ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เรือบรรทุกอากาศยาน"
บรรทัด 113: | บรรทัด 113: | ||
| {{IND}} || {{Flagicon image|Naval Ensign of India.svg|border=}} นาวีอินเดีย || 4 || 1 || 0 || 2 || 1 |
| {{IND}} || {{Flagicon image|Naval Ensign of India.svg|border=}} นาวีอินเดีย || 4 || 1 || 0 || 2 || 1 |
||
|- |
|- |
||
| {{UK}} || {{Flagicon |
| {{UK}} || {{Flagicon image|Naval Ensign of the United Kingdom.svg|border=}} [[ราชนาวี|ราชนาวีสหราชอาณาจักร]] || 43 || 1 || 0 || 2 || 40 |
||
|- |
|- |
||
| {{BRA}} || {{Flagicon image|Flag of Brazil.svg|border=}} นาวีบราซิล || 2 || 1 || 0 || 0 || 1 |
| {{BRA}} || {{Flagicon image|Flag of Brazil.svg|border=}} นาวีบราซิล || 2 || 1 || 0 || 0 || 1 |
||
|- |
|- |
||
| {{CHN}} || {{Flagicon |
| {{CHN}} || {{Flagicon image|Naval Ensign of the People's Republic of China.svg|border=}} นาวีจีน || 1 || 1 || 0 || 0 || 0 |
||
|- |
|- |
||
| {{FRA}} || {{Flagicon image|Civil and Naval Ensign of France.svg|border=}} นาวีฝรั่งเศส || 8 || 1 || 0 || 0 || 7 |
| {{FRA}} || {{Flagicon image|Civil and Naval Ensign of France.svg|border=}} นาวีฝรั่งเศส || 8 || 1 || 0 || 0 || 7 |
||
บรรทัด 127: | บรรทัด 127: | ||
| {{ESP}} || {{Flagicon image|Flag of Spain.svg|border=}} ราชนาวีสเปน || 2 || 1 || 1 || 0 || 0 |
| {{ESP}} || {{Flagicon image|Flag of Spain.svg|border=}} ราชนาวีสเปน || 2 || 1 || 1 || 0 || 0 |
||
|- |
|- |
||
| {{JPN}} || [[กองทัพเรือญี่ปุ่น|ราชนาวีญี่ปุ่น]] || 20 || 0 || 0 || 0 || 20 |
| {{JPN}} || {{Flagicon image|Naval Ensign of Japan.svg|border=}} [[กองทัพเรือญี่ปุ่น|ราชนาวีญี่ปุ่น]] || 20 || 0 || 0 || 0 || 20 |
||
|- |
|- |
||
| {{NED}} || ราชนาวีเนเธอร์แลนด์ || 1 || 0 || 0 || 0 || 1 |
| {{NED}} || ราชนาวีเนเธอร์แลนด์ || 1 || 0 || 0 || 0 || 1 |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 23:34, 3 กันยายน 2556
เรือบรรทุกอากาศยาน หรือ เรือบรรทุกเครื่องบิน (อังกฤษ: aircraft carrier) คือ เรือรบที่ออกแบบมาสำหรับใช้เป็นฐานทัพอากาศเคลื่อนที่ให้กับอากาศยาน เรือบรรทุกเครื่องบินนั้นทำให้กองทัพเรือสามารถส่งกำลังทางอากาศออกไปได้ไกลยิ่งขึ้นโดยขึ้นอยู่กับที่มั่นของเรือบรรทุกเครื่องบิน พวกมันพัฒนามาจากเรือที่สร้างจากไม้ที่ถูกใช้เพื่อปล่อยบัลลูนมาเป็นเรือรบพลังนิวเคลียร์ซึ่งสามารถบรรทุกอากาศยานปีกนิ่งและปีกหมุนได้หลายสิบลำ
โดยปกเรือบรรทุกอากาศยานจะเป็นเรือหลักของกองเรือและเป็นเรือที่มีราคาแพงอย่างมาก มี 10 ประเทศที่ครอบครองเรือบรรทุกอากาศยานโดยแปดประเทศมีเรือบรรทุกอากาศยานเพียงลำเดียวเท่านั้น ทั่วโลกมีเรือบรรทุกอากาศยานที่กำลังทำหน้าที่ 20 ลำโดยเป็นของสหรัฐเสีย 10 ลำ บางประเทศในจำนวนนี้ไม่มีเครื่องบินที่สามารถใช้กับเรือบรรทุกอากาศยานและบางประเทศได้เปล่ยนวัตถุประสงค์ของเรือไป[1]
ประวัติ
ไม่นานหลังจากที่มีการสร้างอากศยานที่มีน้ำหนักมากกว่าอากาศขึ้นมาในปีพ.ศ. 2443 สหรัฐก็ได้ทำการทดลองใช้อากาศยานแบบดังกล่าวทำการบินขึ้นจากดาดฟ้าเรือในปีพ.ศ. 2453 และตามมาด้วยการทดสอบการลงจอดในปีพ.ศ. 2454 ในวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 เครื่องบินลำแรกที่ทำการบินขึ้นจากดาดฟ้าเรือสำเร็จได้ทำการบินจากเรือเอชเอ็มเอส ฮิเบอร์นาของราชนาวีอังกฤษ
ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2457 ก็เกิดเรือบรรทุกเครื่องบินทะเลลำแรกขึ้นคือ เรือบรรทุกเครื่องบินทะเลวากะมิยะของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเรือลำแรกของโลกที่ประสบความสำเร็จในการเข้าโจมตีด้วยเครื่องบินจากทะเล[2][3] เรือลำดังกล่าวได้ต่อสู้กับเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยบรรทุกเครื่องบินมัวริซ ฟาร์แมนสี่ลำ ซึ่งจะนำขึ้นลงดาดฟ้าเรือด้วยเครนยก ในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2457 เครื่องบินมัวริซ ฟาร์แมนลำหนึ่งได้ทำการบินจากเรือวากะมิยะและเข้าโจมตีเรือลาดตระเวนไคเซอร์ริน อลิซาเบธของออสเตรียฮังการีและเรือปืนจากัวร์ของเยอรมนี แต่กลับพลาดเป้าทั้งสอง[4][5]
การพัฒนาเรือดาดฟ้าเรียบทำให้เกิดเรือขนาดใหญ่ลำแรกๆ ขึ้น ในปีพ.ศ. 2461 เรือเอชเอ็มเอส อาร์กัสได้กลายเป็นเรือบรรทุกอากาศยานลำแรกของโลกที่สามารถนำเครื่องบินขึ้นและลงจอดได้[6] เมื่อถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 2463 การปฏิวัติเรือบรรทุกแบบต่างๆ ก็เป็นไปได้ด้วยดี ส่งผลให้เกิดเรืออย่าง เรือเฮาเชา (พ.ศ. 2465) เอชเอ็มเอส เฮอร์เมส (พ.ศ. 2467) และเรือเบียน (พ.ศ. 2470) เรอืบรรทุกอากาศยานลำแรกๆ นั้นเป็นเรือที่ดัดแปลงมาจากเรือหลายแบบ เช่น เรือบรรทุก เรือลาดตระเวน เรือลาดตระเวนประจัญบาน หรือเรือประจัญบาน สนธิสัญญาวอชิงตันในปีพ.ศ. 2465 มีผลต่อการสร้างเรือบรรทุก สหรัฐและราชอาณาจักรได้รับอนุญาตให้สร้างเรือบรรทุกที่มีขนาดใหญ่ได้ถึง 135,000 ตัน ในขณะที่บางกรณีที่มีข้อยกเว้นให้สามารถดัดแปลงเรือหลักขนาดใหญ่กว่าให้เป็นเรือบรรทุกได้ เช่น เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นเลกซิงตัน (พ.ศ. 2470)
ในช่วงทศวรรษที่ 2456 กองทัพเรือมากมายเริ่มสั่งซื้อและสร้างเรือบรรทุกอากาศยานที่ทำการออกแบบเป็นพิเศษ นี่ทำให้การออกแบบนั้นตอบรับกับบทบาทในอนาคตและทำให้เกิดเรือที่ทรงอานุภาพ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เรือเหล่านี้ได้กลายมาเป็นกำลังสำคัญของกองเรือสหรัฐ อังกฤษ และญี่ปุ่น โดยเรียกเรือเหล่านี้ว่า กองเรือบรรทุกเครื่องบิน
