ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พรีเมียร์ลีก"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
The kop GT (คุย | ส่วนร่วม)
The kop GT (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 231: บรรทัด 231:
หมายเหตุ:<small>ตัวเน้นแสดงถึงผู้เล่นที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่ในพรีเมียร์ลีก</small>
หมายเหตุ:<small>ตัวเน้นแสดงถึงผู้เล่นที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่ในพรีเมียร์ลีก</small>


'''ข้อมูลเกร็ดทั่วไปพรีเมียร์ลีก'''
== สถิติที่น่าสนใจพรีเมียร์ลีก ==
[[ไรอัน กิ๊กส์]] คือนักฟุตบอลคนแรก (คนเดียว) ที่ลงเล่นในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทุกฤดูกาล (1992-2012)
[[ไรอัน กิ๊กส์]] คือนักฟุตบอลคนแรก (คนเดียว) ที่ลงเล่นในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทุกฤดูกาล (1992-2012)
ไรอัน กิ๊กส์ คือนักฟุตบอลคนแรก (คนเดียว) ที่สามารถทำประตูได้ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทุกฤดูกาล (1992-2011)
ไรอัน กิ๊กส์ คือนักฟุตบอลคนแรก (คนเดียว) ที่สามารถทำประตูได้ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทุกฤดูกาล (1992-2011)
บรรทัด 291: บรรทัด 291:
[[อลัน เชียเรอร์]]เป็นนักเตะ ที่อายุน้อยที่สุดที่ทำแฮททริกได้ในลีกสูงสุดของประเทศ เพียง 17 ปี กับอีก 240 วัน
[[อลัน เชียเรอร์]]เป็นนักเตะ ที่อายุน้อยที่สุดที่ทำแฮททริกได้ในลีกสูงสุดของประเทศ เพียง 17 ปี กับอีก 240 วัน
เชียเรอร์ทำแฮททริก ในเกมที่นักบุญเอาชนะทีมอย่างอาร์เซนอล 4-2 ในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1988
เชียเรอร์ทำแฮททริก ในเกมที่นักบุญเอาชนะทีมอย่างอาร์เซนอล 4-2 ในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1988


* อาร์เซนอลเป็น 1 ใน 4 สโมสรของอังกฤษ ที่ได้แชมป์ลีกติดต่อกันมากที่สุด คือ 3 ครั้ง ในฤดูกาล 1932-33, 1933-34, 1934-35
* ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2001-02 อาร์เซนอลสามารถทำประตูได้ในทุกนัด เป็นสถิติสูงสุดของลีก
* ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2001-02 อาร์เซนอลชนะติดต่อกัน 14 นัด เป็นสถิติสูงสุดของพรีเมียร์ลีก (มีอีก 3 สโมสรคือ [[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]], [[สโมสนฟุตบอลบริสตอลซิตี้|บริสตอลซิตี้]], [[สโมสรฟุตบอลเปรสตันอร์ธเอนด์|เปรสตันอร์ธเอนด์]] ที่ทำสถิติชนะติดต่อกัน 14 นัดเช่นกัน แต่ทั้งหมดนั้นเป็นสถิติในดิวิชั่น 2)
* ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2003-04 อาร์เซนอลไม่แพ้ใครตลอดฤดูกาล 38 นัด (ชนะ 26 เสมอ 12) เป็นครั้งแรกของพรีเมียร์ลีก และครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษต่อจาก เปรสตัน นอร์ธเอนด์ ในฤดูกาล 1888-89 ซึ่งขณะนั้นมีการแข่งขันเพียง 22 นัดต่อฤดูกาล
* อาร์เซนอลไม่แพ้ใครเลยในพรีเมียร์ลีกติดต่อกัน 49 นัด ระหว่างฤดูกาล 2002-03, 2003-04, 2004-05


== ดูเพิ่ม ==
== ดูเพิ่ม ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:10, 14 พฤศจิกายน 2555

สำหรับ พรีเมียร์ลีกของไทยดูที่ ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก และลีกอื่นดูที่ พรีเมียร์ลีก (แก้ความกำกวม)
พรีเมียร์ลีก
ไฟล์:Barclays-Premier-League.jpg
ประเทศอังกฤษ อังกฤษ
สมาพันธ์ยูฟ่า
ก่อตั้ง20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992
จำนวนทีม20
ตกชั้นสู่ลีกแชมเปียนชิป
ระดับในพีระมิด1
ถ้วยภายในประเทศเอฟเอคัพ, ลีกคัพ
ถ้วยระดับนานาชาติยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก,
ยูฟ่ายูโรปาลีก
ทีมชนะเลิศปัจจุบันแมนเชสเตอร์ซิตี (2011–12)
ชนะเลิศมากที่สุดแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (19)
หุ้นส่วนโทรทัศน์อังกฤษ สกายสปอร์ตส, อีเอสพีเอ็น
ไทย ทรูวิชันส์, ช่อง 3
เว็บไซต์www.premierleague.com
ฤดูกาล 2012–13

