ↑ "New Greatest Hits Album : TeamCeline Exclusive Sneak Peek!". สืบค้นเมื่อ August 27, 2008.
- ↑ — (2009-05-29) "Chart Watch Extra: The Top 20 Album Sellers Of The 2000s". music.yahoo.com. Retrieved 2009-10-15
- ↑ Mikelbank, Peter and Stephen M. Silverman (2009-08-18) "Celine Dion is pregnant with second child" CNN. Retrieved 2009-10-15
- ↑ Serpe, Gina (2009-11-11) "Céline Dion Tries for Another Baby After Pregnancy Loss." E!. Retrieved 2009-11-11
- ↑ Dam, Julie (2009-11-11) "Céline Dion Will Keep Trying for a Baby." People Magazine. Retrieved 2009-11-11
- ↑ 116.0 116.1 Dave Matthews Band rocks to the top in concert revenue Chicago Tribune Retrieved 2009-12-20
- ↑ Celine Dion pregnant with second child Telegraph.co.uk'.' Retrieved 2010-1-20.
- ↑ Celine Dion pregnant again Reuters UK'.' Retrieved 2010-1-20.
- ↑ Céline Dion still trying for 2nd child CBC News'.' Retrieved 2010-1-20.
- ↑ Celine Dion not pregnant, despite early report Reuters'.' Retrieved 2010-1-20.
- ↑ Céline Dion Is Pregnant – with Twins! People Magazine'.' Retrieved 2010-05-30.
- ↑ Céline Dion expecting twin boys CBC News Retrieved 2010-07-09
- ↑ Celine Dion's Twins: They're No Divas Entertainment Weekly Retrieved 2010-07-09
- ↑ Céline Dion expecting twin boys CBC News Retrieved 2010-07-09
- ↑ Celine Dion's Twins: They're No Divas Entertainment Weekly Retrieved 2010-07-09
- ↑ Céline Dion hospitalized as precaution Montreal Gazette Retrieved 2010-10-18
- ↑ Celine Dion gives birth to twin boys Associated Press Retrieved 2010-10-23
- ↑ 128.0 128.1 128.2 - (2009-12-03) "'Eyes of the World': Part Dion concert film, part family album". www.usatoday.com Retrieved 2009-12-04
- ↑ Celine Dion reaches peak of the decade's Ultimate Top 10 Los Angeles Times Retrieved 2010-1-20
- ↑ Celine Dion reaches peak of the decade's Ultimate Top 10 Los Angeles Times Retrieved 2010-1-20
- ↑ Celine Dion Is Americans' Musical Fave AdWeek Retrieved 2010-12-07
- ↑ Celine Dion is America's Favorite Singer/Musician Followed by U2 NewsBlaze Retrieved 2010-07-12
- ↑ Harris Poll: Celine Dion is America's Favorite Singer/Musician Followed by U2 The Financial Retrieved 2010-12-07
- ↑ 134.0 134.1 Les artistes québécois de la décennie Le Journal de Quebec Retrieved 2010-1-29
- ↑ Grammy rehearsals, day three: Bon Jovi (with Jennifer Nettles) and a tribute to Michael Entertainment Weekly Retrieved 2010-1-31
- ↑ [http://www.nypost.com/p/entertainment/music/jacko_tribute_1dbFAbAMSbiS8H0byo8ATN The Grammys' 3-D tribute to Michael Jackson Spirit of Moonwalker haunts award ceremony] New York Post Retrieved 2010-1-31
- ↑ Celine: Through the Eyes of the World, an Expanded DVD Edition of the Acclaimed Documentary & Taking Chances World Tour: The Concert, a New Live DVD/CD, Available Tuesday, May 4. Retrieved March 22, 2010.
- ↑ Celine Dion store. Retrieved March 22, 2010.
- ↑ VOLER Michel Sardou en duo avec Céline Dion Canoe.ca Retrieved 2010-09-26
- ↑ Marc Dupre: un nouvel extrait compose par Celine Dion Branchez-vous! Retrieved 2010-10-10
- ↑ Celine Dion Confirms Her Return to Vegas Stage People Magazine Retrieved 2010-2-10
- ↑ Celine Dion Confirms Her Return to Vegas Stage People Magazine Retrieved 2010-2-10
- ↑ Celine Dion says new documentary a 'VIP' pass for fans; talks about being an 'open book' The Canadian Press Retrieved 2010-2-16
- ↑ Rahman to team up with Celine Dion Hindustan Times Retrieved 2010-2-16
- ↑ "Celine Dion Retrospective - 1996". Oprah.com. 2011-02-21. สืบค้นเมื่อ 2011-10-29.
- ↑ Celine Dion discusses Las Vegas show, gives away tickets on ‘Oprah’ Las Vegas Sun Retrieved February 27, 2011
- ↑ We Know Céline Dion's Post-Baby Plans (Hint: Think Oscar!) E! Online. Retrieved February 15, 2011
- ↑ "Celine on MDA Labor Day Telethon Tonight | The Official Celine Dion Site". Celinedion.com. สืบค้นเมื่อ 2011-10-29.
- ↑ "'Celine: 3 Boys and a New Show' On OWN This Weekend! | The Official Celine Dion Site". Celinedion.com. สืบค้นเมื่อ 2011-10-29.
