ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เรือบรรทุกอากาศยาน"
Elite501st (คุย | ส่วนร่วม) |
Elite501st (คุย | ส่วนร่วม) |
||
บรรทัด 68: | บรรทัด 68: | ||
==ดาดฟ้าบิน== |
==ดาดฟ้าบิน== |
||
[[ไฟล์:DeHavilland Vampire HMS Ocean Dec1945 NAN1 47.jpg|thumb|การลงจอดของเครื่องบินไอพ่นลำแรกบนเรือบรรทุกเครื่องบิน[[เอชเอ็มเอส โอเชียน (อาร์68)|เอชเอ็มเอส โอเชียน]]เมื่อปีพ.ศ. 2488]] |
|||
[[ไฟล์:DeHavilland Vampire HMS Ocean Dec1945 NAN1 47.jpg|thumb|The first carrier landing and take-off of a jet aircraft: [[Eric "Winkle" Brown]] landing on {{HMS|Ocean|R68}} in 1945.]] |
|||
ด้วยการที่เป็นเสมือนทางวิ่งที่ลอยอยู่กลางทะเล เรือบรรทุกอากาศยานสมัยใหม่จึงมีดาดฟ้าเรือที่แบบเรียบคอยทำหน้าที่เป็นลานบินให้กับเครื่องบินที่จะบินขึ้นหรือลงจอด เครื่องบินจะถูกดีดไปด้านหน้าของเรือและทำการลงจอดทางด้านท้ายเรือ เรือจะแล่นด้วยความเร็ว 35 นอท (65 กม./ชม.) เข้าหาลมเพื่อเพิ่มความเร็วลมบนดาดฟ้าให้อยู่ในระดับปลอดภัย การทำแบบนี้จะเพิ่มความเร็วลมที่มีประสิทธิภาพที่จำทำให้เครื่องบินที่บินขึ้นทำความเร็วได้มากขึ้นเมื่อถูกส่งออกไปแล้ว นอกจากนี้ยังทำให้ตอนลงจอดมีความปลอดภัยมากขึ้นด้วยการลดความแตกต่างของความเร็วสัมพันธ์ของเครื่องบินและเรือ |
ด้วยการที่เป็นเสมือนทางวิ่งที่ลอยอยู่กลางทะเล เรือบรรทุกอากาศยานสมัยใหม่จึงมีดาดฟ้าเรือที่แบบเรียบคอยทำหน้าที่เป็นลานบินให้กับเครื่องบินที่จะบินขึ้นหรือลงจอด เครื่องบินจะถูกดีดไปด้านหน้าของเรือและทำการลงจอดทางด้านท้ายเรือ เรือจะแล่นด้วยความเร็ว 35 นอท (65 กม./ชม.) เข้าหาลมเพื่อเพิ่มความเร็วลมบนดาดฟ้าให้อยู่ในระดับปลอดภัย การทำแบบนี้จะเพิ่มความเร็วลมที่มีประสิทธิภาพที่จำทำให้เครื่องบินที่บินขึ้นทำความเร็วได้มากขึ้นเมื่อถูกส่งออกไปแล้ว นอกจากนี้ยังทำให้ตอนลงจอดมีความปลอดภัยมากขึ้นด้วยการลดความแตกต่างของความเร็วสัมพันธ์ของเครื่องบินและเรือ |
||
สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินแบบคาโทบาร์นั้น จะมีเครื่องยิงพลังไอน้ำที่คอยทำหน้าที่ส่งเครื่องบินเข้าสู่ความเร็วที่ปลอดภัย หลังจากเครื่องบินลำนั้นๆ ขึ้นสู่อากาศแล้วก็จะสามารถใช้ความเร็วจากเครื่องยนต์ของตัวเองได้ สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินแบบเอสโทฟล์และสโบตาร์จะไม่ใช้เครื่องยิงแบบดังกล่าว แต่จะมีดาดฟ้าที่มีปลายทางมีลักษณะโค้งขึ้นด้านบนเพื่อช่วยส่งเครื่องบินเมื่อทำการวิ่งสุดรันเวย์ แม้ว่าเครื่องบินแบบเอสโทฟล์นั้นจะสามารถบินขึ้นได้โดยไม่พึ่งรันเวย์แบบดังกล่าวหรือด้วยเครื่องยิงโดยการลำเชื้อเพลิงและอาวุธลง บทบาทของเรือบรรทุกเครื่องบินขึ้นอยู่กับลักษณะของเครื่องบินบนเรือและการออกแบบเรือ |
สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินแบบคาโทบาร์นั้น จะมีเครื่องยิงพลังไอน้ำที่คอยทำหน้าที่ส่งเครื่องบินเข้าสู่ความเร็วที่ปลอดภัย หลังจากเครื่องบินลำนั้นๆ ขึ้นสู่อากาศแล้วก็จะสามารถใช้ความเร็วจากเครื่องยนต์ของตัวเองได้ สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินแบบเอสโทฟล์และสโบตาร์จะไม่ใช้เครื่องยิงแบบดังกล่าว แต่จะมีดาดฟ้าที่มีปลายทางมีลักษณะโค้งขึ้นด้านบนเพื่อช่วยส่งเครื่องบินเมื่อทำการวิ่งสุดรันเวย์ แม้ว่าเครื่องบินแบบเอสโทฟล์นั้นจะสามารถบินขึ้นได้โดยไม่พึ่งรันเวย์แบบดังกล่าวหรือด้วยเครื่องยิงโดยการลำเชื้อเพลิงและอาวุธลง บทบาทของเรือบรรทุกเครื่องบินขึ้นอยู่กับลักษณะของเครื่องบินบนเรือและการออกแบบเรือ |
||
[[ไฟล์:F-18 - A 3-wire landing.ogv|thumb|เอฟ/เอ-18 ขณะทำการลงจอด]] |
[[ไฟล์:F-18 - A 3-wire landing.ogv|thumb|เอฟ/เอ-18 ขณะทำการลงจอด]] |
||
