ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ)"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 12: บรรทัด 12:
ในรัฐบาลที่มี พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี พระยาฤทธิอัคเนย์ ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ[[กระทรวงเกษตราธิการ]] ถึง 2 สมัย
ในรัฐบาลที่มี พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี พระยาฤทธิอัคเนย์ ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ[[กระทรวงเกษตราธิการ]] ถึง 2 สมัย


ต่อมาเมื่อ จอมพล [[ป.พิบูลสงคราม]] ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และในปี [[พ.ศ. 2482]] เกิดกรณี[[กบฏพระยาทรงสุรเดช]] ได้มีการกำจัดนักการเมืองและทหารฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม จอมพล ป. พระยาฤทธิอัคเนย์ ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการในคณะศาลพิเศษที่ถูกตั้งขึ้นมาพิจารณาในกรณีนี้ และได้ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี[[กรมราชทัณฑ์]]ด้วย แต่ต่อมา ก็ต้องลี้ภัยการเมืองไปพำนักอยู่ยังเมือง[[ปีนัง]] [[ประเทศมาเลเซีย]] ด้วยมีรางวัลนำจับจากทางรัฐบาลเป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท ซึ่งพระยาฤทธิอัคเนย์ก็ได้หลบภัยการเมืองจนสิ้นสุด[[สงครามโลกครั้งที่ 2]]
ต่อมาเมื่อ จอมพล [[ป.พิบูลสงคราม]] ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และในปี [[พ.ศ. 2482]] เกิดกรณี[[กบฏพระยาทรงสุรเดช]] ได้มีการกำจัดนักการเมืองและทหารฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม จอมพล ป. พระยาฤทธิอัคเนย์ ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการในคณะศาลพิเศษที่ถูกตั้งขึ้นมาพิจารณาในกรณีนี้ และได้ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี[[กรมราชทัณฑ์]]ด้วย แต่ต่อมา ก็ต้องลี้ภัยการเมืองไปพำนักอยู่ยังเมือง[[ปีนัง]] [[ประเทศมาเลเซีย]] ด้วย ร้อยเอก ชลอ เอมะศิริ หลานชายของตนเองมีชื่อเป็นหนึ่งในผู้ถูกจับกุมด้วย ตัวของพระยาฤทธิอัคเนย์มีรางวัลนำจับจากทางรัฐบาลเป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท ซึ่งพระยาฤทธิอัคเนย์ก็ได้หลบภัยการเมืองจนสิ้นสุด[[สงครามโลกครั้งที่ 2]]


เมื่อ นาย[[ควง อภัยวงศ์]] ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากจอมพล ป. หลังสงคราม นายควงได้ออก[[พระราชบัญญัติ]]นิรโทษกรรมนักโทษการเมือง เมื่อปี [[พ.ศ. 2489]] พระยาฤทธิอัคเนย์จึงได้เดินทางกลับสู่ประเทศไทย โดยปลีกตัวไปปฏิบัติธรรม ศึกษา[[พุทธศาสนา]] ที่[[วัดบางปิ้ง]] [[จังหวัดสมุทรปราการ]] โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวทางโลกและ[[การเมืองไทย|การเมือง]]ใด ๆ อีก จนกระทั่งถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคมะเร็งปอด เมื่อวันที่ [[23 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2509]] เวลา 02.55 น. ณ [[โรงพยาบาลศิริราช]] สิริอายุได้ 74 ปี
เมื่อ นาย[[ควง อภัยวงศ์]] ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากจอมพล ป. หลังสงคราม นายควงได้ออก[[พระราชบัญญัติ]]นิรโทษกรรมนักโทษการเมือง เมื่อปี [[พ.ศ. 2489]] พระยาฤทธิอัคเนย์จึงได้เดินทางกลับสู่ประเทศไทย โดยปลีกตัวไปปฏิบัติธรรม ศึกษา[[พุทธศาสนา]] ที่[[วัดบางปิ้ง]] [[จังหวัดสมุทรปราการ]] โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวทางโลกและ[[การเมืองไทย|การเมือง]]ใด ๆ อีก จนกระทั่งถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคมะเร็งปอด เมื่อวันที่ [[23 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2509]] เวลา 02.55 น. ณ [[โรงพยาบาลศิริราช]] สิริอายุได้ 74 ปี

รุ่นแก้ไขเมื่อ 07:02, 23 ตุลาคม 2555

ไฟล์:Phraya Litakaney.jpg
พระยาฤทธิอัคเนย์

พันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์ สมาชิกคณะราษฎรผู้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ พ.ศ. 2475 จัดเป็น 1 ใน "4 ทหารเสือ" คือ ทหารบกชั้นผู้ใหญ่ เป็นระดับผู้บังคับบัญชาและคุมกำลังพล ซึ่งประกอบด้วย พระยาพหลพลพยุหเสนา, พระยาทรงสุรเดช, พระยาฤทธิอัคเนย์ และพระประศาสน์พิทยายุทธ

พระยาฤทธิอัคเนย์ มีชื่อเดิมว่า สละ เอมะศิริ เกิดเมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2432 เป็นบุตรชายของพระยามนูสารศาสตรบัญชา (ศิริ เอมะศิริ) และ คุณหญิงเหลือบ เอมะศิริ

พระยาฤทธิอัคเนย์เป็นนายทหารปืนใหญ่ ในช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีตำแหน่งเป็น ผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ (ป. 1 รอ.) และถือเป็นผู้เดียวที่มีกองกำลังพลในบังคับบัญชา [1] ในเช้าตรู่ของวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ที่เป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น พระยาฤทธิอัคเนย์ได้ออกคำสั่งให้ทหารปืนใหญ่ในบังคับบัญชาตนเองรวมพลกับทหารม้าจากกรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ (ม. 1 รอ.) และต้อนขึ้นรถบรรทุกเพื่อไปยังลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อลวงเอากำลังมาเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตามแผนของพระยาทรงสุรเดช จึงทำให้แผนการปฏิวัติสำเร็จลุล่วงด้วยดี

หลังจากนั้นแล้ว พระยาฤทธิอัคเนย์ ได้ถูกแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการราษฎร ซึ่งถือได้ว่าเป็นคณะรัฐมนตรีคณะแรกของประเทศไทย โดยมี พระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นนายกรัฐมนตรี

ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ได้เกิดความขัดแย้งกันเองในหมู่คณะราษฎร โดยที่ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีปิดรัฐสภา และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา พระยาทรงสุรเดช 1 ใน 4 ทหารเสือที่มีบทบาทสูงสุดในการปฏิวัติ มีความขัดแย้งกับคณะราษฎรฝ่ายทหารคนอื่น ๆ จึงชักชวนให้พระยาฤทธิอัคเนย์ และพระประศาสน์พิทยายุทธ ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งความขัดแย้งนี้ ต่อมาได้เป็นปฐมเหตุของการรัฐประหารในวันที่ 20 มิถุนายน ปีเดียวกัน[2]

ในรัฐบาลที่มี พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี พระยาฤทธิอัคเนย์ ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ ถึง 2 สมัย

ต่อมาเมื่อ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และในปี พ.ศ. 2482 เกิดกรณีกบฏพระยาทรงสุรเดช ได้มีการกำจัดนักการเมืองและทหารฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม จอมพล ป. พระยาฤทธิอัคเนย์ ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการในคณะศาลพิเศษที่ถูกตั้งขึ้นมาพิจารณาในกรณีนี้ และได้ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ด้วย แต่ต่อมา ก็ต้องลี้ภัยการเมืองไปพำนักอยู่ยังเมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย ด้วย ร้อยเอก ชลอ เอมะศิริ หลานชายของตนเองมีชื่อเป็นหนึ่งในผู้ถูกจับกุมด้วย ตัวของพระยาฤทธิอัคเนย์มีรางวัลนำจับจากทางรัฐบาลเป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท ซึ่งพระยาฤทธิอัคเนย์ก็ได้หลบภัยการเมืองจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2

เมื่อ นายควง อภัยวงศ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากจอมพล ป. หลังสงคราม นายควงได้ออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมนักโทษการเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2489 พระยาฤทธิอัคเนย์จึงได้เดินทางกลับสู่ประเทศไทย โดยปลีกตัวไปปฏิบัติธรรม ศึกษาพุทธศาสนา ที่วัดบางปิ้ง จังหวัดสมุทรปราการ โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวทางโลกและการเมืองใด ๆ อีก จนกระทั่งถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคมะเร็งปอด เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2509 เวลา 02.55 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช สิริอายุได้ 74 ปี

ด้านชีวิตครอบครัว พระยาฤทธิอัคเนย์สมรสกับคุณหญิงอิน ฤทธิอัคเนย์ เมื่อ พ.ศ. 2455 มีบุตรธิดารวมทั้งสิ้น 7 คน

พิธีพระราชทานเพลิงศพพระยาฤทธิอัคเนย์ มีขึ้น ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2510[3]

อ้างอิง

  1. นักเรียนนายร้อยไทยในเยอรมัน ยุค ไกเซอร์ โดย สรศัลย์ แพ่งสภา
  2. จากรัฐประหาร20มิถุนายน2476สู่ความร้าวฉานในคณะราษฎร จากโลกวันนี้
  3. หนังสือ อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์ ป.ม. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส 25 พฤษภาคม 2510