ผลต่างระหว่างรุ่นของ "คาร์เธจ"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
OctraBot (คุย | ส่วนร่วม)
replaceViaLink: คอมมอนส์
บรรทัด 13: บรรทัด 13:


== ประวัติ ==
== ประวัติ ==
เมื่อ 814 ก่อนคริสตกาล ชาวฟินิเชี่ยน หนีการรุกรานของ[[กรีก]]และ[[โรมัน]]โดยการนำของ[[เจ้าหญิงดิโด]] (Dido) หรือ เอลิสซาแห่งเมืองไทร์ (Tyre : เลบานอนในปัจจุบัน) จนมาถึงริม[[ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน]]หรือ[[ประเทศตูนีเซีย]]ในปัจจุบัน ตามตำนานพระนางขอซื้อที่ดินจากทางเมืองเดิม โดยตกลงกันว่าจะขอพื้นที่แค่ผืนหนัง โดยขลิบผืนหนังออกเป็นเส้นเล็กแล้วตีวง ทำให้ได้ที่ดินมากพอจะสร้างเป็นเมืองท่าได้ จนเป็นเมืองคาร์เธจ
เมื่อ 814 ก่อนคริสตกาล ชาวฟินิเชี่ยน หนีการรุกรานของ[[กรีก]]และ[[โรมัน]]โดยการนำของ[[เจ้าหญิงไดโด]] (Dido) หรือ เอลิสซาแห่งเมืองไทร์ (Tyre : เลบานอนในปัจจุบัน) จนมาถึงริม[[ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน]]หรือ[[ประเทศตูนีเซีย]]ในปัจจุบัน ตามตำนานพระนางขอซื้อที่ดินจากทางเมืองเดิม โดยตกลงกันว่าจะขอพื้นที่แค่ผืนหนัง โดยขลิบผืนหนังออกเป็นเส้นเล็กแล้วตีวง ทำให้ได้ที่ดินมากพอจะสร้างเป็นเมืองท่าได้ จนเป็นเมืองคาร์เธจ


ด้วยที่ตั้งที่เหมาะสมจึงทำให้คาร์เธจเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว พวกเขามีความชำนาญด้านการค้า มีสินค้าส่งออกอย่าง [[แร่เงิน]] [[ดีบุก]] และ[[ทองแดง]] จนในกลางศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล การค้าขายของคาร์เธจเจริญสุดขีด พวกเขาได้ทำการค้าขายกับ[[โรมัน]] พวกเขายังชำนาญด้านการเดินเรือ ค้าขายไปถึงเกาะ[[อังกฤษ]] ตอนใต้ของ[[ทวีปแอฟริกา]] และเมืองไทร์ ส่วนด้านการทหารพวกเขาขยายขอบเขตดินแดนทั้งในฝั่งตะวันตกของ[[เกาะซิซิลี]] (Sicily) [[เกาะซาดิเนีย]] (Sardinia) [[เกาะบาเลอาริค]] (Balearic : [[แคว้นคาตาลัน]]ใน[[สเปน]]) และทางตอนใต้ของ[[สเปน]]
ด้วยที่ตั้งที่เหมาะสมจึงทำให้คาร์เธจเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว พวกเขามีความชำนาญด้านการค้า มีสินค้าส่งออกอย่าง [[แร่เงิน]] [[ดีบุก]] และ[[ทองแดง]] จนในกลางศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล การค้าขายของคาร์เธจเจริญสุดขีด พวกเขาได้ทำการค้าขายกับ[[โรมัน]] พวกเขายังชำนาญด้านการเดินเรือ ค้าขายไปถึงเกาะ[[อังกฤษ]] ตอนใต้ของ[[ทวีปแอฟริกา]] และเมืองไทร์ ส่วนด้านการทหารพวกเขาขยายขอบเขตดินแดนทั้งในฝั่งตะวันตกของ[[เกาะซิซิลี]] (Sicily) [[เกาะซาดิเนีย]] (Sardinia) [[เกาะบาเลอาริค]] (Balearic : [[แคว้นคาตาลัน]]ใน[[สเปน]]) และทางตอนใต้ของ[[สเปน]]
บรรทัด 19: บรรทัด 19:
ระบบการปกครองเป็นระบบ[[กษัตริย์]]ตั้งแต่ตั้งเมือง จนถึงปี 480 ก่อนคริสตกาล หลังการตายของ [[ฮามิลก้าที่หนึ่ง]](Hamilca I) ทำให้ระบอบกษัตริย์อ่อนแอเรื่อยมา จนในปี 308 ก่อนคริสตกาล หลังสิ้นสมัยกษัตริย์ [[โบมิลก้า]](Bomilca) จีงเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นแบบ[[สาธารณรัฐ]]
ระบบการปกครองเป็นระบบ[[กษัตริย์]]ตั้งแต่ตั้งเมือง จนถึงปี 480 ก่อนคริสตกาล หลังการตายของ [[ฮามิลก้าที่หนึ่ง]](Hamilca I) ทำให้ระบอบกษัตริย์อ่อนแอเรื่อยมา จนในปี 308 ก่อนคริสตกาล หลังสิ้นสมัยกษัตริย์ [[โบมิลก้า]](Bomilca) จีงเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นแบบ[[สาธารณรัฐ]]