เอฟเอพรีเมียร์ลีก (อังกฤษ: FA Premier League) หรือนิยมเรียกว่า พรีเมียร์ลีก (อังกฤษ: Premier League) เป็นระบบการแข่งขันฟุตบอลลีกในระดับสูงสุดของประเทศอังกฤษ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) ภายใต้การบริหารของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือมีชื่อตามผู้สนับสนุนการแข่งขันอย่างเป็นทางการว่า บาร์เคลส์ พรีเมียร์ชิพ เนื่องจากในปัจจุบัน สนับสนุนโดย บริษัทการเงินบาร์เคลส์

การแข่งขันพรีเมียร์ลีกเป็นที่รวมของ 20 สโมสรฟุตบอลในระดับสูงสุดของอังกฤษเข้าด้วยกัน โดยปัจจุบันมีเพียง 5 ทีมเท่านั้น ที่เคยชนะเลิศในการแข่งขันรายการนี้ ได้แก่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, อาร์เซนอล, เชลซี, แบล็กเบิร์นโรเวอส์ และแมนเชสเตอร์ซิตี

ประวัติ

แต่เดิมฟุตบอลลีกแห่งนี้ ใช้ชื่อว่า ฟุตบอลลีกดิวิชันหนึ่ง ซึ่งมีจัดการแข่งขันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2431 (ค.ศ. 1888) และถือว่าเคยเป็นลีกฟุตบอลที่ยาวนานที่สุดในโลก โดยในปี พ.ศ. 2535 ในฤดูกาล 1992-93 ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นจากรูเพิร์ธ เมอร์ด็อก (Rupert Murdoch) นักธุรกิจสื่อสารรายใหญ่เจ้าของเครือข่ายสถานีโทรทัศน์สกาย (BSkyB) พยายามผลักดันให้สโมสรฟุตบอลที่จะลงแข่งขันในดิวิชันหนึ่งประจำฤดูกาล 1992-93 ถอนตัวออกมาจัดตั้งเป็นพรีเมียร์ลีกทำให้ฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษที่มีอายุ 104 ปี ต้องยุติลง ขณะเดียวกันทางฟุตบอลลีกเดิมได้เปลี่ยนชื่อจาก ดิวิชันสอง มาเป็น ดิวิชันหนึ่ง และดิวิชันอื่นได้เปลี่ยนตามกันไป[1]

ปัญหาเริ่มต้น

ในช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่วงการฟุตบอลอาชีพของอังกฤษตกต่ำอย่างมาก เกิดเหตุการณ์หลายอย่าง ไม่ว่าเรื่องของสนามกีฬาที่มีปัญหา เหตุการณ์อันธพาลลูกหนัง หรือที่เรียกว่าฮูลิแกน ทำลายภาพลักษณ์ของฟุตบอลอังกฤษ ไฟไหม้อัฒจันทร์ วันที่ 11 พฤษภาคม 2528 ที่สนามฟุตบอลของสโมสรฟุตบอลแบรดฟอร์ดซิตี ในระหว่างการแข่งขัน มีผู้เสียชีวิต 56 คน เหตุการณ์วันที่ 15 เมษายน 2532 ที่สนามฟุตบอลฮิลส์เบอโรของสโมสรฟุตบอลเชฟฟิลด์เวนส์เดย์ มีผู้คนเหยียบกันเสียชีวิตกว่า 96 คน นอกจากนี้โศกนาฏกรรมเฮย์เซลที่มีผู้เสียชีวิต 39 คน ทำให้ยูฟ่าสั่งห้ามไม่ให้สโมสรจากอังกฤษเข้าร่วมการแข่งขันชิง ถ้วยสโมสรในยุโรปเป็นเวลา 5 ปี อันธพาลลูกหนังที่ตามไปเชียร์ทีมที่ชื่นชอบ หลังจากการแข่งขันจะเกะกะระราน เข้าผับดื่มกินจนเมามาย บ้างก็วิวาทกับแฟนฟุตบอลเจ้าถิ่นเกิดเหตุการณ์วุ่นวายบางครั้งรุนแรงถึงขั้นจลาจลหรือไม่ก็มีคนเสียชีวิต โดยโศกนาฏกรรมเฮย์เซล์ส่วนหนึ่งมาจากคนกลุ่มนี้เช่นกัน

แชมป์พรีเมียร์ลีก
ฤดูกาล ผู้ชนะเลิศ
1992-93 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
1993-94 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
1994-95 แบล็กเบิร์นโรเวอส์
1995-96 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
1996-97 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
1997-98 อาร์เซนอล
1998-99 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
1999-2000 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
2000-01 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
2001-02 อาร์เซนอล
2002-03 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
2003-04 อาร์เซนอล
2004-05 เชลซี
2005-06 เชลซี
2006-07 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
2007-08 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
2008-09 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
2009-10 เชลซี
2010-11 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
2011-12 แมนเชสเตอร์ซิตี

หลายเหตุการณ์ทำให้แฟนฟุตบอลไม่สามารถชมการแข่งขันได้อย่างสงบสุข เนื่องด้วยกลัวจะโดนลูกหลง ประกอบกับสภาพสนามที่ย่ำแย่ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก หรือการป้องกันเหตุฉุกเฉินอย่างดีพอ ทำให้ชาวอังกฤษหลายคนตัดสินใจรับชมการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ที่บ้าน แทนที่จะเดินทางมาเชียร์ในสนามดังเช่นอดีต ช่วงทศวรรษ 1980 รายได้ของสโมสรจากค่าผ่านประตูซึ่งเป็นรายได้หลักได้ลดลงอย่างมาก มีเพียงสโมสรชั้นนำไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยังคงมีกำไร ในฤดูกาล 1986-87 ทุกสโมสรฟุตบอลมีกำไรสุทธิรวมเพียง 2.5 ล้านปอนด์ พอถึงฤดูกาล 1989-90 รวมทุกสโมสรขาดทุน 11 ล้านปอนด์ ทำให้นายทุนไม่กล้าจะเข้ามาลงทุนในธุรกิจกีฬาอาชีพนี้อย่างเต็มที่ หลายสโมสรในช่วงนั้นมีข่าวว่าใกล้จะล้มละลาย

ภายหลังเหตุการณ์ที่สนามฮิลส์เบอโร รัฐบาลอังกฤษได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น โดยมีลอร์ดปีเตอร์ เทย์เลอร์ ผู้พิพากษาระดับรองประธานศาลฎีกา เป็นประธานคณะกรรมการ โดยผลการไต่สวนซึ่งเรียกว่า รายงานฉบับเทย์เลอร์ (Taylor Report) ได้กลายมาเป็นเอกสารสำคัญนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษ เพราะกำหนดให้ทุกสโมสรต้องปรับปรุงสนามแข่งขัน ที่สำคัญคืออัฒจันทร์ชมการแข่งขันต้องเป็นแบบนั่งทั้งหมด ห้ามไม่ให้มีอัฒจันทร์ยืนเพื่อความปลอดภัยของผู้ชมการแข่งขัน โดยทีมในระดับดิวิชัน 1 และ 2 ต้องปรับปรุงให้เสร็จในปี 2537 และ ดิวิชัน 3 และ 4 ให้เสร็จในปี 2542 ส่งผลให้การยืนชมฟุตบอลซึ่งเป็นวัฒนธรรมการชมฟุตบอลของคนอังกฤษมานาน บางแห่งก็มีชื่อเสียงอย่างเช่นอัตจันทร์ เดอะค็อป ของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลต้องจบไป ถึงแม้ว่าในประเทศอังกฤษจะมีสโมสรฟุตบอลทั้งอาชีพและสมัครเล่นมากที่สุดในโลก แต่สนามฟุตบอลส่วนใหญ่มีสภาพเก่าแก่ทรุดโทรม บางสโมสรในระดับดิวิชั่นหนึ่งหรือดิวิชั่นสองยังคงมีอัฒจันทร์ที่สร้างด้วยไม้ ทำให้การปรับปรุงสนามฟุตบอลของสโมสรฟุตบอลอังกฤษครั้งนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ท่ามกลางสถานะทางการเงินที่ไม่มั่นคงเพราะรายได้ลดลงอย่างมาก สโมสรเล็กบางแห่งซึ่งมีผู้ชมน้อยอยู่แล้วจึงใช้วิธีปิดตายอัฒจันทร์ยืน ส่วนสโมสรใหญ่ที่ฐานะการเงินดีกว่าก็ประสบปัญหาเช่นกัน เพราะไม่อาจใช้วิธีเลี่ยงปัญหาแบบสโมสรเล็กได้

รัฐบาลอังกฤษในขณะนั้นต้องเข้าช่วยเหลือโดยลดค่าธรรมเนียมหรือภาษีธุรกิจพนันฟุตบอล นำเงินส่วนนี้มาตั้งกองทุนฟุตบอลจำนวน 100 ล้านปอนด์ ให้ฟุตบอลลีกเป็นคนจัดสรรให้สโมสรฟุตบอลซึ่งเป็นภาคีสมาชิกทั้ง 96 สโมสร นำไปพัฒนาปรับปรุงสนามแข่งขันของตนเอง แต่งบประมาณเท่านี้ต้องนับว่าน้อยมาก หากนำมาเฉลี่ยอย่างเท่ากันแล้วจะได้รับเงินเพียงสโมสรละ 1.08 ล้านปอนด์เท่านั้น ขณะที่สโมสรฟุตบอลชั้นแนวหน้าของลีกต้องใช้เงินในการณ์นี้สูงถึงกว่าสิบล้านปอนด์ สโมสรใหญ่ในดิวิชั่นหนึ่งจึงกดดันฟุตบอลลีกจัดสรรเงินให้มากกว่าสโมสรเล็ก เพราะหากไม่เสร็จทันตามกำหนดอาจจะถูกถอนใบอนุญาตได้

กิจการถ่ายทอดทางโทรทัศน์

ในช่วงเวลาที่สโมสรใหญ่ต้องการเงินทุนมหาศาลนี้ เป็นโอกาสให้เจ้าของสถานีโทรทัศน์สกาย ยื่นข้อเสนอให้สโมสรในดิวิชั่นหนึ่งประจำฤดูกาล 1992-93 ให้ถอนตัวจากสมาชิกฟุตบอลลีกเพื่อมาจัดตั้งเอฟเอพรีเมียร์ลีก โดยทางสถานีขอซื้อสิทธิผูกขาดในการถ่ายทอดการแข่งขันในราคาแพง ทำสัญญาฉบับแรกซื้อสิทธิผูกขาดในการถ่ายทอดการแข่งขันเป็นเวลา 5 ปี (ฤดูกาล 1992-93 ถึง 1996-97) จ่ายค่าตอบแทนให้ 304 ล้านปอนด์ เทียบกับในอดีตที่ฟุตบอลลีกได้รายได้จากการขายสิทธิให้สถานี ITV เพียง 44 ล้านปอนด์ ในช่วงเวลา 4 ปี เงื่อนไขตอบแทนทางธุรกิจเช่นนี้ ดึงดูดให้สโมสรทั้งหลายสนใจเป็นอย่างยิ่ง จนผู้บริหารสโมสรบางคน เช่น นายอลัน ชูการ์ เจ้าของสโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ แสดงตนเป็นแกนนำในการล็อบบี้ให้สโมสรอื่น ๆ ในดิวิชั่นหนึ่งที่จะเริ่มแข่งขันในฤดูกาล 1992-93 เห็นชอบกับการก่อตั้งลีกแห่งนี้

สำหรับลิขสิทธิ์การเผยแพร่ในประเทศไทย เป็นของบริษัท ทรูวิชันส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการโทรทัศน์เคเบิล ในเครือบริษัท ทรู คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ฤดูกาล 2007-08 จนถึงปัจจุบัน

การจัดตั้ง

17 กรกฎาคม 1991 มีการลงนามข้อตกลงภาคีสมาชิกก่อตั้ง (Founder Members Agreement) เพื่อวางหลักการสำคัญในการจัดตั้งพรีเมียร์ลีก ได้แก่ ระบบลีกสูงสุดใหม่นี้จะดำเนินการทางธุรกิจด้วยตนเอง ทำให้พรีเมียร์ลีกมีอิสระที่จะเจรจาผลประโยชน์กับผู้สนับสนุน รวมทั้งสิทธิในการขายสิทธิถ่ายทอดโทรทัศน์ของตนเอง แยกขาดจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษและฟุตบอลลีก จากนั้นในปี 1992 ทั้ง 20 สโมสรได้ยื่นขอถอนตัวจากฟุตบอลลีกอย่างเป็นทางการ

ต่อมา 27 พฤษภาคม 1992 เอฟเอพรีเมียร์ลีกจึงก่อตั้งโดยจดทะเบียนในรูป บริษัทจำกัด มีสโมสรฟุตบอลสมาชิกทั้ง 20 แห่งเป็นหุ้นส่วน ความเป็นหุ้นส่วนจึงขึ้นอยู่กับผลการแข่งขันทางสโมสร หากทีมใดยังคงอยู่ในพรีเมียร์ลีกก็จะถือเป็นหุ้นส่วนของพรีเมียร์ลีกต่อไป ในช่วงปิดฤดูกาลสโมสรที่ตกชั้นจะต้องมอบสิทธิความเป็นหุ้นส่วนให้กับสโมสรที่เลื่อนชั้นมาจากลีกแชมเปี้ยนชิป โดยมีสมาคมฟุตบอลอังกฤษถือสิทธิเป็นหุ้นส่วนหลัก มีอำนาจที่จะคัดค้านในประเด็นสำคัญ เช่น การแต่งตั้งประธานกรรมการและผู้บริหารระดับสูง หลักการเลื่อนชั้นหรือตกชั้นของสโมสรเท่านั้น แต่ไม่อาจล่วงไปถึงกิจการเฉพาะของพรีเมียร์ลีก ซึ่งได้แก่เงื่อนไขและผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ต่าง ๆ

ด้วยค่าตอบแทนจากการถ่ายทอดโทรทัศน์และประโยชน์ที่ได้รับจากผู้สนับสนุนการแข่งขัน ทำให้พรีเมียร์ลีกพัฒนาเป็นลีกฟุตบอลภายในประเทศที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

การซื้อตัวผู้เล่นต่างชาติ

การแข่งขัน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กับ ทอตนัมฮอตสเปอร์

จารีตอันยาวนานของสโมสรฟุตบอลอังกฤษในเรื่องนักฟุตบอลของทีมคือ แต่ละสโมสรจะส่งตัวแทนค้นหาเยาวชนที่มีความสามารถทางการเล่นฟุตบอลเพื่อนำมาฝึกหัดพัฒนาทักษะ โดยให้ลงเล่นตั้งแต่ในทีมระดับเยาวชน สมัครเล่น หรือทีมสำรอง ผู้ที่มีความโดดเด่นจะได้รับคัดเลือกให้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ซึ่งลงแข่งในฟุตบอลลีก หากจะมีการซื้อตัวผู้เล่น ก็มักจะมาจากสโมสรในดิวิชั่นหนึ่ง (แบบเดิม) ซื้อตัวผู้เล่น ดาวรุ่ง จากดิวิชั่นที่ต่ำกว่าหรือจากสโมสรสมัครเล่นนอกลีก มีน้อยมากที่ซื้อนักฟุตบอลต่างชาติ (ไม่นับรวม สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์) ต่างจากสโมสรฟุตบอลอาชีพทางยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสโมสรฟุตบอลในอิตาลีและสเปน ซึ่งมักจะได้รับฉายาว่า เจ้าบุญทุ่ม บ่อยครั้งที่สโมสรฟุตบอลจากสองประเทศนี้จ่ายเงินมหาศาล จนถึงขั้นสร้าง สถิติโลก ในการซื้อตัวนักฟุตบอลต่างชาติเพียงหนึ่งคน

แต่เมื่อพรีเมียร์ลีกก่อกำเนิด ธรรมเนียมการกว้านซื้อตัวนักฟุตบอลต่างชาติของสโมสรฟุตบอลอังกฤษจึงเริ่มมีมากขึ้น จารีตการสร้างนักฟุตบอลของตัวเองแม้จะยังคงอยู่แต่ก็ลดความสำคัญลงไปทุกขณะ เพราะต้องใช้เวลายาวนานอาจไม่ทันการณ์ สู้ใช้เงินซื้อนักฟุตบอลชื่อดังระดับโลกมาร่วมสังกัดไม่ได้ ที่สามารถดึงดูดแฟนฟุตบอลให้ซื้อบัตรเข้าชมการแข่งขันมากขึ้นในเวลาอันสั้น ลีลาการเล่นที่ตื่นเต้นเร้าใจย่อมขยายฐานแฟนคลับให้กว้างขวางออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อสโมสรชั้นนำในพรีเมียร์ลีกต่างมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงกว่าเดิม จึงพร้อมที่จะทำในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

รูปโฉมใหม่ของฟุตบอลอาชีพอังกฤษเปิดฉากขึ้น ในฤดูกาล 1994-95 เมื่อทอตนัมฮอตสเปอร์ ซื้อตัว เยือร์เกิน คลินส์มันน์ (Juergen Klinsmann) นักฟุตบอลทีมชาติเยอรมันจากสโมสรโมนาโก จากฝรั่งเศส ทักษะและลีลาการเล่นฟุตบอลของคลินส์มันน์สร้างความตื่นตาตื่นใจต่อผู้ชม ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจของกองเชียร์ในเวลาไม่นาน สร้างความพึงพอใจต่อสโมสรต้นสังกัดเป็นอย่างยิ่ง ความสำเร็จของทอตแน่มฮอตสเปอร์กระตุ้นให้สโมสรอื่น กล้าลงทุนซื้อตัวนักฟุตบอลระดับโลกมากขึ้น เพราะรายรับที่ได้กลับคืนมาคุ้มค่ากับการลงทุน

ในฤดูกาลถัดมานักฟุตบอลต่างชาติได้มาเล่นในฟุตบอลอังกฤษมากขึ้น ในฤดูกาล 1995-96 สโมสรมิดเดิลสโบร ซื้อ จูนินโญ่ และ เอเมอร์สัน (บราซิล) สโมสรนิวคาสเซิลยูไนเด็ต ซื้อ ฟาอุสติโน่ อัสปริญ่า (โคลอมเบีย) สโมสรอาร์เซนอล ซื้อ เดนนิส เบิร์กแคมป์ (ฮอลแลนด์) สโมสรเชลซี ซื้อ รุด กุลลิท (ฮอลแลนด์) ฯลฯ ฤดูกาล 1996-97 สโมสรมิดเดิลสโบร ซื้อ ฟาบรีซีโอ ราวาเนลลี (อิตาลี) สโมสรเชลซีซื้อ จานลูกา วีอัลลี และ จานฟรังโก โซลา (อิตาลี) สโมสรลิเวอร์พูล ซื้อ แพทริก แบเกอร์ (สาธารณรัฐเช็ก) สโมสรอาiNเซนอล ซื้อ ปาทริค วิเอร่า (ฝรั่งเศส) ฯลฯ

นอกจากนักฟุตบอลแล้ว ผู้จัดการทีมต่างชาติก็เข้ามามีบทบาทในพรีเมียร์ลีกจวบจนปัจจุบันนี้ ไม่ว่า อาร์แซน แวงแกร์, รุด กุลลิท, เชอรา อุลิแยร์, ราฟาเอล เบนีเตซ, โชเซ มูรีนโย ฯลฯ แม้แต่สโมสรฟุตบอลที่มีลักษณะอนุรักษนิยมสูง ดังเช่น สโมสรลิเวอร์พูล ที่แม้ปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่ช้ากว่าคู่แข่งหลายทีม จนทำให้ยังไม่ประสบความสำเร็จในระดับแชมป์พรีเมียร์ลีก (ต่างจากยุคฟุตบอลลีก) ยังต้องปรับตัวต่อกระแสการซื้อตัวนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมต่างชาติ เพื่อหวังจะครองแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกให้ได้

อาจกล่าวได้ว่าในขณะนี้ เอฟเอพรีเมียร์ลีกเป็นลีกฟุตบอลภายในประเทศที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ดึงดูดนักฟุตบอลชั้นดีให้มาประกอบวิชาชีพไม่ต่างจาก กัลโช่ เซเรีย อา ของประเทศอิตาลี หรือ ลาลีกา ของประเทศสเปน ตัวชี้วัดคุณภาพที่ดีที่สุดคือนักฟุตบอลที่เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 ซึ่ง เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพ มีจำนวน 101 คนที่เล่นฟุตบอลในอังกฤษ และปัจจุบันมีนักฟุตบอลต่างชาติในพรีเมียร์ชิพมากกว่า 290 คน

ระบบการแข่งขัน

ไฟล์:FA Premier League.png
สัญลักษณ์อย่างเป็นทางการของ เอฟเอ พรีเมียร์ลีก ที่ใช้มาจนถึงฤดูกาล 2007

มีทีมร่วมแข่งขัน 20 ทีม แข่งขันในระบบพบกันหมด เหย้าและเยือน ทีมชนะได้ 3 คะแนน ทีมเสมอได้ 1 คะแนน และทีมแพ้ไม่ได้คะแนน ตลอดฤดูกาลทุกทีมจะต้องแข่งขันทั้งสิ้น 38 นัด เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 3 สโมสรที่ได้คะแนนน้อยที่สุด จะถูกลดชั้นไปเล่นในฟุตบอลลีกแชมเปียนชิพ

4 ทีมที่อันดับดีสุดจะได้ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก โดยสามทีมอันดับแรกจะผ่านเข้าไปรอในรอบแบ่งกลุ่ม ในขณะที่ทีมอันดับ 4 จะต้องแข่งรอบเพลย์ออฟอีกทีหนึ่ง ส่วนอันดับ 5 6 7 จะได้เล่นยูฟ่า ยูโรป้า ลีก (ยูฟ่า คัพ) เดิม และทีมที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลถ้วยภายในประเทศก็จะได้สิทธิ์ไปเล่นในยูโรป้า ลีก เช่นกัน ในกรณีที่ทีมอันดับ 1-4 ได้ ก็จะได้เล่นแชมเปียนส์ ลีก เหมือนเดิม ทีมที่เหลือจะได้เล่นยูโรป้า ลีก

ผู้สนับสนุนหลัก

รายชื่อผู้สนับสนุนหลักในรายการแข่งขันฤดูกาลต่างๆ

สโมสรในฤดูกาลปัจจุบัน (2012-2013)

สโมสร อันดับในฤดูกาลผ่านมา
(2011-12)
ฤดูกาลที่ได้เริ่มเล่น
ในลีกสูงสุด
ฤดูกาลที่ได้เริ่มเล่น
ในลีกสูงสุด
ในคราวปัจจุบัน
อาร์เซนอล 3 1904-05 1919-20
แอสตันวิลลา 16 1888-89 1988-89
เชลซี 6 1907-08 1989-90
เอฟเวอร์ตัน 7 1888-89 1954-55
ฟูแลม 9 1949-50 2001-02
ลิเวอร์พูล 8 1894-95 1962-63
แมนเชสเตอร์ซิตี 1 1899-1900 2002-03
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2 1892-93 1975-76
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 5 1888-89 2010-11
นอริชซิตี 12 1972–73 2011-12
ควีนส์ปาร์กเรนเจิร์ส 17 1968–69 2011-12
เรดดิง 1 จาก ลีกแชมเปียนชิพ 2006-07 2012-13
เซาแทมป์ตัน 2 จาก ลีกแชมเปียนชิพ 1966-67 2012-13
สโตกซิตี 14 1888–89 2008-09
ซันเดอร์แลนด์ 13 1890-91 2007-08
สวอนซีซิตี 11 1981–82 2011-12
ทอตนัมฮอตสเปอร์ 4 1909-10 1978-79
เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 10 1888-89 2010-11
เวสต์แฮมยูไนเต็ด 3 จาก ลีกแชมเปียนชิพ 1888-89 2012-13
วีแกนแอธเลติก 15 2005-06 2005-06

