ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กามสูตร"
ล โรบอต เพิ่ม: xmf:კამა სუტრა |
ล r2.7.2) (โรบอต เพิ่ม: sa:कामसूत्रम् |
||
บรรทัด 81: | บรรทัด 81: | ||
[[ro:Kama Sutra]] |
[[ro:Kama Sutra]] |
||
[[ru:Камасутра]] |
[[ru:Камасутра]] |
||
[[sa:कामसूत्रम्]] |
|||
[[sh:Kama sutra]] |
[[sh:Kama sutra]] |
||
[[simple:Kama Sutra]] |
[[simple:Kama Sutra]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 01:31, 31 กรกฎาคม 2555
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
กามสูตร (สันสกฤต: कामसूत्र, กามสูตฺร) เป็นคัมภีร์อินเดียสมัยโบราณ ว่าด้วยเพศศึกษา หรือพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นผลงานมาตรฐานว่าด้วยความรัก ในวรรณคดีสันสกฤต เขียนโดยวาตสยายน (วาต-สยา-ยะ-นะ) โดยมีชื่อเต็มว่า "วาตฺสฺยายน กาม สูตฺร" (คัมภีร์ว่าด้วยความรักของวาตสยายน) นอกจากนี้ยังมีความสำคัญในด้านสังคมวิทยา และแพทยศาสตร์ ด้วย
เชื่อกันว่า วาตสยายน ผู้เขียนคัมภีร์เล่มนี้ มีชีวิตอยู่ในราว คริสต์ศตวรรษ ที่ 1 - 6 อาจจะอยู่ในสมัยคุปตะ ของอินเดีย แต่ไม่สามารถระบุเวลาได้แน่ชัด
คัมภีร์กามสูตรประกอบด้วยโศลก 1,250 บท แบ่งเป็น 7 อธิกรณ์ (ภาค), 14 ปกรณ์ (ตอน) และ 36 อธยายะ (บท) ดังนี้
- สาธารณะ (साधारण Sadharna) (5 บท) ว่าด้วยความรัก การจำแนกประเภทของสตรี
- สัมปรโยคิกะ (सांप्रयोगिक Samparayogika) (10 บท) ว่าด้วยการจูบ การเล้าโลม การแสดงท่าร่วมรัก
- กันยาสัมปรยุกตกะ (कन्यासंप्रयुक्तक Kanya Samprayuktaka) (5 บท) ว่าด้วยการเลือกหาภรรยา การเกี้ยวพาราสี และการแต่งงาน
- ภารยาธิการิกะ (भार्याधिकारिक Bharyadhikarika) (2 บท) ว่าด้วยการประพฤติตัวอย่างเหมาะสมของภรรยา
- ปารทาริก (पारदारिक Paradika) (6 บท) ว่าด้วยการแอบมีชู้กับภรรยาคนอื่น หลักศีลธรรม
- ไวศิกะ (वैशिक Vaishika) (6 บท) ว่าด้วยหญิงคณิกา โสเภณี
- เอาปนิษทิกะ (औपनिषदिक Aupaniṣadika) (2 บท) ว่าด้วยการสร้างเสน่ห์ให้ตนเอง
กามสูตรกล่าวถึงท่าทางการร่วมเพศ 64 ท่า โดยเป็นการรวมวิธีร่วมรัก 8 วิธี และท่าเฉพาะของแต่ละวิธี 8 ท่า รวมทั้งหมด 64 ท่า ในคัมภีร์นี้เรียกว่า ศิลปะทั้ง 64 วาตสยายนเชื่อว่าเรื่องเพศนั้นไม่ใช่สิ่งผิด แต่การกระทำที่ผิดศีลธรรมเท่านั้นที่เป็นบาป
คัมภีร์กามสูตร เป็นคำสอนสำหรับหญิงชายที่ให้ความรู้ด้านเพศศึกษาอย่างครบถ้วน และละเอียด อย่างน่าพิศวง นอกจากนี้ยังกล่าวถึงศีลธรรมและการปฏิบัติทางเพศในอินเดียสมัยนั้นด้วย
คัมภีร์เรื่องนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในภาษาอังกฤษ ที่เซอร์ ริชาร์ด ฟรานซิส เบอร์ตัน เมื่อ ค.ศ. 1883