ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จังหวัดของประเทศไทย"
KamikazeBot (คุย | ส่วนร่วม) ล r2.7.1) (โรบอต เพิ่ม: gl:Provincias de Tailandia |
|||
บรรทัด 218: | บรรทัด 218: | ||
:{{แถบสีสองกล่อง|#E6AF73}} '''04x [[ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ]]''' |
:{{แถบสีสองกล่อง|#E6AF73}} '''04x [[ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ]]''' |
||
::ประกอบด้วย |
::ประกอบด้วย 20 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือทางภูมิศาสตร์ เช่นเดียวกับราชบัณฑิตยสถาน |
||
:::'''042''' - [[อุดรธานี]] [[หนองบัวลำภู]] [[เลย]] [[หนองคาย]] [[บึงกาฬ]] [[สกลนคร]] [[นครพนม]] และ[[มุกดาหาร]] |
:::'''042''' - [[อุดรธานี]] [[หนองบัวลำภู]] [[เลย]] [[หนองคาย]] [[บึงกาฬ]] [[สกลนคร]] [[นครพนม]] และ[[มุกดาหาร]] |
||
:::'''043''' - [[ขอนแก่น]] [[มหาสารคาม]] [[ร้อยเอ็ด]] และ[[กาฬสินธุ์]] |
:::'''043''' - [[ขอนแก่น]] [[มหาสารคาม]] [[ร้อยเอ็ด]] และ[[กาฬสินธุ์]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 00:25, 8 กุมภาพันธ์ 2555
จังหวัด เป็นเขตบริหารราชการส่วนภูมิภาคของประเทศไทย ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 76 จังหวัด[ก] (ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครไม่เป็นจังหวัด[ข]) จังหวัดถือเป็นระดับการปกครองของรัฐบาลลำดับแรก โดยเป็นหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคที่รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอเข้าด้วยกันและมีฐานะเป็นนิติบุคคล ในแต่ละจังหวัดปกครองด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด
การจัดแบ่งกลุ่มจังหวัดออกเป็นภาคต่าง ๆ มีการใช้เกณฑ์ที่แตกต่างกัน โดยมีทั้งการแบ่งอย่างเป็นทางการโดยราชบัณฑิตยสถานสำหรับใช้ในแบบเรียน และการแบ่งขององค์กรต่าง ๆ ตามแต่การใช้ประโยชน์ ชื่อของจังหวัดนั้นจะเป็นชื่อเดียวกับชื่ออำเภอที่เป็นที่ตั้งของศูนย์กลางจังหวัด เช่น ศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดเพชรบุรีอยู่ที่อำเภอเมืองเพชรบุรี เป็นต้น แต่ชื่ออำเภอเหล่านี้มักเรียกย่อแต่เพียงว่า "อำเภอเมือง" ยกเว้นจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ใช้ชื่อจังหวัดเป็นชื่ออำเภอที่ตั้งศูนย์กลางการปกครองโดยตรง (อำเภอพระนครศรีอยุธยา)
หน่วยการปกครองย่อยรองไปจากจังหวัดคือ "อำเภอ" ซึ่งมีทั้งสิ้น 878 อำเภอ ซึ่งจำนวนอำเภอนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละจังหวัด ส่วนเขตการปกครองย่อยของกรุงเทพมหานครมีทั้งหมด 50 เขต
ประวัติ
สมัยก่อนการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2435
พ.ศ. 2435 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้มีการปฏิรูประบบการบริหารราชการแผ่นดินครั้งใหญ่ ให้เป็นไปตามอย่างอารยะประเทศในโลกตะวันตก โดยทรงตั้งกระทรวงขึ้นใหม่ 12 กระทรวง และโอนการปกครองหัวเมืองทั้งหมดให้มาขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (ขณะนั้นดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ) เป็นองค์ปฐมเสนาบดี