ทำประตูสูงสุด

ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2555
รายชื่อนักฟุตบอลที่ทำประตูสูงสุด
อันดับ นักฟุตบอล ประตู
1 อังกฤษ อลัน เชียเรอร์ 260
2 อังกฤษ แอนดรูว์ โคล 187
3 ฝรั่งเศส ตีแยรี อ็องรี 176
4 อังกฤษ ร็อบบี ฟาวเลอร์ 163
5 อังกฤษ แฟรงก์ แลมพาร์ด 153
6 อังกฤษ เลส เฟอร์ดินานด์ 149
7 อังกฤษ ไมเคิล โอเวน 149
8 อังกฤษ เวย์น รูนีย์ 148
9 อังกฤษ เทดดี เชอริงแฮม 147
10 เนเธอร์แลนด์ จิมมี ฟลอยด์ ฮัสเซลแบงก์ 127

หมายเหตุ:ตัวเน้นแสดงถึงผู้เล่นที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่ในพรีเมียร์ลีก

สถิติที่น่าสนใจพรีเมียร์ลีก

ไรอัน กิ๊กส์ คือนักฟุตบอลคนแรก (คนเดียว) ที่ลงเล่นในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทุกฤดูกาล (1992-2012)
ไรอัน กิ๊กส์ คือนักฟุตบอลคนแรก (คนเดียว) ที่สามารถทำประตูได้ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทุกฤดูกาล (1992-2011)
ไรอัน กิ๊กส์ คือนักฟุตบอลที่ลงเล่นในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ มากที่สุด 604 เกม ถึง11/11/2012
ไรอัน กิ๊กส์ คือนักฟุตบอลที่ได้เหรียญรางวัลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ มากที่สุด 12 เหรียญ
สตีเวน เจอร์ราร์ด คือนักเตะในพรีเมียร์ลีกที่ยิงประตูในแมต์ชิงชนะเลิศ 4 รายการใหญ่ของสโมสรยุโรป 

1.ยูฟ่า คัพฤดูกาล 2000-2001 ลิเวอร์พูล 5 - 4 อลาเบส

2.ลีก คัพฤดูกาล2002-2003 เจอร์ราทำประตูแรกให้ ลิเวอร์พูลชนะแมนยูฯ 2-0

3.ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ฤดูกาล 2004-2005 โดย เจอร์ราร์ดยิงทีมเอซี มิลาน ทำประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 ลิเวอร์พูลกลับมาตีเสมอ 3-3 และเอาชนะทีมเอซีมิลานจากการดวลจุดโทษไป

4.เอฟเอคัพ 2005-2006 เจอร์ราร์ดยิงตืเสมอ 2-2 และ 3-3 ให้ลิเวอร์พูลดวลจุดโทษกับเวสแฮมและชนะในที่สุด

7 ทีมพรีเมียร์ลีก ที่ยังไม่เคยตกชั้น

1.สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
2.สโมสรฟุตบอลเชลซี
3.สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน
4.สโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์
5.สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล
6.สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล
7.สโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา

นักเตะที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกและดับเบิ้ลแชมป์กับ 2 สโมสรคือ แอชลี่ย์ โคล แชมป์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000-2001กับอาร์เซนอล และ แชมป์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ ฤดูกาล 2009-2010กับเชลซี

ไบรอัน ดีน ยิงประตูแรกของพรีเมียร์ลีก ในนาทีที่ 5 ของเกมระหว่างเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สนามบรามอลล์ เลน เมื่อเดือนสิงหาคม 1992

คริส ซัตตัน กดประตูที่ 5,000 ระหว่างเล่นให้แบล็คเบิร์น ในปี 1996

เลส เฟอร์ดินานด์ ทำประตูที่ 10,000 ระหว่างเล่นให้ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ พบ ฟูแล่ม เมื่อปี 2001

โมริตซ์ โวลซ์ ดาวเตะฟูแล่ม ยิงประตูที่ 15,000 ในเกมระหว่าง "เจ้าสัวน้อย" กับ เชลซี ในปี 2006

มาร์ค อัลไบรท์ตัน มิดฟิลด์อนาคตไกล "สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า จารึกชื่อของตัวเองเข้าไปในประวัติศาตร์ หลังจัดการ ซัดประตูที่ 20,000 ของพรีเมียร์ลีก ระหว่างเกมที่พ่าย "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล 2-1 เมื่อวันพุธที่ 21 ธันวาคม 2011

สำหรับประตูแรกของพรีเมียร์ลีก ผู้ทำประตูคือ "ไบรอัน ดีน" กองหน้าทีมเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ในเกมที่พบกับทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1992 ซึ่งตอนนั้น มาร์ค อัลไบรจ์ตัน เพิ่งอายุเพียง 2 ขวบเท่านั้น

โดยในเกมพรีเมียร์ลีกดังกล่าว หวดกันเมื่อคืนวันพุธ ทีมสิงห์ผยอง แอสตัน วิลลา เปิดรังวิลลา พาร์ค พบกับอาร์เซนอล แม้ว่า วิลลาจะพ่ายคาบ้าน 1-2 แต่ประตูที่ทำได้ในนาทีที่ 54 ของ "มาร์ค อัลไบรจ์ตัน" ถูกบันทึกให้เป็นประตูที่ 20,000 ของฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ที่เริ่มเตะกันมาตั้งแต่ฤดูกาล 1992-93 ซึ่งก่อนหน้านั้นใช้ชื่อว่า ดิวิชั่น 1

นอกจากนี้ อัลไบรจ์ตัน จะได้รับเงินรางวัล 20,000 ปอนด์ ประมาณ 1 ล้านบาท จากบาร์เคลย์ส เพื่อนำไปทำการกุศล

มาร์ค อัลไบรท์ตัน กองกลางดาวรุ่งของแอสตัน วิลล่า กลายเป็นผู้ทำประตูที่ 20,000 ของศึกพรีเมียร์ลีก หลังจากเขายิง

ประตูในช่วงครึ่งหลัง ระหว่างเกมที่พ่าย อาร์เซน่อล 2-1 ที่สนามวิลล่า พาร์ค เมื่อวันพุธที่ 21 ธันวาคม 2011

จากการที่ต้องการอีก 11 ประตูจะถึงจำนวน 20,000 ลูกก่อนลงสนามในเกมวันพุธทั้ง 7 คู่ กลายเป็นมิดฟิลด์วัย 22 ปี ที่ สามารถจารึกชื่อลงในประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ หลังจากเขาฉกบอลจากการผ่านของโธมัส แฟร์มาเล่น ปราการหลัง "ไอ้ปืนใหญ่" เข้าไปยิงผ่าน วอจเซียค เซคเซสนี่ นายทวารชาวโปแลนด์ เข้าตุงตาข่ายนาทีที่ 54

การทำประตูนี้นับเป็นลูกที่ 2 ของมาร์ค อัลไบรท์ตัน ในซีซั่น2011-2012 พร้อมรับเช็กมูลค่า 20,000 ปอนด์ (ประมาณ 1 ล้านบาท)จากสปอร์นเซอร์ของพรีเมียร์ลีก โดยเขาเผยว่าจะนำเงินดังกล่าวไปบริจาคให้การกุศลต่อไป

เท็ดดี้ เชอริงแฮม เล่นให้ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ยิง 22 ประตู เป็นดาวซัลโวคนแรกฤดูกาล 1992-1993

อลัน เชียเรอร์เป็นนักเตะ ที่อายุน้อยที่สุดที่ทำแฮททริกได้ในลีกสูงสุดของประเทศ เพียง 17 ปี กับอีก 240 วัน เชียเรอร์ทำแฮททริก ในเกมที่นักบุญเอาชนะทีมอย่างอาร์เซนอล 4-2 ในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1988

อลัน เชียเรอร์เป็นนักเตะ ที่อายุน้อยที่สุดที่ทำแฮททริกได้ในลีกสูงสุดของประเทศ เพียง 17 ปี กับอีก 240 วัน เชียเรอร์ทำแฮททริก ในเกมที่นักบุญเอาชนะทีมอย่างอาร์เซนอล 4-2 ในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1988


  • อาร์เซนอลเป็น 1 ใน 4 สโมสรของอังกฤษ ที่ได้แชมป์ลีกติดต่อกันมากที่สุด คือ 3 ครั้ง ในฤดูกาล 1932-33, 1933-34, 1934-35
  • ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2001-02 อาร์เซนอลสามารถทำประตูได้ในทุกนัด เป็นสถิติสูงสุดของลีก
  • ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2001-02 อาร์เซนอลชนะติดต่อกัน 14 นัด เป็นสถิติสูงสุดของพรีเมียร์ลีก (มีอีก 3 สโมสรคือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, บริสตอลซิตี้, เปรสตันอร์ธเอนด์ ที่ทำสถิติชนะติดต่อกัน 14 นัดเช่นกัน แต่ทั้งหมดนั้นเป็นสถิติในดิวิชั่น 2)
  • ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2003-04 อาร์เซนอลไม่แพ้ใครตลอดฤดูกาล 38 นัด (ชนะ 26 เสมอ 12) เป็นครั้งแรกของพรีเมียร์ลีก และครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษต่อจาก เปรสตัน นอร์ธเอนด์ ในฤดูกาล 1888-89 ซึ่งขณะนั้นมีการแข่งขันเพียง 22 นัดต่อฤดูกาล
  • อาร์เซนอลไม่แพ้ใครเลยในพรีเมียร์ลีกติดต่อกัน 49 นัด ระหว่างฤดูกาล 2002-03, 2003-04, 2004-05

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA