ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เรือบรรทุกอากาศยาน"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 113: บรรทัด 113:
| {{IND}} || {{Flagicon image|Naval Ensign of India.svg|border=}} นาวีอินเดีย || 4 || 1 || 0 || 2 || 1
| {{IND}} || {{Flagicon image|Naval Ensign of India.svg|border=}} นาวีอินเดีย || 4 || 1 || 0 || 2 || 1
|-
|-
| {{UK}} || {{Flagicon imageNaval Ensign of the United Kingdom.svg|border=}} [[ราชนาวี|ราชนาวีสหราชอาณาจักร]] || 43 || 1 || 0 || 2 || 40
| {{UK}} || {{Flagicon image|Naval Ensign of the United Kingdom.svg|border=}} [[ราชนาวี|ราชนาวีสหราชอาณาจักร]] || 43 || 1 || 0 || 2 || 40
|-
|-
| {{BRA}} || {{Flagicon image|Flag of Brazil.svg|border=}} นาวีบราซิล || 2 || 1 || 0 || 0 || 1
| {{BRA}} || {{Flagicon image|Flag of Brazil.svg|border=}} นาวีบราซิล || 2 || 1 || 0 || 0 || 1
|-
|-
| {{CHN}} || {{Flagicon imageNaval Ensign of the People's Republic of China.svg|border=}} นาวีจีน || 1 || 1 || 0 || 0 || 0
| {{CHN}} || {{Flagicon image|Naval Ensign of the People's Republic of China.svg|border=}} นาวีจีน || 1 || 1 || 0 || 0 || 0
|-
|-
| {{FRA}} || {{Flagicon image|Civil and Naval Ensign of France.svg|border=}} นาวีฝรั่งเศส || 8 || 1 || 0 || 0 || 7
| {{FRA}} || {{Flagicon image|Civil and Naval Ensign of France.svg|border=}} นาวีฝรั่งเศส || 8 || 1 || 0 || 0 || 7
บรรทัด 127: บรรทัด 127:
| {{ESP}} || {{Flagicon image|Flag of Spain.svg|border=}} ราชนาวีสเปน || 2 || 1 || 1 || 0 || 0
| {{ESP}} || {{Flagicon image|Flag of Spain.svg|border=}} ราชนาวีสเปน || 2 || 1 || 1 || 0 || 0
|-
|-
| {{JPN}} || [[กองทัพเรือญี่ปุ่น|ราชนาวีญี่ปุ่น]] || 20 || 0 || 0 || 0 || 20
| {{JPN}} || {{Flagicon image|Naval Ensign of Japan.svg|border=}} [[กองทัพเรือญี่ปุ่น|ราชนาวีญี่ปุ่น]] || 20 || 0 || 0 || 0 || 20
|-
|-
| {{NED}} || ราชนาวีเนเธอร์แลนด์ || 1 || 0 || 0 || 0 || 1
| {{NED}} || ราชนาวีเนเธอร์แลนด์ || 1 || 0 || 0 || 0 || 1

รุ่นแก้ไขเมื่อ 23:34, 3 กันยายน 2556

เรือหลวงจักรีนฤเบศร

เรือบรรทุกอากาศยาน หรือ เรือบรรทุกเครื่องบิน (อังกฤษ: aircraft carrier) คือ เรือรบที่ออกแบบมาสำหรับใช้เป็นฐานทัพอากาศเคลื่อนที่ให้กับอากาศยาน เรือบรรทุกเครื่องบินนั้นทำให้กองทัพเรือสามารถส่งกำลังทางอากาศออกไปได้ไกลยิ่งขึ้นโดยขึ้นอยู่กับที่มั่นของเรือบรรทุกเครื่องบิน พวกมันพัฒนามาจากเรือที่สร้างจากไม้ที่ถูกใช้เพื่อปล่อยบัลลูนมาเป็นเรือรบพลังนิวเคลียร์ซึ่งสามารถบรรทุกอากาศยานปีกนิ่งและปีกหมุนได้หลายสิบลำ

โดยปกเรือบรรทุกอากาศยานจะเป็นเรือหลักของกองเรือและเป็นเรือที่มีราคาแพงอย่างมาก มี 10 ประเทศที่ครอบครองเรือบรรทุกอากาศยานโดยแปดประเทศมีเรือบรรทุกอากาศยานเพียงลำเดียวเท่านั้น ทั่วโลกมีเรือบรรทุกอากาศยานที่กำลังทำหน้าที่ 20 ลำโดยเป็นของสหรัฐเสีย 10 ลำ บางประเทศในจำนวนนี้ไม่มีเครื่องบินที่สามารถใช้กับเรือบรรทุกอากาศยานและบางประเทศได้เปล่ยนวัตถุประสงค์ของเรือไป[1]

ประวัติ

การทดลองของแซมวลเอล แลงลีย์ที่พยายามใช้เครื่องดีดส่งคนพร้อมเครื่องจักรออกจากเรือบ้านเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2447 ซึ่งล้มเหลว ความคิดของเขาในการพยายามส่งเครื่องบินจากเรือและการใช้เครื่องดีดเป็นตัวส่งนั้นนับเป็นความคิดที่จะสำเร็จในอนาคต
เรือบรรทุกเครื่องบินทะเลวากะมิยะของญี่ปุ่นซึ่งทำการโจมตีด้วยเครื่องบินจากเรือเป็นลำแลกของโลกเมื่อปีพ.ศ. 2457

ไม่นานหลังจากที่มีการสร้างอากศยานที่มีน้ำหนักมากกว่าอากาศขึ้นมาในปีพ.ศ. 2443 สหรัฐก็ได้ทำการทดลองใช้อากาศยานแบบดังกล่าวทำการบินขึ้นจากดาดฟ้าเรือในปีพ.ศ. 2453 และตามมาด้วยการทดสอบการลงจอดในปีพ.ศ. 2454 ในวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 เครื่องบินลำแรกที่ทำการบินขึ้นจากดาดฟ้าเรือสำเร็จได้ทำการบินจากเรือเอชเอ็มเอส ฮิเบอร์นาของราชนาวีอังกฤษ

ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2457 ก็เกิดเรือบรรทุกเครื่องบินทะเลลำแรกขึ้นคือ เรือบรรทุกเครื่องบินทะเลวากะมิยะของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเรือลำแรกของโลกที่ประสบความสำเร็จในการเข้าโจมตีด้วยเครื่องบินจากทะเล[2][3] เรือลำดังกล่าวได้ต่อสู้กับเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยบรรทุกเครื่องบินมัวริซ ฟาร์แมนสี่ลำ ซึ่งจะนำขึ้นลงดาดฟ้าเรือด้วยเครนยก ในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2457 เครื่องบินมัวริซ ฟาร์แมนลำหนึ่งได้ทำการบินจากเรือวากะมิยะและเข้าโจมตีเรือลาดตระเวนไคเซอร์ริน อลิซาเบธของออสเตรียฮังการีและเรือปืนจากัวร์ของเยอรมนี แต่กลับพลาดเป้าทั้งสอง[4][5]


ภาพถ่ายจากอากาศของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นที่แสดงให้เห็นเรือบรรทุกอากาศยานเฮาเชาที่เสร็จสมบูรณ์ในเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2465

การพัฒนาเรือดาดฟ้าเรียบทำให้เกิดเรือขนาดใหญ่ลำแรกๆ ขึ้น ในปีพ.ศ. 2461 เรือเอชเอ็มเอส อาร์กัสได้กลายเป็นเรือบรรทุกอากาศยานลำแรกของโลกที่สามารถนำเครื่องบินขึ้นและลงจอดได้[6] เมื่อถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 2463 การปฏิวัติเรือบรรทุกแบบต่างๆ ก็เป็นไปได้ด้วยดี ส่งผลให้เกิดเรืออย่าง เรือเฮาเชา (พ.ศ. 2465) เอชเอ็มเอส เฮอร์เมส (พ.ศ. 2467) และเรือเบียน (พ.ศ. 2470) เรอืบรรทุกอากาศยานลำแรกๆ นั้นเป็นเรือที่ดัดแปลงมาจากเรือหลายแบบ เช่น เรือบรรทุก เรือลาดตระเวน เรือลาดตระเวนประจัญบาน หรือเรือประจัญบาน สนธิสัญญาวอชิงตันในปีพ.ศ. 2465 มีผลต่อการสร้างเรือบรรทุก สหรัฐและราชอาณาจักรได้รับอนุญาตให้สร้างเรือบรรทุกที่มีขนาดใหญ่ได้ถึง 135,000 ตัน ในขณะที่บางกรณีที่มีข้อยกเว้นให้สามารถดัดแปลงเรือหลักขนาดใหญ่กว่าให้เป็นเรือบรรทุกได้ เช่น เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นเลกซิงตัน (พ.ศ. 2470)