- ↑ "Who Is Your Dream Celebrity Seat-Mate? | The Official Celine Dion Site". Celinedion.com. สืบค้นเมื่อ 2011-10-29.
- ↑ "Signature – Celine's New Fragrance, Coming Soon To The Boutique | The Official Celine Dion Site". Celinedion.com. สืบค้นเมื่อ 2011-10-29.
- ↑ "Celine To Appear At Andrea Bocelli's Concert in Central Park | The Official Celine Dion Site". Celinedion.com. สืบค้นเมื่อ 2011-10-29.
- ↑ "VIDEOS: Celine Dion performing LIVE at 2012 Jamaica Jazz and Blues! | Jay Blessed Media". Jayblessed.com. สืบค้นเมื่อ 2012-04-09.
- ↑ "Celine's New Albums". celinedion.com. 7 June 2012. สืบค้นเมื่อ 21 September 2012.
- ↑ "Sans attendre' – A Big Day For Germany, Switzerland and Belgium". celinedion.com. 2 November 2012. สืบค้นเมื่อ 2 November 2012.
- ↑ "Release Dates For 'Loved Me Back To Life'". celinedion.com. 4 September 2013. สืบค้นเมื่อ 4 September 2013.
- ↑ "Celine Dion: Loved Me Back to Life". celinedion.com. 4 September 2013. สืบค้นเมื่อ 4 September 2013.
- ↑ "Celine Dion Talks 'Loved Me Back to Life' Single, Album (Exclusive)". Billboard. Nielsen Business Media, Inc. 29 August 2013. สืบค้นเมื่อ 29 August 2013.
- ↑ "Celine Dion Returns to Europe for 7 Exceptional shows". celinedion.com. 2013-04-23. สืบค้นเมื่อ 2013-04-23.
- ↑ Celine Gives Birth to Twins!!. Retrieved 2010-10-25.
- ↑ Celine Dion's Twins Named Nelson and Eddy. Retrieved 2010-10-28.
- ↑ http://www.hellomagazine.ca/magazine/cover-hello-canada-199.html
- ↑ Home. "HELLO! – The place for daily celebrity news". hellomagazine.ca. Retrieved February 28, 2011.
- ↑ The New Rolling Stone Album Guide 2004.
- ↑ "The real Céline: Céline Dion’s new French album shows her personal side." CBC. May 29, 2007. Retrieved September 25, 2007.
- ↑ Andersson, Eric. "Who Inspired the Idols?" Us. March 12, 2007. p. 104
- ↑ 167.0 167.1 "The real Céline: Céline Dion’s new French album shows her personal side." CBC. May 29, 2007. Retrieved September 25, 2007.
- ↑ >"MTV's 22 Greatest Voices in Music". mtv's 22.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessmonthday=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help) - ↑ (ooqu0o45hssi4szgpvg5lb55))/collection.aspx?collection=534 22 Greatest Voices in Music. Am I Annoying. Retrieved October 2, 2008.
- ↑ Mulholland, Garry. The Illustrated Encyclopedia of Music (2003). pg. 57. UK: Flame Tree Publishing. ISBN 1-904041-70-1.
- ↑ Among others, Dion helped to compose "Treat Her Like a Lady" from Let's Talk About love, and "Don't Save It All for Christmas Day" from These Are Special Times
- ↑ "Canadian Broadcasting Corporation". Céline Dion takes swipe at Iraq war; donates $1m to Katrina victims. Retrieved on July 14, 2006.
- ↑ Glatzer, Jenna (2005). Céline Dion: For Keeps. Andrews McMeel Publishing. ISBN 0-7407-5559-5.
- ↑ Alberts, Sheldon. "A Canadian liftoff; Dion 'flattered' her Air Canada ad chosen as Clinton's campaign song" National Post 20 มิถุนายน พ.ศ. 2550 หน้า A3
- ↑ Barron, Lee. "'Elizabeth Hurley Is More Than a Model': Stars and Career Diversification in Contemporary Media." Journal of Popular Culture. Vol. 39. Issue No. 4. ISSN: 00223840 (พ.ศ. 2549) : หน้า 523
- ↑ Fass, Allison. "Business Scents." Forbes Magazine 19 กันยายน พ.ศ. 2548 หน้า 064a
- ↑ Barnes, Rachel. "Coty set to add two fragrances to men's range." Marketing February 19, 2004 หน้า 4
- ↑ http://nymag.com/daily/fashion/2009/02/kate_moss_and_celine_dion_are.html
- ↑ http://www.museudelperfum.com/noticia.php?id=18&lang=en
- ↑ http://www.fashionwindows.com/beauty/2006/06011.asp
- ↑ เซลีน ดิออน celinedion.com เรียกข้อมูลวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2551
- ↑ McLellan, Stephanie Simpson. "Celebrating the Mother-Child Bond." Today's Parent, p. 32. 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2547
- ↑ Wray, James. "Celine Dion to Raise One Million for Tsunami Victims". M&G Music. 12 มกราคม พ.ศ. 2548 เรียกข้อมูลวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2550
- ↑ "Her letter to China Children & Teenagers' Fund".
แหล่งข้อมูลอื่น