เรือบรรทุกอากาศยานถูกใช้อย่างหนักในสงครามโลกครั้งที่สองและมีแบบที่หลากหลายตามมา เรือบรรทุกเครื่องบินคุ้มกัน เช่น ยูเอสเอส โบกถูกสร้างขึ้นแต่ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าเรือบางลำจะถูกสร้างมาเพื่อจุดประสงค์นั้นๆ แต่เรือส่วนมากเป็นเรือดัดแปลงจากเรือสินค้าเพราะว่าเป็นเรือที่มีระยะหยุดเหมาะที่จะให้การสนับสนุนทางอากาศแก่ขบวนเรือและการรุกสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก เรือบรรทุกอากาศยานขนาดเบาที่สร้างขึ้นโดยสหรัฐ เช่น ยูเอสเอส อินดีเพนเดนซ์เป็นเรือที่นำแนวคิดเรือบรรทุกอากาศยานคุ้มกันมาทำเป็นเรือที่ใหญ่ขึ้นและมีศักยภาพทางทหารมากขึ้น แม้ว่าเรือบรรทุกขนาดเบามักจะบรรทุกกองบินที่มีขนาดเท่ากับกองบินบนเรือบรรทุกคุ้มกัน แต่เรือบรทุกขนาดเบามีความได้เปรียบด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเพราะเรือเหล่านี้ถูกดัดแปลงมาจากเรือครุยเซอร์
ไฟสงครามทำให้เกิดการสร้างเรือและการดัดแปลงเรือที่ไม่ได้ทำตามแบบปกติ เรือแคม (CAM) เช่น เรือเอสเอส ไมเคิล อี เป็นเรือบรรทุกสินค้าที่สามารถส่งเครื่องบินขึ้นฟ้าด้วยเครื่องดีด แต่ไม่สามารถรับเครื่องบินลงจอดได้ เรือเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในภาวะฉุกเฉินในสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นเดียวกับเรือพาณิชย์บรรทุกอากาศยาน เช่น เรือเอ็มวี เอ็มไพร์ แมคอัลไพน์ เรือดำน้ำบรรทุกอากาศยาน เช่น เรือดำน้ำบรรทุกอากาศยานเซอร์คูฟของฝรั่งเศส และเรือดำน้ำชั้นI-400 ของญี่ปุ่นที่สามารถบรรทุกเครื่องบินไอชิ เอ็ม6เอได้สามลำ ซึ่งถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในทศวรรษที่ 2463 แต่ไม่ประสบความสำเร็จนักในสงครามโลกครั้งที่ 1
กองทัพเรือสมัยใหม่ที่ใช้เรือแบบดังกล่าวจะใช้เรือบรรทุกอากาศยานเป็นเรือหลักของกองเรือ ซึ่งเดิมที่เป็นหน้าที่ของเรือประจัญบาน ในขณะที่บางคนจดจำการที่เรือเหล่านี้เป็นเรือหลักดำน้ำพร้อมขีปนาวุธ แต่ที่จดจำกันได้มากคืออำนาจการยิงของเรือที่ใช้เป็นเครื่องขัดขว้างนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ มากกว่าหน้าที่ของเรือเหล่านี้ในกองเรือ[7] การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อตอบสนองกับการที่อำนาจทางอากาศเริ่มมีบทบาทสำคัญในการเอาชนะศัตรู สิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือเครื่องบินพิสัยไกล คล่องแคล่ว และมีประสิทธิภาพ ปฏิบัติการเรือบรรทุกเครื่องบินยังคงดำเนินต่อไปภายหลังสงครามทั้งในด้านขนาดและความสำคัญ เรือบรรทุกอากาศยานขนาดหนักที่มีระวางขับน้ำ 75,000 ตันหรือมากกว่านั้น ได้กลายมาเป็นจุดสุดยอดของการพัฒนา บางลำใช้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เป็นแหล่งพลังงานและเป็นแกนหลักของกองเรือที่ทำหน้าที่ระยะไกล เรือจู่โจมสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก เช่น ยูเอสเอส ทาราวาและเอชเอ็มเอส โอเชียน มีหน้าที่บรรทุกและรับส่งนาวิกโยธินและยังใช้เฮลิคอปเตอร์จำนวนมากเพื่อทำปฏิบัติการดังกล่าว เรือเหล่านี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า"เรือบรรทุกเครื่องบินคอมมานโด"หรือ"เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์"ซึ่งมีบทบาทรองในการบรรทุกและใช้งานอากาศยานขึ้นลงในแนวดิ่ง
ด้วยสาเหตุที่เรือเหล่านี้ไม่มีอำนาจการยิงเท่าเรือแบบอื่น ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินตกเป็นเป้าของเรือ เครื่องบิน เรือดำน้ำ และขีปนาวุธของศัตรู ดังนั้นเรือบรรทุกอากาศยานจึงต้องร่วมเดินทางพร้อมกับเรือแบบอื่นๆ ในจำนวนมากเพื่อให้การป้องกัน ให้เสบียง และให้การสนับสนุนเชิงรุก โดยเรียกกองเรือแบบนี้ว่ากองยุทธการหรือกองเรือบรรทุกเครื่องบิน
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สนธิสัญญาอย่างสนธิสัญญาวอชิงตัน สนธิสัญญาลอนดอน และสนธิสัญญาลอนดอนครั้งที่ 2 ได้จำกัดขนาดของเรือ เรือบรรทุกอากาศยานตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกสร้างอย่างไร้ข้อจำกัดโดยขึ้นอยู่กับงบประมาณและทำให้เรือสามารถบรรทุกเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ เรือบรรทุกเครื่องบินยุคใหม่ที่มีขนาดใหญ่อย่างเรือบรรทุกเครื่องบินชั้นนิมิตซ์ของกองทัพเรือสหรัฐมีระวางขับน้ำมากกว่าเรือยูเอสเอส เอนเทอร์ไพรซ์ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงสี่เท่า แต่กระนั้นก็ยังคงใช้อากาศยานที่ไม่เปลี่ยนไปมากนัก ซึ่งเป็นผลมาจากขนาดและน้ำหนักของเครื่องบินที่เพิ่มขึ้นอย่างคงที่ตลอดหลายปี
ความสำคัญในยุคสมัยใหม่
ปัจจุบันเรือบรรทุกอากาศยานเป็นเรือที่มีราคาแพงมากจนทำให้ชาติที่ครอบครองเรือชนิดดังกล่าวสุ่มเสี่ยงต่อปัญหาทางการเมือง การเงิน และการทหารถ้าหากสูญเสียเรือบรรทุกอากาศยานหรือนำพวกมันไปใช้ในสงครามก็ตาม ผู้สังเกตการณ์มองว่าอาวุธต่อต้านเรือสมัยใหม่ เช่น ตอร์ปิโดและขีปนาวุธ ทำให้เรือบรรทุกอากาศยานตกเป็นเป้าอย่างง่ายในการรบสมัยใหม่ อาวุธนิวเคลียร์สามารถสร้างภัยให้กับกองเรือได้ทั้งกองเรือหากทำการรบแบบเปิดเผย ในอีกทางหนึ่งบทบาทของเรือบรรทุกอากาศยานก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นเรือที่มีหน้าที่สำคัญในการสงครามไม่สมมาตรเหมือนอย่างนโยบายเรือปืนที่เกิดขึ้นในอดีต นอกจากนี้เรือบรรทุกอากาศยานยังช่วยสร้างอำนาจทางทหารเหนือฝ่ายศัตรูได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำโดยเฉพาะเมื่อต้องทำการรบนอกประเทศ[8]
พลเรือเอกเซอร์มาร์ค แสตนโฮป หัวหน้ากองทัพเรืออังกฤษได้กล่าวไว้ว่า "พูดง่ายๆ คือ ประเทศที่ต้องการมีอิทธิพลทางยุทธศาสตร์นานาชาติต่างมีเรือบรรทุกอากาศยานในครอบครองทั้งนั้น"[9]
ประเภท
ประเภทแบ่งตามบทบาท
