ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โมโม"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Redstar (คุย | ส่วนร่วม)
Redstar (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 41: บรรทัด 41:
ตามที่รู้จักกันดีในงานของเขา [[จินตนาการไม่รู้จบ]] ({{lang-en|The Neverending Story}}; {{lang-de|Die unendliche Geschichte}}) มิชาเอล เอนเด้ ใช้จินตนาการและสัญลักษณ์ในการอธิบายปัญหาของโลกแห่งความเป็นจริง เช่น ความสำคัญของเวลา ความสัมพันธ์ของคน การขาดจินตนาการ การมองข้ามคุณค่าของสิ่งเล็กๆน้อยๆ โดยอาศัยโลกในจินตนาการของเด็กเพื่อแสดงถึงสิ่งที่เราหลงลืมไป
ตามที่รู้จักกันดีในงานของเขา [[จินตนาการไม่รู้จบ]] ({{lang-en|The Neverending Story}}; {{lang-de|Die unendliche Geschichte}}) มิชาเอล เอนเด้ ใช้จินตนาการและสัญลักษณ์ในการอธิบายปัญหาของโลกแห่งความเป็นจริง เช่น ความสำคัญของเวลา ความสัมพันธ์ของคน การขาดจินตนาการ การมองข้ามคุณค่าของสิ่งเล็กๆน้อยๆ โดยอาศัยโลกในจินตนาการของเด็กเพื่อแสดงถึงสิ่งที่เราหลงลืมไป


หัวใจหลักของโมโม คือการเปรียบเทียบถึงวิธีการใช้เวลาของคนในสังคมว่าวิธีการที่เราใช้นั้นถูกต้องดีงามแล้วหรือ โดยแสดงถึงการใช้เวลาอย่างรีบเร่งของคนในสังคมเมืองที่ต้องใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุด โดยมองว่าการทำงานเสร็จไวนั้นเป็นสิ่งดี จึงได้ตัดลดขั้นตอนหลายอย่างไปเพื่อประหยัดเวลา แต่ก็ทำให้เราขาดความใส่ใจต่อคนรอบข้าง เพียงเพื่อเอาประโยชน์ที่ได้จากการประหยัดนั้นมาใช้ไปกับสิ่งของฟุ่มเฟื่อย เป็นกระแสของสังคมเมืองที่กำลังรุกรานวิถีชิวิตของเราทุกคน ซึ่งนั้นไม่ได้ทำให้คนเรามีความสุข แต่กลับจะทำให้คนเราเหินห่างกันมากขึ้น จนทำให้เราตกเป็นทาสของการบูชาวัตถุสิ่งของได้ง่าย
หัวใจหลักของโมโม คือการเปรียบเทียบถึงวิธีการใช้เวลาของคนในสังคมว่าวิธีการที่เราใช้นั้นถูกต้องดีงามแล้วหรือ โดยแสดงถึงการใช้เวลาอย่างรีบเร่งของคนในสังคมเมืองที่ต้องใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุด โดยมองว่าการทำงานเสร็จไวนั้นเป็นสิ่งดี จึงได้ตัดลดขั้นตอนหลายอย่างไปเพื่อประหยัดเวลา แต่ก็ทำให้เราขาดความใส่ใจต่อคนรอบข้าง เพียงเพื่อเอาประโยชน์ที่ได้จากการประหยัดนั้นมาใช้ไปกับสิ่งของฟุ่มเฟื่อย เป็นกระแสของสังคมเมืองที่กำลังรุกรานวิถีชีวิตของเราทุกคน ซึ่งนั้นไม่ได้ทำให้คนเรามีความสุข แต่กลับจะทำให้คนเราเหินห่างกันมากขึ้น จนทำให้เราตกเป็นทาสของการบูชาวัตถุสิ่งของได้ง่าย


มิซาเอล เอนเด้ จึงได้เสนอโลกในของในมุมมองของโมโม เด็กที่ไม่มีสมบัติอะไรติดตัวและไม่มีการศึกษา แต่สามารถเป็นที่พึ่งของทุกคนได้เพียงแค่ใช้การฟังอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งเป็นทักษะที่เราหลายคนหลงลืมมันการให้ความเอาใจใส่ต่อบุคคลรอบข้างย่อมเป็นเกราะป้องกันที่ดีต่อการครอบงำของกระแสของการบูชาวัตถุที่กำลังแผ่ขยาย ทำให้เป็นเป้าหมายที่ยากยิ่งสำหรับผู้ชายในชุดสีเทา จึงได้มีการใช้ตุ๊กตา[[บาร์บี้]]และของเล่นแพงๆ เพื่อจูงใจโมโมให้หันมายึดติดกับวัตถุแทน แต่โมโมไม่เชื่อว่าการกระทำของตัวเองนั้นเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่กลับเห็นคุณค่าของการใส่ใจต่อผู้คนและกำลังพยายามทวงคืนสิ่งนั้นกลับมาจากผู้ชายในชุดสีเทา
มิซาเอล เอนเด้ จึงได้เสนอโลกในของในมุมมองของโมโม เด็กที่ไม่มีสมบัติอะไรติดตัวและไม่มีการศึกษา แต่สามารถเป็นที่พึ่งของทุกคนได้เพียงแค่ใช้การฟังอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งเป็นทักษะที่เราหลายคนหลงลืมมันการให้ความเอาใจใส่ต่อบุคคลรอบข้างย่อมเป็นเกราะป้องกันที่ดีต่อการครอบงำของลัทธิบูชาวัตถุที่กำลังแผ่ขยาย ทำให้เป็นเป้าหมายที่ยากยิ่งสำหรับผู้ชายในชุดสีเทา จึงได้มีการใช้ตุ๊กตา[[บาร์บี้]]และของเล่นแพงๆ เพื่อจูงใจโมโมให้หันมายึดติดกับวัตถุแทน แต่โมโมไม่เชื่อว่าการกระทำของตัวเองนั้นเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่กลับเห็นคุณค่าของการใส่ใจต่อผู้คนและกำลังพยายามทวงคืนสิ่งนั้นกลับมาจากผู้ชายในชุดสีเทา


== คำติชม ==
== คำติชม ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:33, 18 มิถุนายน 2556

โมโม  
ผู้ประพันธ์มิชาเอล เอนเด้
ชื่อเรื่องต้นฉบับMomo
ผู้แปลชินนรงค์ เนียวกุล
ประเทศเยอรมัน
ภาษาเยอรมัน
ประเภทนวนิยายแฟนตาซี
สำนักพิมพ์ Thienemann Verlag
วันที่พิมพ์ 1 มกราคม ค.ศ. 1973

โมโม (อังกฤษ: Momo) เป็นนวนิยายแฟนตาซีและวรรณกรรมเยาวชน ภาษาเยอรมัน ของมิชาเอล เอ็นเด ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1973 เนื้อหาเป็นแนวคิดเกี่ยวกับเวลา และการใช้เวลาของมนุษย์ในสังคมสมัยใหม่ มีตัวละครเอกคือ "โมโม"

เนื้อเรื่อง

ในซากปรักหักพังของอัฒจันทร์นอกเมืองเป็นที่อาศัยของโมโม สาวน้อยที่มีความเป็นมาลึกลับ เธอเดินมาเพื่อทำลาย อนาถาและสวมเสื้อตัวนอกยาวใหญ่ เธอไม่รู้หนังสือเลยและยังไม่สามารถนับตัวเลขได้ด้วย และเธอไม่รู้วิธีการนับอายุของเธอว่านับอย่างไหร่ อายุของเธอคืออะไร เมื่อถูกถาม เธอจะตอบว่า “ฉันจำได้ว่า ฉันอยู่ที่นั่นตลอด” เธอเป็นคนโดดเด่นในหมู่เพื่อนบ้านใกล้เคียง เพราะเธอมีความสามารถพิเศษที่จะรับฟัง – ฟังอย่างแท้จริง โดยเพียงแค่ได้อยู่กับผู้คนและฟังพวกเขาพูด เธอสามารถช่วยพวกเขาได้รับคำตอบสำหรับปัญหาของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง เกิดขึ้นกับคนต่อคนและเป็นเกมส์ที่สนุก ได้มีการแนะนำหรือบอกต่อว่า “ไปดูโมโม” กลายเป็นวลีที่ใช้ในครัวเรือน และโมโมได้เพื่อนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความซื่อตรง เงียบสงบ คนทำความสะอาดถนน เบ็พโพ และเหมือนบทกวี ไกด์นำเที่ยวสนใจโลกภายนอก