พวกเขามีความขัดแย้งกับ[[กรีก]]และ[[โรมัน]] ทำสงครามกับกรีกหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญคือ [[สงครามเกาะซิซิลี]] (Sicilian wars) ทั้งสามครั้ง ตั้งแต่ปี 480 ถึง 307 ก่อนคริสตกาล ส่วนกับทาง[[โรมัน]] ครั้งที่สำคัญมีอยู่ 3 ครั้งเช่น คือ[[สงครามปูนิค]](Punic wars) ทั้งสามครั้ง ซึ่งในครั้งที่สาม การพ่ายแพ้ของคาร์เธจทำให้ถึงกับสิ้นชาติ ประชาชนส่วนใหญ่ถูกฆ่า ชาวเมืองจาก 5 แสนคนเหลือ 5 หมื่นคน ที่เหลือถูกนำไปขายเป็น[[ทาส]] บ้านเมืองถูกเผา จนแทบไม่เหลือศิลปะสิ่งก่อสร้างให้เห็น จนในสมัย[[จูเลียส ซีซ่าร์]] มาบูรณะคาร์เธจขึ้นมาใหม่โดย[[โรม]]
พวกเขามีความขัดแย้งกับ[[กรีก]]และ[[โรมัน]] ทำสงครามกับกรีกหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญคือ [[สงครามเกาะซิซิลี]] (Sicilian wars) ทั้งสามครั้ง ตั้งแต่ปี 480 ถึง 307 ก่อนคริสตกาล ส่วนกับทาง[[โรมัน]] ครั้งที่สำคัญมีอยู่ 3 ครั้งเช่น คือ[[สงครามพิวนิค]](Punic wars) ทั้งสามครั้ง ซึ่งในครั้งที่สาม การพ่ายแพ้ของคาร์เธจทำให้ถึงกับสิ้นชาติ ประชาชนส่วนใหญ่ถูกฆ่า ชาวเมืองจาก 5 แสนคนเหลือ 5 หมื่นคน ที่เหลือถูกนำไปขายเป็น[[ทาส]] บ้านเมืองถูกเผา จนแทบไม่เหลือศิลปะสิ่งก่อสร้างให้เห็น จนในสมัย[[จูเลียส ซีซ่าร์]] มาบูรณะคาร์เธจขึ้นมาใหม่โดย[[โรม]]


ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1985 นายยูโก้ เวเตเร่ (Ugo Vetere) [[นายกเทศมนตรี]]ของ[[กรุงโรม]]ในขณะนั้น ทำสัญญาสันติภาพอย่างเป็นทางการกับ นายเชดดี้ คลีบิ (Chedly Klibi) นายกเทศมนตรีของตูนีส เพื่อยุติฉากสงครามระหว่างสองชนชาติอย่างเป็นทางการอันยาวนานถึง 2,248 ปี หลังสงครามพิวนิคครั้งที่สาม
ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1985 นายยูโก้ เวเตเร่ (Ugo Vetere) [[นายกเทศมนตรี]]ของ[[กรุงโรม]]ในขณะนั้น ทำสัญญาสันติภาพอย่างเป็นทางการกับ นายเชดดี้ คลีบิ (Chedly Klibi) นายกเทศมนตรีของตูนีส เพื่อยุติฉากสงครามระหว่างสองชนชาติอย่างเป็นทางการอันยาวนานถึง 2,248 ปี หลังสงครามพิวนิคครั้งที่สาม

รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:52, 16 ตุลาคม 2555

คาร์เธจ *
  แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก
ประเทศธงของประเทศตูนิเซีย ตูนิเซีย
ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม
เกณฑ์พิจารณาii, iii, vi
ประวัติการขึ้นทะเบียน
ขึ้นทะเบียน2522 (คณะกรรมการสมัยที่ 3)
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีแหล่งมรดกโลก
** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก

คาร์เธจ (อังกฤษ: Carthage; ละติน: Carthago) เป็นเมืองโบราณ ปัจจุบันตั้งอยู่ในเมืองตูนิส ประเทศตูนีเซีย

ประวัติ

เมื่อ 814 ก่อนคริสตกาล ชาวฟินิเชี่ยน หนีการรุกรานของกรีกและโรมันโดยการนำของเจ้าหญิงไดโด (Dido) หรือ เอลิสซาแห่งเมืองไทร์ (Tyre : เลบานอนในปัจจุบัน) จนมาถึงริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนหรือประเทศตูนีเซียในปัจจุบัน ตามตำนานพระนางขอซื้อที่ดินจากทางเมืองเดิม โดยตกลงกันว่าจะขอพื้นที่แค่ผืนหนัง โดยขลิบผืนหนังออกเป็นเส้นเล็กแล้วตีวง ทำให้ได้ที่ดินมากพอจะสร้างเป็นเมืองท่าได้ จนเป็นเมืองคาร์เธจ

ด้วยที่ตั้งที่เหมาะสมจึงทำให้คาร์เธจเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว พวกเขามีความชำนาญด้านการค้า มีสินค้าส่งออกอย่าง แร่เงิน ดีบุก และทองแดง จนในกลางศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล การค้าขายของคาร์เธจเจริญสุดขีด พวกเขาได้ทำการค้าขายกับโรมัน พวกเขายังชำนาญด้านการเดินเรือ ค้าขายไปถึงเกาะอังกฤษ ตอนใต้ของทวีปแอฟริกา และเมืองไทร์ ส่วนด้านการทหารพวกเขาขยายขอบเขตดินแดนทั้งในฝั่งตะวันตกของเกาะซิซิลี (Sicily) เกาะซาดิเนีย (Sardinia) เกาะบาเลอาริค (Balearic : แคว้นคาตาลันในสเปน) และทางตอนใต้ของสเปน

ระบบการปกครองเป็นระบบกษัตริย์ตั้งแต่ตั้งเมือง จนถึงปี 480 ก่อนคริสตกาล หลังการตายของ ฮามิลก้าที่หนึ่ง(Hamilca I) ทำให้ระบอบกษัตริย์อ่อนแอเรื่อยมา จนในปี 308 ก่อนคริสตกาล หลังสิ้นสมัยกษัตริย์ โบมิลก้า(Bomilca) จีงเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐ

พวกเขามีความขัดแย้งกับกรีกและโรมัน ทำสงครามกับกรีกหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญคือ สงครามเกาะซิซิลี (Sicilian wars) ทั้งสามครั้ง ตั้งแต่ปี 480 ถึง 307 ก่อนคริสตกาล ส่วนกับทางโรมัน ครั้งที่สำคัญมีอยู่ 3 ครั้งเช่น คือสงครามพิวนิค(Punic wars) ทั้งสามครั้ง ซึ่งในครั้งที่สาม การพ่ายแพ้ของคาร์เธจทำให้ถึงกับสิ้นชาติ ประชาชนส่วนใหญ่ถูกฆ่า ชาวเมืองจาก 5 แสนคนเหลือ 5 หมื่นคน ที่เหลือถูกนำไปขายเป็นทาส บ้านเมืองถูกเผา จนแทบไม่เหลือศิลปะสิ่งก่อสร้างให้เห็น จนในสมัยจูเลียส ซีซ่าร์ มาบูรณะคาร์เธจขึ้นมาใหม่โดยโรม

ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1985 นายยูโก้ เวเตเร่ (Ugo Vetere) นายกเทศมนตรีของกรุงโรมในขณะนั้น ทำสัญญาสันติภาพอย่างเป็นทางการกับ นายเชดดี้ คลีบิ (Chedly Klibi) นายกเทศมนตรีของตูนีส เพื่อยุติฉากสงครามระหว่างสองชนชาติอย่างเป็นทางการอันยาวนานถึง 2,248 ปี หลังสงครามพิวนิคครั้งที่สาม

อ้างอิง

แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link GA