เมื่องานการปกครองส่วนภูมิภาคขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยแล้ว การจัดการปกครองด้วยระบบมณฑลเทศาภิบาลจึงได้เริ่มมีขึ้นในปี พ.ศ. 2437 โดยแบ่งระดับการปกครองจากสูดสุงไปหาต่ำสุดเป็นมณฑล, เมือง (เทียบเท่าจังหวัด), อำเภอ, ตำบล และหมู่บ้าน มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้กำกับดูแลมณฑล การก่อตั้งมณฑลนั้นจะเป็นไปตามลำดับโดยขึ้นอยู่กับความเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ด้วย วัตถุประสงค์สำคัญในการจัดการปกครองเช่นนี้ ก็เพื่อให้ส่วนกลางสามารถควบคุมดูแลหัวเมืองและจัดการผลประโยชน์แผ่นดินได้อย่างใกล้ชิด และริดลอนอำนาจและอิทธิพลของเจ้าเมืองในระบบเดิมลงอย่างสิ้นเชิง
การเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองดังกล่าว ทำให้ขุนนางท้องถิ่นที่ต้องการรักษาฐานอำนาจและอิทธิพลของตนไว้ ก่อการกบฏต่อต้านอำนาจรัฐในบางภูมิภาค เหตุการณ์กบฎครั้งสำคัญคือกบฏผู้มีบุญอีสาน (หรือ "กบฎผีบาปผีบุญ") ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2445 โดยอาศัยความเชื่อเรื่องยุคพระศรีอาริยเมตไตรย เป็นเครื่องมือในการปลุกระดมประชาชนให้ต่อต้านอำนาจรัฐ ขบวนการผู้มีบุญได้เคลื่อนไหวตามทั่วภาคอีสาน แต่ที่เป็นเหตุใหญ่ที่สุดอยู่ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งกลุ่มกบฎได้ก่อการถึงขั้นเผาเมืองเขมราฐและบังคับให้เจ้าเมืองเขมราฐร่วมขบวนการ แต่ที่สุดแล้วกบฏครั้งนี้ก็ถูกปราบปรามลงในเวลาไม่กี่เดือนต่อมา
หลังปี พ.ศ. 2459 คำว่า "จังหวัด" ได้กลายเป็นคำที่เรียกหน่วยการปกครองระดับต่ำกว่ามณฑลแทนคำว่า "เมือง" เพื่อแยกความกำกวมจากคำว่าเมืองที่ใช้เรียกที่ตั้งศูนย์กลางการปกครองของจังหวัด (อำเภอเมือง)
เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงลาออกจาตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในปี พ.ศ. 2458 นั้น ประเทศสยามได้แบ่งการปกครองออกเป็น 19 มณฑล 72 จังหวัด ทั้งนี้ ได้รวมถึงจังหวัดพระนคร ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงนครบาลจนถึง พ.ศ. 2465
เดือนธันวาคม พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งหน่วยการปกครองระดับ "ภาค" ขึ้นเพื่อกำกับมณฑล โดยมีผู้ปกครองภาคเรียกว่า "อุปราช" ในระยะนี้ได้มีการตั้งมณฑลต่างๆ เพิ่มขึ้นจนถึงปี พ.ศ. 2465 อีก 4 มณฑล แต่มณฑลดังกล่าวก็ถูกยุบลงในปี พ.ศ. 2468 และมีอีกหลายมณฑลที่ถูกยุบรวมในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อลดรายจ่ายของรัฐบาล อันเนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
สมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศสยามใน พ.ศ. 2475 ระบบมณฑลเทศาภิบาลได้ถูกยกเลิกในปี พ.ศ. 2476 ทำให้จังหวัดกลายเป็นหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคระดับสูงสุด และตั้งแต่หลัง พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา ก็ได้มีการจัดตั้งจังหวัดเพิ่มเติมอีกหลายแห่ง โดยการตัดแบ่งอาณาเขตบางส่วนจากจังหวัดที่มีขนาดใหญ่กว่า เช่น ในปี พ.ศ. 2515 ได้มีการแบ่งพื้นที่บางส่วนของจังหวัดอุบลราชธานีมาจัดตั้งเป็นจังหวัดยโสธร ในปี พ.ศ. 2520ได้มีการแบ่งพื้นที่บางส่วนของจังหวัดเชียงรายมาจัดตั้งเป็นจังหวัดพะเยา ในปี พ.ศ. 2525 ได้มีการแบ่งพื้นที่บางส่วนของจังหวัดนครพนมมาตั้งเป็นจังหวัดจังหวัดมุกดาหาร ในปีพ.ศ. 2536ได้มีการตั้งจังหวัดขึ้นมาพร้อมกัน 3 จังหวัดคือจังหวัดหนองบัวลำภู (แยกจากจังหวัดอุดรธานี) จังหวัดสระแก้ว (แยกจากจังหวัดปราจีนบุรี) และจังหวัดอำนาจเจริญ (แยกจากจังหวัดอุบลราชธานี) และจังหวัดล่าสุดของประเทศไทยคือจังหวัดบึงกาฬซึ่งแยกออกมาจากจังหวัดหนองคายในปีพ.ศ. 2554
