ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โฮจิมินห์"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
BotKung (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาดบทความด้วยบอต
บรรทัด 33: บรรทัด 33:
ด้วยวัยเพียงไม่กี่ขวบ โฮจิมินห์ได้ย้ายตามบิดาไป[[เว้]] ซึ่งไปสอบ[[จอหงวน]] แต่ต่อมาโฮจิมินห์ได้อาศัยอยู่กับมารดาตามลำพังเพียง 2 คน เพราะบิดาเมื่อสอบจอหงวนได้ ได้ย้ายไปรับราชการที่ต่างเมือง ขณะที่มารดากำลังตั้งครรภ์ ต่อมาก็ได้คลอดลูกคนเล็กออกมา โฮจิมินห์ในวัย 11 ขวบต้องเลี้ยงน้องเอง เนื่องจากมารดาได้เสียชีวิตไปในขณะคลอด และไม่นานน้องคนเล็กก็เสียชีวิต<ref name="โฮ"/>
ด้วยวัยเพียงไม่กี่ขวบ โฮจิมินห์ได้ย้ายตามบิดาไป[[เว้]] ซึ่งไปสอบ[[จอหงวน]] แต่ต่อมาโฮจิมินห์ได้อาศัยอยู่กับมารดาตามลำพังเพียง 2 คน เพราะบิดาเมื่อสอบจอหงวนได้ ได้ย้ายไปรับราชการที่ต่างเมือง ขณะที่มารดากำลังตั้งครรภ์ ต่อมาก็ได้คลอดลูกคนเล็กออกมา โฮจิมินห์ในวัย 11 ขวบต้องเลี้ยงน้องเอง เนื่องจากมารดาได้เสียชีวิตไปในขณะคลอด และไม่นานน้องคนเล็กก็เสียชีวิต<ref name="โฮ"/>


เมื่อโตขึ้น โฮจิมินห์ได้สัมผัสกับการเมืองเป็นครั้งแรกจากการที่เป็นล่ามภาษาฝรั่งเศสให้กับชาวนาที่ถูกเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสกดขี่ ในช่วงนี้ โฮจิมินห์ได้กล่าวว่า ตนได้เห็นการกดขี่และความอยุติธรรม รวมถึงการได้เห็นชาวนาถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา ต่อมาโฮจิมินห์รู้ตัวว่า ตนเองต้องได้รับการศึกษาที่มากขึ้นและออกไปท่องโลกกว้างเพื่อเปิดโลกทัศน์ของตน ในปี พ.ศ. 2454 จึงได้ย้ายจากเวียดนามไปเป็นพ่อครัวใน[[ประเทศฝรั่งเศส]] ด้วยการสมัครเป็นลูกเรือบนเรือเดินสมุทร ที่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศเจ้าอาณานิคมของเวียดนามในขณะนั้น และได้ศึกษาเรียนต่อที่นั่น โฮจิมินห์ ในขณะนั้นใช้ชื่อว่า '''เหงียน อ้าย กว๊อก''' ซึ่งแปลว่า ''"เหงียนผู้รักชาิติ"'' โฮจิมินห์ได้ติดต่อกับชาวเวียดนามในฝรั่งเศส เพื่อรวมตัวกันเรียกร้องอิสรภาพจากชาติมหาอำนาจตะวันตกหลายชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ ในฐานะโฆษกของกลุ่ม แต่ทว่าก็ได้รับการรังเกียจและถูกกีดกันออกมา เมื่อโฮจิมินห์พยายามจะยื่นหนังสือต่อ [[วูดโรว์ วิลสัน]] ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ขณะเดินทางมายังฝรั่งเศส เพื่อลงนามใน[[สนธิสัญญาแวร์ซาย]]หลังสิ้นสุด[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]]<ref name="โฮ"/>
เมื่อโตขึ้น โฮจิมินห์ได้สัมผัสกับการเมืองเป็นครั้งแรกจากการที่เป็นล่ามภาษาฝรั่งเศสให้กับชาวนาที่ถูกเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสกดขี่ ในช่วงนี้ โฮจิมินห์ได้กล่าวว่า ตนได้เห็นการกดขี่และความอยุติธรรม รวมถึงการได้เห็นชาวนาถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา ต่อมาโฮจิมินห์รู้ตัวว่า ตนเองต้องได้รับการศึกษาที่มากขึ้นและออกไปท่องโลกกว้างเพื่อเปิดโลกทัศน์ของตน ในปี พ.ศ. 2454 จึงได้ย้ายจากเวียดนามไปเป็นพ่อครัวใน[[ประเทศฝรั่งเศส]] ด้วยการสมัครเป็นลูกเรือบนเรือเดินสมุทร ที่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศเจ้าอาณานิคมของเวียดนามในขณะนั้น และได้ศึกษาเรียนต่อที่นั่น โฮจิมินห์ ในขณะนั้นใช้ชื่อว่า '''เหงียน อ้าย กว๊อก''' ซึ่งแปลว่า ''"เหงียนผู้รักชาติ"'' โฮจิมินห์ได้ติดต่อกับชาวเวียดนามในฝรั่งเศส เพื่อรวมตัวกันเรียกร้องอิสรภาพจากชาติมหาอำนาจตะวันตกหลายชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ ในฐานะโฆษกของกลุ่ม แต่ทว่าก็ได้รับการรังเกียจและถูกกีดกันออกมา เมื่อโฮจิมินห์พยายามจะยื่นหนังสือต่อ [[วูดโรว์ วิลสัน]] ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ขณะเดินทางมายังฝรั่งเศส เพื่อลงนามใน[[สนธิสัญญาแวร์ซาย]]หลังสิ้นสุด[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]]<ref name="โฮ"/>


ต่อมาโฮจิมินห์ก็ได้ย้ายจากฝรั่งเศสไป[[สหรัฐอเมริกา]]และ[[อังกฤษ]]ตามลำดับ หลังจากนั้นก็ได้เข้าร่วมกับ[[พรรคคอมมิวนิสต์จีน]]ซึ่งเมื่อรัฐบาล[[ก๊กมินตั๋ง]]ของ[[เจียงไคเช็ค]]เริ่มการปราบปรามคอมมิวนิสต์นั้น โฮจิมินห์ได้หลบหนีจากจีนมายัง[[จังหวัดนครพนม]] [[ประเทศไทย]] โดยได้บวชเป็นพระภิกษุทำการสอนลัทธิคอมมิวนิสต์ให้[[ชาวไทย]] โดยใช้ชื่อว่า "ลุงโฮ" โดยช่วงแรกที่หลบหนีในประเทศไทยนั้นเริ่มจากขึ้นเรือที่ท่าน้ำเอสบี (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงแรมแม่น้ำ) ไปยังจังหวัดพิจิตร จากนั้นได้เดินทางไปต่อยังจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคาย โดยใช้ชื่อว่า "เฒ่าจิ๋น" รวมเวลาพำนักอยู่ในประเทศไทยทั้งสิ้น 7 ปี <ref>''สงครามเวียดนาม'', "แฟนพันธุ์แท้". เกมโชว์ทางช่อง 5: ศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม 2556</ref> ในระยะนี้โฮจิมินห์ ต้องเดินทางไปหลบซ่อนในหลายประเทศ ใช้ชื่อปลอมหลายชื่อ ซึ่งครั้งหนึ่ง โฮจิมินห์ได้ถูกตำรวจฮ่องกงจับโดยไม่มีความผิด ได้ถูกขังคุกนานเป็นระยะเวลานาน 1 ปีเต็ม ในช่วงนี้โฮจิมินห์สภาพร่างกายย่ำแย่มาก เป็นโรคขาดสารอาหาร แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือให้พ้นออกมา จากเพื่อนเก่าในสมาคมชาวเวียดนามในฝรั่งเศส รวมถึงเชื่อว่ามี [[โจว เอินไหล]] นายกรัฐมนตรีของจีน ซึ่งเป็นสหายที่ดีต่อโฮจิมินห์ร่วมด้วย<ref name="โฮ"/>
ต่อมาโฮจิมินห์ก็ได้ย้ายจากฝรั่งเศสไป[[สหรัฐอเมริกา]]และ[[อังกฤษ]]ตามลำดับ หลังจากนั้นก็ได้เข้าร่วมกับ[[พรรคคอมมิวนิสต์จีน]]ซึ่งเมื่อรัฐบาล[[ก๊กมินตั๋ง]]ของ[[เจียงไคเช็ค]]เริ่มการปราบปรามคอมมิวนิสต์นั้น โฮจิมินห์ได้หลบหนีจากจีนมายัง[[จังหวัดนครพนม]] [[ประเทศไทย]] โดยได้บวชเป็นพระภิกษุทำการสอนลัทธิคอมมิวนิสต์ให้[[ชาวไทย]] โดยใช้ชื่อว่า "ลุงโฮ" โดยช่วงแรกที่หลบหนีในประเทศไทยนั้นเริ่มจากขึ้นเรือที่ท่าน้ำเอสบี (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงแรมแม่น้ำ) ไปยังจังหวัดพิจิตร จากนั้นได้เดินทางไปต่อยังจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคาย โดยใช้ชื่อว่า "เฒ่าจิ๋น" รวมเวลาพำนักอยู่ในประเทศไทยทั้งสิ้น 7 ปี <ref>''สงครามเวียดนาม'', "แฟนพันธุ์แท้". เกมโชว์ทางช่อง 5: ศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม 2556</ref> ในระยะนี้โฮจิมินห์ ต้องเดินทางไปหลบซ่อนในหลายประเทศ ใช้ชื่อปลอมหลายชื่อ ซึ่งครั้งหนึ่ง โฮจิมินห์ได้ถูกตำรวจฮ่องกงจับโดยไม่มีความผิด ได้ถูกขังคุกนานเป็นระยะเวลานาน 1 ปีเต็ม ในช่วงนี้โฮจิมินห์สภาพร่างกายย่ำแย่มาก เป็นโรคขาดสารอาหาร แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือให้พ้นออกมา จากเพื่อนเก่าในสมาคมชาวเวียดนามในฝรั่งเศส รวมถึงเชื่อว่ามี [[โจว เอินไหล]] นายกรัฐมนตรีของจีน ซึ่งเป็นสหายที่ดีต่อโฮจิมินห์ร่วมด้วย<ref name="โฮ"/>
บรรทัด 60: บรรทัด 60:
[[หมวดหมู่:นักลัทธิคอมมิวนิสต์]]
[[หมวดหมู่:นักลัทธิคอมมิวนิสต์]]
[[หมวดหมู่:ผู้นำในสงครามเย็น]]
[[หมวดหมู่:ผู้นำในสงครามเย็น]]
[[category:เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลว‎]]
[[หมวดหมู่:เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลว‎]]
{{Link FA|la}}
{{Link FA|la}}
{{Link FA|vi}}
{{Link FA|vi}}

รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:52, 1 ตุลาคม 2556

โฮจิมินห์
นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม
ดำรงตำแหน่ง
พ.ศ. 2488 – พ.ศ. 2498
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม
ดำรงตำแหน่ง
พ.ศ. 2489 – พ.ศ. 2512
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด19 พฤษภาคม พ.ศ. 2433
จังหวัดเหงะอาน
เสียชีวิต2 กันยายน พ.ศ. 2512 (79 ปี)
กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม
พรรคการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
คู่สมรสถัง ตรุด มินห์[1]
ลายมือชื่อ

โฮจิมินห์ (เวียดนาม: Hồ Chí Minh, โห่ จี๊ มิญ; คำแปล "แสงสว่างที่นำทาง"[2]) เป็นนักปฏิวัติชาวเวียดนาม ซึ่งในภายหลังได้กลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (เวียดนามเหนือ) หลังจากสิ้นสุดของสงครามเวียดนาม ไซ่ง่อน เมืองหลวงเก่าของเวียดนามใต้ ได้ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นโฮจิมินห์ซิตี เพื่อเป็นเกียรติแก่โฮจิมินห์

โฮจิมินห์ เป็นบุคคลที่ชาวเวียดนามถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการประกาศอิสรภาพของเวียดนาม[2]

ประวัติ

โฮจิมินห์เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2433 ที่หมู่บ้านหว่างจู่ จังหวัดเหงะอาน ตอนบนของเวียดนาม ในชื่อ เหงียน ซินห์ ซัง เป็นบุตรคนที่ 3 และบุตรชายคนรองของเหงียน ซินห์ ซ็อก ปัญญาชนชาวเวียดนาม [2]

ซึ่งเวียดนามขณะนั้นตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิฝรั่งเศส ดังนั้นทั้งโฮจิมินห์และบิดาต่างตกเสมือนอยู่ใน 2 วัฒนธรรม ทั้งวัฒนธรรมตะวันตกของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ปกครอง และวัฒนธรรมตะวันออกแบบจีนและลัทธิขงจื๊อ อันเป็นวัฒนธรรมของเวียดนาม

ด้วยวัยเพียงไม่กี่ขวบ โฮจิมินห์ได้ย้ายตามบิดาไปเว้ ซึ่งไปสอบจอหงวน แต่ต่อมาโฮจิมินห์ได้อาศัยอยู่กับมารดาตามลำพังเพียง 2 คน เพราะบิดาเมื่อสอบจอหงวนได้ ได้ย้ายไปรับราชการที่ต่างเมือง ขณะที่มารดากำลังตั้งครรภ์ ต่อมาก็ได้คลอดลูกคนเล็กออกมา โฮจิมินห์ในวัย 11 ขวบต้องเลี้ยงน้องเอง เนื่องจากมารดาได้เสียชีวิตไปในขณะคลอด และไม่นานน้องคนเล็กก็เสียชีวิต[2]

เมื่อโตขึ้น โฮจิมินห์ได้สัมผัสกับการเมืองเป็นครั้งแรกจากการที่เป็นล่ามภาษาฝรั่งเศสให้กับชาวนาที่ถูกเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสกดขี่ ในช่วงนี้ โฮจิมินห์ได้กล่าวว่า ตนได้เห็นการกดขี่และความอยุติธรรม รวมถึงการได้เห็นชาวนาถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา ต่อมาโฮจิมินห์รู้ตัวว่า ตนเองต้องได้รับการศึกษาที่มากขึ้นและออกไปท่องโลกกว้างเพื่อเปิดโลกทัศน์ของตน ในปี พ.ศ. 2454 จึงได้ย้ายจากเวียดนามไปเป็นพ่อครัวในประเทศฝรั่งเศส ด้วยการสมัครเป็นลูกเรือบนเรือเดินสมุทร ที่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศเจ้าอาณานิคมของเวียดนามในขณะนั้น และได้ศึกษาเรียนต่อที่นั่น โฮจิมินห์ ในขณะนั้นใช้ชื่อว่า เหงียน อ้าย กว๊อก ซึ่งแปลว่า "เหงียนผู้รักชาติ" โฮจิมินห์ได้ติดต่อกับชาวเวียดนามในฝรั่งเศส เพื่อรวมตัวกันเรียกร้องอิสรภาพจากชาติมหาอำนาจตะวันตกหลายชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ ในฐานะโฆษกของกลุ่ม แต่ทว่าก็ได้รับการรังเกียจและถูกกีดกันออกมา เมื่อโฮจิมินห์พยายามจะยื่นหนังสือต่อ วูดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ขณะเดินทางมายังฝรั่งเศส เพื่อลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[2]

ต่อมาโฮจิมินห์ก็ได้ย้ายจากฝรั่งเศสไปสหรัฐอเมริกาและอังกฤษตามลำดับ หลังจากนั้นก็ได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งเมื่อรัฐบาลก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็คเริ่มการปราบปรามคอมมิวนิสต์นั้น โฮจิมินห์ได้หลบหนีจากจีนมายังจังหวัดนครพนม ประเทศไทย โดยได้บวชเป็นพระภิกษุทำการสอนลัทธิคอมมิวนิสต์ให้ชาวไทย โดยใช้ชื่อว่า "ลุงโฮ" โดยช่วงแรกที่หลบหนีในประเทศไทยนั้นเริ่มจากขึ้นเรือที่ท่าน้ำเอสบี (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงแรมแม่น้ำ) ไปยังจังหวัดพิจิตร จากนั้นได้เดินทางไปต่อยังจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคาย โดยใช้ชื่อว่า "เฒ่าจิ๋น" รวมเวลาพำนักอยู่ในประเทศไทยทั้งสิ้น 7 ปี [3] ในระยะนี้โฮจิมินห์ ต้องเดินทางไปหลบซ่อนในหลายประเทศ ใช้ชื่อปลอมหลายชื่อ ซึ่งครั้งหนึ่ง โฮจิมินห์ได้ถูกตำรวจฮ่องกงจับโดยไม่มีความผิด ได้ถูกขังคุกนานเป็นระยะเวลานาน 1 ปีเต็ม ในช่วงนี้โฮจิมินห์สภาพร่างกายย่ำแย่มาก เป็นโรคขาดสารอาหาร แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือให้พ้นออกมา จากเพื่อนเก่าในสมาคมชาวเวียดนามในฝรั่งเศส รวมถึงเชื่อว่ามี โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีของจีน ซึ่งเป็นสหายที่ดีต่อโฮจิมินห์ร่วมด้วย[2]

โฮจิมินห์เดินทางกลับมาเวียดนามอีกครั้งในปี พ.ศ. 2484 ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฝรั่งเศสในขณะนั้นถูกกองทัพนาซีบุกยึด และกลายสภาพเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดให้แก่ฝ่ายอักษะ จึงรับนโยบายในการปกครองเวียดนามจากนาซีเป็นหลัก โฮจิมินห์จึงสบโอกาสรวบรวมชาวเวียดนามส่วนใหญ่แล้วตั้งเป็นฝ่ายเวียดมินห์ เตรียมแผนที่จะประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสให้ประชาชนชาวเวียดนาม ซึ่งชาวเวียดนามในขณะนั้นยังไม่มีการศึกษา และส่วนใหญ่อดอยากยากจน โฮจิมินห์ได้เข้าถึงตัวชาวบ้านระดับล่าง ด้วยการทำตัวกลมกลืนผูกมิตรไปกับชาวบ้าน ได้พูดคุยและทำความเข้าใจกันอย่างง่าย ๆ และเพิ่มจำนวนสมาชิกขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการบอกแบบปากต่อปาก ซึ่งหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญ ก็คือ หวอ เงวียน ซ้าป ซึ่งต่อมาเป็นนายพลและสหายคนสำคัญของโฮจิมินห์ อีกทั้งทั้งคู่ยังเป็นคู่เขยของกันและกัน เนื่องจากภรรยาของทั้งคู่นั้นเป็นพี่น้องกัน และในช่วงนี้เองที่ชื่อ "โฮจิมินห์" ได้ถูกใช้ออกมาเป็นครั้งแรก[2]

และในช่วงปลายของสงคราม โฮจิมินห์ได้ยังติดต่อกับสำนักงานบริการด้านยุทธศาสตร์ (OSS) ของสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมมือกันต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นด้วย นับเป็นการร่วมมือกันของทั้ง 2 ฝ่าย เป็นครั้งแรกและครั้งเดียว แม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ ก็ตาม[2]

ในที่สุด โฮจิมินห์ประกาศจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามหลังจากจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย จักรพรรดิเวียดนามพระองค์สุดท้ายประกาศสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2497 เวียดนามก็ได้ประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในยุทธการที่เดียนเบียนฟู โฮจิมินห์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามเป็นคนแรก ด้วยการประกาศแถลงการณ์ที่จตุรัสบาดิงห์ ซึ่งเริ่มต้นด้วยประโยคแบบเดียวกับประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา โฮจิมินห์ปฏิเสธที่จะพำนักในจวนข้าหลวงใหญ่ฝรั่งเศส ซึ่งโอ่โถง แต่ขออาศัยอยู่ในบ้านพักหลังเล็ก ๆ เท่านั้น

ด้านชีวิตครอบครัว โฮจิมินห์ สมรส 2 ครั้ง ครั้งแรกกับหญิงชาวจีนที่ประเทศจีน ขณะที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในประเทศจีนในวัยหนุ่ม แต่ต่อมาภรรยาได้เสียชีวิต และอีกครั้งกับถัง ตรุด มินห์ หญิงชาวเวียดนาม และเป็นสมาชิกคนสำคัญคนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม แม้ทั้งคู่อายุจะห่างกันหลายปีก็ตาม [2]

ในปี พ.ศ. 2502 สงครามเวียดนามได้อุบัติขึ้น สหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรอื่น ๆ ก็ได้เข้าร่วมสงครามด้วย แต่ผลสุดท้ายเวียดนามเหนือเป็นฝ่ายชนะในปี พ.ศ. 2518 โฮจิมินห์ในขณะนั้นอยู่ในวัยชราแล้ว ได้ประกาศว่า ตนลดบทบาททางการเมืองลงมา แม้จะได้รับการนับถืออย่างสูงสุดอยู่ก็ตาม และก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่โฮจิมินห์มิได้อยู่ถึงการชื่นชมชัยชนะในปี พ.ศ. 2518 ด้วยเหตุที่ว่าโฮจิมินห์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2512 ที่บ้านพักในกรุงฮานอย ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว สิริอายุได้ 79 ปี ซึ่งปัจจุบันร่างของโฮจิมินห์ได้ถูกบรรจุในโลงแก้ว เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้เคารพ ที่จตุรัสบาดิงห์[2]

อ้างอิง

  1. Brocheux, Pierre , (2011), [1], Cambridge University Press, p. 39; ISBN 9781107622265
  2. 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 โฮจิมินห์, "โลกหลากมิติ". สารคดีทางไทยพีบีเอส: อาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2556
  3. สงครามเวียดนาม, "แฟนพันธุ์แท้". เกมโชว์ทางช่อง 5: ศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม 2556

แหล่งข้อมูลอื่น

แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA