ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โดรน"
บรรทัด 128: | บรรทัด 128: | ||
[[uk:Безпілотний літальний апарат]] |
[[uk:Безпілотний літальний апарат]] |
||
[[uz:Odamsiz havo apparati]] |
[[uz:Odamsiz havo apparati]] |
||
[[zh: |
[[zh:無人航空載具]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 01:48, 1 มีนาคม 2556
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
อากาศยานไร้คนขับ หรือ ยูเอวี (อังกฤษ: Unmanned Aerial Vehicle, UAV) เป็นอากาศยานไร้คนขับ มันแตกต่างจากขีปนาวุธตรงที่มันสามารถนำมาใช้ใหม่ได้ เป็นพาหนะไร้คนขับที่สามารถควบคุม ได้รับความเสียหาย บินต่างระดับ และใช้เครื่องยนต์ไอพ่นหรือเครื่องยนต์ลูกสูบ กระนั้นขีปนาวุธก็ไม่ถูกจัดว่าเป็นยูเอวีเพราะว่ามันเหมือนกับขีปนาวุธนำวิถีมากกว่า ซึ่งเป็นอาวุธที่ไม่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้ แม้ว่ามันจะไร้คนขับและถูกควบคุมจากระยะไกลก็ตาม
ยูเอวีนั้นมีรูปร่าง ขนาด รูปแบบ และเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป ตามหลักแล้วยูเอวีคือโดรน (Drone) นั่นเอง[1] (เป็นอากาศยานที่ควบคุมจากระยะไกล) แต่การควบคุมอัตโนมัติที่เหมือนกับยูเอวีมากกว่า ยูเอววีมีสองแบบ บ้างควบคุมจากระยะไกล และบ้างก็บินได้ด้วยตนเองโดยอาศัยการโปรแกรมที่เป็นระบบซึ่งซับซ้อนกว่า
ปัจจุบันยูเอวีของทหารนั้นทำหน้าที่สอดแนมและภารกิจโจมตี[2] ในขณะที่โดรนโจมตีมากมายที่ประสบความสำเร็จถูกรายงานว่าพวกมันได้รับความเสียหายได้ง่ายและมักมีข้อผิดพลาด[1] ยูเอวียังถูกใช้ในจำนวนที่น้อยในทางพลเรือน อย่างการดับเพลิง ยูเอวีนั้นมักจะทำหน้าที่ในภารกิจที่ยากและอันตรายเกินกว่าที่จะใช้เครื่องบินที่มีคนขับทำ
ประวัติ
ยูเอวีรุ่นแรกๆ คือ"แอเรียล ทาร์เก็ท"เมื่อปีพ.ศ. 2459[3] หลังจากนั้นเครื่องบินที่ควบคุมด้วยรีโมตมากมายก็ตามมา รวมทั้งเครื่องบินอัตโนมัติฮีวิตต์-สเปอร์รี่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมทั้งพาหนะควบคุมจากระยะไกลหรืออาร์พีวี (Remote Piloted Vehicle, RPV) ที่พัฒนาโดยเรจินัลด์ เดนนี่ในปีพ.ศ. 2478[3] มีอีกมายที่สร้างเพราะความเร่งรีบทางเทคโนโลยีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกมันถูกใช้เพื่อเป็นเป้าฝึกให้กับพลปืนต่อต้านอากาศยานและภารกิจโจมตี เครื่องยนต์ไอพ่นถูกนำมาใช้หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่าง ไฟร์บี 1 ในขณะที่บริษัทอย่างบีคราฟท์ก็สร้างโมเดล 1001 ขึ้นมาให้กับกองทัพเรือสหรัฐในปีพ.ศ. 2498[3] กระนั้นพวกมันก็ไม่ต่างจากเครื่องบินควบคุมด้วยรีโมตจนกระทั่งถึงยุคสงครามเวียดนาม
ด้วยเทคโนโลยีที่กำลังก้าวหน้าและเริ่มมีขนาดเล็กลงของทศวรรษที่ 2523 และ 2533 ทำความสนใจในยูเอวีของกองทัพมีมากขึ้น ยูเอวีนั้นดูเหมือนจะถูกกว่า เป็นเครื่องจักรที่สามารถต่อสู้ได้ซึ่งสามารถถูกใช้เพื่อลดความเสี่ยงของลูกเรือ ในรุ่นแรกๆ นั้นมันเป็นเหมือนอากาศยานตรวจตรามากกว่า แต่มีบ้างที่ติดอาวุธ (อย่างเอ็มคิว-1 พรีเดเตอร์) ซึ่งใช้ขีปนาวุธอากาศสู่พื้นเอจีเอ็ม-114 เฮลไฟร์) ยูเอวีที่ติดอาวุธจะถูกเรียกว่าอากาศยานต่อสู้ไร้คนขับหรือยูซีเอวี (unmanned combat air vehicle, UCAV)
ในอนาคตอันใกล้นั้นจะมีการใช้อากาศยานไร้คนในด้านการรุกสำหรับการทิ้งระเบิดและการโจมตีภาคพื้นดิน ในฐานะเครื่องมือสำหรับการค้นหาและช่วยเหลือ ยูเอวีจึงสามารถช่วยคนหามนุษย์ที่หลงป่า ติดอยู่ในซากปรักหักพัง หรือติดอยู่กลางทะเล
ในขณะที่การต่อสู้ทางอากาศยังตกเป็นของนักบินที่เป็นมนุษย์ แต่เมื่อเครื่องบินขับไล่ไร้คนขับมาทำหน้าที่แทน พวกมันจะได้เปรียบมากกว่าเพราะว่ามันจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากแรงจี
ชนิดของยูเอวี
ยูเอวีนั้นมักจะอยู่ในหมวดหมู่ดังนี้
- เป้าหมายและเป้าล่อ - เป็นเป้าฝึกให้กับพลปืนต่อต้านอากาศยานหรือขีปนาวุธ
- สอดแนม - เป็นหน่วยข่าวกรองในสมรภูมิ
- ต่อสู้ - ทำภารกิจโจมตี (ดูที่อากาศยานต่อสู้ไร้คนขับ)
- ขนส่ง - เป็นยูเอวีที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อการขนส่ง
- วิจัยและพัฒนา - ใช้เพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีของยูเอวีเพื่อนำไปใช้กับยูเอวีจริง
- พลเรือนและการตลาด - เป็นยูเอวีที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้โดยพลเรือน
พวกมันสามารถจัดประเภทตามพิสัยและความสูงได้ตามนี้
- แบบขนาดเล็ก บินได้ 2,000 ฟุต พิสัย 2 กิโลเมตร
- แบบสำหรับระยะใกล้ บินได้ 5,000 ฟุต พิสัย 10 กิโลเมตร
- แบบนาโต้ บินได้ 10,000 ฟุต พิสัย 50 กิโลเมตร
- แบบยุทธวิธี บินได้ 18,000 ฟุต พิสัย 160 กิโลเมตร
- แบบระดับความสูงปานกลาง บินได้ 30,000 ฟุต พิสัย 200 กิโลเมตร
- แบบระดับความสูงสูง บินได้ มากกว่า 30,000 ฟุต พิสัยไม่จำกัด
- แบบความเร็วเหนือเสียง มีความเร็วตั้งแต่ 1-5 มัค และ 5 มัคขึ้นไป โดยบินได้ 50,000 ฟุต พิสัย 200 กิโลเมตร
- แบบบินในวงโคจรโลก เร็วมากกว่า 25 มัค
รูปแบบการทำงาน
ยูเอวีนั้นมีรูปแบบการทำงานที่แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่นั้นจะเป็นระบบรีโมต นั่นก็เพื่อการสอดแนมที่เป็นหน้าที่ของยูเอวีส่วนใหญ่ ยูเอวีส่วนน้อยที่ทำหน้าที่ขนส่ง
ตัวตรวจจับ
การทำงานแบบนี้จะมีทั้งเซ็นเซอร์แม่เหล็กไฟฟ้า เซ็นเซอร์ชีวภาพ และเซ็นเซอร์เคมี แบบที่เป็นเซอร์แม่เหล็กไฟฟ้าจะใช้ทั้งกล้องสเปคตรัมภาพ อินฟราเรด หรือสิ่งที่คล้ายอินฟราเรดเช่นเดียวกับเรดาร์ ตัวตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างเซ็นเซอร์ไมโครเวฟและอัลตร้าไวโอเล็ตนั้นก็กใช้เช่นกัน แต่ไม่มากนัก เซ็นเซอร์ชีวภาพนั้นสามารถตรวจจับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหรือองค์ประกอบทางชีวิภาพที่ลอยมากทางอากาศได้ เซ็นเซอร์เคมีนั้นจะใช้เลเซอร์เพื่อประเมินส่วนประกอบต่างๆ ที่อยู่ในอากาศ
การขนส่ง
ยูเอวีสามารถขนส่งวัสดุได้หลายอย่างโดยขึ้นอยู่กับตัวยูเอวีเอง โดยส่วนใหญ่นั้นก็จะเป็นการเก็บวัสดุไว้ภายในโครงสร้าง ในแบบที่เป็นเฮลิคอปเตอร์นั้นจะบรรจุวัสดุไว้ด้านนอกหรือข้างใต้ได้ ในแบบที่เป็นอากาศยานปีกนิ่งจะติดตั้งไว้กับโครงสร้าง แค่อากาศพลศาสตร์ของยูเอวีนั้นอาจด้อยลงไป สำหรับกรณีนั้นวัสดุจะต้องบรรจุในหีบห่อเมื่อต้องทำการขนส่ง
การวิจัยทาง
ยูเอวีมีความสามารถที่ไม่เหมือนใครในการเจาะทะลุพื้นที่ซึ่งอาจอันตรายเกินไปสำหรับนักบิน มันเคยถูกใช้ในการตามหาเฮอร์ริเคนในปีพ.ศ. 2549 ในออสเตรเลียมีการออกแบบและผลิตระบบน้ำหนัก 35 ปอนด์ ซึ่งสามารถบินเข้าไปในพายุเฮอร์ริเคนและให้การสื่อสารเกือบเท่าเวลาจริงกับศูนย์เฮอร์ริเคนในฟลอริดาได้ นอกจากมันจะให้ข้อมูลแรงดันบารอเมตริกแบบมาตรฐานกับข้อมูลอุณหภูมิแล้ว มันยังเข้าใกล้พื้นน้ำได้มากกว่าเคยอีกด้วย การใช้งานในอนาคตสำหรับยูเอวีจะมากขึ้นเมื่อมีการพัฒนาการอำนวยความสะดวกภายในน่านฟ้าสากล
การโจมตี
เอ็มคิว-1 พรีเดเตอร์เป็นยูเอวีติดอาวุธด้วยขีปนาวุธเฮลไฟร์ที่ปัจจุบันถูกใช้เพื่อจัดการเป้าหมายบนพื้นดินในพื้นที่อันตราย พรีเดเตอร์ที่ติดอาวุธถูกใช้ครั้งแรกในปลายปีพ.ศ. 2544 จากฐานในปากีสถานและอุซเบกิสถาน ส่วนมากใช้เพื่อทำการลอบสังหารในอัฟกานิสถาน ตั้งแต่นั้นมาก็มีการรายงานจำนวนมากถึงการลอบสังหารที่เกิดขึ้นในปากีสถาน ข้อได้เปรียบจากการใช้ยูเอวีคือเพื่อหลีกเลี่ยงการทูตที่ว่าเครื่องบินควรถูกยิงตกและนักบินถูกจับ ตั้งแต่มีการทิ้งระเบิดในประเทศเพื่อนบ้านโดยที่ไม่มีการขออนุญาตจากประเทศนั้นๆ[4][5][6][7]
พรีเดเตอร์ที่ตั้งฐานในประเทศเพื่อนบ้านอาหรับ ถูกใช้เพื่อสังหารกลุ่มอัลกออิดะฮ์ในเยเมนเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 นี้เป็นครั้งแรกที่ใช้พรีเดเตอร์เป็นอากาศยานโจมตีนอกเขตสงครามอย่างอัฟกานิสถาน[8]
มีคำถามเกิดขึ้นเกี่ยวกับความแม่นยำของยูเอวี ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 "เดอะ การ์ดเดียน"ได้รายงานว่ายูเอวีติดอาวุธของอิสราเอลได้สังหารชาวปากีสถานไป 48 รายในฉนวนกาซา รวมทั้งเด็กอีกสองคนในสนามและผู้หญิงกับเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งบนถนน[9] ในเดือนมิถุนายน กลุ่มสิทธิมนุษยชนได้สืบสวนการโจมตีหกครั้งของยูเอวีซึ่งทำให้พลเรือนเสียชีวิต และพบว่ากองกำลังอิสราเอลไม่สามารถระบุได้ว่าเป้าหมายดังกล่าวคือทหารหรือพลเรือน [10][11][12] ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 มีรายงานว่าการโจมตีของโดรนในปากีสถานโดยสหรัฐ ได้สังหารพลเรือนไป 10 รายต่อทหารทุกหนึ่งนาย[13][14] เอส. อัซเหม็ด ฮัสซัน อดีตทูตปากีสถาน ได้กล่าวในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 ว่ายูเอวีของอเมริกาที่ทำการโจมตีทำให้ปากีสถานกลายเป็นศัตรูของสหรัฐ และการโจมตี 35-40 ครั้งฆ่าทหารอัลกออิดะฮ์ไปเพียง 8-9 นายเท่านั้น[15]
ค้นหาและช่วยเหลือ
ยูเอวีดูเหมือนจะมีบทบาทมากขึ้นในการค้าหาและช่วยเหลือในสหรัฐ นั่นแสดงให้เห็นชัดเจนเมื่อยูเอวีทำหน้าที่ของมันในเหตุการณ์หลังเฮอริเคนเมื่อปีพ.ศ. 2551 ในการค้นหาผู้คนในหลุยส์เซียน่าและเท็กซัส
ตัวอย่างเช่น พรีเดเตอร์ที่ทำการบินระหว่าง 18,000-29,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล จะทำหน้าที่ค้าหาและช่วยเหลือและประเมินความเสียหาย โดยมันจะติดตั้งเซ็นเซอร์มองและเรดาร์ เรดาร์ของพรีเดเตอร์สามารถทำงานได้ในทุกสภาพอากาศ มันจะให้ภาพที่คมชัดผ่านกลุ่มเมฆ ฝน หรือหมอก และได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 Pir Zubair Shah, "Pakistan Says U.S. Drone Kills 13", New York Times, June 18, 2009.
- ↑ David Axe, "Strategist: Killer Drones Level Extremists’ Advantage", Wired, June 17, 2009.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 Taylor, A. J. P. Jane's Book of Remotely Piloted Vehicles.
- ↑ Fox News
- ↑ Defense Industry Daily
- ↑ MSNBC
- ↑ Globe and Mail
- ↑ Federation of American Scientists
- ↑ The Guardian, 23 March 2009. "Cut to pieces: the Palestinian family drinking tea in their courtyard: Israeli unmanned aerial vehicles—the dreaded drones—caused at least 48 deaths in Gaza during the 23-day offensive." Retrieved on August 3, 2009.
- ↑ "Precisely Wrong: Gaza Civilians Killed by Israeli Drone-Launched Missiles", Human Rights Watch, 30 June 2009.
- ↑ "Report: IDF used RPV fire to target civilians", YNET, 30 June 2009
- ↑ "Israel/Gaza: Civilians must not be targets: Disregard for Civilians Underlies Current Escalation". Human Rights Watch. 2008-12-30. สืบค้นเมื่อ 2009-08-03.
- ↑ Drones kill 10 civilians for one militant: US report, Dawn (newspaper), 2009-07-21
- ↑ "Do Targeted Killings Work?", Brookings Institution, 2009-07-14
- ↑ Newsweek, July 8, 2009. Anita Kirpalani, "Drone On. Q&A: A former Pakistani diplomat says America's most useful weapon is hurting the cause in his country." Retrieved on August 3, 2009.