ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โรคอิไตอิไต"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Sasakubo (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 10: บรรทัด 10:


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==
* Almeida, P and Stearns, L (1998). "Political opportunities and local grassroots environmental movement: The case of Minamata". Social Problems 45 (1): 37–60. doi:10.1525/sp.1998.45.1.03x0156z.
* Almeida, P and Stearns, L (1998). "Political opportunities and local grassroots environmental movement: The case of Minamata". Social Problems 45 (1): 37–60. doi:10.1525/sp.1998.45.1.03x0156z..


== แหล่งข้อมูลอื่น ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:44, 4 กรกฎาคม 2555

โรคอิไตอิไต (ญี่ปุ่น: イタイイタイ病โรมาจิitaiitaibyōทับศัพท์: อิไตอิไตเบียว  ; อังกฤษ: Itai-itai disease) เป็นโรคชนิดหนึ่งเกิดจากแคดเมียม ชื่อโรคอิไตอิไต มาจากภาษาญี่ปุ่น แปลว่า เจ็บปวด โรคอิไตอิไต พบครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น เช่นเดียวกับโรคมินามาตะ และโรคคาวาซากิ เนื่องจากผู้ที่ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดจึงเรียกขานว่าโรคอิไตอิไต

ผู้ที่มีโอกาสจะได้รับพิษแคดเมียม คือ คนงานในอุตสาหกรรมชุบหรือเชื่อมโลหะ คนงานเคาะพ่นสีรถยนต์และมอเตอร์ไซด์ ที่มีการใช้ความร้อน หรือเปลวไฟในการเชื่อมเหล็กที่มีแคดเมียมผสมหรือเคลือบอยู่ การสูดไอของโลหะแคดเมียมเข้าไประยะยาว แคดเมียมจะไปสะสมที่กระดูก ทำให้กระดูก ผุมีอาการเจ็บปวดมาก เคยมีชื่อเรียกโรคพิษของแคดเมียมเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า อิไตอิไต ซึ่งแปลว่า เจ็บปวด เมื่อได้รับแคดเมียมสะสมมาก ๆ จะสังเกต เห็นวงสีเหลืองที่โคนของซี่ฟัน ซึ่งจะขยายขึ้นไปเรื่อย ๆจนอาจเต็มซี่ ถ้าขนาดของวงยิ่งกว้างและสียิ่งเข้ม ก็แสดงว่ามีแคดเมียมสะสมมาก มีหลักฐานพิสูจน์ ได้ว่าแคดเมียมออกไซด์เป็นสารก่อมะเร็งที่ไตและต่อมลูกหมาก นอกจากนั้นยังทำอันตรายต่อไต ทำให้สูญเสียประสาทการดมกลิ่นและทำให้ เลือดจาง ถ้าได้รับปริมาณมากระยะสั้น ๆ จะมีอาการจับไข้ หนาว ๆ ร้อน ๆ ปวดศีรษะ อาเจียน อาการนี้จะเป็นได้นานถึง 20 ชั่วโมงแล้วตามด้วยอาการเจ็บหน้า อก ไอรุนแรง น้ำลายฟูม ดังนั้น เมื่อใดมีไอของแคดเมียม เช่น จากการเชื่อมเหล็กชุบ ควรใช้หน้ากากป้องกันไอและฝุ่นของแคดเมียม หรือสารประกอบแคดเมียม ในขณะทำงาน

อ้างอิง

  • Almeida, P and Stearns, L (1998). "Political opportunities and local grassroots environmental movement: The case of Minamata". Social Problems 45 (1): 37–60. doi:10.1525/sp.1998.45.1.03x0156z..

แหล่งข้อมูลอื่น