การเข้าโจมตีเรือยูเอสเอส แฟรงคลินเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2488 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 742 คน

ในช่วงทศวรรษที่ 2456 กองทัพเรือมากมายเริ่มสั่งซื้อและสร้างเรือบรรทุกอากาศยานที่ทำการออกแบบเป็นพิเศษ นี่ทำให้การออกแบบนั้นตอบรับกับบทบาทในอนาคตและทำให้เกิดเรือที่ทรงอานุภาพ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เรือเหล่านี้ได้กลายมาเป็นกำลังสำคัญของกองเรือสหรัฐ อังกฤษ และญี่ปุ่น โดยเรียกเรือเหล่านี้ว่า กองเรือบรรทุกเครื่องบิน

เรือบรรทุกอากาศยานถูกใช้อย่างหนักในสงครามโลกครั้งที่สองและมีแบบที่หลากหลายตามมา เรือบรรทุกเครื่องบินคุ้มกัน เช่น ยูเอสเอส โบกถูกสร้างขึ้นแต่ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าเรือบางลำจะถูกสร้างมาเพื่อจุดประสงค์นั้นๆ แต่เรือส่วนมากเป็นเรือดัดแปลงจากเรือสินค้าเพราะว่าเป็นเรือที่มีระยะหยุดเหมาะที่จะให้การสนับสนุนทางอากาศแก่ขบวนเรือและการรุกสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก เรือบรรทุกอากาศยานขนาดเบาที่สร้างขึ้นโดยสหรัฐ เช่น ยูเอสเอส อินดีเพนเดนซ์เป็นเรือที่นำแนวคิดเรือบรรทุกอากาศยานคุ้มกันมาทำเป็นเรือที่ใหญ่ขึ้นและมีศักยภาพทางทหารมากขึ้น แม้ว่าเรือบรรทุกขนาดเบามักจะบรรทุกกองบินที่มีขนาดเท่ากับกองบินบนเรือบรรทุกคุ้มกัน แต่เรือบรทุกขนาดเบามีความได้เปรียบด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเพราะเรือเหล่านี้ถูกดัดแปลงมาจากเรือครุยเซอร์

เรือบรรทุกเครื่องบินมินาส เกเรียสของบราซิลในปีพ.ศ. 2527

ไฟสงครามทำให้เกิดการสร้างเรือและการดัดแปลงเรือที่ไม่ได้ทำตามแบบปกติ เรือแคม (CAM) เช่น เรือเอสเอส ไมเคิล อี เป็นเรือบรรทุกสินค้าที่สามารถส่งเครื่องบินขึ้นฟ้าด้วยเครื่องดีด แต่ไม่สามารถรับเครื่องบินลงจอดได้ เรือเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในภาวะฉุกเฉินในสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นเดียวกับเรือพาณิชย์บรรทุกอากาศยาน เช่น เรือเอ็มวี เอ็มไพร์ แมคอัลไพน์ เรือดำน้ำบรรทุกอากาศยาน เช่น เรือดำน้ำบรรทุกอากาศยานเซอร์คูฟของฝรั่งเศส และเรือดำน้ำชั้นI-400 ของญี่ปุ่นที่สามารถบรรทุกเครื่องบินไอชิ เอ็ม6เอได้สามลำ ซึ่งถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในทศวรรษที่ 2463 แต่ไม่ประสบความสำเร็จนักในสงครามโลกครั้งที่ 1

เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ชั้นอิโวจิมาทริโปลีของสหรัฐ

กองทัพเรือสมัยใหม่ที่ใช้เรือแบบดังกล่าวจะใช้เรือบรรทุกอากาศยานเป็นเรือหลักของกองเรือ ซึ่งเดิมที่เป็นหน้าที่ของเรือประจัญบาน ในขณะที่บางคนจดจำการที่เรือเหล่านี้เป็นเรือหลักดำน้ำพร้อมขีปนาวุธ แต่ที่จดจำกันได้มากคืออำนาจการยิงของเรือที่ใช้เป็นเครื่องขัดขว้างนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ มากกว่าหน้าที่ของเรือเหล่านี้ในกองเรือ[7] การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อตอบสนองกับการที่อำนาจทางอากาศเริ่มมีบทบาทสำคัญในการเอาชนะศัตรู สิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือเครื่องบินพิสัยไกล คล่องแคล่ว และมีประสิทธิภาพ ปฏิบัติการเรือบรรทุกเครื่องบินยังคงดำเนินต่อไปภายหลังสงครามทั้งในด้านขนาดและความสำคัญ เรือบรรทุกอากาศยานขนาดหนักที่มีระวางขับน้ำ 75,000 ตันหรือมากกว่านั้น ได้กลายมาเป็นจุดสุดยอดของการพัฒนา บางลำใช้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เป็นแหล่งพลังงานและเป็นแกนหลักของกองเรือที่ทำหน้าที่ระยะไกล เรือจู่โจมสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก เช่น ยูเอสเอส ทาราวาและเอชเอ็มเอส โอเชียน มีหน้าที่บรรทุกและรับส่งนาวิกโยธินและยังใช้เฮลิคอปเตอร์จำนวนมากเพื่อทำปฏิบัติการดังกล่าว เรือเหล่านี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า"เรือบรรทุกเครื่องบินคอมมานโด"หรือ"เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์"ซึ่งมีบทบาทรองในการบรรทุกและใช้งานอากาศยานขึ้นลงในแนวดิ่ง

ด้วยสาเหตุที่เรือเหล่านี้ไม่มีอำนาจการยิงเท่าเรือแบบอื่น ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินตกเป็นเป้าของเรือ เครื่องบิน เรือดำน้ำ และขีปนาวุธของศัตรู ดังนั้นเรือบรรทุกอากาศยานจึงต้องร่วมเดินทางพร้อมกับเรือแบบอื่นๆ ในจำนวนมากเพื่อให้การป้องกัน ให้เสบียง และให้การสนับสนุนเชิงรุก โดยเรียกกองเรือแบบนี้ว่ากองยุทธการหรือกองเรือบรรทุกเครื่องบิน

ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สนธิสัญญาอย่างสนธิสัญญาวอชิงตัน สนธิสัญญาลอนดอน และสนธิสัญญาลอนดอนครั้งที่ 2 ได้จำกัดขนาดของเรือ เรือบรรทุกอากาศยานตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกสร้างอย่างไร้ข้อจำกัดโดยขึ้นอยู่กับงบประมาณและทำให้เรือสามารถบรรทุกเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ เรือบรรทุกเครื่องบินยุคใหม่ที่มีขนาดใหญ่อย่างเรือบรรทุกเครื่องบินชั้นนิมิตซ์ของกองทัพเรือสหรัฐมีระวางขับน้ำมากกว่าเรือยูเอสเอส เอนเทอร์ไพรซ์ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงสี่เท่า แต่กระนั้นก็ยังคงใช้อากาศยานที่ไม่เปลี่ยนไปมากนัก ซึ่งเป็นผลมาจากขนาดและน้ำหนักของเครื่องบินที่เพิ่มขึ้นอย่างคงที่ตลอดหลายปี

ความสำคัญในยุคสมัยใหม่

ปัจจุบันเรือบรรทุกอากาศยานเป็นเรือที่มีราคาแพงมากจนทำให้ชาติที่ครอบครองเรือชนิดดังกล่าวสุ่มเสี่ยงต่อปัญหาทางการเมือง การเงิน และการทหารถ้าหากสูญเสียเรือบรรทุกอากาศยานหรือนำพวกมันไปใช้ในสงครามก็ตาม ผู้สังเกตการณ์มองว่าอาวุธต่อต้านเรือสมัยใหม่ เช่น ตอร์ปิโดและขีปนาวุธ ทำให้เรือบรรทุกอากาศยานตกเป็นเป้าอย่างง่ายในการรบสมัยใหม่ อาวุธนิวเคลียร์สามารถสร้างภัยให้กับกองเรือได้ทั้งกองเรือหากทำการรบแบบเปิดเผย ในอีกทางหนึ่งบทบาทของเรือบรรทุกอากาศยานก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นเรือที่มีหน้าที่สำคัญในการสงครามไม่สมมาตรเหมือนอย่างนโยบายเรือปืนที่เกิดขึ้นในอดีต นอกจากนี้เรือบรรทุกอากาศยานยังช่วยสร้างอำนาจทางทหารเหนือฝ่ายศัตรูได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำโดยเฉพาะเมื่อต้องทำการรบนอกประเทศ[8]

พลเรือเอกเซอร์มาร์ค แสตนโฮป หัวหน้ากองทัพเรืออังกฤษได้กล่าวไว้ว่า "พูดง่ายๆ คือ ประเทศที่ต้องการมีอิทธิพลทางยุทธศาสตร์นานาชาติต่างมีเรือบรรทุกอากาศยานในครอบครองทั้งนั้น"[9]

ประเภท

เรือบรรทุกเครื่องบินเซาเปาลูของบราซิล
เรือบรรทุกเครื่องบินคาวัวร์ของอิตาลี
เครื่องบินแฮร์ริเออร์กำลังเตรียมบินขึ้นจากเรือแบบคาโทบาร์ยูเอสเอส แฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์

ประเภทแบ่งตามบทบาท

กองเรือบรรทุกเครื่องบินมักจะออกปฏิบัติการพร้อมกับกองเรือหลักและมีบทบาทในเชิงรุก เรือเหล่านี้คือเรือบรรทุกเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่สามารถทำความเร็วสูงได้ เมื่อเทียบกันแล้ว เรือบรรทุกอากาศยานคุ้มกันนั้นถูกออกแบบเพื่อให้การป้องกันกับขบวนเรือมากกว่า เรือเหล่านั้นเป็นเรือที่มีขนาดเล็กกว่าและเคลื่อนที่ช้ากว่าพร้อมกับบรรทุกเครื่องบินในจำนวนน้อยกว่าเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วเรือพวกนี้จะถูกสร้างจากโครงเรือพาณิชย์ ในกรณีที่ต้องการเรือพาณิชย์บรรทุกอากาศยาน หรือสร้างจากเรือบรรทุกสินค้าโดยการเสริมลานบินเข้าไปที่ดาดฟ้าเรือ ส่วนเรือบรรทุกอากาศยานขนาดเบาเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่มีความเร็วพอที่จะออกปฏิบัติการพร้อมกับกองเรือขนาดเล็กและใช้อากาศยานในจำนวนน้อย ปัจจุบันเรือบรรทุกอากาศยานของโซเวียตที่ใช้โดยรัสเซียจะเรียกกันว่าเรือลาดตระเวนการบิน เรือชนิดนี้มีขนาดเทียบเท่ากับเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ที่สามารถออกปฏิบัติการเพียงลำพังหรือพร้อมกับเรือคุ้มกัน และสามารถให้การสนับสนุนเชิงรุกและเชิงรับที่เทียบเท่าได้กับเรือลาดตระเวนติดตั้งขีปนาวุธนำวิถี ซึ่งบทบาทนี้มีเพื่อสนับสนุนเครื่องบินขับไล่และเฮลิคอปเตอร์

ประเภทแบ่งตามองค์ประกอบ

เรือบรรทุกอากาศยานมีทั้งหมด 3 ประเภทเมื่อแบ่งตามลักษณะของเรือโดยใช้กับกองทัพเรือทั่วโลก โดยแบ่งด้วยวิธีที่ใช้ในการส่ง-รับเครื่องบิน

  • ส่งด้วยเครื่องดีดและรับด้วยสายรั้งหรือคาโทบาร์ (CATOBAR): เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่มักจะบรรทุกอากาศยานที่มีขนาดใหญ่ที่สุด หนักที่สุด และติดอาวุธจำนวนมาก แม้ว่าเรือที่มีขนาดเล็กลงมาในประเภทนี้อาจมีข้อจำกัดอื่นอีก (เช่น น้ำหนักที่ลิฟท์ขนเครื่องบินจะรับได้) มีสามประเทศที่ใช้เรือประเภทนี้ คือ สหรัฐอเมริกา 10 ลำ ฝรั่งเศส 1 ลำ และบราซิล 1 ลำ
  • บินขึ้นด้วยระยะสั้นและรับด้วยสายรั้งหรือสโตบาร์ (STOBAR): เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่บรรทุกอากาศยานปีกนิ่งขนาดเบาแต่มีอาวุธมากกว่า เครื่องบินที่ใช้บนเรือประเภทนี้อย่างซุคฮอย ซู-33 และมิโคยัน มิก-29เคที่ใช้บนเรือบรรทุกอากาศยานพลเรือเอกคุซเนตซอฟมักทำหน้าที่สร้างความเป็นเจ้าอากาศและการป้องกันกองเรือมากกว่าหน้าที่ในการเข้าโจมตี ซึ่งต้องมีอาวุธขนาดหนัก (เช่น ระเบิดและขีปนาวุธอากาศสู่พื้น) ปัจจุบันมีเพียงรัสเซียเท่านั้นที่มีเรือประเภทนี้ในครอบครอง จีนได้สร้างเรือบรรทุกอากาศยานเหลียวหนิงขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นเรือพี่น้องของเรือพลเรือเอกคุซเนตซอฟ พร้อมกับสร้างเครื่องบินเลียนแบบซู-33 เรือลำนี้ปัจจุบันมีหน้าที่ในการเป็นตัวทดลองและใช้ในการฝึก รัสเซียเองก็กำลังเตรียมที่จะสร้างเรือแบบที่คล้ายกันให้กับอินเดียโดยใช้แบบของเรือชั้นเคียฟ
  • บินขึ้นด้วยระยะสั้นและลงจอดในแนวดิ่งหรือเอสโทฟล์ (STOVL): เรือประเภทที่สามารถบรรทุกได้เพียงอากาศยานแบบเอสโทฟล์เท่านั้น เช่น เครื่องบินตระกูลแฮร์ริเออร์จัมพ์เจ็ทและยาโกเลฟ ยัค-38 ซึ่งมีอาวุธจำกัด ศักยภาพต่ำ และใช้เชื้อเพลิงมากกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องบินแบบปกติ อย่างไรก็ตามเครื่องบินเอสโทฟล์แบบใหม่อย่างเอฟ-35 ไลท์นิง 2ก็มีศักยภาพที่มากขึ้นกว่าเดิม เรือประเภทนี้ประจำการอยู่ในกองทัพเรือของอินเดียและสเปนประเทศลำหนึ่งลำ อิตาลีมีสองลำ สหราชอาณาจักรและไทยมีประเทศละหนึ่งลำแต่ทั้งสองประเทศไม่ได้ใช้เครื่องบินเอสโทฟว์ต่อไปแล้ว เรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกของสหรัฐที่ทำหน้าที่เป็นเรือบรรทุกอากาศยานขนาดเล็กก็สามารถจัดได้ว่าเป็นเรือประเภทนี้เช่นกัน

ประเภทแบ่งตามขนาด

ดาดฟ้าบิน

การลงจอดของเครื่องบินไอพ่นลำแรกบนเรือบรรทุกเครื่องบินเอชเอ็มเอส โอเชียนเมื่อปีพ.ศ. 2488

ด้วยการที่เป็นเสมือนทางวิ่งที่ลอยอยู่กลางทะเล เรือบรรทุกอากาศยานสมัยใหม่จึงมีดาดฟ้าเรือที่แบบเรียบคอยทำหน้าที่เป็นลานบินให้กับเครื่องบินที่จะบินขึ้นหรือลงจอด เครื่องบินจะถูกดีดไปด้านหน้าของเรือและทำการลงจอดทางด้านท้ายเรือ เรือจะแล่นด้วยความเร็ว 35 นอท (65 กม./ชม.) เข้าหาลมเพื่อเพิ่มความเร็วลมบนดาดฟ้าให้อยู่ในระดับปลอดภัย การทำแบบนี้จะเพิ่มความเร็วลมที่มีประสิทธิภาพที่จำทำให้เครื่องบินที่บินขึ้นทำความเร็วได้มากขึ้นเมื่อถูกส่งออกไปแล้ว นอกจากนี้ยังทำให้ตอนลงจอดมีความปลอดภัยมากขึ้นด้วยการลดความแตกต่างของความเร็วสัมพันธ์ของเครื่องบินและเรือ

สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินแบบคาโทบาร์นั้น จะมีเครื่องยิงพลังไอน้ำที่คอยทำหน้าที่ส่งเครื่องบินเข้าสู่ความเร็วที่ปลอดภัย หลังจากเครื่องบินลำนั้นๆ ขึ้นสู่อากาศแล้วก็จะสามารถใช้ความเร็วจากเครื่องยนต์ของตัวเองได้ สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินแบบเอสโทฟล์และสโบตาร์จะไม่ใช้เครื่องยิงแบบดังกล่าว แต่จะมีดาดฟ้าที่มีปลายทางมีลักษณะโค้งขึ้นด้านบนเพื่อช่วยส่งเครื่องบินเมื่อทำการวิ่งสุดรันเวย์ แม้ว่าเครื่องบินแบบเอสโทฟล์นั้นจะสามารถบินขึ้นได้โดยไม่พึ่งรันเวย์แบบดังกล่าวหรือด้วยเครื่องยิงโดยการลำเชื้อเพลิงและอาวุธลง บทบาทของเรือบรรทุกเครื่องบินขึ้นอยู่กับลักษณะของเครื่องบินบนเรือและการออกแบบเรือ

เอฟ/เอ-18 ขณะทำการลงจอด

สำหรับเรือแบบคาโทบาร์และสโตบาร์จะใช้สายสลิงขนาดยาวที่พาดขวางลานบินสำหรับเครื่องบินใช้ขอเกี่ยวเกี่ยวสายสลิงขณะลงจอด หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ราชนาวีอังกฤษได้ทำการวิจัยหาวิธีลงจอดที่ปลอดภัยกว่าซึ่งทำให้เกิดการสร้างพื้นที่สำหรับการลงจอดที่วางแนวเฉียงออกจากแกนหลักของเรือซึ่งทำให้เครื่องบินที่เกี่ยวสายสลิงพลาดสามารถเร่งเครื่องเพื่อบินให้พ้นจากเรือและป้องกันบินชนตัวเรือเอง สำหรับเฮลิคอปเตอร์และอากาศยานขึ้นลงในแนวดิ่งและระยะสั้นหรือวีเอสโทล (V/STOL) มักจะลงจอดเป็นแถวหน้ากระดานที่ด้านข้างของเรือและลงจอดได้โดยไม่ต้องใช้สายสลิง เครื่องบินที่ต้องใช้ขอเกี่ยวและสายสลิงจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ให้สัญญาน ซึ่งจะคอยดูเครื่องบินที่กำลังบินเข้าเพื่อทำการลงจอดโดยตรวจทั้งแนวการร่อนลง ระดับความสูง และความเร็วลม จากนั้นเจ้าหน้าที่จะส่งข้อมูลไปยังนักบิน ก่อนทศวรรษที่ 2493 เจ้าหน้าที่ให้สัญญาณใช้ป้ายสีเพื่อให้สัญญาณแก่นักบิน ตั้งแต่ทศวรรษที่ 2493 มีการใช้เครื่องส่งสัญญาณไฟและระบบลงจอดช่วยลงจอดที่คอยให้ข้อมูลในการลงจอดให้กับนักบิน แต่กระนั้นเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณก็ยังคงมีบทบาทในการส่งข้อมูลผ่านทางวิทยุแก่นักบิน

เอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ทบนดาดฟ้าบินของเรือยูเอสเอส แฮร์รี เอส. ทรูแมน เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นนิมิตซ์ของสหรัฐ

สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐ กะลาสีจะสวมเสื้อสีที่บอกถึงหน้าที่ของแต่ละฝ่าย มีเสื้ออย่างน้อยทั้งหมด 7 สีที่กะลาสีเรือสหรัฐใส่ ประเทศอื่นๆ ก็มีการใช้สีที่คล้ายๆ กันนี้เช่นกัน

เจ้าหน้าที่ที่สำคัญบนดาดฟ้าเรือประกอบด้วยชูทเตอร์ (shooters) แฮนด์เลอร์ (handler) และแอร์บอส (air boss) ชูทเตอร์เป็นเจ้าหน้าที่การบินทางเรือ (Naval Flight Officer) ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบการส่งเครื่องบินสู่อากาศ แฮนด์เลอร์จะคอยทำหน้าที่จัดส่งเครื่องบินให้เข้าสู่ทำแหน่งบินขึ้นและคอยนำเครื่องบินเก็บเมื่อเสร็จจากการลงจอด แอร์บอสจะทำหน้าที่อยู่บนสะพานเดินเรือและคอยควบคุมการส่งเครื่องบิน การรับเครื่องบิน และให้คำสั่งเครื่องบินที่บินอยู่ใกล้กับเรือ รวมทั้งการเคลื่อนย้ายเครื่องบินบนดาดฟ้า[10] กัปตันเรือใช้เวลาส่วนใหญ่ที่สะพานเดินเรือนำร่องซึ่งอยู่ใต้สะพานเดินเรือควบคุมการบิน อีกชั้นลงมาคือสะพานเดินเรือส่วนที่มีไว้สำหรับพลเรือและนายทหาร

ตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 2493 เป็นที่รู้กันดีว่าเครื่องบินจะต้องลงจอดเป็นแนวเฉียงจากแกนหลักของตัวเรือ วิธีนี้ทำให้เครื่องบินที่เกี่ยวสลิงพลาดสามารถบินขึ้นสู่อากาศได้อีกครั้งและหลีกเลี่ยงการชินกับเครื่องบินที่จอดอยู่ ลานบินที่ทำมุมเฉียงยังช่วยให้สามารถส่งเครื่องบินและรับเครื่องบินได้พร้อมกันถึงสองลำ

โครงสร้างส่วนบนของเรือ (เช่น สะพานเดินเรือและหอควบคุมการบิน) จะอยู่ติดไปทางกราบขวาของดาดฟ้าเรือเช่นเดียวกับหอบัญชาการ รูปแบบการสร้างแบบดังกล่าวถูกใช้บนเรือเอชเอ็มเอส เฮอร์เมสเมื่อปีพ.ศ. 2466 มีเรือบรรทุกเครื่องบินไม่กี่ลำที่ออกแบบมาให้ไม่มีศูนย์บัญชาการ การที่ไม่มีส่วนบัญชาการหรือหอบัญชาการส่งผลเสียหลายอย่าง เช่น การนำร่องที่ยุ่งยาก ปัญหาในการควบคุมจราจรทางอากาศ และอีกมากมาย

Ski-jump on Royal Navy carrier เอชเอ็มเอส Invincible (R05)

สำหรับรูปแบบล่าสุดที่พัฒนาขึ้นโดยราชนาวีอังกฤษนั้นจะมีลานบินที่ส่วนปลายเป็นทางลาดเอียงขึ้น ส่วนนี้ถูกเรียกว่าสกีจัมพ์ (Ski jump) มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้เครื่องบินประเภทบินขึ้นด้วยระยะสั้นและลงจอดในแนวดิ่งหรือสโทฟล์ปปฏิบัติการบนเรือบรรทุกเครื่องบินได้ง่ายขึ้น เครื่องบินประเภทสโตฟล์เช่นซีแฮร์ริเออร์สามารถบินขึ้นพร้อมน้ำหนักที่มากขึ้นได้เมื่อใช้ลานบินบนเรือบรรทุกเครื่องบินแบบสโตบาร์ สกีจัมพ์ทำหน้าที่ด้วยการเปลี่ยนการเคลื่อนไหวไปทางด้านหน้าของเครื่องบินให้เป็นแรงกระโดดเมื่อเครื่องบินถึงสุดปลายทางดาดฟ้า เมื่อแรงกระโดดรวมเข้ากับแรงไอพ่นที่ดันเครื่องบินขึ้นจะทำให้เครื่องบินที่บรรทุกอาวุธและเชื้อเพลิงในจำนวนมากสามารถสร้างความเร็วลมและยกตัวให้อยู่ในระดับการบินปกติได้ หากไม่มีสกีจัมพ์แล้วเครื่องบินแฮร์ริเออร์ที่บรรทุกอาวุธเต็มอัตราจะไม่สามารถบินขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดเล็กได้ แม้ว่าเครื่องบินประเภทสโตฟล์จะสามารถขึ้นบินในแนวดิ่งได้ แต่การใช้สกีจัมพ์นั้นจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงและให้การส่งที่ดีกว่าเมื่อต้องบรรทุกอาวุธขนาดหนัก การใช้เครื่องดีดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็น เรือบรรทุกเครื่องบินที่มีสกีจัมพ์จึงสามารถลดน้ำหนัก ความยุ่งยาก และพื้นที่ที่ต้องใช้กับอุปกรณ์ไอน้ำหรือแม่เหล็กไฟฟ้าลงไปได้ อากาศยานที่ขึ้นลงในแนวดิ่งเองไม่จำเป็นต้องใช้สายสลิงเวลาลงจอดอีกด้วย เรือบรรทุกเครื่องบินของรัสเซีย จีน และอินเดียจะติดตั้งสกีจัมพ์เข้าไปแต่มีสายสลิงด้วยเช่นกัน

ข้อเสียของสกีจัมพ์คือขนาดของเครื่องบิน น้ำหนักอาวุธ และปริมาณเชื้อเพลิง เครื่องบินที่บรรทุกน้ำหนักมากเกินไปจะไม่สามารถใช้สกีจัมพ์ได้เพราะมันจะต้องใช้ระยะทางที่ยาวกว่าดาดฟ้าเรือ หรือต้องใช้เครื่องดีดในการช่วยออกตัว ตัวอย่างเช่น เครื่องบินซู-33 ที่สามารถบินขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบิน"คุตเนตซอฟ"แต่ต้องบรรจุอาวุธและเชื้อเพลิงในระดับน้อย อีกข้อเสียหนึ่งคือการผสมผสานปฏิบัติการ กล่าวคือบนดาดฟ้าจะมีเฮลิคอปเตอร์อยู่ด้วยจะไม่สามารถทำงานได้เต็มที่หากมีสกีจัมพ์อยู่เพราะมันกินพื้นที่มากเกินไป ดาดฟ้าเรือแบบเรียบอาจจำกัดการบรรทุกเครื่องแฮรร์เออร์แต่ก็ชดเชยได้ด้วยการมีระยะวิ่งที่ยาวกว่าเมื่อเทียบกับเรือบรรทุกเครื่องบินแบบสโตฟล์

มีการคิดสร้างลานบินแบบไม่ธรรมดาคือมาเพื่อตอบรับกับเครื่องบินไอพ่น เช่น การใช้อุปกรณ์สกัดส์ (SCADS) สกายฮุค เครื่องบินทะเลขับไล่ หรือแม้กระทั่งดาดฟ้าที่ทำจากยาง ระบบป้องกันทางอากาศบนเรือหรือสกัดส์เป็นชุดอุปกรณ์ที่นำไปติดตั้งกับเรือบรรทุกสินค้าเพื่อให้เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินแบบสโตฟล์โดยใช้เวลาเพียงสองวันในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมีเชื้อเพลิงสำหรับใช้กับเครื่องบินไอพ่นได้สามสิบวัน อาวุธ ระบบป้องกันขีปนาวุธ เฮลิคอปเตอร์ต่อต้านเรือดำน้ำ พื้นที่สำหรับลูกเรือ เรดาร์ และสกีจัมพ์ อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถยกเลิกการติดตั้งได้ มันเป็นเหมือนเรือพาณิชย์บรรทุกเครื่องบินแบบใหม่นั่นเอง สกายฮุค (Skyhook) เป็นความคิดของบริติชแอโรสเปซที่หวังจะใช้เครนที่มีส่วนปลายเป็นตัวเติมเชื้อเพลิง ส่งและรับเครื่องบินแฮร์ริเออร์[11] คอนแวร์ เอฟ2วาย ซีดาร์ทเป็นเครื่องบินทะเลเครื่องยนต์ไอพ่นที่ทำความเร็วเหนือเสียงซึ่งใช้สกีแทนล้อ เพราะกองทัพเรือสหรัฐเชื่อว่าเครื่องบินความเร็วเหนือเสียงไม่สามารถลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบินได้ จึงใช้วิธีให้ลงจอดในทะเลและใช้เครนยกขึ้นมาบนเรือแทน เรือเอชเอ็มเอส วอร์ริเออร์เป็นเรือที่ได้ทดสอบการใช้ดาดฟ้าบินที่ทำจากยางโดยมีเครื่องบินขับไล่เดอร์ ฮาวิลแลนด์ แวมไพร์ทำการลงจอดโดยไม่ใช้ล้อหรือสายสลิง

เรือบรรทุกเครื่องบินที่ยังใช้ได้อยู่

รายชื่อประเทศที่มีเรือบรรทุกเครื่องบิน

ประเทศที่มีเรือบรรทุกเครื่องบิน
เรือบรรทุกอากาศยานของแต่ละประเทศ
เรือบรรทุกเครื่องบินเหลียวหนิงของจีน
แอดมิรัลคูซเน็ตซอฟ (063) ของรัสเซีย
เรือหลวงจักรีนฤเบศร และ ยูเอสเอส คิตตีฮอว์ค (CV-63)
ประเทศ นาวี ทั้งหมด ประจำการ ปลดประจำการ กำลังก่อสร้าง ถูกทำลาย
 สหรัฐ นาวีอเมริกา 71 10 2 3 56
ธงของประเทศอิตาลี อิตาลี นาวีอิตาลี 2 2 0 0 0
ธงของประเทศอินเดีย อินเดีย นาวีอินเดีย 4 1 0 2 1
 สหราชอาณาจักร ราชนาวีสหราชอาณาจักร 43 1 0 2 40
ธงของประเทศบราซิล บราซิล นาวีบราซิล 2 1 0 0 1
ธงของประเทศจีน จีน นาวีจีน 1 1 0 0 0
ธงของประเทศฝรั่งเศส ฝรั่งเศส นาวีฝรั่งเศส 8 1 0 0 7
ธงของประเทศรัสเซีย รัสเซีย นาวีรัสเซีย 7 1 0 0 6
 ไทย ราชนาวีไทย 1 1 0 0 0
ธงของประเทศสเปน สเปน ราชนาวีสเปน 2 1 1 0 0
ธงของประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่น ราชนาวีญี่ปุ่น 20 0 0 0 20
ธงของประเทศเนเธอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ ราชนาวีเนเธอร์แลนด์ 1 0 0 0 1
ธงของประเทศออสเตรเลีย ออสเตรเลีย ราชนาวีออสเตรเลีย 3 0 0 0 3
ธงของประเทศแคนาดา แคนาดา ราชนาวีแคนาดา 3 0 0 0 3
ธงของประเทศอาร์เจนตินา อาร์เจนตินา นาวีอาร์เจนตินา 2 0 0 0 2

เรือบรรทุกเครื่องบินที่ประจำการ

ประเทศ ชื่อ (รหัส) ความยาว ระวางขับน้ำ (ตัน) ชั้น พลังงาน ประเภท เสร็จสมบูรณ์
ธงของประเทศบราซิล บราซิล เซาเปาลู (A12) 265 265 m (869 ft) 032800 32,800 ตัน Clemenceau ปกติ CATOBAR 15 พฤศจิกายน 2000
ธงของประเทศจีน จีน เหลียวหนิง (16) 304 304 m (997 ft) 067500 67,500 ตัน แอดมิรัลคูซเน็ตซอฟ ปกติ STOBAR 25 กันยายน 2012
ธงของประเทศฝรั่งเศส ฝรั่งเศส ชาร์ล เดอ โกล (R91) 262 262 m (860 ft) 042000 42,000 ตัน นิวเคลียร์ CATOBAR 18 พฤษภาคม 2001
ธงของประเทศอินเดีย อินเดีย Viraat (R22) 227 227 m (745 ft) 028700 28,700 ตัน Centaur ปกติ STOVL 20 พฤษภาคม 1987
ธงของประเทศอิตาลี อิตาลี คาวัวร์ (550) 244 244 m (801 ft) 030000 30,000 ตัน ปกติ STOVL 27 มีนาคม 2008
ธงของประเทศอิตาลี อิตาลี กุสซิปปิ การิบัลดิ (551) 244 181 m (594 ft) 013850 13 850 ตัน ปกติ STOVL 30 กันยายน 1985
ธงของประเทศรัสเซีย รัสเซีย แอดมิรัลคูซเน็ตซอฟ (063) 306 305 m (1,001 ft) 055200 55,200 ตัน แอดมิรัลคูซเน็ตซอฟ ปกติ STOBAR 21 มกราคม 1991
ธงของประเทศสเปน สเปน Juan Carlos I (L-61) 230.82 230.82 m (757.3 ft) 011486 27,079 ตัน ปกติ STOVL 30 กันยายน 2010
 ไทย จักรีนฤเบศร (CVH-911) 183 183 m (600 ft) 011486 11,486 ตัน ปกติ STOVL 10 สิงหาคม 1997
 สหราชอาณาจักร Illustrious (R06) 209 209 m (686 ft) 022000 22,000 ตัน อินวินซิเบิล ปกติ STOVL 20 มิถุนายน 1982
 สหรัฐ นิมิตซ์ (CVN-68) 333 333 m (1,093 ft) 100020 100,020 ตัน นิมิตซ์ นิวเคลียร์ CATOBAR 3 พฤษภาคม 1975
 สหรัฐ ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (CVN-69) 333 333 m (1,093 ft) 103200 103,200 ตัน นิมิตซ์ นิวเคลียร์ CATOBAR 18 ตุลาคม 1977
 สหรัฐ คาร์ล วินสัน (CVN-70) 333 333 m (1,093 ft) 102900 102,900 ตัน นิมิตซ์ นิวเคลียร์ CATOBAR 13 มีนาคม 1982
 สหรัฐ ทีโอดอร์ รูสเวลต์ (CVN-71) 333 333 m (1,093 ft) 106300 106,300 ตัน นิมิตซ์ นิวเคลียร์ CATOBAR 25 ตุลาคม 1986
 สหรัฐ อับราฮัม ลินคอร์น (CVN-72) 333 333 m (1,093 ft) 105783 105,783 ตัน นิมิตซ์ นิวเคลียร์ CATOBAR 11 พฤศจิกายน 1989
 สหรัฐ จอร์จ วอชิงตัน (CVN-73) 333 333 m (1,093 ft) 105900 105,900 ตัน นิมิตซ์ นิวเคลียร์ CATOBAR 4 กรกฎาคม 1992
 สหรัฐ จอห์น ซี. สเตนนิส (CVN-74) 333 333 m (1,093 ft) 105000 105,000 ตัน นิมิตซ์ นิวเคลียร์ CATOBAR 9 ธันวาคม 1995
 สหรัฐ แฮร์รี่ เอส. ทรูแมน (CVN-75) 333 333 m (1,093 ft) 105600 105,600 ตัน นิมิตซ์ นิวเคลียร์ CATOBAR 25 กรกฎาคม 1998
 สหรัฐ โรนัลด์ เรแกน (CVN-76) 333 333 m (1,093 ft) 103000 103,000 ตัน นิมิตซ์ นิวเคลียร์ CATOBAR 12 กรกฎาคม 2003
 สหรัฐ จอร์จ เอช. ดับเบิ้ลยู. บุช (CVN-77) 333 333 m (1,093 ft) 104000 104,000 ตัน นิมิตซ์ นิวเคลียร์ CATOBAR 10 มกราคม 2009

เรือบรรทุกเครื่องบินที่ปลดประจำการ

ประเทศ ชื่อ (รหัส) ความยาว ระวางขับน้ำ (ตัน) ชั้น พลังงาน ประเภท เสร็จสมบูรณ์ ปลดประจำการ ถูกทำลาย
 สหรัฐ เอ็นเตอร์ไพรส์ (CVN-65) 342 342 m (1,122 ft) 094700 94,700 ตัน นิวเคลียร์ CATOBAR 1961-11-25 25 พฤศจิกายน 1961 2012-12-02 2 ธันวาคม 2012 2013
 สหรัฐ คิตตีฮอว์ค (CV-63) 325.8 325 m (1,066 ft) 081985 81,985 ตัน คิตตีฮอว์ค ปกติ CATOBAR 1961-04-21 21 เมษายน 1961 2009-01-31 31 มกราคม 2009 2015
ธงของประเทศสเปน สเปน Principe de Asturias (R11) 196 196 m (643 ft) 016700 16,700 ตัน ปกติ STOVL 1988-05-30 30 พฤษภาคม 1988 1988-05-30 30 พฤษภาคม 2012 กำลังตัดสินใจ

เรือบรรทุกเครื่องบินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

ประเทศ ชื่อ (รหัส) ความยาว ระวางขับน้ำ (ตัน) ชั้น พลังงาน ประเภท ปีที่จะเสร็จสมบูรณ์ สถานะ
ธงของประเทศอินเดีย อินเดีย ไอเอ็นเอส วิกรมาทิตย์[12] 283 283 m (928 ft) 044570 44,570 ตัน เคียฟ ปกติ STOBAR 2013 (แผนในอนาคต)[13] อยู่ระหว่างการส่งมอบ
ธงของประเทศอินเดีย อินเดีย ไอเอ็นเอส วิกรานต์[12] 262 262 m (860 ft) 040000 40,000 ตัน วิกรานต์ ปกติ STOBAR 2017 (คาดว่า)[14] อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
ธงของประเทศอินเดีย อินเดีย INS Vishal[12] 262 262 m (860 ft) 065000 65,000 ตัน วิกรานต์ ปกติ STOBAR 2020 (คาดว่า)[14] อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
 สหราชอาณาจักร เอชเอ็มเอส ควีนอลิซาเบธ (R08)[15] 284 284 m (932 ft) 065600 65,600 ตัน ควีนอลิซาเบธ ปกติ 2016 (คาดว่า) อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
 สหราชอาณาจักร เอชเอ็มเอส ปรินส์ออฟเวลส์ (R09)[15] 284 284 m (932 ft) 065600 65,600 ตัน ควีนอลิซาเบธ ปกติ 2018 (คาดว่า) อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
 สหรัฐ ยูเอสเอส เจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ด (CVN-78)[16] 333 333 m (1,093 ft) 100000 100,000 ตัน เจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ด นิวเคลียร์ CATOBAR 2015 (คาดว่า) อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
 สหรัฐ ยูเอสเอส จอห์น เอฟ. เคนเนดี (CVN-79)[17] 333 333 m (1,093 ft) 100000 100,000 ตัน เจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ด นิวเคลียร์ CATOBAR 2020 (คาดว่า) อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
 สหรัฐ ยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ (CVN-80)[16] 333 333 m (1,093 ft) 100000 100,000 ตัน เจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ด นิวเคลียร์ CATOBAR 2025 (คาดว่า) สร้างในอนาคต

เรือบรรทุกเครื่องบินในอนาคต

ปัจจุบันมีหลายประเทศที่ครอบครองเรือบรรทุกอากาศยานกำลังวางแผนสร้างเรือแบบใหม่ขึ้นมาแทนที่ลำเก่าๆ กองทัพเรือมากมายยังคงมองว่าเรือบรรทุกอากาศยานเป็นเรือหลักของกองเรือในอนาคต

จีน

เมื่อปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 ถึงต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2552 มีรายงานจำนวนมากกล่าวว่าจีนกำลังสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินขึ้นใหม่อีกสองลำโดยมีน้ำหนักระวางขับน้ำ 5-6 หมื่นตัน ซึ่งอาจเสร็จสิ้นในปีพ.ศ. 2558 ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 กระทรวงการทะเลของจีนได้ออกมาแถลงว่าเรือลำดังกล่าวจะสร้างเสร็จก่อนอีกลำประมาณหนึ่งปี คือปีพ.ศ. 2557 และเรือที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์จะสร้างเสร็จประมาณปีพ.ศ. 2563[18]

จากรายงานของเจมส์ นอลท์ สมาชิกสถาบันนโยบายโลกในนิวยอร์ก กล่าวว่าจีนอาจต้องใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว รวมทั้งการฝึกบุคคลากรเพื่อเตรียมพร้อมเพื่อสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินที่มีประสิทธิภาพ[19]

ในวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555 เว็บไซต์ของสำนักงานข่าวเอ็นบีซีได้รายงานว่ารัฐบาลจีนได้ประกาศใช้เรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกคือ เรือบรรทุกเครื่องบินเหลียวหนิง อย่างไรก็ตามเรือลำดังกล่าวถูกสร้างขึ้นโดยกองทัพเรือโซเวียตในปีพ.ศ. 2531 และบางส่วนถูกสร้างโดยโรงต่อเรือของยูเครน ต่อมาเรือลำดังกล่าวถูกซื้อต่อโดยจีนในปีพ.ศ. 2541 โดยอ้างว่าเพื่อสร้างเป็นคาสิโนลอยน้ำ จากนั้นก็มีการดัดแปลงและนำไปยังจีนเพื่อสร้างให้สมบูรณ์[20][21] ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 จีนประกาศว่าเรือเหลียวหนิงปฏิบัติการสำเร็จเป็นครั้งแรกและใช้เครื่องบินเสินหยาง เจ-15 ทำการลงจอดบนเรือ[22]

ฝรั่งเศส

กองทัพเรือฝรั่งเศสได้วางแผนที่สร้างเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่สองเพื่อช่วยสนับสนุนเรือชาร์ล เดอ โกล เรือดังกล่าวจะเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก โดยมีน้ำหนักประมาณ 65,000-75,000 ตัน[23]และจะใช้พลังงานแบบธรรมดา นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะสร้างเรือลำดังกล่าวให้เป็นเรือคาโทบาร์ (แบบที่สร้างโดยเธลส์และบีเออี ซิสเทมส์นั้นเป็นเรือประเภทสโตฟล์ที่สามารถแปลงเป็นเรือประเภทคาโทบาร์ได้)

ในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ประธานาธิบดีฝรั่งเศสนิโคลาส์ ซาร์โคซีได้ตัดสินใจที่จะพักโครงการไว้ก่อน เขากล่าวว่าการตัดสินใจท้ายสุดเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินในอนาคตจะเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2554 หรือ 2555 แผนของอังกฤษที่จะสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินอีกสองลำยังคงดำเนินต่อไปและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฝรั่งเศส[24]

อินเดีย

ในปีพ.ศ. 2547 อินเดียตกลงที่จะซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินแอดมิรัลกอร์ชคอฟของโซเวียตจากรัสเซียด้วยเงินจำนวน 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเรือไอเอ็นเอส วิกรมาทิตย์[25]และคาดว่าจะเข้าร่วมกองทัพเรืออินเดียในปีพ.ศ. 2551 หลังจากซ่อมแซมแล้ว[26] อย่างไรก็ตามหลังจากความล่าช้าและค่าบำรุงเกินงบ การส่งมอบเรือจึงเลื่อนไปเป็นไตรมาสสุดท้ายของปีพ.ศ. 2556[27]โดยมีราคาล่าสุดที่ 23,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[28]

อินเดียได้เริ่มสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินชั้นวิกรานต์ขนาด 4 หมื่นตัน ความยาว 260 เมตรในเดือนเมษายน พ.ศ. 2548[29] เรือบรรทุกเครื่องบินลำใหม่จะมีมูลค่า 762 ล้านดอลลาร์สหรัฐและจะทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่มิโคยัน มิก-29เค ฮัล ทีจาส และซีแฮร์ริเออร์พร้อมกับเฮลิคอปเตอร์ที่สร้างโดยอินเดียฮัล ดรูฟ[29] เรือลำดังกล่าวจะใช้พลังงานเครื่องยนต์กังหันสี่เครื่องและมีพิสัย 14,000 กิโลเมตร ทหาร 160 นาย กะลาสี 1,400 นาย และอากาศยาน 30 ลำ อินเดียจะเป็นผู้สร้างเรือเอง[29]โดยคาดว่าจะประกาศใช้ในปีพ.ศ. 2557[25][30]

ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552 นายพลเรือนิรมาล เวอร์มากล่าวว่าการประชุมกองทัพเรือของเขาถูกตรวจสอบโดยคณะกรรมการการออกแบบเรือสำหรับการสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่สอง คือไอเอซี-2 โดยจะเป็นเรือพลังงานปกติขนาดระวางขับน้ำ 5 หมื่นตันและมีเครื่องดีดพลังไอน้ำเพื่อใช้กับเครื่องบินยุคที่สี่[30] เป้าหมายคือการครอบครองเรือบรรทุกเครื่องบินสามลำ โดยสองลำจะต้องปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มประสิทธิภาพและลำที่สามกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุง สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกองทัพเรืออินเดียอย่างมาก กองทัพเรืออินเดียเปิดเผยว่ามีแผนระยะยาวและโรดแมพที่มีเป้าหมายที่จะมีเรือทั้งหมด 6 ลำในประจำการ

รัสเซีย

หัวหน้าสหบรรษัทต่อเรือของรัสเซียได้กล่าวเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ว่าบริษัทของเขาจะเริ่มออกแบบเรือลำใหม่ในปีพ.ศ. 2559 และเริ่มสร้างในปีพ.ศ. 2561 และเรือจะต้องเริ่มปฏิบัติการช่วงแรกได้ในปีพ.ศ. 2566[31] เจ็ดเดือนต่อมาในวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 หนังสือพิมพ์ของรัสเซียอิซเวสติวารายงานว่ารัสเซียได้เพิ่มแผนการสร้างโรงต่อเรือแบบใหม่ที่จะสามารถสร้างเรือขนาดใหญ่ได่ หลังจากที่มอสโคว์ตัดสินใจจะสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ขึ้นอีกสองลำในปีพ.ศ. 2570 โฆษกรัฐบาลกล่าวว่าหนึ่งในเรือบรรทุกเครื่องบินจะเข้าประจำในกองเรือเหนือของกองทัพเรือรัสเซียในเมอร์มานสค์ และลำที่สองจะประจำการในกองเรือแปซิฟิกที่วลาดิวอสต็อก[32]

ตุรกี

ในวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 อุตสาหกรรมการป้องกันภายใต้เลาขาธิการของตุรกีได้ยื่นข้อเรียกร้องขอซื้อท่าจอดเรือเพื่อบรรลุจุดประสงค์ของกองทัพเรือตุรกี[33]

อย่างไรก็ตามตั้งแต่นั้นโครงการมูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐก็กลายมาเป็นการออกแบบ การพัฒนา และการสร้างเรือพลังงานทั่วไปขนาด 24,000-28,000 ตัน ยาว 230 เมตรที่สามารถทำงานร่วมกับเอฟ-35 ไลท์นิง 2 จำนวน 12-20 ลำ ทหาร 700 นาย รถถังประจัญบาน 60 คัน และเฮลิคอปเตอร์โจมตีและขนส่งขนาดหนัก[34][35][36][37][38]

นอกจากนี้แล้วทางอุตสาหกรรมด้านป้องกันของตุรกียังได้รับมอบให้ซื้อเอฟ-35 อีก 20 ลำรวมกับจำนวนเดิมที่ตุรกีจะซื้อเป็นทั้งหมด 100 ลำ[39][40]

ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2555 ตุรกีได้สั่งซื้อเครื่องบินเอฟ-35เอและซีอย่างละ 1 ลำ[41] นี่เป็นหลักฐานชัดเจนว่าตุรกีต้องการที่จะซื้อเอฟ-35ซีโทลกว่า 100 ลำและเอฟ-35 สำหรับประจำบนเรือบรรทุกเครื่องบินอีก 20 ลำเพื่อนำไปใช้กับเรือบรรทุกเครื่องบินของพวกเขา

สหราชอาณาจักร

ราชนาวีอังกฤษกำลังสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินเอสโทฟล์ขนาดใหญ่สองลำ คือ เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นควีนอลิซาเบธ เพื่อแทนที่เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นอินวินซิเบิล เรือดังกล่าวจะมีชื่อว่าเอชเอ็มเอส ควีน อลิซาเบธและเอชเอ็มเอส พรินซ์ออฟเวลส์[42][43] ทั้งสองลำจะสามารถบรรทุกอากาศยานได้ 40 ลำและมีระวางขับน้ำประมาณ 65,000 ตัน เรือทั้งสองลำจะปฏิบัติการได้ในปีพ.ศ. 2563[44] อากาศยานที่ใช้บนเรือจะประกอบด้วยเอฟ-35บี ไลท์นิง 2[45] เรือทั้งสองลำจะเป็นเรือรบที่ใหญ่ที่สุดที่ราชนาวีอังกฤษเคยสร้าง

สหรัฐอเมริกา

ภาพจำลองเรือบรรทุกเครื่องบินชั้นเจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ดของสหรัฐ

กองเรือบรรทุกเครื่องบินชั้นนิมิตซ์ของสหรัฐบางส่วนจะถูกแทนที่ด้วยเรือบรรทุกเครื่องบินชั้นเจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ด คาดกันว่าเรือแบบดังกล่าวจะระบบอัตโนมัติมากขึ้นเพื่อลดงบประมาณในการซ่อมบำรุงและใช้งาน เอกลักษณ์ใหม่ของเรือคือการใช้ระบบส่งเครื่องบินด้วยแม่เหล็กไฟฟ้าหรืออีมัลส์ (EMALS) ซึ่งจะเข้ามาแทนที่ระบบส่งพลังไอน้ำ และรวมทั้งการใช้งานอากาศยานไร้คนขับบนเรืออีกด้วย[46]

จากการยกเลิกใช้เรือยูเอสเอส เอนเทอร์ไพรซ์เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2555 (ปลดประจำการในปีพ.ศ. 2556) ทำให้สหรัฐเหลือเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดหนักอยู่ 10 ลำ ในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 คณะกรรมการอำนาจทางทะเลของสหรัฐแนะนำว่าควรสร้างเรือใหม่ขึ้นอีก 7-8 ลำ (ทุกสี่ปีจะมีหนึ่งลำ) อย่างไรก็ตามมีการถกเถียงในเรื่องงบประมาณที่สูงถึง 12,000-14,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (รวมทั้งค่าพัฒนาและวิจัยอีก 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในการสร้างเรือชั้นเจอรัลด์ขนาด 1 แสนตัน (คาดว่าจะเข้าประจำการในปีพ.ศ. 2558) เมื่อเทียบกับเรือขนาดเล็กกว่าอย่างเรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกชั้นอเมริกาขนาด 45,000 ตันมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่สามารถใช้งานเอฟ-35บี ซึ่งเรือดังกล่าวอยู่ขณะก่อสร้างสองลำและอีกสิบสองลำในแผนการสร้าง[47]

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  1. "China aircraft carrier confirmed by general". BBC News. 8 June 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 June 2011. สืบค้นเมื่อ 9 June 2011. {{cite news}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  2. Wakamiya is "credited with conducting the first successful carrier air raid in history"Source:GlobalSecurity.org
  3. "Sabre et pinceau", Christian Polak, p. 92.
  4. Donko, Wilhelm M.: Österreichs Kriegsmarine in Fernost: Alle Fahrten von Schiffen der k.(u.)k. Kriegsmarine nach Ostasien, Australien und Ozeanien von 1820 bis 1914. epubli, Berlin, (2013) - Page 4, 156-162, 427.
  5. "IJN Wakamiya Aircraft Carrier". globalsecurity.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2011. สืบค้นเมื่อ 9 June 2011. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  6. Geoffrey Till, "Adopting the Aircraft Carrier: The British, Japanese, and American Case Studies" in Murray, Williamson; Millet, Allan R, บ.ก. (1996). Military Innovation in the Interwar Period. New York: Cambridge University Press. p. 194. ISBN 0-521-63760-0.
  7. http://www.navy.mil/navydata/cno/n87/usw/issue_5/ntlsecurity.html
  8. Lekic, Slobodan, Associated Press. "Navies expanding use of aircraft carriers". Navy Times
  9. "Aircraft carriers crucial, Royal Navy chief warns." BBC, 4 July 2012.
  10. "The US Navy Aircraft Carriers". Navy.mil. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 February 2009. สืบค้นเมื่อ 30 January 2009. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  11. http://www.wingweb.co.uk/aircraft/Harrier_VTOL_Jump-Jet_part4.html
  12. 12.0 12.1 12.2 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ IND
  13. Gokhale, Nitin (11 September 2011). "India Beefs Up for Great Game". The Diplomat. สืบค้นเมื่อ 15 October 2011.
  14. 14.0 14.1 Pandit, Rajat (16 July 2012). "India's aircraft carrier ambitions take a dive". Times News Network. สืบค้นเมื่อ 25 August 2012.
  15. 15.0 15.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ UK
  16. 16.0 16.1 O'Rourke, Ronald (10 June 2010). "Navy Ford (CVN-78) class aircraft carrier" (pdf). Congressional Research Service. สืบค้นเมื่อ 8 September 2010.
  17. "Navy names next aircraft carrier USS John F. Kennedy". United States Department of Defense. 29 May 2011. สืบค้นเมื่อ 29 May 2011.
  18. Minemura, Kenji (17 December 2010). "Beijing admits it is building an aircraft carrier". Asahi Shimbun. Japan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 December 2010. สืบค้นเมื่อ 17 December 2010.
  19. China Working to Counter US Naval Power in the Pacific
  20. http://behindthewall.nbcnews.com/_news/2012/09/25/14092055-china-brings-its-first-aircraft-carrier-into-service-joining-9-nation-club?chromedomain=worldnews&lite
  21. http://www.globalsecurity.org/military/world/china/shi-lang.htm
  22. [1]
  23. Marine Nationale - Renewing the assets
  24. Sage, Adam (21 June 2008). "President Sarkozy ditches Franco-British carrier project". The Times. UK. สืบค้นเมื่อ 30 January 2009.
  25. 25.0 25.1 "Russian aircraft carrier ready in 2012 if India pays $2 bln more". RIA Novosti. 13 November 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 June 2011. สืบค้นเมื่อ 9 June 2011. {{cite news}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  26. "Article on India's indigenously built aircraft carrier". China Daily. 12 April 2005. สืบค้นเมื่อ 30 January 2009.
  27. "Russia further delays delivery of Admiral Gorshkov to India". timesofindia.com. 10 October 2012. สืบค้นเมื่อ 10 October 2012.
  28. [2]
  29. 29.0 29.1 29.2 "Indian Aircraft Carrier (Project-71)". Indian Navy [Bharatiya Nau Sena]. Bharat Rakshak. สืบค้นเมื่อ 11 September 2009.
  30. 30.0 30.1 "First indigenous aircraft carrier to be launched next year: Navy chief". India Today. 2 December 2009. สืบค้นเมื่อ 9 June 2011.
  31. RIA NOVOSTI, "Russia to build Nuclear Aircraft Carrier by 2023" 30 June 2011.
  32. BarentsObserver.com, "Russia to Build Two Aircraft Carriers" 3 November 2011.
  33. http://www.ssm.gov.tr/home/projects/Sayfalar/proje.aspx?projeID=30
  34. http://en.trend.az/news/politics/2093392.html
  35. http://english.sabah.com.tr/national/2012/11/29/turkey-embarks-on-aircraft-carrier-project
  36. http://www.aktifhaber.com/turkiye-ucak-gemisi-yapacak-570107h.htm
  37. http://www.sabah.com.tr/Gundem/2012/11/29/ilk-turk-ucak-gemisine-dogru
  38. http://www.haber7.com/guncel/haber/958168-turkiyenin-ilk-ucak-gemisi-geliyor
  39. http://www.menewsline.com/article-1173,27679-Turkey-Quietly-Orders-Navy-F-35.aspx
  40. http://blogs.ottawacitizen.com/2012/09/04/turkey-looks-to-buy-2-more-f-35s/
  41. http://in.zinio.com/sitemap/News-magazines/Janes-Defence-Weekly/September-12-2012/cat1960024/is-416236350/pg-7 (Jane's Defence Weekly, Europe, September 12, 2012 page 7)
  42. "Queen Elizabeth class Future Aircraft Carrier CVF (002)." Pike, J. GlobalSecurity.org.
  43. "UK, £3.2bn giant carrier deals signed". BBC News. 3 July 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 January 2009. สืบค้นเมื่อ 30 January 2009. {{cite news}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  44. House of Commons Hansard Debates for 10 May 2012, UK Parliament, 10 May 2012
  45. Facts and Figures : Queen Elizabeth Class, Royal Navy
  46. http://www.navy.mil/navydata/fact_display.asp?cid=4200&tid=200&ct=4
  47. Kreisher, Otto (2007). "Seven New Carriers (Maybe)". Air Force Magazine. Air Force Association. 90 (10): 68–71. ISSN 0730-6784. สืบค้นเมื่อ 2 October 2007. {{cite journal}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |month= ถูกละเว้น (help)
บรรณานุกรม
  • aircraft carrier", The American Heritage Dictionary of the English Language, 4th Edition, 2000
  • aircraft carrier", พจนานุกรมศัพท์ทหาร, กรมยุทธศึกษาทหาร

แหล่งข้อมูลอื่น


แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link GA