สำหรับเรือแบบคาโทบาร์และสโตบาร์จะใช้สายสลิงขนาดยาวที่พาดขวางลานบินสำหรับเครื่องบินใช้ขอเกี่ยวเกี่ยวสายสลิงขณะลงจอด หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ราชนาวีอังกฤษได้ทำการวิจัยหาวิธีลงจอดที่ปลอดภัยกว่าซึ่งทำให้้เกิดการสร้างพื้นที่สำหรับการลงจอดที่วางแนวเฉียงออกจากแกนหลักของเรือซึ่งทำให้เครื่องบินที่เกี่ยวสายสลิงพลาดสามารถเร่งเครื่องเพื่อบินให้พ้นจากเรือและป้องกันบินชนตัวเรือเอง สำหรับเฮลิคอปเตอร์และอากาศยานขึ้นลงในแนวดิ่งและระยะสั้นหรือวีเอสโทล (V/STOL) มักจะลงจอดเป็นแถวหน้ากระดานที่ด้านข้างของเรือและลงจอดได้โดยไม่ต้องใช้สายสลิง |
|||
เครื่องบินที่ต้องใช้ขอเกี่ยวและสายสลิงจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ให้สัญญาน ซึ่งจะคอยดูเครื่องบินที่กำลังบินเข้าเพื่อทำการลงจอดโดยตรวจทั้งแนวการร่อนลง ระดับความสูง และความเร็วลม จากนั้นเจ้าหน้าที่จะส่งข้อมูลไปยังนักบิน ก่อนทศวรรษที่ 2493 เจ้าหน้าที่ให้สัญญาณใช้ป้ายสีเพื่อให้สัญญาณแก่นักบิน ตั้งแต่ทศวรรษที่ 2493 มีการใช้เครื่องส่งสัญญาณไฟและระบบลงจอดช่วยลงจอดที่คอยให้ข้อมูลในการลงจอดให้กับนักบิน แต่กระนั้นเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณก็ยังคงมีบทบาทในการส่งข้อมูลผ่านทางวิทยุแก่นักบิน |
|||
[[File:USS Harry S Truman (CVN-75) Flight Deck.JPG|thumb|left||[[เอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ท]]บนดาดฟ้าบินของเรือ[[ยูเอสเอส แฮร์รี เอส. ทรูแมน (ซีวีเอ็น-75)|ยูเอสเอส แฮร์รี เอส. ทรูแมน]] เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นนิมิตซ์ของสหรัฐ]] |
|||
สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐ กะลาสีจะสวมเสื้อสีที่บอกถึงหน้าที่ของแต่ละฝ่าย มีเสื้ออย่างน้อยทั้งหมด 7 สีที่กะลาสีเรือสหรัฐใส่ ประเทศอื่นๆ ก็มีการใช้สีที่คล้ายๆ กันนี้เช่นกัน |
|||
เจ้าหน้าที่ที่สำคัญบนดาดฟ้าเรือประกอบด้วยชูทเตอร์ (shooters) แฮนด์เลอร์ (handler) และแอร์บอส (air boss) ชูทเตอร์เป็นเจ้าหน้าที่การบินทางเรือ (Naval Flight Officer) ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบการส่งเครื่องบินสู่อากาศ แฮนด์เลอร์จะคอยทำหน้าที่จัดส่งเครื่องบินให้เข้าสู่ทำแหน่งบินขึ้นและคอยนำเครื่องบินเก็บเมื่อเสร็จจากการลงจอด แอร์บอสจะทำหน้าที่อยู่บนสะพานเดินเรือและคอยควบคุมการส่งเครื่องบิน การรับเครื่องบิน และให้คำสั่งเครื่องบินที่บินอยู่ใกล้กับเรือ รวมทั้งการเคลื่อนย้ายเครื่องบินบนดาดฟ้า<ref>{{cite web|url= http://www.navy.mil/navydata/ships/carriers/powerhouse/powerhouse.asp |title= The US Navy Aircraft Carriers |publisher=Navy.mil |accessdate=30 January 2009| archiveurl= http://web.archive.org/web/20090221142917/http://www.navy.mil/navydata/ships/carriers/powerhouse/powerhouse.asp| archivedate= 21 February 2009 <!--DASHBot-->| deadurl= no}}</ref> กัปตันเรือใช้เวลาส่วนใหญ่ที่สะพานเดินเรือนำร่องซึ่งอยู่ใต้สะพานเดินเรือควบคุมการบิน อีกชั้นลงมาคือสะพานเดินเรือส่วนที่มีไว้สำหรับพลเรือและนายทหาร |
|||
ตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 2493 เป็นที่รู้กันดีว่าเครื่องบินจะต้องลงจอดเป็นแนวเฉียงจากแกนหลักของตัวเรือ วิธีนี้ทำให้เครื่องบินที่เกี่ยวสลิงพลาดสามารถบินขึ้นสู่อากาศได้อีกครั้งและหลีกเลี่ยงการชินกับเครื่องบินที่จอดอยู่ ลานบินที่ทำมุมเฉียงยังช่วยให้สามารถส่งเครื่องบินและรับเครื่องบินได้้พร้อมกันถึงสองลำ |
|||
==รายชื่อประเทศที่มีเรือบรรทุกเครื่องบิน== |
==รายชื่อประเทศที่มีเรือบรรทุกเครื่องบิน== |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:48, 18 กรกฎาคม 2556
เรือบรรทุกอากาศยาน หรือ เรือบรรทุกเครื่องบิน (อังกฤษ: aircraft carrier) คือ เรือรบที่ออกแบบมาสำหรับใช้เป็นฐานทัพอากาศเคลื่อนที่ให้กับอากาศยาน เรือบรรทุกเครื่องบินนั้นทำให้กองทัพเรือสามารถส่งกำลังทางอากาศออกไปได้ไกลยิ่งขึ้นโดยขึ้นอยู่กับที่มั่นของเรือบรรทุกเครื่องบิน พวกมันพัฒนามาจากเรือที่สร้างจากไม้ที่ถูกใช้เพื่อปล่อยบัลลูนมาเป็นเรือรบพลังนิวเคลียร์ซึ่งสามารถบรรทุกอากาศยานปีกนิ่งและปีกหมุนได้หลายสิบลำ
โดยปกเรือบรรทุกอากาศยานจะเป็นเรือหลักของกองเรือและเป็นเรือที่มีราคาแพงอย่างมาก มี 10 ประเทศที่ครอบครองเรือบรรทุกอากาศยานโดยแปดประเทศมีเรือบรรทุกอากาศยานเพียงลำเดียวเท่านั้น ทั่วโลกมีเรือบรรทุกอากาศยานที่กำลังทำหน้าที่ 20 ลำโดยเป็นของสหรัฐเสีย 10 ลำ บางประเทศในจำนวนนี้ไม่มีเครื่องบินที่สามารถใช้กับเรือบรรทุกอากาศยานและบางประเทศได้เปล่ยนวัตถุประสงค์ของเรือไป[1]
ประวัติ
ไม่นานหลังจากที่มีการสร้างอากศยานที่มีน้ำหนักมากกว่าอากาศขึ้นมาในปีพ.ศ. 2443 สหรัฐก็ได้ทำการทดลองใช้อากาศยานแบบดังกล่าวทำการบินขึ้นจากดาดฟ้าเรือในปีพ.ศ. 2453 และตามมาด้วยการทดสอบการลงจอดในปีพ.ศ. 2454 ในวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 เครื่องบินลำแรกที่ทำการบินขึ้นจากดาดฟ้าเรือสำเร็จได้ทำการบินจากเรือเอชเอ็มเอส ฮิเบอร์นาของราชนาวีอังกฤษ
ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2457 ก็เกิดเรือบรรทุกเครื่องบินทะเลลำแรกขึ้นคือ เรือบรรทุกเครื่องบินทะเลวากะมิยะของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเรือลำแรกของโลกที่ประสบความสำเร็จในการเข้าโจมตีด้วยเครื่องบินจากทะเล[2][3] เรือลำดังกล่าวได้ต่อสู้กับเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยบรรทุกเครื่องบินมัวริซ ฟาร์แมนสี่ลำ ซึ่งจะนำขึ้นลงดาดฟ้าเรือด้วยเครนยก ในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2457 เครื่องบินมัวริซ ฟาร์แมนลำหนึ่งได้ทำการบินจากเรือวากะมิยะและเข้าโจมตีเรือลาดตระเวนไคเซอร์ริน อลิซาเบธของออสเตรียฮังการีและเรือปืนจากัวร์ของเยอรมนี แต่กลับพลาดเป้าทั้งสอง[4][5]
การพัฒนาเรือดาดฟ้าเรียบทำให้เกิดเรือขนาดใหญ่ลำแรกๆ ขึ้น ในปีพ.ศ. 2461 เรือเอชเอ็มเอส อาร์กัสได้กลายเป็นเรือบรรทุกอากาศยานลำแรกของโลกที่สามารถนำเครื่องบินขึ้นและลงจอดได้[6] เมื่อถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 2463 การปฏิวัติเรือบรรทุกแบบต่างๆ ก็เป็นไปได้ด้วยดี ส่งผลให้เกิดเรืออย่าง เรือเฮาเชา (พ.ศ. 2465) เอชเอ็มเอส เฮอร์เมส (พ.ศ. 2467) และเรือเบียน (พ.ศ. 2470) เรอืบรรทุกอากาศยานลำแรกๆ นั้นเป็นเรือที่ดัดแปลงมาจากเรือหลายแบบ เช่น เรือบรรทุก เรือลาดตระเวน เรือลาดตระเวนประจัญบาน หรือเรือประจัญบาน สนธิสัญญาวอชิงตันในปีพ.ศ. 2465 มีผลต่อการสร้างเรือบรรทุก สหรัฐและราชอาณาจักรได้รับอนุญาตให้สร้างเรือบรรทุกที่มีขนาดใหญ่ได้ถึง 135,000 ตัน ในขณะที่บางกรณีที่มีข้อยกเว้นให้สามารถดัดแปลงเรือหลักขนาดใหญ่กว่าให้เป็นเรือบรรทุกได้ เช่น เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นเลกซิงตัน (พ.ศ. 2470)
ในช่วงทศวรรษที่ 2456 กองทัพเรือมากมายเริ่มสั่งซื้อและสร้างเรือบรรทุกอากาศยานที่ทำการออกแบบเป็นพิเศษ นี่ทำให้การออกแบบนั้นตอบรับกับบทบาทในอนาคตและทำให้เกิดเรือที่ทรงอานุภาพ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เรือเหล่านี้ได้กลายมาเป็นกำลังสำคัญของกองเรือสหรัฐ อังกฤษ และญี่ปุ่น โดยเรียกเรือเหล่านี้ว่า กองเรือบรรทุกอากาศยาน
เรือบรรทุกอากาศยานถูกใช้อย่างหนักในสงครามโลกครั้งที่สองและมีแบบที่หลากหลายตามมา เรือบรรทุกอากาศยานคุ้มกัน เช่น ยูเอสเอส โบกถูกสร้างขึ้นแต่ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าเรือบางลำจะถูกสร้างมาเพื่อจุดประสงค์นั้นๆ แต่เรือส่วนมากเป็นเรือดัดแปลงจากเรือสินค้าเพราะว่าเป็นเรือที่มีระยะหยุดเหมาะที่จะให้การสนับสนุนทางอากาศแก่ขบวนเรือและการรุกสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก เรือบรรทุกอากาศยานขนาดเบาที่สร้างขึ้นโดยสหรัฐ เช่น ยูเอสเอส อินดีเพนเดนซ์เป็นเรือที่นำแนวคิดเรือบรรทุกอากาศยานคุ้มกันมาทำเป็นเรือที่ใหญ่ขึ้นและมีศักยภาพทางทหารมากขึ้น แม้ว่าเรือบรรทุกขนาดเบามักจะบรรทุกกองบินที่มีขนาดเท่ากับกองบินบนเรือบรรทุกคุ้มกัน แต่เรือบรทุกขนาดเบามีความได้เปรียบด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเพราะเรือเหล่านี้ถูกดัดแปลงมาจากเรือครุยเซอร์
ไฟสงครามทำให้เกิดการสร้างเรือและการดัดแปลงเรือที่ไม่ได้ทำตามแบบปกติ เรือแคม (CAM) เช่น เรือเอสเอส ไมเคิล อี เป็นเรือบรรทุกสินค้าที่สามารถส่งเครื่องบินขึ้นฟ้าด้วยเครื่องดีด แต่ไม่สามารถรับเครื่องบินลงจอดได้ เรือเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในภาวะฉุกเฉินในสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นเดียวกับเรือพาณิชย์บรรทุกอากาศยาน เช่น เรือเอ็มวี เอ็มไพร์ แมคอัลไพน์ เรือดำน้ำบรรทุกอากาศยาน เช่น เรือดำน้ำบรรทุกอากาศยานเซอร์คูฟของฝรั่งเศส และเรือดำน้ำชั้นไอ-400 ของญี่ปุ่นที่สามารถบรรทุกเครื่องบินไอชิ เอ็ม6เอได้สามลำ ซึ่งถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในทศวรรษที่ 2463 แต่ไม่ประสบความสำเร็จนักในสงครามโลกครั้งที่ 1
กองทัพเรือสมัยใหม่ที่ใช้เรือแบบดังกล่าวจะใช้เรือบรรทุกอากาศยานเป็นเรือหลักของกองเรือ ซึ่งเดิมที่เป็นหน้าที่ของเรือประจัญบาน ในขณะที่บางคนจดจำการที่เรือเหล่านี้เป็นเรือหลักดำน้ำพร้อมขีปนาวุธ แต่ที่จดจำกันได้มากคืออำนาจการยิงของเรือที่ใช้เป็นเครื่องขัดขว้างนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ มากกว่าหน้าที่ของเรือเหล่านี้ในกองเรือ[7] การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อตอบสนองกับการที่อำนาจทางอากาศเริ่มมีบทบาทสำคัญในการเอาชนะศัตรู สิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือเครื่องบินพิสัยไกล คล่องแคล่ว และมีประสิทธิภาพ ปฏิบัติการเรือบรรทุกเครื่องบินยังคงดำเนินต่อไปภายหลังสงครามทั้งในด้านขนาดและความสำคัญ เรือบรรทุกอากาศยานขนาดหนักที่มีระวางขับน้ำ 75,000 ตันหรือมากกว่านั้น ได้กลายมาเป็นจุดสุดยอดของการพัฒนา บางลำใช้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เป็นแหล่งพลังงานและเป็นแกนหลักของกองเรือที่ทำหน้าที่ระยะไกล เรือจู่โจมสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก เช่น ยูเอสเอส ทาราวาและเอชเอ็มเอส โอเชียน มีหน้าที่บรรทุกและรับส่งนาวิกโยธินและยังใช้เฮลิคอปเตอร์จำนวนมากเพื่อทำปฏิบัติการดังกล่าว เรือเหล่านี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า"เรือบรรทุกเครื่องบินคอมมานโด"หรือ"เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์"ซึ่งมีบทบาทรองในการบรรทุกและใช้งานอากาศยานขึ้นลงในแนวดิ่ง
ด้วยสาเหตุที่เรือเหล่านี้ไม่มีอำนาจการยิงเท่าเรือแบบอื่น ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินตกเป็นเป้าของเรือ เครื่องบิน เรือดำน้ำ และขีปนาวุธของศัตรู ดังนั้นเรือบรรทุกอากาศยานจึงต้องร่วมเดินทางพร้อมกับเรือแบบอื่นๆ ในจำนวนมากเพื่อให้การป้องกัน ให้เสบียง และให้การสนับสนุนเชิงรุก โดยเรียกกองเรือแบบนี้ว่ากองยุทธการหรือกองเรือบรรทุกเครื่องบิน
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สนธิสัญญาอย่างสนธิสัญญาวอชิงตัน สนธิสัญญาลอนดอน และสนธิสัญญาลอนดอนครั้งที่ 2 ได้จำกัดขนาดของเรือ เรือบรรทุกอากาศยานตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกสร้างอย่างไร้ข้อจำกัดโดยขึ้นอยู่กับงบประมาณและทำให้เรือสามารถบรรทุกเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ เรือบรรทุกเครื่องบินยุคใหม่ที่มีขนาดใหญ่อย่างเรือบรรทุกอากาศยานชั้นนิมิตซ์ของกองทัพเรือสหรัฐมีระวางขับน้ำมากกว่าเรือยูเอสเอส เอนเทอร์ไพรซ์ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงสี่เท่า แต่กระนั้นก็ยังคงใช้อากาศยานที่ไม่เปลี่ยนไปมากนัก ซึ่งเป็นผลมาจากขนาดและน้ำหนักของเครื่องบินที่เพิ่มขึ้นอย่างคงที่ตลอดหลายปี
ความสำคัญในยุคสมัยใหม่
ปัจจุบันเรือบรรทุกอากาศยานเป็นเรือที่มีราคาแพงมากจนทำให้ชาติที่ครอบครองเรือชนิดดังกล่าวสุ่มเสี่ยงต่อปัญหาทางการเมือง การเงิน และการทหารถ้าหากสูญเสียเรือบรรทุกอากาศยานหรือนำพวกมันไปใช้ในสงครามก็ตาม ผู้สังเกตการณ์มองว่าอาวุธต่อต้านเรือสมัยใหม่ เช่น ตอร์ปิโดและขีปนาวุธ ทำให้เรือบรรทุกอากาศยานตกเป็นเป้าอย่างง่ายในการรบสมัยใหม่ อาวุธนิวเคลียร์สามารถสร้างภัยให้กับกองเรือได้ทั้งกองเรือหากทำการรบแบบเปิดเผย ในอีกทางหนึ่งบทบาทของเรือบรรทุกอากาศยานก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นเรือที่มีหน้าที่สำคัญในการสงครามไม่สมมาตรเหมือนอย่างนโยบายเรือปืนที่เกิดขึ้นในอดีต นอกจากนี้เรือบรรทุกอากาศยานยังช่วยสร้างอำนาจทางทหารเหนือฝ่ายศัตรูได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำโดยเฉพาะเมื่อต้องทำการรบนอกประเทศ[8]
พลเรือเอกเซอร์มาร์ค แสตนโฮป หัวหน้ากองทัพเรืออังกฤษได้กล่าวไว้ว่า "พูดง่ายๆ คือ ประเทศที่ต้องการมีอิทธิพลทางยุทธศาสตร์นานาชาติต่างมีเรือบรรทุกอากาศยานในครอบครองทั้งนั้น"[9]
ประเภท
ประเภทแบ่งตามบทบาท
กองเรือบรรทุกเครื่องบินมักจะออกปฏิบัติการพร้อมกับกองเรือหลักและมีบทบาทในเชิงรุก เรือเหล่านี้คือเรือบรรทุกเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่สามารถทำความเร็วสูงได้ เมื่อเทียบกันแล้ว เรือบรรทุกอากาศยานคุ้มกันนั้นถูกออกแบบเพื่อให้การป้องกันกับขบวนเรือมากกว่า เรือเหล่านั้นเป็นเรือที่มีขนาดเล็กกว่าและเคลื่อนที่ช้ากว่าพร้อมกับบรรทุกเครื่องบินในจำนวนน้อยกว่าเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วเรือพวกนี้จะถูกสร้างจากโครงเรือพาณิชย์ ในกรณีที่ต้องการเรือพาณิชย์บรรทุกอากาศยาน หรือสร้างจากเรือบรรทุกสินค้าโดยการเสริมลานบินเข้าไปที่ดาดฟ้าเรือ ส่วนเรือบรรทุกอากาศยานขนาดเบาเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่มีความเร็วพอที่จะออกปฏิบัติการพร้อมกับกองเรือขนาดเล็กและใช้อากาศยานในจำนวนน้อย ปัจจุบันเรือบรรทุกอากาศยานของโซเวียตที่ใช้โดยรัสเซียจะเรียกกันว่าเรือลาดตระเวนการบิน เรือชนิดนี้มีขนาดเทียบเท่ากับเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ที่สามารถออกปฏิบัติการเพียงลำพังหรือพร้อมกับเรือคุ้มกัน และสามารถให้การสนับสนุนเชิงรุกและเชิงรับที่เทียบเท่าได้กับเรือลาดตระเวนติดตั้งขีปนาวุธนำวิถี ซึ่งบทบาทนี้มีเพื่อสนับสนุนเครื่องบินขับไล่และเฮลิคอปเตอร์
- เรือบรรทุกอากาศยานต่อต้านเรือดำน้ำ
- เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์
- เรือบรรทุกอากาศยานขนาดเบา
- เรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก
- เรือบรรทุกเครื่องบินทะเล
- เรือบรรทุกบอลลูน
ประเภทแบ่งตามองค์ประกอบ
เรือบรรทุกอากาศยานมีทั้งหมด 3 ประเภทเมื่อแบ่งตามลักษณะของเรือโดยใช้กับกองทัพเรือทั่วโลก โดยแบ่งด้วยวิธีที่ใช้ในการส่ง-รับเครื่องบิน
- ส่งด้วยเครื่องดีดและรับด้วยสายรั้งหรือคาโทบาร์ (CATOBAR): เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่มักจะบรรทุกอากาศยานที่มีขนาดใหญ่ที่สุด หนักที่สุด และติดอาวุธจำนวนมาก แม้ว่าเรือที่มีขนาดเล็กลงมาในประเภทนี้อาจมีข้อจำกัดอื่นอีก (เช่น น้ำหนักที่ลิฟท์ขนเครื่องบินจะรับได้) มีสามประเทศที่ใช้เรือประเภทนี้ คือ สหรัฐอเมริกา 10 ลำ ฝรั่งเศส 1 ลำ และบราซิล 1 ลำ
- บินขึ้นด้วยระยะสั้นและรับด้วยสายรั้งหรือสโตบาร์ (STOBAR): เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่บรรทุกอากาศยานปีกนิ่งขนาดเบาแต่มีอาวุธมากกว่า เครื่องบินที่ใช้บนเรือประเภทนี้อย่างซุคฮอย ซู-33 และมิโคยัน มิก-29เคที่ใช้บนเรือบรรทุกอากาศยานพลเรือเอกคุซเนตซอฟมักทำหน้าที่สร้างความเป็นเจ้าอากาศและการป้องกันกองเรือมากกว่าหน้าที่ในการเข้าโจมตี ซึ่งต้องมีอาวุธขนาดหนัก (เช่น ระเบิดและขีปนาวุธอากาศสู่พื้น) ปัจจุบันมีเพียงรัสเซียเท่านั้นที่มีเรือประเภทนี้ในครอบครอง จีนได้สร้างเรือบรรทุกอากาศยานเหลียวหนิงขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นเรือพี่น้องของเรือพลเรือเอกคุซเนตซอฟ พร้อมกับสร้างเครื่องบินเลียนแบบซู-33 เรือลำนี้ปัจจุบันมีหน้าที่ในการเป็นตัวทดลองและใช้ในการฝึก รัสเซียเองก็กำลังเตรียมที่จะสร้างเรือแบบที่คล้ายกันให้กับอินเดียโดยใช้แบบของเรือชั้นเคียฟ
- บินขึ้นด้วยระยะสั้นและลงจอดในแนวดิ่งหรือเอสโทฟล์ (STOVL): เรือประเภทที่สามารถบรรทุกได้เพียงอากาศยานแบบเอสโทฟล์เท่านั้น เช่น เครื่องบินตระกูลแฮร์ริเออร์จัมพ์เจ็ทและยาโกเลฟ ยัค-38 ซึ่งมีอาวุธจำกัด ศักยภาพต่ำ และใช้เชื้อเพลิงมากกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องบินแบบปกติ อย่างไรก็ตามเครื่องบินเอสโทฟล์แบบใหม่อย่างเอฟ-35 ไลท์นิง 2ก็มีศักยภาพที่มากขึ้นกว่าเดิม เรือประเภทนี้ประจำการอยู่ในกองทัพเรือของอินเดียและสเปนประเทศลำหนึ่งลำ อิตาลีมีสองลำ สหราชอาณาจักรและไทยมีประเทศละหนึ่งลำแต่ทั้งสองประเทศไม่ได้ใช้เครื่องบินเอสโทฟว์ต่อไปแล้ว เรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกของสหรัฐที่ทำหน้าที่เป็นเรือบรรทุกอากาศยานขนาดเล็กก็สามารถจัดได้ว่าเป็นเรือประเภทนี้เช่นกัน
ประเภทแบ่งตามขนาด
- เรือบรรทุกอากาศยานขนาดหนัก หรือ ซูเปอร์แคร์ริเออร์
- เรือบรรทุกอากาศยานประจำกองเรือ
- เรือบรรทุกอากาศยานขนาดเบา
- เรือบรรทุกอากาศยานคุ้มกัน
ดาดฟ้าบิน
ด้วยการที่เป็นเสมือนทางวิ่งที่ลอยอยู่กลางทะเล เรือบรรทุกอากาศยานสมัยใหม่จึงมีดาดฟ้าเรือที่แบบเรียบคอยทำหน้าที่เป็นลานบินให้กับเครื่องบินที่จะบินขึ้นหรือลงจอด เครื่องบินจะถูกดีดไปด้านหน้าของเรือและทำการลงจอดทางด้านท้ายเรือ เรือจะแล่นด้วยความเร็ว 35 นอท (65 กม./ชม.) เข้าหาลมเพื่อเพิ่มความเร็วลมบนดาดฟ้าให้อยู่ในระดับปลอดภัย การทำแบบนี้จะเพิ่มความเร็วลมที่มีประสิทธิภาพที่จำทำให้เครื่องบินที่บินขึ้นทำความเร็วได้มากขึ้นเมื่อถูกส่งออกไปแล้ว นอกจากนี้ยังทำให้ตอนลงจอดมีความปลอดภัยมากขึ้นด้วยการลดความแตกต่างของความเร็วสัมพันธ์ของเครื่องบินและเรือ
สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินแบบคาโทบาร์นั้น จะมีเครื่องยิงพลังไอน้ำที่คอยทำหน้าที่ส่งเครื่องบินเข้าสู่ความเร็วที่ปลอดภัย หลังจากเครื่องบินลำนั้นๆ ขึ้นสู่อากาศแล้วก็จะสามารถใช้ความเร็วจากเครื่องยนต์ของตัวเองได้ สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินแบบเอสโทฟล์และสโบตาร์จะไม่ใช้เครื่องยิงแบบดังกล่าว แต่จะมีดาดฟ้าที่มีปลายทางมีลักษณะโค้งขึ้นด้านบนเพื่อช่วยส่งเครื่องบินเมื่อทำการวิ่งสุดรันเวย์ แม้ว่าเครื่องบินแบบเอสโทฟล์นั้นจะสามารถบินขึ้นได้โดยไม่พึ่งรันเวย์แบบดังกล่าวหรือด้วยเครื่องยิงโดยการลำเชื้อเพลิงและอาวุธลง บทบาทของเรือบรรทุกเครื่องบินขึ้นอยู่กับลักษณะของเครื่องบินบนเรือและการออกแบบเรือ
สำหรับเรือแบบคาโทบาร์และสโตบาร์จะใช้สายสลิงขนาดยาวที่พาดขวางลานบินสำหรับเครื่องบินใช้ขอเกี่ยวเกี่ยวสายสลิงขณะลงจอด หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ราชนาวีอังกฤษได้ทำการวิจัยหาวิธีลงจอดที่ปลอดภัยกว่าซึ่งทำให้้เกิดการสร้างพื้นที่สำหรับการลงจอดที่วางแนวเฉียงออกจากแกนหลักของเรือซึ่งทำให้เครื่องบินที่เกี่ยวสายสลิงพลาดสามารถเร่งเครื่องเพื่อบินให้พ้นจากเรือและป้องกันบินชนตัวเรือเอง สำหรับเฮลิคอปเตอร์และอากาศยานขึ้นลงในแนวดิ่งและระยะสั้นหรือวีเอสโทล (V/STOL) มักจะลงจอดเป็นแถวหน้ากระดานที่ด้านข้างของเรือและลงจอดได้โดยไม่ต้องใช้สายสลิง เครื่องบินที่ต้องใช้ขอเกี่ยวและสายสลิงจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ให้สัญญาน ซึ่งจะคอยดูเครื่องบินที่กำลังบินเข้าเพื่อทำการลงจอดโดยตรวจทั้งแนวการร่อนลง ระดับความสูง และความเร็วลม จากนั้นเจ้าหน้าที่จะส่งข้อมูลไปยังนักบิน ก่อนทศวรรษที่ 2493 เจ้าหน้าที่ให้สัญญาณใช้ป้ายสีเพื่อให้สัญญาณแก่นักบิน ตั้งแต่ทศวรรษที่ 2493 มีการใช้เครื่องส่งสัญญาณไฟและระบบลงจอดช่วยลงจอดที่คอยให้ข้อมูลในการลงจอดให้กับนักบิน แต่กระนั้นเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณก็ยังคงมีบทบาทในการส่งข้อมูลผ่านทางวิทยุแก่นักบิน
สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐ กะลาสีจะสวมเสื้อสีที่บอกถึงหน้าที่ของแต่ละฝ่าย มีเสื้ออย่างน้อยทั้งหมด 7 สีที่กะลาสีเรือสหรัฐใส่ ประเทศอื่นๆ ก็มีการใช้สีที่คล้ายๆ กันนี้เช่นกัน
เจ้าหน้าที่ที่สำคัญบนดาดฟ้าเรือประกอบด้วยชูทเตอร์ (shooters) แฮนด์เลอร์ (handler) และแอร์บอส (air boss) ชูทเตอร์เป็นเจ้าหน้าที่การบินทางเรือ (Naval Flight Officer) ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบการส่งเครื่องบินสู่อากาศ แฮนด์เลอร์จะคอยทำหน้าที่จัดส่งเครื่องบินให้เข้าสู่ทำแหน่งบินขึ้นและคอยนำเครื่องบินเก็บเมื่อเสร็จจากการลงจอด แอร์บอสจะทำหน้าที่อยู่บนสะพานเดินเรือและคอยควบคุมการส่งเครื่องบิน การรับเครื่องบิน และให้คำสั่งเครื่องบินที่บินอยู่ใกล้กับเรือ รวมทั้งการเคลื่อนย้ายเครื่องบินบนดาดฟ้า[10] กัปตันเรือใช้เวลาส่วนใหญ่ที่สะพานเดินเรือนำร่องซึ่งอยู่ใต้สะพานเดินเรือควบคุมการบิน อีกชั้นลงมาคือสะพานเดินเรือส่วนที่มีไว้สำหรับพลเรือและนายทหาร
ตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 2493 เป็นที่รู้กันดีว่าเครื่องบินจะต้องลงจอดเป็นแนวเฉียงจากแกนหลักของตัวเรือ วิธีนี้ทำให้เครื่องบินที่เกี่ยวสลิงพลาดสามารถบินขึ้นสู่อากาศได้อีกครั้งและหลีกเลี่ยงการชินกับเครื่องบินที่จอดอยู่ ลานบินที่ทำมุมเฉียงยังช่วยให้สามารถส่งเครื่องบินและรับเครื่องบินได้้พร้อมกันถึงสองลำ
รายชื่อประเทศที่มีเรือบรรทุกเครื่องบิน
ประเทศ | นาวี | ทั้งหมด | ประจำการ | ปลดประจำการ | กำลังก่อสร้าง | ถูกทำลาย |
---|---|---|---|---|---|---|
สหรัฐ | นาวีอเมริกา | 71 | 10 | 2 | 3 | 56 |
อิตาลี | นาวีอิตาลี | 2 | 2 | 0 | 0 | 0 |
อินเดีย | นาวีอินเดีย | 4 | 1 | 0 | 2 | 1 |
สหราชอาณาจักร | ราชนาวีสหราชอาณาจักร | 43 | 1 | 0 | 2 | 40 |
บราซิล | นาวีบราซิล | 2 | 1 | 0 | 0 | 1 |
จีน | นาวีจีน | 1 | 1 | 0 | 0 | 0 |
ฝรั่งเศส | นาวีฝรั่งเศส | 8 | 1 | 0 | 0 | 7 |
รัสเซีย | นาวีรัสเซีย | 7 | 1 | 0 | 0 | 6 |
ไทย | ราชนาวีไทย | 1 | 1 | 0 | 0 | 0 |
สเปน | ราชนาวีสเปน | 2 | 1 | 1 | 0 | 0 |
ญี่ปุ่น | ราชนาวีญี่ปุ่น | 20 | 0 | 0 | 0 | 20 |
เนเธอร์แลนด์ | ราชนาวีเนเธอร์แลนด์ | 1 | 0 | 0 | 0 | 1 |
ออสเตรเลีย | ราชนาวีออสเตรเลีย | 3 | 0 | 0 | 0 | 3 |
แคนาดา | ราชนาวีแคนาดา | 3 | 0 | 0 | 0 | 3 |
อาร์เจนตินา | นาวีอาร์เจนตินา | 2 | 0 | 0 | 0 | 2 |
ชื่อเรือบรรทุกเครื่องบิน
ประเทศ | ชื่อ (รหัส) | ความยาว | ระวางขับน้ำ (ตัน) | ชั้น | พลังงาน | ประเภท | เสร็จสมบูรณ์ |
---|---|---|---|---|---|---|---|
บราซิล | São Paulo (A12) | 265 m (869 ft) | 32,800 ตัน | Clemenceau | ปกติ | CATOBAR | 15 พฤศจิกายน 2000 |
จีน | เหลียวหนิง (16) | 304 m (997 ft) | 67,500 ตัน | Admiral Kuznetsov | ปกติ | STOBAR | 25 กันยายน 2012 |
ฝรั่งเศส | Charles de Gaulle (R91) | 262 m (860 ft) | 42,000 ตัน | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 18 พฤษภาคม 2001 | |
อินเดีย | Viraat (R22) | 227 m (745 ft) | 28,700 ตัน | Centaur | ปกติ | STOVL | 20 พฤษภาคม 1987 |
อิตาลี | Cavour (550) | 244 m (801 ft) | 30,000 ตัน | ปกติ | STOVL | 27 มีนาคม 2008 | |
อิตาลี | Giuseppe Garibaldi (551) | 181 m (594 ft) | 13 850 ตัน | ปกติ | STOVL | 30 กันยายน 1985 | |
รัสเซีย | Admiral Kuznetsov (063) | 305 m (1,001 ft) | 55,200 ตัน | Admiral Kuznetsov | ปกติ | STOBAR | 21 มกราคม 1991 |
สเปน | Juan Carlos I (L-61) | 230.82 m (757.3 ft) | 27,079 ตัน | ปกติ | STOVL | 30 กันยายน 2010 | |
ไทย | จักรีนฤเบศร (CVH-911) | 183 m (600 ft) | 11,486 ตัน | ปกติ | STOVL | 10 สิงหาคม 1997 | |
สหราชอาณาจักร | Illustrious (R06) | 209 m (686 ft) | 22,000 ตัน | Invincible | ปกติ | STOVL | 20 มิถุนายน 1982 |
สหรัฐ | นิมิตซ์ (CVN-68) | 333 m (1,093 ft) | 100,020 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 3 พฤษภาคม 1975 |
สหรัฐ | ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (CVN-69) | 333 m (1,093 ft) | 103,200 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 18 ตุลาคม 1977 |
สหรัฐ | คาร์ล วินสัน (CVN-70) | 333 m (1,093 ft) | 102,900 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 13 มีนาคม 1982 |
สหรัฐ | ทีโอดอร์ รูสเวลต์ (CVN-71) | 333 m (1,093 ft) | 106,300 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 25 ตุลาคม 1986 |
สหรัฐ | อับราฮัม ลินคอร์น (CVN-72) | 333 m (1,093 ft) | 105,783 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 11 พฤศจิกายน 1989 |
สหรัฐ | จอร์จ วอชิงตัน (CVN-73) | 333 m (1,093 ft) | 105,900 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 4 กรกฎาคม 1992 |
สหรัฐ | จอห์น ซี. สเตนนิส (CVN-74) | 333 m (1,093 ft) | 105,000 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 9 ธันวาคม 1995 |
สหรัฐ | แฮร์รี่ เอส. ทรูแมน (CVN-75) | 333 m (1,093 ft) | 105,600 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 25 กรกฎาคม 1998 |
สหรัฐ | โรนัลด์ เรแกน (CVN-76) | 333 m (1,093 ft) | 103,000 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 12 กรกฎาคม 2003 |
สหรัฐ | จอร์จ เอช. ดับเบิ้ลยู. บุช (CVN-77) | 333 m (1,093 ft) | 104,000 ตัน | นิมิตซ์ | นิวเคลียร์ | CATOBAR | 10 มกราคม 2009 |
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- ↑ "China aircraft carrier confirmed by general". BBC News. 8 June 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 June 2011. สืบค้นเมื่อ 9 June 2011.
{{cite news}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Wakamiya is "credited with conducting the first successful carrier air raid in history"Source:GlobalSecurity.org
- ↑ "Sabre et pinceau", Christian Polak, p. 92.
- ↑ Donko, Wilhelm M.: Österreichs Kriegsmarine in Fernost: Alle Fahrten von Schiffen der k.(u.)k. Kriegsmarine nach Ostasien, Australien und Ozeanien von 1820 bis 1914. epubli, Berlin, (2013) - Page 4, 156-162, 427.
- ↑ "IJN Wakamiya Aircraft Carrier". globalsecurity.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2011. สืบค้นเมื่อ 9 June 2011.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Geoffrey Till, "Adopting the Aircraft Carrier: The British, Japanese, and American Case Studies" in Murray, Williamson; Millet, Allan R, บ.ก. (1996). Military Innovation in the Interwar Period. New York: Cambridge University Press. p. 194. ISBN 0-521-63760-0.
- ↑ http://www.navy.mil/navydata/cno/n87/usw/issue_5/ntlsecurity.html
- ↑ Lekic, Slobodan, Associated Press. "Navies expanding use of aircraft carriers". Navy Times
- ↑ "Aircraft carriers crucial, Royal Navy chief warns." BBC, 4 July 2012.
- ↑ "The US Navy Aircraft Carriers". Navy.mil. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 February 2009. สืบค้นเมื่อ 30 January 2009.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help)
- บรรณานุกรม
- aircraft carrier", The American Heritage Dictionary of the English Language, 4th Edition, 2000
- aircraft carrier", พจนานุกรมศัพท์ทหาร, กรมยุทธศึกษาทหาร