กองเรือบรรทุกเครื่องบินมักจะออกปฏิบัติการพร้อมกับกองเรือหลักและมีบทบาทในเชิงรุก เรือเหล่านี้คือเรือบรรทุกเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่สามารถทำความเร็วสูงได้ เมื่อเทียบกันแล้ว เรือบรรทุกอากาศยานคุ้มกันนั้นถูกออกแบบเพื่อให้การป้องกันกับขบวนเรือมากกว่า เรือเหล่านั้นเป็นเรือที่มีขนาดเล็กกว่าและเคลื่อนที่ช้ากว่าพร้อมกับบรรทุกเครื่องบินในจำนวนน้อยกว่าเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วเรือพวกนี้จะถูกสร้างจากโครงเรือพาณิชย์ ในกรณีที่ต้องการเรือพาณิชย์บรรทุกอากาศยาน หรือสร้างจากเรือบรรทุกสินค้าโดยการเสริมลานบินเข้าไปที่ดาดฟ้าเรือ ส่วนเรือบรรทุกอากาศยานขนาดเบาเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่มีความเร็วพอที่จะออกปฏิบัติการพร้อมกับกองเรือขนาดเล็กและใช้อากาศยานในจำนวนน้อย ปัจจุบันเรือบรรทุกอากาศยานของโซเวียตที่ใช้โดยรัสเซียจะเรียกกันว่าเรือลาดตระเวนการบิน เรือชนิดนี้มีขนาดเทียบเท่ากับเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ที่สามารถออกปฏิบัติการเพียงลำพังหรือพร้อมกับเรือคุ้มกัน และสามารถให้การสนับสนุนเชิงรุกและเชิงรับที่เทียบเท่าได้กับเรือลาดตระเวนติดตั้งขีปนาวุธนำวิถี ซึ่งบทบาทนี้มีเพื่อสนับสนุนเครื่องบินขับไล่และเฮลิคอปเตอร์
- เรือบรรทุกเครื่องบินต่อต้านเรือดำน้ำ
- เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์
- เรือบรรทุกเครื่องบินขนาดเบา
- เรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก
- เรือบรรทุกเครื่องบินทะเล
- เรือบรรทุกบอลลูน
ประเภทแบ่งตามองค์ประกอบ
เรือบรรทุกอากาศยานมีทั้งหมด 3 ประเภทเมื่อแบ่งตามลักษณะของเรือโดยใช้กับกองทัพเรือทั่วโลก โดยแบ่งด้วยวิธีที่ใช้ในการส่ง-รับเครื่องบิน
- ส่งด้วยเครื่องดีดและรับด้วยสายรั้งหรือคาโทบาร์ (CATOBAR): เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่มักจะบรรทุกอากาศยานที่มีขนาดใหญ่ที่สุด หนักที่สุด และติดอาวุธจำนวนมาก แม้ว่าเรือที่มีขนาดเล็กลงมาในประเภทนี้อาจมีข้อจำกัดอื่นอีก (เช่น น้ำหนักที่ลิฟท์ขนเครื่องบินจะรับได้) มีสามประเทศที่ใช้เรือประเภทนี้ คือ สหรัฐอเมริกา 10 ลำ ฝรั่งเศส 1 ลำ และบราซิล 1 ลำ
- บินขึ้นด้วยระยะสั้นและรับด้วยสายรั้งหรือสโตบาร์ (STOBAR): เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่บรรทุกอากาศยานปีกนิ่งขนาดเบาแต่มีอาวุธมากกว่า เครื่องบินที่ใช้บนเรือประเภทนี้อย่างซุคฮอย ซู-33 และมิโคยัน มิก-29เคที่ใช้บนเรือบรรทุกอากาศยานพลเรือเอกคุซเนตซอฟมักทำหน้าที่สร้างความเป็นเจ้าอากาศและการป้องกันกองเรือมากกว่าหน้าที่ในการเข้าโจมตี ซึ่งต้องมีอาวุธขนาดหนัก (เช่น ระเบิดและขีปนาวุธอากาศสู่พื้น) ปัจจุบันมีเพียงรัสเซียเท่านั้นที่มีเรือประเภทนี้ในครอบครอง จีนได้สร้างเรือบรรทุกอากาศยานเหลียวหนิงขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นเรือพี่น้องของเรือพลเรือเอกคุซเนตซอฟ พร้อมกับสร้างเครื่องบินเลียนแบบซู-33 เรือลำนี้ปัจจุบันมีหน้าที่ในการเป็นตัวทดลองและใช้ในการฝึก รัสเซียเองก็กำลังเตรียมที่จะสร้างเรือแบบที่คล้ายกันให้กับอินเดียโดยใช้แบบของเรือชั้นเคียฟ
- บินขึ้นด้วยระยะสั้นและลงจอดในแนวดิ่งหรือเอสโทฟล์ (STOVL): เรือประเภทที่สามารถบรรทุกได้เพียงอากาศยานแบบเอสโทฟล์เท่านั้น เช่น เครื่องบินตระกูลแฮร์ริเออร์จัมพ์เจ็ทและยาโกเลฟ ยัค-38 ซึ่งมีอาวุธจำกัด ศักยภาพต่ำ และใช้เชื้อเพลิงมากกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องบินแบบปกติ อย่างไรก็ตามเครื่องบินเอสโทฟล์แบบใหม่อย่างเอฟ-35 ไลท์นิง 2ก็มีศักยภาพที่มากขึ้นกว่าเดิม เรือประเภทนี้ประจำการอยู่ในกองทัพเรือของอินเดียและสเปนประเทศลำหนึ่งลำ อิตาลีมีสองลำ สหราชอาณาจักรและไทยมีประเทศละหนึ่งลำแต่ทั้งสองประเทศไม่ได้ใช้เครื่องบินเอสโทฟว์ต่อไปแล้ว เรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกของสหรัฐที่ทำหน้าที่เป็นเรือบรรทุกอากาศยานขนาดเล็กก็สามารถจัดได้ว่าเป็นเรือประเภทนี้เช่นกัน
ประเภทแบ่งตามขนาด
- เรือบรรทุกเครื่องบินขนาดหนัก หรือ ซูเปอร์แคร์ริเออร์
- เรือบรรทุกเครื่องบินประจำกองเรือ
- เรือบรรทุกเครื่องบินขนาดเบา
- เรือบรรทุกเครื่องบินคุ้มกัน
ดาดฟ้าบิน
ด้วยการที่เป็นเสมือนทางวิ่งที่ลอยอยู่กลางทะเล เรือบรรทุกอากาศยานสมัยใหม่จึงมีดาดฟ้าเรือที่แบบเรียบคอยทำหน้าที่เป็นลานบินให้กับเครื่องบินที่จะบินขึ้นหรือลงจอด เครื่องบินจะถูกดีดไปด้านหน้าของเรือและทำการลงจอดทางด้านท้ายเรือ เรือจะแล่นด้วยความเร็ว 35 นอท (65 กม./ชม.) เข้าหาลมเพื่อเพิ่มความเร็วลมบนดาดฟ้าให้อยู่ในระดับปลอดภัย การทำแบบนี้จะเพิ่มความเร็วลมที่มีประสิทธิภาพที่จำทำให้เครื่องบินที่บินขึ้นทำความเร็วได้มากขึ้นเมื่อถูกส่งออกไปแล้ว นอกจากนี้ยังทำให้ตอนลงจอดมีความปลอดภัยมากขึ้นด้วยการลดความแตกต่างของความเร็วสัมพันธ์ของเครื่องบินและเรือ
สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินแบบคาโทบาร์นั้น จะมีเครื่องยิงพลังไอน้ำที่คอยทำหน้าที่ส่งเครื่องบินเข้าสู่ความเร็วที่ปลอดภัย หลังจากเครื่องบินลำนั้นๆ ขึ้นสู่อากาศแล้วก็จะสามารถใช้ความเร็วจากเครื่องยนต์ของตัวเองได้ สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินแบบเอสโทฟล์และสโบตาร์จะไม่ใช้เครื่องยิงแบบดังกล่าว แต่จะมีดาดฟ้าที่มีปลายทางมีลักษณะโค้งขึ้นด้านบนเพื่อช่วยส่งเครื่องบินเมื่อทำการวิ่งสุดรันเวย์ แม้ว่าเครื่องบินแบบเอสโทฟล์นั้นจะสามารถบินขึ้นได้โดยไม่พึ่งรันเวย์แบบดังกล่าวหรือด้วยเครื่องยิงโดยการลำเชื้อเพลิงและอาวุธลง บทบาทของเรือบรรทุกเครื่องบินขึ้นอยู่กับลักษณะของเครื่องบินบนเรือและการออกแบบเรือ
สำหรับเรือแบบคาโทบาร์และสโตบาร์จะใช้สายสลิงขนาดยาวที่พาดขวางลานบินสำหรับเครื่องบินใช้ขอเกี่ยวเกี่ยวสายสลิงขณะลงจอด หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ราชนาวีอังกฤษได้ทำการวิจัยหาวิธีลงจอดที่ปลอดภัยกว่าซึ่งทำให้เกิดการสร้างพื้นที่สำหรับการลงจอดที่วางแนวเฉียงออกจากแกนหลักของเรือซึ่งทำให้เครื่องบินที่เกี่ยวสายสลิงพลาดสามารถเร่งเครื่องเพื่อบินให้พ้นจากเรือและป้องกันบินชนตัวเรือเอง สำหรับเฮลิคอปเตอร์และอากาศยานขึ้นลงในแนวดิ่งและระยะสั้นหรือวีเอสโทล (V/STOL) มักจะลงจอดเป็นแถวหน้ากระดานที่ด้านข้างของเรือและลงจอดได้โดยไม่ต้องใช้สายสลิง เครื่องบินที่ต้องใช้ขอเกี่ยวและสายสลิงจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ให้สัญญาน ซึ่งจะคอยดูเครื่องบินที่กำลังบินเข้าเพื่อทำการลงจอดโดยตรวจทั้งแนวการร่อนลง ระดับความสูง และความเร็วลม จากนั้นเจ้าหน้าที่จะส่งข้อมูลไปยังนักบิน ก่อนทศวรรษที่ 2493 เจ้าหน้าที่ให้สัญญาณใช้ป้ายสีเพื่อให้สัญญาณแก่นักบิน ตั้งแต่ทศวรรษที่ 2493 มีการใช้เครื่องส่งสัญญาณไฟและระบบลงจอดช่วยลงจอดที่คอยให้ข้อมูลในการลงจอดให้กับนักบิน แต่กระนั้นเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณก็ยังคงมีบทบาทในการส่งข้อมูลผ่านทางวิทยุแก่นักบิน
สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐ กะลาสีจะสวมเสื้อสีที่บอกถึงหน้าที่ของแต่ละฝ่าย มีเสื้ออย่างน้อยทั้งหมด 7 สีที่กะลาสีเรือสหรัฐใส่ ประเทศอื่นๆ ก็มีการใช้สีที่คล้ายๆ กันนี้เช่นกัน
เจ้าหน้าที่ที่สำคัญบนดาดฟ้าเรือประกอบด้วยชูทเตอร์ (shooters) แฮนด์เลอร์ (handler) และแอร์บอส (air boss) ชูทเตอร์เป็นเจ้าหน้าที่การบินทางเรือ (Naval Flight Officer) ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบการส่งเครื่องบินสู่อากาศ แฮนด์เลอร์จะคอยทำหน้าที่จัดส่งเครื่องบินให้เข้าสู่ทำแหน่งบินขึ้นและคอยนำเครื่องบินเก็บเมื่อเสร็จจากการลงจอด แอร์บอสจะทำหน้าที่อยู่บนสะพานเดินเรือและคอยควบคุมการส่งเครื่องบิน การรับเครื่องบิน และให้คำสั่งเครื่องบินที่บินอยู่ใกล้กับเรือ รวมทั้งการเคลื่อนย้ายเครื่องบินบนดาดฟ้า[10] กัปตันเรือใช้เวลาส่วนใหญ่ที่สะพานเดินเรือนำร่องซึ่งอยู่ใต้สะพานเดินเรือควบคุมการบิน อีกชั้นลงมาคือสะพานเดินเรือส่วนที่มีไว้สำหรับพลเรือและนายทหาร
ตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 2493 เป็นที่รู้กันดีว่าเครื่องบินจะต้องลงจอดเป็นแนวเฉียงจากแกนหลักของตัวเรือ วิธีนี้ทำให้เครื่องบินที่เกี่ยวสลิงพลาดสามารถบินขึ้นสู่อากาศได้อีกครั้งและหลีกเลี่ยงการชินกับเครื่องบินที่จอดอยู่ ลานบินที่ทำมุมเฉียงยังช่วยให้สามารถส่งเครื่องบินและรับเครื่องบินได้พร้อมกันถึงสองลำ
โครงสร้างส่วนบนของเรือ (เช่น สะพานเดินเรือและหอควบคุมการบิน) จะอยู่ติดไปทางกราบขวาของดาดฟ้าเรือเช่นเดียวกับหอบัญชาการ รูปแบบการสร้างแบบดังกล่าวถูกใช้บนเรือเอชเอ็มเอส เฮอร์เมสเมื่อปีพ.ศ. 2466 มีเรือบรรทุกเครื่องบินไม่กี่ลำที่ออกแบบมาให้ไม่มีศูนย์บัญชาการ การที่ไม่มีส่วนบัญชาการหรือหอบัญชาการส่งผลเสียหลายอย่าง เช่น การนำร่องที่ยุ่งยาก ปัญหาในการควบคุมจราจรทางอากาศ และอีกมากมาย
สำหรับรูปแบบล่าสุดที่พัฒนาขึ้นโดยราชนาวีอังกฤษนั้นจะมีลานบินที่ส่วนปลายเป็นทางลาดเอียงขึ้น ส่วนนี้ถูกเรียกว่าสกีจัมพ์ (Ski jump) มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้เครื่องบินประเภทบินขึ้นด้วยระยะสั้นและลงจอดในแนวดิ่งหรือสโทฟล์ปปฏิบัติการบนเรือบรรทุกเครื่องบินได้ง่ายขึ้น เครื่องบินประเภทสโตฟล์เช่นซีแฮร์ริเออร์สามารถบินขึ้นพร้อมน้ำหนักที่มากขึ้นได้เมื่อใช้ลานบินบนเรือบรรทุกเครื่องบินแบบสโตบาร์ สกีจัมพ์ทำหน้าที่ด้วยการเปลี่ยนการเคลื่อนไหวไปทางด้านหน้าของเครื่องบินให้เป็นแรงกระโดดเมื่อเครื่องบินถึงสุดปลายทางดาดฟ้า เมื่อแรงกระโดดรวมเข้ากับแรงไอพ่นที่ดันเครื่องบินขึ้นจะทำให้เครื่องบินที่บรรทุกอาวุธและเชื้อเพลิงในจำนวนมากสามารถสร้างความเร็วลมและยกตัวให้อยู่ในระดับการบินปกติได้ หากไม่มีสกีจัมพ์แล้วเครื่องบินแฮร์ริเออร์ที่บรรทุกอาวุธเต็มอัตราจะไม่สามารถบินขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดเล็กได้ แม้ว่าเครื่องบินประเภทสโตฟล์จะสามารถขึ้นบินในแนวดิ่งได้ แต่การใช้สกีจัมพ์นั้นจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงและให้การส่งที่ดีกว่าเมื่อต้องบรรทุกอาวุธขนาดหนัก การใช้เครื่องดีดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็น เรือบรรทุกเครื่องบินที่มีสกีจัมพ์จึงสามารถลดน้ำหนัก ความยุ่งยาก และพื้นที่ที่ต้องใช้กับอุปกรณ์ไอน้ำหรือแม่เหล็กไฟฟ้าลงไปได้ อากาศยานที่ขึ้นลงในแนวดิ่งเองไม่จำเป็นต้องใช้สายสลิงเวลาลงจอดอีกด้วย เรือบรรทุกเครื่องบินของรัสเซีย จีน และอินเดียจะติดตั้งสกีจัมพ์เข้าไปแต่มีสายสลิงด้วยเช่นกัน
ข้อเสียของสกีจัมพ์คือขนาดของเครื่องบิน น้ำหนักอาวุธ และปริมาณเชื้อเพลิง เครื่องบินที่บรรทุกน้ำหนักมากเกินไปจะไม่สามารถใช้สกีจัมพ์ได้เพราะมันจะต้องใช้ระยะทางที่ยาวกว่าดาดฟ้าเรือ หรือต้องใช้เครื่องดีดในการช่วยออกตัว ตัวอย่างเช่น เครื่องบินซู-33 ที่สามารถบินขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบิน"คุตเนตซอฟ"แต่ต้องบรรจุอาวุธและเชื้อเพลิงในระดับน้อย อีกข้อเสียหนึ่งคือการผสมผสานปฏิบัติการ กล่าวคือบนดาดฟ้าจะมีเฮลิคอปเตอร์อยู่ด้วยจะไม่สามารถทำงานได้เต็มที่หากมีสกีจัมพ์อยู่เพราะมันกินพื้นที่มากเกินไป ดาดฟ้าเรือแบบเรียบอาจจำกัดการบรรทุกเครื่องแฮรร์เออร์แต่ก็ชดเชยได้ด้วยการมีระยะวิ่งที่ยาวกว่าเมื่อเทียบกับเรือบรรทุกเครื่องบินแบบสโตฟล์
มีการคิดสร้างลานบินแบบไม่ธรรมดาคือมาเพื่อตอบรับกับเครื่องบินไอพ่น เช่น การใช้อุปกรณ์สกัดส์ (SCADS) สกายฮุค เครื่องบินทะเลขับไล่ หรือแม้กระทั่งดาดฟ้าที่ทำจากยาง ระบบป้องกันทางอากาศบนเรือหรือสกัดส์เป็นชุดอุปกรณ์ที่นำไปติดตั้งกับเรือบรรทุกสินค้าเพื่อให้เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินแบบสโตฟล์โดยใช้เวลาเพียงสองวันในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมีเชื้อเพลิงสำหรับใช้กับเครื่องบินไอพ่นได้สามสิบวัน อาวุธ ระบบป้องกันขีปนาวุธ เฮลิคอปเตอร์ต่อต้านเรือดำน้ำ พื้นที่สำหรับลูกเรือ เรดาร์ และสกีจัมพ์ อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถยกเลิกการติดตั้งได้ มันเป็นเหมือนเรือพาณิชย์บรรทุกเครื่องบินแบบใหม่นั่นเอง สกายฮุค (Skyhook) เป็นความคิดของบริติชแอโรสเปซที่หวังจะใช้เครนที่มีส่วนปลายเป็นตัวเติมเชื้อเพลิง ส่งและรับเครื่องบินแฮร์ริเออร์[11] คอนแวร์ เอฟ2วาย ซีดาร์ทเป็นเครื่องบินทะเลเครื่องยนต์ไอพ่นที่ทำความเร็วเหนือเสียงซึ่งใช้สกีแทนล้อ เพราะกองทัพเรือสหรัฐเชื่อว่าเครื่องบินความเร็วเหนือเสียงไม่สามารถลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบินได้ จึงใช้วิธีให้ลงจอดในทะเลและใช้เครนยกขึ้นมาบนเรือแทน เรือเอชเอ็มเอส วอร์ริเออร์เป็นเรือที่ได้ทดสอบการใช้ดาดฟ้าบินที่ทำจากยางโดยมีเครื่องบินขับไล่เดอร์ ฮาวิลแลนด์ แวมไพร์ทำการลงจอดโดยไม่ใช้ล้อหรือสายสลิง
เรือบรรทุกเครื่องบินที่ยังใช้ได้อยู่
รายชื่อประเทศที่มีเรือบรรทุกเครื่องบิน
ประเทศ | นาวี | ทั้งหมด | ประจำการ | ปลดประจำการ | กำลังก่อสร้าง | ถูกทำลาย |
---|---|---|---|---|---|---|
สหรัฐ | นาวีอเมริกา | 71 | 10 | 2 | 3 | 56 |
อิตาลี | นาวีอิตาลี | 2 | 2 | 0 | 0 | 0 |
อินเดีย | นาวีอินเดีย | 4 | 1 | 0 | 2 | 1 |
สหราชอาณาจักร | ราชนาวีสหราชอาณาจักร | 43 | 1 | 0 | 2 | 40 |
บราซิล | นาวีบราซิล | 2 | 1 | 0 | 0 | 1 |
จีน | นาวีจีน | 1 | 1 | 0 | 0 | 0 |
ฝรั่งเศส | นาวีฝรั่งเศส | 8 | 1 | 0 | 0 | 7 |
รัสเซีย | นาวีรัสเซีย | 7 | 1 | 0 | 0 | 6 |
ไทย | ราชนาวีไทย | 1 | 1 | 0 | 0 | 0 |
สเปน | ราชนาวีสเปน | 2 | 1 | 1 | 0 | 0 |
ญี่ปุ่น | ราชนาวีญี่ปุ่น | 20 | 0 | 0 | 0 | 20 |
เนเธอร์แลนด์ | ราชนาวีเนเธอร์แลนด์ | 1 | 0 | 0 | 0 | 1 |
ออสเตรเลีย | ราชนาวีออสเตรเลีย | 3 | 0 | 0 | 0 | 3 |
แคนาดา | ราชนาวีแคนาดา | 3 | 0 | 0 | 0 | 3 |
อาร์เจนตินา | นาวีอาร์เจนตินา | 2 | 0 | 0 | 0 | 2 |
เรือบรรทุกเครื่องบินที่ประจำการ
ประเทศ | ชื่อ (รหัส) | ความยาว | ระวางขับน้ำ (ตัน) | ชั้น | พลังงาน | ประเภท | เสร็จสมบูรณ์ |
---|---|---|---|---|---|---|---|
บราซิล | เซาเปาลู (A12) | 265 m (869 ft) | 32,800 ตัน | Clemenceau | ปกติ | CATOBAR | 15 พฤศจิกายน 2000 |
จีน | เหลียวหนิง (16) | 304 m (997 ft) | 67,500 ตัน | แอดมิรัลคูซเน็ตซอฟ | ปกติ | STOBAR | 25 กันยายน 2012 |
ฝรั่งเศส | ชาร์ล เดอ โกล (R91) | 262 m (860 ft) | 42,000 ตัน | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 18 พฤษภาคม 2001 | |
อินเดีย | Viraat (R22) | 227 m (745 ft) | 28,700 ตัน | Centaur | ปกติ | STOVL | 20 พฤษภาคม 1987 |
อิตาลี | คาวัวร์ (550) | 244 m (801 ft) | 30,000 ตัน | ปกติ | STOVL | 27 มีนาคม 2008 | |
อิตาลี | กุสซิปปิ การิบัลดิ (551) | 181 m (594 ft) | 13 850 ตัน | ปกติ | STOVL | 30 กันยายน 1985 | |
รัสเซีย | แอดมิรัลคูซเน็ตซอฟ (063) | 305 m (1,001 ft) | 55,200 ตัน | แอดมิรัลคูซเน็ตซอฟ | ปกติ | STOBAR | 21 มกราคม 1991 |
สเปน | Juan Carlos I (L-61) | 230.82 m (757.3 ft) | 27,079 ตัน | ปกติ | STOVL | 30 กันยายน 2010 | |
ไทย | จักรีนฤเบศร (CVH-911) | 183 m (600 ft) | 11,486 ตัน | ปกติ | STOVL | 10 สิงหาคม 1997 | |
สหราชอาณาจักร | Illustrious (R06) | 209 m (686 ft) | 22,000 ตัน | อินวินซิเบิล | ปกติ | STOVL | 20 มิถุนายน 1982 |
สหรัฐ | นิมิตซ์ (CVN-68) | 333 m (1,093 ft) | 100,020 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 3 พฤษภาคม 1975 |
สหรัฐ | ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (CVN-69) | 333 m (1,093 ft) | 103,200 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 18 ตุลาคม 1977 |
สหรัฐ | คาร์ล วินสัน (CVN-70) | 333 m (1,093 ft) | 102,900 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 13 มีนาคม 1982 |
สหรัฐ | ทีโอดอร์ รูสเวลต์ (CVN-71) | 333 m (1,093 ft) | 106,300 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 25 ตุลาคม 1986 |
สหรัฐ | อับราฮัม ลินคอร์น (CVN-72) | 333 m (1,093 ft) | 105,783 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 11 พฤศจิกายน 1989 |
สหรัฐ | จอร์จ วอชิงตัน (CVN-73) | 333 m (1,093 ft) | 105,900 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 4 กรกฎาคม 1992 |
สหรัฐ | จอห์น ซี. สเตนนิส (CVN-74) | 333 m (1,093 ft) | 105,000 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 9 ธันวาคม 1995 |
สหรัฐ | แฮร์รี่ เอส. ทรูแมน (CVN-75) | 333 m (1,093 ft) | 105,600 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 25 กรกฎาคม 1998 |
สหรัฐ | โรนัลด์ เรแกน (CVN-76) | 333 m (1,093 ft) | 103,000 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 12 กรกฎาคม 2003 |
สหรัฐ | จอร์จ เอช. ดับเบิ้ลยู. บุช (CVN-77) | 333 m (1,093 ft) | 104,000 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 10 มกราคม 2009 |
เรือบรรทุกเครื่องบินที่ปลดประจำการ
ประเทศ | ชื่อ (รหัส) | ความยาว | ระวางขับน้ำ (ตัน) | ชั้น | พลังงาน | ประเภท | เสร็จสมบูรณ์ | ปลดประจำการ | ถูกทำลาย |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
สหรัฐ | เอ็นเตอร์ไพรส์ (CVN-65) | 342 m (1,122 ft) | 94,700 ตัน | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 25 พฤศจิกายน 1961 | 2 ธันวาคม 2012 | 2013 | |
สหรัฐ | คิตตีฮอว์ค (CV-63) | 325 m (1,066 ft) | 81,985 ตัน | คิตตีฮอว์ค | ปกติ | CATOBAR | 21 เมษายน 1961 | 31 มกราคม 2009 | 2015 |
สเปน | Principe de Asturias (R11) | 196 m (643 ft) | 16,700 ตัน | ปกติ | STOVL | 30 พฤษภาคม 1988 | 30 พฤษภาคม 2012 | กำลังตัดสินใจ |
เรือบรรทุกเครื่องบินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
ประเทศ | ชื่อ (รหัส) | ความยาว | ระวางขับน้ำ (ตัน) | ชั้น | พลังงาน | ประเภท | ปีที่จะเสร็จสมบูรณ์ | สถานะ |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อินเดีย | ไอเอ็นเอส วิกรมาทิตย์[12] | 283 m (928 ft) | 44,570 ตัน | เคียฟ | ปกติ | STOBAR | 2013 (แผนในอนาคต)[13] | อยู่ระหว่างการส่งมอบ |
อินเดีย | ไอเอ็นเอส วิกรานต์[12] | 262 m (860 ft) | 40,000 ตัน | วิกรานต์ | ปกติ | STOBAR | 2017 (คาดว่า)[14] | อยู่ระหว่างการก่อสร้าง |
อินเดีย | INS Vishal[12] | 262 m (860 ft) | 65,000 ตัน | วิกรานต์ | ปกติ | STOBAR | 2020 (คาดว่า)[14] | อยู่ระหว่างการก่อสร้าง |
สหราชอาณาจักร | เอชเอ็มเอส ควีนอลิซาเบธ (R08)[15] | 284 m (932 ft) | 65,600 ตัน | ควีนอลิซาเบธ | ปกติ | 2016 (คาดว่า) | อยู่ระหว่างการก่อสร้าง | |
สหราชอาณาจักร | เอชเอ็มเอส ปรินส์ออฟเวลส์ (R09)[15] | 284 m (932 ft) | 65,600 ตัน | ควีนอลิซาเบธ | ปกติ | 2018 (คาดว่า) | อยู่ระหว่างการก่อสร้าง | |
สหรัฐ | ยูเอสเอส เจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ด (CVN-78)[16] | 333 m (1,093 ft) | 100,000 ตัน | เจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ด | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 2015 (คาดว่า) | อยู่ระหว่างการก่อสร้าง |
สหรัฐ | ยูเอสเอส จอห์น เอฟ. เคนเนดี (CVN-79)[17] | 333 m (1,093 ft) | 100,000 ตัน | เจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ด | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 2020 (คาดว่า) | อยู่ระหว่างการก่อสร้าง |
สหรัฐ | ยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ (CVN-80)[16] | 333 m (1,093 ft) | 100,000 ตัน | เจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ด | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 2025 (คาดว่า) | สร้างในอนาคต |
เรือบรรทุกเครื่องบินในอนาคต
ปัจจุบันมีหลายประเทศที่ครอบครองเรือบรรทุกอากาศยานกำลังวางแผนสร้างเรือแบบใหม่ขึ้นมาแทนที่ลำเก่าๆ กองทัพเรือมากมายยังคงมองว่าเรือบรรทุกอากาศยานเป็นเรือหลักของกองเรือในอนาคต
จีน
เมื่อปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 ถึงต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2552 มีรายงานจำนวนมากกล่าวว่าจีนกำลังสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินขึ้นใหม่อีกสองลำโดยมีน้ำหนักระวางขับน้ำ 5-6 หมื่นตัน ซึ่งอาจเสร็จสิ้นในปีพ.ศ. 2558 ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 กระทรวงการทะเลของจีนได้ออกมาแถลงว่าเรือลำดังกล่าวจะสร้างเสร็จก่อนอีกลำประมาณหนึ่งปี คือปีพ.ศ. 2557 และเรือที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์จะสร้างเสร็จประมาณปีพ.ศ. 2563[18]
จากรายงานของเจมส์ นอลท์ สมาชิกสถาบันนโยบายโลกในนิวยอร์ก กล่าวว่าจีนอาจต้องใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว รวมทั้งการฝึกบุคคลากรเพื่อเตรียมพร้อมเพื่อสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินที่มีประสิทธิภาพ[19]
ในวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555 เว็บไซต์ของสำนักงานข่าวเอ็นบีซีได้รายงานว่ารัฐบาลจีนได้ประกาศใช้เรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกคือ เรือบรรทุกเครื่องบินเหลียวหนิง อย่างไรก็ตามเรือลำดังกล่าวถูกสร้างขึ้นโดยกองทัพเรือโซเวียตในปีพ.ศ. 2531 และบางส่วนถูกสร้างโดยโรงต่อเรือของยูเครน ต่อมาเรือลำดังกล่าวถูกซื้อต่อโดยจีนในปีพ.ศ. 2541 โดยอ้างว่าเพื่อสร้างเป็นคาสิโนลอยน้ำ จากนั้นก็มีการดัดแปลงและนำไปยังจีนเพื่อสร้างให้สมบูรณ์[20][21] ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 จีนประกาศว่าเรือเหลียวหนิงปฏิบัติการสำเร็จเป็นครั้งแรกและใช้เครื่องบินเสินหยาง เจ-15 ทำการลงจอดบนเรือ[22]
ฝรั่งเศส
กองทัพเรือฝรั่งเศสได้วางแผนที่สร้างเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่สองเพื่อช่วยสนับสนุนเรือชาร์ล เดอ โกล เรือดังกล่าวจะเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก โดยมีน้ำหนักประมาณ 65,000-75,000 ตัน[23]และจะใช้พลังงานแบบธรรมดา นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะสร้างเรือลำดังกล่าวให้เป็นเรือคาโทบาร์ (แบบที่สร้างโดยเธลส์และบีเออี ซิสเทมส์นั้นเป็นเรือประเภทสโตฟล์ที่สามารถแปลงเป็นเรือประเภทคาโทบาร์ได้)
ในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ประธานาธิบดีฝรั่งเศสนิโคลาส์ ซาร์โคซีได้ตัดสินใจที่จะพักโครงการไว้ก่อน เขากล่าวว่าการตัดสินใจท้ายสุดเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินในอนาคตจะเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2554 หรือ 2555 แผนของอังกฤษที่จะสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินอีกสองลำยังคงดำเนินต่อไปและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฝรั่งเศส[24]
อินเดีย
ในปีพ.ศ. 2547 อินเดียตกลงที่จะซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินแอดมิรัลกอร์ชคอฟของโซเวียตจากรัสเซียด้วยเงินจำนวน 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเรือไอเอ็นเอส วิกรมาทิตย์[25]และคาดว่าจะเข้าร่วมกองทัพเรืออินเดียในปีพ.ศ. 2551 หลังจากซ่อมแซมแล้ว[26] อย่างไรก็ตามหลังจากความล่าช้าและค่าบำรุงเกินงบ การส่งมอบเรือจึงเลื่อนไปเป็นไตรมาสสุดท้ายของปีพ.ศ. 2556[27]โดยมีราคาล่าสุดที่ 23,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[28]
อินเดียได้เริ่มสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินชั้นวิกรานต์ขนาด 4 หมื่นตัน ความยาว 260 เมตรในเดือนเมษายน พ.ศ. 2548[29] เรือบรรทุกเครื่องบินลำใหม่จะมีมูลค่า 762 ล้านดอลลาร์สหรัฐและจะทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่มิโคยัน มิก-29เค ฮัล ทีจาส และซีแฮร์ริเออร์พร้อมกับเฮลิคอปเตอร์ที่สร้างโดยอินเดียฮัล ดรูฟ[29] เรือลำดังกล่าวจะใช้พลังงานเครื่องยนต์กังหันสี่เครื่องและมีพิสัย 14,000 กิโลเมตร ทหาร 160 นาย กะลาสี 1,400 นาย และอากาศยาน 30 ลำ อินเดียจะเป็นผู้สร้างเรือเอง[29]โดยคาดว่าจะประกาศใช้ในปีพ.ศ. 2557[25][30]
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552 นายพลเรือนิรมาล เวอร์มากล่าวว่าการประชุมกองทัพเรือของเขาถูกตรวจสอบโดยคณะกรรมการการออกแบบเรือสำหรับการสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่สอง คือไอเอซี-2 โดยจะเป็นเรือพลังงานปกติขนาดระวางขับน้ำ 5 หมื่นตันและมีเครื่องดีดพลังไอน้ำเพื่อใช้กับเครื่องบินยุคที่สี่[30] เป้าหมายคือการครอบครองเรือบรรทุกเครื่องบินสามลำ โดยสองลำจะต้องปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มประสิทธิภาพและลำที่สามกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุง สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกองทัพเรืออินเดียอย่างมาก กองทัพเรืออินเดียเปิดเผยว่ามีแผนระยะยาวและโรดแมพที่มีเป้าหมายที่จะมีเรือทั้งหมด 6 ลำในประจำการ
รัสเซีย
หัวหน้าสหบรรษัทต่อเรือของรัสเซียได้กล่าวเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ว่าบริษัทของเขาจะเริ่มออกแบบเรือลำใหม่ในปีพ.ศ. 2559 และเริ่มสร้างในปีพ.ศ. 2561 และเรือจะต้องเริ่มปฏิบัติการช่วงแรกได้ในปีพ.ศ. 2566[31] เจ็ดเดือนต่อมาในวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 หนังสือพิมพ์ของรัสเซียอิซเวสติวารายงานว่ารัสเซียได้เพิ่มแผนการสร้างโรงต่อเรือแบบใหม่ที่จะสามารถสร้างเรือขนาดใหญ่ได่ หลังจากที่มอสโคว์ตัดสินใจจะสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ขึ้นอีกสองลำในปีพ.ศ. 2570 โฆษกรัฐบาลกล่าวว่าหนึ่งในเรือบรรทุกเครื่องบินจะเข้าประจำในกองเรือเหนือของกองทัพเรือรัสเซียในเมอร์มานสค์ และลำที่สองจะประจำการในกองเรือแปซิฟิกที่วลาดิวอสต็อก[32]
ตุรกี
ในวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 อุตสาหกรรมการป้องกันภายใต้เลาขาธิการของตุรกีได้ยื่นข้อเรียกร้องขอซื้อท่าจอดเรือเพื่อบรรลุจุดประสงค์ของกองทัพเรือตุรกี[33]
อย่างไรก็ตามตั้งแต่นั้นโครงการมูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐก็กลายมาเป็นการออกแบบ การพัฒนา และการสร้างเรือพลังงานทั่วไปขนาด 24,000-28,000 ตัน ยาว 230 เมตรที่สามารถทำงานร่วมกับเอฟ-35 ไลท์นิง 2 จำนวน 12-20 ลำ ทหาร 700 นาย รถถังประจัญบาน 60 คัน และเฮลิคอปเตอร์โจมตีและขนส่งขนาดหนัก[34][35][36][37][38]
นอกจากนี้แล้วทางอุตสาหกรรมด้านป้องกันของตุรกียังได้รับมอบให้ซื้อเอฟ-35 อีก 20 ลำรวมกับจำนวนเดิมที่ตุรกีจะซื้อเป็นทั้งหมด 100 ลำ[39][40]
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2555 ตุรกีได้สั่งซื้อเครื่องบินเอฟ-35เอและซีอย่างละ 1 ลำ[41] นี่เป็นหลักฐานชัดเจนว่าตุรกีต้องการที่จะซื้อเอฟ-35ซีโทลกว่า 100 ลำและเอฟ-35 สำหรับประจำบนเรือบรรทุกเครื่องบินอีก 20 ลำเพื่อนำไปใช้กับเรือบรรทุกเครื่องบินของพวกเขา
สหราชอาณาจักร
ราชนาวีอังกฤษกำลังสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินเอสโทฟล์ขนาดใหญ่สองลำ คือ เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นควีนอลิซาเบธ เพื่อแทนที่เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นอินวินซิเบิล เรือดังกล่าวจะมีชื่อว่าเอชเอ็มเอส ควีน อลิซาเบธและเอชเอ็มเอส พรินซ์ออฟเวลส์[42][43] ทั้งสองลำจะสามารถบรรทุกอากาศยานได้ 40 ลำและมีระวางขับน้ำประมาณ 65,000 ตัน เรือทั้งสองลำจะปฏิบัติการได้ในปีพ.ศ. 2563[44] อากาศยานที่ใช้บนเรือจะประกอบด้วยเอฟ-35บี ไลท์นิง 2[45] เรือทั้งสองลำจะเป็นเรือรบที่ใหญ่ที่สุดที่ราชนาวีอังกฤษเคยสร้าง
สหรัฐอเมริกา
กองเรือบรรทุกเครื่องบินชั้นนิมิตซ์ของสหรัฐบางส่วนจะถูกแทนที่ด้วยเรือบรรทุกเครื่องบินชั้นเจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ด คาดกันว่าเรือแบบดังกล่าวจะระบบอัตโนมัติมากขึ้นเพื่อลดงบประมาณในการซ่อมบำรุงและใช้งาน เอกลักษณ์ใหม่ของเรือคือการใช้ระบบส่งเครื่องบินด้วยแม่เหล็กไฟฟ้าหรืออีมัลส์ (EMALS) ซึ่งจะเข้ามาแทนที่ระบบส่งพลังไอน้ำ และรวมทั้งการใช้งานอากาศยานไร้คนขับบนเรืออีกด้วย[46]
จากการยกเลิกใช้เรือยูเอสเอส เอนเทอร์ไพรซ์เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2555 (ปลดประจำการในปีพ.ศ. 2556) ทำให้สหรัฐเหลือเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดหนักอยู่ 10 ลำ ในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 คณะกรรมการอำนาจทางทะเลของสหรัฐแนะนำว่าควรสร้างเรือใหม่ขึ้นอีก 7-8 ลำ (ทุกสี่ปีจะมีหนึ่งลำ) อย่างไรก็ตามมีการถกเถียงในเรื่องงบประมาณที่สูงถึง 12,000-14,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (รวมทั้งค่าพัฒนาและวิจัยอีก 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในการสร้างเรือชั้นเจอรัลด์ขนาด 1 แสนตัน (คาดว่าจะเข้าประจำการในปีพ.ศ. 2558) เมื่อเทียบกับเรือขนาดเล็กกว่าอย่างเรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกชั้นอเมริกาขนาด 45,000 ตันมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่สามารถใช้งานเอฟ-35บี ซึ่งเรือดังกล่าวอยู่ขณะก่อสร้างสองลำและอีกสิบสองลำในแผนการสร้าง[47]
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- ↑ "China aircraft carrier confirmed by general". BBC News. 8 June 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 June 2011. สืบค้นเมื่อ 9 June 2011.
{{cite news}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Wakamiya is "credited with conducting the first successful carrier air raid in history"Source:GlobalSecurity.org
- ↑ "Sabre et pinceau", Christian Polak, p. 92.
- ↑ Donko, Wilhelm M.: Österreichs Kriegsmarine in Fernost: Alle Fahrten von Schiffen der k.(u.)k. Kriegsmarine nach Ostasien, Australien und Ozeanien von 1820 bis 1914. epubli, Berlin, (2013) - Page 4, 156-162, 427.
- ↑ "IJN Wakamiya Aircraft Carrier". globalsecurity.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2011. สืบค้นเมื่อ 9 June 2011.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Geoffrey Till, "Adopting the Aircraft Carrier: The British, Japanese, and American Case Studies" in Murray, Williamson; Millet, Allan R, บ.ก. (1996). Military Innovation in the Interwar Period. New York: Cambridge University Press. p. 194. ISBN 0-521-63760-0.
- ↑ http://www.navy.mil/navydata/cno/n87/usw/issue_5/ntlsecurity.html
- ↑ Lekic, Slobodan, Associated Press. "Navies expanding use of aircraft carriers". Navy Times
- ↑ "Aircraft carriers crucial, Royal Navy chief warns." BBC, 4 July 2012.
- ↑ "The US Navy Aircraft Carriers". Navy.mil. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 February 2009. สืบค้นเมื่อ 30 January 2009.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ http://www.wingweb.co.uk/aircraft/Harrier_VTOL_Jump-Jet_part4.html
- ↑ 12.0 12.1 12.2 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อIND
- ↑ Gokhale, Nitin (11 September 2011). "India Beefs Up for Great Game". The Diplomat. สืบค้นเมื่อ 15 October 2011.
- ↑ 14.0 14.1 Pandit, Rajat (16 July 2012). "India's aircraft carrier ambitions take a dive". Times News Network. สืบค้นเมื่อ 25 August 2012.
- ↑ 15.0 15.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อUK
- ↑ 16.0 16.1 O'Rourke, Ronald (10 June 2010). "Navy Ford (CVN-78) class aircraft carrier" (pdf). Congressional Research Service. สืบค้นเมื่อ 8 September 2010.
- ↑ "Navy names next aircraft carrier USS John F. Kennedy". United States Department of Defense. 29 May 2011. สืบค้นเมื่อ 29 May 2011.
- ↑ Minemura, Kenji (17 December 2010). "Beijing admits it is building an aircraft carrier". Asahi Shimbun. Japan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 December 2010. สืบค้นเมื่อ 17 December 2010.
- ↑ China Working to Counter US Naval Power in the Pacific
- ↑ http://behindthewall.nbcnews.com/_news/2012/09/25/14092055-china-brings-its-first-aircraft-carrier-into-service-joining-9-nation-club?chromedomain=worldnews&lite
- ↑ http://www.globalsecurity.org/military/world/china/shi-lang.htm
- ↑ [1]
- ↑ Marine Nationale - Renewing the assets
- ↑ Sage, Adam (21 June 2008). "President Sarkozy ditches Franco-British carrier project". The Times. UK. สืบค้นเมื่อ 30 January 2009.
- ↑ 25.0 25.1 "Russian aircraft carrier ready in 2012 if India pays $2 bln more". RIA Novosti. 13 November 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 June 2011. สืบค้นเมื่อ 9 June 2011.
{{cite news}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ "Article on India's indigenously built aircraft carrier". China Daily. 12 April 2005. สืบค้นเมื่อ 30 January 2009.
- ↑ "Russia further delays delivery of Admiral Gorshkov to India". timesofindia.com. 10 October 2012. สืบค้นเมื่อ 10 October 2012.
- ↑ [2]
- ↑ 29.0 29.1 29.2 "Indian Aircraft Carrier (Project-71)". Indian Navy [Bharatiya Nau Sena]. Bharat Rakshak. สืบค้นเมื่อ 11 September 2009.
- ↑ 30.0 30.1 "First indigenous aircraft carrier to be launched next year: Navy chief". India Today. 2 December 2009. สืบค้นเมื่อ 9 June 2011.
- ↑ RIA NOVOSTI, "Russia to build Nuclear Aircraft Carrier by 2023" 30 June 2011.
- ↑ BarentsObserver.com, "Russia to Build Two Aircraft Carriers" 3 November 2011.
- ↑ http://www.ssm.gov.tr/home/projects/Sayfalar/proje.aspx?projeID=30
- ↑ http://en.trend.az/news/politics/2093392.html
- ↑ http://english.sabah.com.tr/national/2012/11/29/turkey-embarks-on-aircraft-carrier-project
- ↑ http://www.aktifhaber.com/turkiye-ucak-gemisi-yapacak-570107h.htm
- ↑ http://www.sabah.com.tr/Gundem/2012/11/29/ilk-turk-ucak-gemisine-dogru
- ↑ http://www.haber7.com/guncel/haber/958168-turkiyenin-ilk-ucak-gemisi-geliyor
- ↑ http://www.menewsline.com/article-1173,27679-Turkey-Quietly-Orders-Navy-F-35.aspx
- ↑ http://blogs.ottawacitizen.com/2012/09/04/turkey-looks-to-buy-2-more-f-35s/
- ↑ http://in.zinio.com/sitemap/News-magazines/Janes-Defence-Weekly/September-12-2012/cat1960024/is-416236350/pg-7 (Jane's Defence Weekly, Europe, September 12, 2012 page 7)
- ↑ "Queen Elizabeth class Future Aircraft Carrier CVF (002)." Pike, J. GlobalSecurity.org.
- ↑ "UK, £3.2bn giant carrier deals signed". BBC News. 3 July 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 January 2009. สืบค้นเมื่อ 30 January 2009.
{{cite news}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ House of Commons Hansard Debates for 10 May 2012, UK Parliament, 10 May 2012
- ↑ Facts and Figures : Queen Elizabeth Class, Royal Navy
- ↑ http://www.navy.mil/navydata/fact_display.asp?cid=4200&tid=200&ct=4
- ↑ Kreisher, Otto (2007). "Seven New Carriers (Maybe)". Air Force Magazine. Air Force Association. 90 (10): 68–71. ISSN 0730-6784. สืบค้นเมื่อ 2 October 2007.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|month=
ถูกละเว้น (help)
- บรรณานุกรม
- aircraft carrier", The American Heritage Dictionary of the English Language, 4th Edition, 2000
- aircraft carrier", พจนานุกรมศัพท์ทหาร, กรมยุทธศึกษาทหาร