บรรยากาศอันน่ารื่นรมย์นี้ถูกทำลายโดยการมาถึงของผู้ชายในชุดสีเทา ในที่สุดก็ถูกเปิดเผยออกมา เป็นการแข่งขันที่เหนือธรรมชาติของผู้ที่ชอบเกาะคนอื่นกินเป็นปรสิตอยู่เหนือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติขโมยเวลาของมนุษย์ ที่ปรากฏตัวในรูปแบบการแต่งกายด้วยชุดสีเทา ผิวสีเทา ศีรษะล้านผมโล่งเตียน ผู้คนเหล่านี้นำเสนอตัวเองแปลกประหลาดว่าตัวเองเป็นตัวแทนของธนาคารประหยัดเวลา และส่งเสริมความคิดของการ การประหยัดเวลา ในหมู่ประชากร ดังเช่นว่าเวลาสามารถนำไปฝากไว้กับธนาคารได้และกลับไปเป็นลูกค้าที่มีความสนใจในภายหลัง หลังจากได้เผชิญหน้ากับผู้ชายในชุดสีเทา ประชาชนถูกทำให้ลืมทั้งหมดเกี่ยวกับพวกเขา แต่ไม่เกี่ยวกับการลงมติเพื่อประหยัดเวลามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ที่จะใช้ในภายหลัง ค่อยๆ แผ่ขยายอิทธิพลของผู้ชายในชุดสีเทาส่งผลกระทบต่อคนทั้งเมือง ชีวิตกลายเป็นหมัน (ชีวิตหยุดอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื่อน) ขาดแคลนปราศจากทุกสิ่งทุกอย่างโดยพิจารณาการสูญเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เช่นกิจกรรมทางสังคม นันทนาการ การพักผ่อนหย่อนใจ ศิลปะ ฝีมือ ความสามารถ จินตนาการ หรือ ความเฉื่อยชา อาคารและเสื้อผ้าถูกทำให้เหมือนกันสำหรับทุกคนและจังหวะของชีวิตกลายเป็นวุ่นวาย ในความเป็นจริงการที่ประชาชนประหยัดเวลาเพิ่มขึ้นพวกเขายิ่งมีเวลาน้อย

เวลาที่พวกเขาประหยัดนั้นตามความเป็นจริงพวกเขาสูญเสียเวลา แต่มันจะถูกบริโภคโดยผู้ชายในชุดสีเทาในรูปแบบของบุหรี่ซิการ์ ที่ทำจากกลีบดอกลิลลี่ในหนึ่งชั่วโมงที่แสดงเวลา หากปราศจากบุหรี่ซิการ์เหล่านี้ผู้ชายในชุดสีเทาก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้

อย่างไรก็ตามโมโมเป็นประแจสำคัญในแผนธนาคารเรื่องของการประหยัดเวลา ขอบคุณบุคคลิกพิเศษของเธอ ผู้ชายในชุดสีเทาพยายามต่างๆนานาที่จะดูแลเธอและหยุดชะงักเธอจากการหยุดโครงการของพวกเขา แต่พวกเขาก็ล้มเหลวทั้งหมด ถึงแม้ว่าเพื่อนสนิทของเธอจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้ชายในชุดสีเทาในทางเดียวหรืออย่างอื่น โมโมเพียงหวังว่าจะประหยัดเวลาเพื่อมวลมนุษยชาติคือ การเป็นตัวตนแห่งเวลาของศาสตราจารย์ “เซ็คคุนดุส มินูทุส ฮอร่า” (“Secundus Minutus Hora” หมายถึง ชั่วโมง, นาที, วินาที) และกลุ่มดาวเหนือเต่าน้อย ซึ่งสามารถสื่อสารผ่านการเขียนบนกระดองของเธอ และสามารถมองเห็นอนาคตใน 30 นาที การผจญภัยของโมโมจะพาเธอมาจากส่วนลึกของหัวใจ ที่ซึ่งเธอเป็นเจ้าของเวลาล่องลอยไปในอากาศในรูปแบบของดอกลิลลี่ เธอได้ไปยังที่หลบซ่อนของผู้ชายในชุดสีเทา ที่ซึ่งเก็บสะสมเวลาของมนุษย์

ประเด็นหลัก

ตามที่รู้จักกันดีในงานของเขา จินตนาการไม่รู้จบ (อังกฤษ: The Neverending Story; เยอรมัน: Die unendliche Geschichte) มิชาเอล เอนเด้ ใช้จินตนาการและสัญลักษณ์ในการอธิบายปัญหาของโลกแห่งความเป็นจริง เช่น ความสำคัญของเวลา ความสัมพันธ์ของคน การขาดจินตนาการ การมองข้ามคุณค่าของสิ่งเล็กๆน้อยๆ โดยอาศัยโลกในจินตนาการของเด็กเพื่อแสดงถึงสิ่งที่เราหลงลืมไป

หัวใจหลักของโมโม คือการเปรียบเทียบถึงวิธีการใช้เวลาของคนในสังคมว่าวิธีการที่เราใช้นั้นถูกต้องดีงามแล้วหรือ โดยแสดงถึงการใช้เวลาอย่างรีบเร่งของคนในสังคมเมืองที่ต้องใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุด โดยมองว่าการทำงานเสร็จไวนั้นเป็นสิ่งดี จึงได้ตัดลดขั้นตอนหลายอย่างไปเพื่อประหยัดเวลา แต่ก็ทำให้เราขาดความใส่ใจต่อคนรอบข้าง เพียงเพื่อเอาประโยชน์ที่ได้จากการประหยัดนั้นมาใช้ไปกับสิ่งของฟุ่มเฟื่อย เป็นกระแสของสังคมเมืองที่กำลังรุกรานวิถีชีวิตของเราทุกคน ซึ่งนั้นไม่ได้ทำให้คนเรามีความสุข แต่กลับจะทำให้คนเราเหินห่างกันมากขึ้น จนทำให้เราตกเป็นทาสของการบูชาวัตถุสิ่งของได้ง่าย

มิซาเอล เอนเด้ จึงได้เสนอโลกในของในมุมมองของโมโม เด็กที่ไม่มีสมบัติอะไรติดตัวและไม่มีการศึกษา แต่สามารถเป็นที่พึ่งของทุกคนได้เพียงแค่ใช้การฟังอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งเป็นทักษะที่เราหลายคนหลงลืมมันการให้ความเอาใจใส่ต่อบุคคลรอบข้างย่อมเป็นเกราะป้องกันที่ดีต่อการครอบงำของลัทธิบูชาวัตถุที่กำลังแผ่ขยาย ทำให้เป็นเป้าหมายที่ยากยิ่งสำหรับผู้ชายในชุดสีเทา จึงได้มีการใช้ตุ๊กตาบาร์บี้และของเล่นแพงๆ เพื่อจูงใจโมโมให้หันมายึดติดกับวัตถุแทน แต่โมโมไม่เชื่อว่าการกระทำของตัวเองนั้นเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่กลับเห็นคุณค่าของการใส่ใจต่อผู้คนและกำลังพยายามทวงคืนสิ่งนั้นกลับมาจากผู้ชายในชุดสีเทา

คำติชม

เมื่อหนังสือได้ตีพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1985 นักข่าว นาตาลี บั๊บบิท จากหนังสือพิมพ์วอชิงตัน ให้ความเห็นว่า “มันเป็นหนังสือสำหรับเด็กใช่ไหม? ไม่ใช่ในอเมริกา”

ฉบับแปล

  • ภาษาไทย : โมโม่. มิชาเอล เอ็นเด้. ชินนรงค์ เนียวกุล. แปลจากภาษาเยอรมัน. แพรวเยาวชน. ISBN 9748368572

แหล่งข้อมูลอื่น