ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ซุนนี"
Makecat-bot (คุย | ส่วนร่วม) ล r2.6.5) (โรบอต เพิ่ม: ka:სუნიზმი |
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม) ล ลบลิงก์ที่ซ้ำซ้อน wikidata |
||
บรรทัด 61: | บรรทัด 61: | ||
[[หมวดหมู่:นิกายในศาสนาอิสลาม]] |
[[หมวดหมู่:นิกายในศาสนาอิสลาม]] |
||
[[ace:Ahlussunah Wal-jama'ah]] |
|||
[[ar:أهل السنة والجماعة]] |
|||
[[arz:أهل السنة و الجماعة]] |
|||
[[ast:Sunismu]] |
|||
[[az:Sünni]] |
|||
[[be:Суніты]] |
|||
[[be-x-old:Суніты]] |
|||
[[bg:Сунити]] |
|||
[[bn:সুন্নি (ইসলাম)]] |
|||
[[bs:Sunitski islam]] |
|||
[[ca:Sunnisme]] |
|||
[[ckb:سوننە]] |
|||
[[cs:Sunnitský islám]] |
|||
[[cy:Sunni]] |
|||
[[da:Sunni-islam]] |
|||
[[de:Sunniten]] |
|||
[[diq:İslamo Sunni]] |
|||
[[dv:ސުއްނީ މުސްލިމުން]] |
|||
[[el:Σουνίτες]] |
|||
[[en:Sunni Islam]] |
|||
[[eo:Sunaismo]] |
|||
[[es:Sunismo]] |
|||
[[et:Sunniidid]] |
|||
[[eu:Sunismo]] |
|||
[[fa:سنی]] |
|||
[[fi:Sunnalaisuus]] |
|||
[[fo:Sunni Islam]] |
|||
[[fr:Sunnisme]] |
|||
[[fy:Soennisme]] |
|||
[[gl:Sunismo]] |
|||
[[he:אסלאם סוני]] |
|||
[[hi:सुन्नी इस्लाम]] |
|||
[[hr:Sunizam]] |
|||
[[hu:Szunnita iszlám]] |
|||
[[hy:Սուննի իսլամ]] |
|||
[[id:Sunni]] |
|||
[[is:Súnní]] |
|||
[[it:Sunnismo]] |
|||
[[ja:スンナ派]] |
|||
[[jv:Sunni]] |
|||
[[ka:სუნიზმი]] |
|||
[[kk:Әһл әс-Сунна]] |
[[kk:Әһл әс-Сунна]] |
||
[[kn:ಸುನ್ನಿ ಇಸ್ಲಾಂ]] |
|||
[[ko:수니파]] |
|||
[[ku:Sunîtî]] |
|||
[[ky:Сунниттер]] |
|||
[[la:Secta Sunnitica]] |
|||
[[lt:Sunizmas]] |
|||
[[lv:Sunnītu islāms]] |
|||
[[ml:സുന്നി]] |
|||
[[mr:सुन्नी इस्लाम]] |
|||
[[ms:Ahli Sunah Waljamaah]] |
|||
[[my:ဆွန်နီမူဆလင်]] |
|||
[[nl:Soennisme]] |
|||
[[nn:Sunniislam]] |
|||
[[no:Sunniislam]] |
|||
[[os:Сунниттæ]] |
|||
[[pl:Sunnizm]] |
|||
[[ps:سني اسلام]] |
|||
[[pt:Sunismo]] |
|||
[[ro:Sunnism]] |
|||
[[ru:Сунниты]] |
|||
[[sco:Sunni Islam]] |
|||
[[sh:Сунити]] |
|||
[[simple:Sunni Islam]] |
|||
[[sk:Sunnitský islam]] |
|||
[[so:Ahlu sunno waljamaaca]] |
|||
[[sq:Islami Sunnit]] |
|||
[[sr:Сунити]] |
|||
[[sv:Sunniter]] |
|||
[[sw:Wasunni]] |
|||
[[ta:சுன்னி இஸ்லாம்]] |
|||
[[te:సున్నీ ఇస్లాం]] |
|||
[[tg:Суннӣ]] |
|||
[[tl:Sunismo]] |
|||
[[tr:Sünnilik]] |
[[tr:Sünnilik]] |
||
[[tt:Сөнничелек]] |
|||
[[uk:Сунізм]] |
|||
[[ur:اہل سنت]] |
|||
[[uz:Ahl as-Sunna val-Jamoa]] |
|||
[[vi:Hồi giáo Sunni]] |
|||
[[war:Sunni Islam]] |
|||
[[yi:סוניס]] |
|||
[[yo:Sunni]] |
|||
[[zh:遜尼派]] |
|||
[[zh-yue:遜尼派]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:31, 9 มีนาคม 2556
ส่วนหนึ่งของ |
ศาสนาอิสลาม |
---|
|
ซุนนีย์ คือนิกายหนึ่งในศาสนาอิสลาม มีชื่อเต็มในภาษาอาหรับว่า อะหฺลุซซุนนะหฺ วะ อัลญะมาอะหฺ (อาหรับ: أهل السنة والجماعة) (นิยมอ่านว่า อะหฺลุซซุนนะหฺ วัลญะมาอะหฺ) เป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุดในอิสลาม แบ่งเป็นสำนักหรือมัซฮับย่อย ๆ ออกเป็นหลายมัซฮับ แต่ปัจจุบันเหลือแค่เพียง 4 มัซฮับ นอกจากนี้ยังมีมัซฮับมุสลิมซุนนีย์ที่ไม่ยึดถือมัซฮับ เรียกตนเองว่า พวกสะละฟีย์
ที่มาของคำ ซุนนีย์
คำว่า ซุนนีย์ มาจาก อัซซุนนะห (السنة)แปลว่า คำพูดและการกระทำหรือแบบอย่างของศาสดามุฮัมมัด (ศ) คำว่า ญะมาอะหฺ คือ การอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ผู้ที่บัญญัติศัพท์นี้ขึ้นมาคือ อะฮฺมัด บินฮันบัล (ฮ.ศ. 164-241 / ค.ศ. 780-855)
คำว่า “السنة - อัซซุนนะหฺ” เป็นคำที่ท่านนบีมุฮัมมัด มักจะใช้บ่อยครั้งในคำสั่งสอนของท่าน เช่น ในฮะดีษศ่อฮีฮฺที่บันทึกโดยอิมามอะฮฺมัด, อัตติรมีซีย์, อะบูดาวูด และอิบนุมาญะหฺ ซึ่งท่านนบีได้กล่าวว่า “พวกท่านทั้งหลายจงยึดมั่นในแนวทางของฉัน ( سُنَّتِي ) และแนวทางของผู้นำที่อยู่ในแนวทางอันเที่ยงธรรมของฉัน (อัลคุละฟาอ์ อัรรอชิดูน) ที่จะมาหลังฉัน จงเคร่งครัดในการยึดมั่นบนแนวทางนั้น จงกัดมันด้วยฟันกราม (คืออย่าละทิ้งเป็นอันขาด) และจงหลีกให้พ้นจากอุตริกรรมในกิจการของศาสนา เพราะทุกอุตริกรรมในกิจการศาสนานั้นเป็นการหลงผิด” [1]
อะหฺลุซซุนนะหฺ วะ อัลญะมาอะหฺ ( أَهْلُ السُّنَّةِ وَالْجَمَاعَةِ ) ก็คือ ผู้ที่ยึดมั่นในซุนนะหฺ (แนวทางของท่านนบีมุฮัมมัด) และยึดมั่นในสิ่งที่บรรดากลุ่มชนมุสลิมรุ่นแรกยึดมั่น (บุคคลเหล่านั้นคือบรรดาศ่อฮาบะหฺและบรรดาตาบิอีน) และพวกเขารวมตัวกัน (เป็นญะมาอะหฺ) บนพื้นฐานของซุนนะหฺ ซึ่งชนกลุ่มนี้อัลลอหฺได้กล่าวถึงความประเสริฐของพวกเขาไว้ว่า “บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ (ชาวมุฮาญิรีนจากนครมักกะหฺ) และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ (ชาวอันศอรจากนครมะดีนะหฺ) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดีนั้น อัลลอหฺทรงพอพระทัยในพวกเขา และพวกเขาก็พอใจในพระองค์ด้วย และพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขาแล้ว ซึ่งสวนสวรรค์อันหลากหลายที่มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านเบื้องล่าง พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล นั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง” (ซูเราะหฺอัตเตาบะหฺ : 100) [2]
ประวัติ
ในสมัยการปกครองของยะซีด บินมุอาวิยะหฺ คำสั่งสอนแห่งอัลกุรอานและแห่งศาสนทูตถูกละทิ้ง ชาวมะดีนะหฺผู้เคร่งครัดถูกได้รับความกดดันจากตระกูลอุมัยยะหฺผู้ปกรองอาณาจักรอิสลาม และภายใต้ความกดดันนั้นได้เกิดหล่อหลอมเป็นกลุ่มผู้ยึดมั่นในแนวทางอิสลามแบบเดิม เพื่อต่อต้านตระกูลอุมัยยะหฺ โดยเฉพาะหลังจากที่กองทัพจากชาม ในสมัยการปกครองของยะซีด บินมุอาวิยะหฺ ได้สังหารฮุเซน หลานตาศาสนทูตมุฮัมมัด พร้อมกับญาติพี่น้อง ที่กัรบะลาอ์ 73 คนในปี ค.ศ. 680 และต่อมาในปี ค.ศ. 683 ยะซีดส่งกองทัพเพื่อโจมตีพระนครมะดีนะหฺที่อับดุลลอหฺ บินอุมัร อิบนุลคอฏฏอบ เป็นผู้นำในการต่อต้านการปกครองของยะซีด และโจมตีมักกะหฺ ที่อับดุลลอหฺ อินนุซซุเบรสถาปนาตนเองเป็นคอลีฟะหฺแห่งอาณาจักรอิสลาม ชาวเมืองมะดีนะหฺร่วมกันออกต้านทัพของยะซีด ที่นำโดยอุกบะหฺ ณ สถานที่ ที่มืชื่อว่า อัลฮัรเราะหฺ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ จนกองทัพของยะซีดสามารถเข้าปล้นสะดมเมืองมะดีนะหฺ เป็นเวลาสามวันสามคืนตามคำสั่งของยะซีด ทหารชาม เข่นฆ่าผู้คน และข่มขืนสตรี จนกระทั่งมีผู้คนล้มตายประมาณ 10,000 คน ในจำนวนนั้นมีบุคคลสำคัญ 700 คน นอกจากนั้นมีผู้หญิงตั้งท้องเนื่องจากถูกข่มขืนชำเราอีก 500 คน หลังจากนั้นกองทัพชามก็มุ่งสู่มักกะหฺเพื่อปราบปราม อิบนุซซุเบร โดยเข้าเผากะอฺบะหฺ และเข่นฆ่าผู้คน ประชาชนชาวมุสลิมต่อต้านการปกครองตลอดมา แต่แล้วในปี ค.ศ. 692 อับดุลมะลิก บินมัรวานก็ส่ง ฮัจญาจญ์ บินยูสุฟ อัษษะกอฟีย์ มาโจมตีมักกะหฺอีกครั้ง ครั้งนี้อับดุลลอหฺ อิบนุซซุเบร ถูกสังหารและศพถูกตรึงที่ไม้ ปักไว้หน้ากะอฺบะหฺ ส่วนกะอฺบะหฺก็ถูกทำลาย
ตั้งแต่นั้นมา ผู้คนในอาณาจักรอิสลามแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มชนใหญ่ ๆ พวกที่ฝักใฝ่ทางโลกก็สนับสนุนการปกครองของตระกูลอุมัยยะหฺ พวกที่ต่อต้านการปกครองระบอบคอลีฟะหฺ ยึดถือบุตรหลานศาสนทูตเป็นผู้นำก็คือพวกชีอะหฺ พวกที่เชื่อว่าบรรดาสาวกคือผู้นำและสานต่อสาส์นแห่งอิสลามหลังจากนบีมุฮัมมัด พวกนี้คือ อะหฺลุซซุนนะหฺ ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่ได้มีการบัญญัติศัพท์นี้ เพราะ คำว่า ซุนนะห วัลญะมาอะหฺ ถูกบัญญัติขึ้นมาจริง ๆ โดยอะฮฺมัด บินฮันบัล (ค.ศ. 780-855/ฮ.ศ.164-241) นอกจากนี้ยังมีพวกคอวาริจญ์ ที่เป็นกบฏและแยกตัวออกจากอำนาจการปกครองของอิมามอะลีย์ เมื่อครั้งที่เป็นคอลีฟะหฺที่ 4
ในฮิจญ์เราะหฺศตวรรษที่ 3 และที่ 4 ได้มีการรวบรวมฮะดีษขึ้นมา จัดเป็นอนุกรมและหมวดหมู่ เรียกในภาษาไทยว่า พระวจนานุกรม ในสายอะหฺลุซซุนนะหฺ มีมากกว่า 10 พระวจนานุกรม ที่สำคัญคือ 6 พระวจนานุกรม ที่ผู้รวบรวม โดย อัลบุคอรีย์, มุสลิม, อัตตัรมีซีย์, อะบูดาวูด, อิบนุมาญะหฺ และอันนะซาอีย์ นอกจากนี้ยังมีพระวจนานุกรมที่รวบรวมโดย มาลิก บินอะนัส (เจ้าสำนักมาลิกีย์) , อะฮหมัด บินฮันบัล (เจ้าสำนักฮันบะลีย์) , อิบนุคุซัยมะหฺ, อิบนุฮิบบาน และอับดุรรรอซซาก ในยุคหลังนี้ได้มีการตรวจสอบสายรายงานอย่างถี่ถ้วน พระวจนานุกรมอัลบุคอรีย์และมุสลิมได้รับการยอมรับมากที่สุดในสังคมมุสลิมซุนนีย์
สำนัก หรือ ทัศนะ นิติศาสตร์อิสลาม
ชะรีอะหฺ (شريعة) หรือ นิติบัญญัติอิสลามตามทัศนะของซุนนีย์นั้น มีพื้นฐาน มาจากอัลกุรอานและซุนนะหฺ (อิจย์มาอฺ) มติฉันท์ของเหล่าผู้รู้ และกิยาส (การเปรียบเทียบกับบทบัญญัติที่มีอยู่แล้ว) นิกายซุนนีย์มีในอดีตมี 17 สำนัก แต่ได้สูญหายไปกับกาลเวลา ในปัจจุบันนิกายซุนนีย์มี 4 สำนัก ที่เป็นสำนักเกี่ยวกับฟิกหฺ (นิติศาสตร์อิสลาม) ได้แก่
- ฮะนะฟีย์ (ทัศนะของอะบูฮะนีฟะหฺ นุอฺมาน บินษาบิต) -
- มาลีกีย์ (ทัศนะของมาลิก บินอะนัส)
- ชาฟีอีย์ (ทัศนะของมุฮัมมัดมัด บินอิดริส อัชชาฟิอีย์) - ผู้ที่ยึดถือทัศนะนี้คือ คนส่วนใหญ่ในไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย
- ฮันบะลีย์ (ทัศนะของท่านอะฮฺมัด บินฮันบัล)
ปัจจุบันมีอีกกลุ่มที่สำคัญคือ กลุ่มที่ไม่ได้ยึดถือหรือสังกัดตนอยู่ใน 4 กลุ่มข้างต้น แต่การวินิจฉัยหลักการศาสนาจะใช้วิธีศึกษาทัศนะของทั้ง 4 กลุ่มแล้ววิเคราะห์ดูว่าทัศนะใดที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากที่สุด โดยยึดอัลกุรอานและซุนนะฮฺเป็นธรรมนูญสำคัญในการวินิจฉัยเรื่องต่างๆในศาสนา
สำนัก หรือ ทัศนะ เกี่ยวกับอุศูลุดดีน (ปรัชญาศาสนา)
นอกจากนี้ยังมีสำนักเกี่ยวกับอุศูลุดดีน (ปรัชญาศาสนา) อีกหลายสำนัก ที่สำคัญได้แก่ 4 สำนักคือ
- สำนักมุอฺตะซิละหฺ (معتزلة) จัดตั้งขึ้นโดย วาศิล บินอะฏออ์ (ค.ศ. 699-749) ศิษย์ที่มีความคิดแตกต่างจากฮะซัน อัลบัศรีย์ (ค.ศ. 642-728) ผู้เป็นอาจารย์
- สำนักอัชอะรีย์ มาจากแนวคิดของอะบุลฮะซัน อัลอัชชะรีย์ (ค.ศ. 873-935) แต่ผู้ที่พัฒนาแนวคิดนี้ คือ อัลฆอซาลีย์ นักวิชาการศาสนาและปรมาจารย์ศูฟีย์
- สำนักมาตุรีดีย์ เป็นทัศนะของอะบูมันศูร อัลมาตุรีดีย์ (มรณะ ค.ศ. 944) ในตอนแรกเป็นสำนักปรัชญาของชนกลุ่มน้อย ต่อมาเมื่อเป็นที่ยอมรับของเผ่พันธุ์เติร์ก และพวกออตโตมานมีอำนาจ ก็ได้ทำให้สำนักนี้แพร่หลายในเอเชียกลาง
- สำนักอะษะรีย์ เป็นทัศนะของ อะฮฺมัด บินฮันบัล ผู้เป็นเจ้าสำนักฟิกหฺดังกล่าวมาแล้ว
หากมุอฺตะซิละหฺแยกตัวออกจากสำนักของ ฮะซัน อัลบัศรีย์ ย่อมแสดงว่าก่อนหน้านั้นต้องมีสำนักปรัช ญามาก่อนแล้ว ฮะซัน อัลบัศรีย์ เองก็มีแนวคิดของตนเช่นกัน นั่นก็เพราะ ฮะซัน อัลบัศรีย์ เป็นปรมาจารย์ของสำนักศูฟีย์ ที่ภายหลังแตกขยายเป็นหลายสาย