ในปี พ.ศ. 2514 ได้มีการรวมจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรีขึ้นเป็นเขตปกครองรูปแบบพิเศษชื่อ "นครหลวงกรุงเทพธนบุรี" และได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กรุงเทพมหานคร" เมื่อ พ.ศ. 2515 ซึ่งเป็นการรวมภารกิจในการปกครองของทั้งสองจังหวัดในรูปแบบเทศบาลเข้าไว้ด้วยกัน ที่มาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้ปกครองสูงสุดของกรุงเทพมหานครนั้น มาจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่การแต่งตั้งจากกระทรวงมหาดไทยอย่างจังหวัดอื่น
การแบ่งอย่างเป็นทางการ
แผนที่ประเทศไทยแสดงเขตรัฐกิจของจังหวัดต่างๆ (คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขยาย)
███ ภาคเหนือ
███ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
███ ภาคกลาง
███ ภาคตะวันออก
███ ภาคตะวันตก
███ ภาคใต้
ราชบัณฑิตยสถาน แบ่งประเทศไทยออกเป็น 6 ภาค โดยใช้เกณฑ์ด้านภูมิศาสตร์[1] ซึ่งเป็นการแบ่งที่ใช้อย่างเป็นทางการ และมีใช้ทั่วไปในแบบเรียน
ภาคเหนือ
มี 9 จังหวัด
- จังหวัดเชียงราย
- จังหวัดเชียงใหม่
- จังหวัดน่าน
- จังหวัดพะเยา
- จังหวัดแพร่
- จังหวัดแม่ฮ่องสอน
- จังหวัดลำปาง
- จังหวัดลำพูน
- จังหวัดอุตรดิตถ์
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
มี 20 จังหวัด
- จังหวัดกาฬสินธุ์
- จังหวัดขอนแก่น
- จังหวัดชัยภูมิ
- จังหวัดนครพนม
- จังหวัดนครราชสีมา
- จังหวัดบึงกาฬ
- จังหวัดบุรีรัมย์
- จังหวัดมหาสารคาม
- จังหวัดมุกดาหาร
- จังหวัดยโสธร
- จังหวัดร้อยเอ็ด
- จังหวัดเลย
- จังหวัดสกลนคร
- จังหวัดสุรินทร์
- จังหวัดศรีสะเกษ
- จังหวัดหนองคาย
- จังหวัดหนองบัวลำภู
- จังหวัดอุดรธานี
- จังหวัดอุบลราชธานี
- จังหวัดอำนาจเจริญ
ภาคกลาง
มี 21 จังหวัด (กรุงเทพมหานครไม่ถือเป็นจังหวัด)
- จังหวัดกำแพงเพชร
- จังหวัดชัยนาท
- จังหวัดนครนายก
- จังหวัดนครปฐม
- จังหวัดนครสวรรค์
- จังหวัดนนทบุรี
- จังหวัดปทุมธานี
- จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
- จังหวัดพิจิตร
- จังหวัดพิษณุโลก
- จังหวัดเพชรบูรณ์
- จังหวัดลพบุรี
- จังหวัดสมุทรปราการ
- จังหวัดสมุทรสงคราม
- จังหวัดสมุทรสาคร
- จังหวัดสิงห์บุรี
- จังหวัดสุโขทัย
- จังหวัดสุพรรณบุรี
- จังหวัดสระบุรี
- จังหวัดอ่างทอง
- จังหวัดอุทัยธานี
ภาคตะวันออก
มี 7 จังหวัด
- จังหวัดจันทบุรี
- จังหวัดฉะเชิงเทรา
- จังหวัดชลบุรี
- จังหวัดตราด
- จังหวัดปราจีนบุรี
- จังหวัดระยอง
- จังหวัดสระแก้ว
ภาคตะวันตก
มี 5 จังหวัด
ภาคใต้
มี 14 จังหวัด
- จังหวัดกระบี่
- จังหวัดชุมพร
- จังหวัดตรัง
- จังหวัดนครศรีธรรมราช
- จังหวัดนราธิวาส
- จังหวัดปัตตานี
- จังหวัดพังงา
- จังหวัดพัทลุง
- จังหวัดภูเก็ต
- จังหวัดระนอง
- จังหวัดสตูล
- จังหวัดสงขลา
- จังหวัดสุราษฎร์ธานี
- จังหวัดยะลา
การแบ่งแบบอื่น
กลุ่มจังหวัด
เป็นการจัดตั้งกลุ่มจังหวัดในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการบริหารงานแบบบูรณาการ โดยริเริ่มจัดตั้งโดยการกำหนดจังหวัดต้นแบบการบริหารงานแบบบูรณาการ (CEO) ในสมัยรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปัจจุบันประเทศไทยแบ่งกลุ่มจังหวัดออกเป็น 18 กลุ่มจังหวัด
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แบ่งประเทศไทยออกเป็น 6 ภาค มีขอบเขตของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้เหมือนกับภูมิภาคทาง ภูมิศาสตร์ แต่ขอบเขตของภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตกแตกต่างไปจากภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ ดังนี้[1]
|
กรมอุตุนิยมวิทยา
กรมอุตุนิยมวิทยา แบ่งประเทศไทยออกเป็น 7 ภาค ดังนี้[2]
|
กรมทางหลวง
กรมทางหลวง แบ่งประเทศไทยออกเป็น 4 ภาค ตามลำดับหมายเลขทางหลวง ได้แก่
|
รหัสโทรศัพท์พื้นฐาน
รหัสไปรษณีย์
กรมไปรษณีย์โทรเลข ได้แบ่งประเทศไทยออกเป็น 9 ภาค ตามระบบรหัสไปรษณีย์
การเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน
แบ่งโดยใช้จำนวนประชากรในกลุ่มแบ่งออกเป็น 8 กลุ่มโดยให้มีจำนวนประชากรใกล้เคียงกันและ ในแต่ละกลุ่มจะต้องมีพื้นที่ต่อเนื่องกันเป็นผืนเดียว
|
กิจการลูกเสือ
|
ผู้ว่าราชการจังหวัด
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นตำแหน่งบังคับบัญชาของจังหวัด เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหาร ระดับสูง (ระดับ 10) สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกระทรวงมหาดไทย จะเป็นผู้พิจารณาและเสนอรายชื่อต่อคณะรัฐมนตรี พิจารณานำทูลเกล้าฯ เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป
เชิงอรรถ
ก. ^ ตามข้อมูลของกรมการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2552 ประเทศไทยแบ่งการปกครองออกเป็น 75 จังหวัด[3] และต่อมา เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554 มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554 ซึ่งทำให้จังหวัดบึงกาฬเป็นจังหวัดที่ 76 ของไทย[4]
ข. ^ กรุงเทพมหานครเป็นองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของราชการส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานครเคยเป็นจังหวัด ซึ่งเป็นราชการส่วนภูมิภาค แต่บัดนี้มิใช่แล้ว
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 การแบ่งภูมิภาคในประเทศไทย
- ↑ สภาพอากาศประเทศไทย กรมอุตุนิยมวิทยา
- ↑ "ประกาศกรมการปกครอง เรื่อง แจ้งข้อมูลทางการปกครอง" (PDF). กรมการปกครอง, กระทรวงมหาดไทย. 4 มีนาคม 2552. สืบค้นเมื่อ 08-05-2010.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "พระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา (ภาษาThai). 128 (18 ก): 1. 2011-03-22.
{{cite journal}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์)
- Tej Bunnag (เตช บุนนาค), The Provincial Administration of Siam 1892-1915, ISBN 0-19-580343-4
ดูเพิ่ม
- จังหวัด
- จังหวัดในประเทศไทยเรียงตามพื้นที่
- จังหวัดในประเทศไทยเรียงตามจำนวนประชากร
- จังหวัดในประเทศไทยเรียงตามความหนาแน่นของประชากร
- ISO 3166-2:TH รหัสซึ่งใช้หมายถึงจังหวัดในประเทศไทย
แหล่งข้อมูลอื่น
- การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล - เว็บไซต์บ้านจอมยุทธ์ดอตคอม
- กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย