ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประเทศฟินแลนด์"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 83: | บรรทัด 83: | ||
[[ภาพ:Eduskunta1907.jpg|thumb|200px|left|การประชุมรัฐสภาครั้งแรก พ.ศ. 2449]] |
[[ภาพ:Eduskunta1907.jpg|thumb|200px|left|การประชุมรัฐสภาครั้งแรก พ.ศ. 2449]] |
||
=== ราชรัฐฟินแลนด์ ภายใต้จักรวรรดิรัสเซีย === |
=== ราชรัฐฟินแลนด์ ภายใต้จักรวรรดิรัสเซีย === |
||
ในปี[[พ.ศ. 2352]] ในช่วงสงครามระหว่างสวีเดนและรัสเซีย กองทัพของจักรพรรดิ[[อเล็กซานเดอร์ที่ 1]] ก็สามารถยึดดินแดนฟินแลนด์ได้อีกครั้ง ฟินแลนด์ดำรงสถานะเป็น[[ดินแดนปกครองตนเอง]] '''[[ราชรัฐฟินแลนด์]]''' ภายใต้จักรวรรดิรัสเซีย (Grand Duchy of Finland; ภาษาฟินแลนด์: ''Suomen suuriruhtinaskunta''; ภาษาสวีเดน: ''Storfurstendömet Finland''; [[ภาษารัสเซีย]]: ''Великое княжество Финляндское'') จนกระทั่งถึงการประกาศ[[เอกราช]]ในปี[[พ.ศ. 2460]] ในยุคของราชรัฐฟินแลนด์ ภาษาฟินแลนด์ได้รับความสำคัญมากขึ้นในฟินแลนด์ อันเป็นผลมาจากความเคลื่อนไหวของขบวนการ[[ชาตินิยม]] จนกระทั่งได้รับสถานะเดียวกับภาษาสวีเดนใน[[พ.ศ. 2435]] ในปี[[พ.ศ. 2449]] ฟินแลนด์เริ่มมีการให้สิทธิเลือกตั้งอย่างเท่าเทียม (ผู้ใหญ่ทุกคนมีสิทธิกันเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ เพศ หรือสถานะทางสังคม) โดยฟินแลนด์เป็นชาติแรกในโลก ที่ให้สิทธิทั้งการเลือกตั้งและการลงเลือกตั้งแก่สตรี<ref>[http://news.bbc.co.uk/2/hi/europe/5036602.stm Finland's trailblazing path for women] บีบีซีนิวส์ 1 มิถุนายน 2549 {{en icon}}</ref> |
ในปี[[พ.ศ. 2352]] ในช่วงสงครามระหว่างสวีเดนและรัสเซีย กองทัพของจักรพรรดิ[[อเล็กซานเดอร์ที่ 1]] ก็สามารถยึดดินแดนฟินแลนด์ได้อีกครั้ง ฟินแลนด์ดำรงสถานะเป็น[[ดินแดนปกครองตนเอง]] '''[[ราชรัฐฟินแลนด์]]''' ภายใต้จักรวรรดิรัสเซีย (Grand Duchy of Finland; ภาษาฟินแลนด์: ''Suomen suuriruhtinaskunta''; ภาษาสวีเดน: ''Storfurstendömet Finland''; [[ภาษารัสเซีย]]: ''Великое княжество Финляндское'') จนกระทั่งถึงการประกาศ[[เอกราช]]ในปี[[พ.ศ. 2460]] ในยุคของราชรัฐฟินแลนด์ ภาษาฟินแลนด์ได้รับความสำคัญมากขึ้นในฟินแลนด์ อันเป็นผลมาจากความเคลื่อนไหวของขบวนการ[[ชาตินิยม]] จนกระทั่งได้รับสถานะเดียวกับภาษาสวีเดนใน[[พ.ศ. 2435]] ในปี[[พ.ศ. 2449]] ฟินแลนด์เริ่มมีการให้สิทธิเลือกตั้งอย่างเท่าเทียม (ผู้ใหญ่ทุกคนมีสิทธิกันเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ เพศ หรือสถานะทางสังคม) โดยฟินแลนด์เป็นชาติแรกในโลก ที่ให้สิทธิทั้งการเลือกตั้งและการลงเลือกตั้งแก่สตรี<ref>[http://news.bbc.co.uk/2/hi/europe/5036602.stm Finland's trailblazing path for women] บีบีซีนิวส์ 1 มิถุนายน 2549 {{en icon}}</ref> |
||
⚫ | |||
=== หลังการประกาศเอกราช === |
=== หลังการประกาศเอกราช === |
||
⚫ | |||
หลังจาก[[การปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917|การปฏิวัติบอลเชวิก]]ในรัสเซียประสบความสำเร็จ รัฐสภาของฟินแลนด์ลงมติเห็นชอบในเรื่องการประกาศเอกราชของฟินแลนด์ ในวันที่ [[6 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2460]] และรัฐบาล[[บอลเชวิก]]รัสเซีย ยอมรับการประกาศเอกราชในเกือบหนึ่งเดือนถัดมา ซึ่ง[[เยอรมนี]]และชาติ[[สแกนดิเนเวีย]]อื่นๆก็ยอมรับการประกาศเอกราชตามมาในทันที หลังจากการประกาศเอกราช ฟินแลนด์ก็ตกอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมือง โดยเกิดการต่อสู้ระหว่างฝ่าย"ขาว" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจักรวรรดิเยอรมนี และฝ่าย"แดง" ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย[[บอลเชวิก]] ฝ่ายขาวนั้นประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่มีฐานะค่อนข้างดี มีความเห็นทางการเมืองค่อนไปทางขวา ในขณะที่ฝ่ายแดงส่วนใหญ่ ซึ่งค่อนข้างจะเป็นฝ่ายซ้ายจะเป็นกลุ่มแรงงาน ฝ่ายขาวชนะสงครามนี้ในเวลาต่อมา ก่อตั้งสาธารณรัฐฟินแลนด์เป็นผลสำเร็จ |
หลังจาก[[การปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917|การปฏิวัติบอลเชวิก]]ในรัสเซียประสบความสำเร็จ รัฐสภาของฟินแลนด์ลงมติเห็นชอบในเรื่องการประกาศเอกราชของฟินแลนด์ ในวันที่ [[6 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2460]] และรัฐบาล[[บอลเชวิก]]รัสเซีย ยอมรับการประกาศเอกราชในเกือบหนึ่งเดือนถัดมา ซึ่ง[[เยอรมนี]]และชาติ[[สแกนดิเนเวีย]]อื่นๆก็ยอมรับการประกาศเอกราชตามมาในทันที หลังจากการประกาศเอกราช ฟินแลนด์ก็ตกอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมือง โดยเกิดการต่อสู้ระหว่างฝ่าย"ขาว" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจักรวรรดิเยอรมนี และฝ่าย"แดง" ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย[[บอลเชวิก]] ฝ่ายขาวนั้นประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่มีฐานะค่อนข้างดี มีความเห็นทางการเมืองค่อนไปทางขวา ในขณะที่ฝ่ายแดงส่วนใหญ่ ซึ่งค่อนข้างจะเป็นฝ่ายซ้ายจะเป็นกลุ่มแรงงาน ฝ่ายขาวชนะสงครามนี้ในเวลาต่อมา ก่อตั้งสาธารณรัฐฟินแลนด์เป็นผลสำเร็จ |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:00, 27 มกราคม 2550
สาธารณรัฐฟินแลนด์ Suomen tasavalta ซูโอเมน ตาซาวัลตา Republiken Finland เรพูบลิเคน ฟินแลนด์ | |
---|---|
คำขวัญ: ไม่มี | |
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | เฮลซิงกิ |
ภาษาราชการ | ภาษาฟินแลนด์ และ ภาษาสวีเดน |
การปกครอง | ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา |
ตาเรีย ฮาโลเนน | |
มัตติ วันฮาเนน | |
ประกาศเอกราช | |
• ประกาศ | 6 ธันวาคม พ.ศ. 2460 |
• เป็นที่ยอมรับ | 3 มกราคม พ.ศ. 2461 |
9.4% | |
ประชากร | |
• 2549 ประมาณ | 5,274,820[1] (112) |
• สำมะโนประชากร 2543 | 5,181,115 |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 2548 (ประมาณ) |
• รวม | 163 พันล้านดอลลาร์ (52) |
• ต่อหัว | 31,208 ดอลลาร์ (13) |
เอชดีไอ (2548) | 0.941 สูงมาก · 13 |
สกุลเงิน | ยูโร (€ €)1 (EUR) |
เขตเวลา | UTC+2 (EET) |
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง) | UTC+3 (EEST) |
รหัสโทรศัพท์ | 358 |
โดเมนบนสุด | .fi2 |
1 ก่อนพ.ศ. 2542: มาร์คคาฟินแลนด์ เงินยูโรเป็นหน่วยเงินของธนาคารตั้งแต่พ.ศ. 2542 มีอยู่ทั่วไปในพ.ศ. 2545 2 มีการใช้.euร่วมกับรัฐสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นๆด้วย |
สาธารณรัฐฟินแลนด์ (Republic of Finland;ภาษาฟินแลนด์: Suomen tasavalta; ภาษาสวีเดน: Republiken Finland) เป็นประเทศกลุ่มนอร์ดิกในทางตะวันออกเฉียงเหนือของยุโรป เขตแดนด้านตะวันตกเฉียงใต้จรดทะเลบอลติก ทางด้านใต้จรดอ่าวฟินแลนด์ ทางตะวันตกจรดอ่าวบอทเนีย ประเทศฟินแลนด์มีชายแดนติดกับประเทศสวีเดน นอร์เวย์ และรัสเซีย สำหรับหมู่เกาะโอลันด์ (Åland) ที่อยู่ห่างจากชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้นั้น อยู่ภายใต้การปกครองของฟินแลนด์ แต่เป็นเขตปกครองตนเอง
ฟินแลนด์มีประชากรเพียง 5 ล้านคน ในพื้นที่ 300,000 ตารางกิโลเมตร นับว่ามีประชากรที่เบาบางมาก นั่นคือ มีความหนาแน่นในอันดับ 162 ของโลก แต่มีดัชนีการพัฒนามนุษย์ ตามสถิติของสหประชาชาติ ปี พ.ศ. 2548 อยู่ในลำดับที่ 13
ชื่อเรียกประเทศฟินแลนด์ในภาษาฟินแลนด์ คือ "ซูโอมิ" (Suomi) สำหรับคำว่า "ฟินแลนด์" (Finland) นั้นเป็นภาษาสวีเดน ส่วนในภาษาละติน เรียกว่า "เฟนเนีย" (Fennia)
ภาษาฟินแลนด์เป็นหนึ่งไม่กี่ภาษาราชการของสหภาพยุโรป ที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดเป็นกลุ่มภาษาอินโด-ยูโรเปียน ร่วมกับภาษาเอสโตเนีย ภาษาฮังการี และภาษามอลตา
ประวัติศาสตร์
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
หลักฐานการตั้งรกรากในดินแดนประเทศฟินแลนด์ปัจจุบัน ย้อนกลับไปได้ถึงราว 8000 ปีก่อนพุทธกาล หลังการสิ้นสุดลงของยุคน้ำแข็ง โดยคนกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งอาศัยอยู่น่าจะเป็นพวกล่าสัตว์-เก็บของป่า เริ่มมีการใช้เครื่องปั้นดินเผาในฟินแลนด์ราวห้าพันปีก่อนพุทธกาล ในช่วงสหัสวรรษหลังจากนั้น ปรากฏการติดต่อและแลกเปลี่ยนกับยุโรปตอนเหนือ และเชื่อว่ามีการพูดภาษายูราลิกในฟินแลนด์แล้วในยุคนี้
ตั้งแต่ประมาณ 2700 ปีก่อนพุทธกาล ดินแดนฟินแลนด์ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากทางใต้ของอ่าวฟินแลนด์ โดยเข้ามาทางตะวันตกเฉียงใต้ของฟินแลนด์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการต่อสู้ด้วยขวาน ต่อมาในยุคสำริด พื้นที่ทางชายฝั่งของฟินแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมสำริดนอร์ดิก ในขณะที่พื้นที่ที่อยู่ห่างจากทะเลเข้าไป ได้รับอิทธิพลการใช้สำริดมาจากตอนเหนือของรัสเซียมากกว่า
ในพุทธศตวรรษที่ 5 พบว่ามีการค้าขายแลกเปลี่ยนกับสแกนดิเนเวียมากขึ้น และการค้นพบวัตถุแบบโรมันจากยุคนี้ด้วย
ภายใต้การปกครองของสวีเดน
การติดต่อระหว่างสวีเดนและฟินแลนด์ ปรากฏขึ้นเด่นชัดตั้งแต่ยุคก่อนที่คริสต์ศาสนาจะเข้ามา อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานของการตั้งรกรากของชาวสแกนดิเนเวียในฟินแลนด์ในยุคไวกิ้ง นอกจากบนหมู่เกาะโอลันด์
สวีเดนเข้าปกครองฟินแลนด์ในปลายพุทธศตวรรษที่ 18 และเริ่มมีการตั้งเมืองขึ้นในทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศที่ตุรกุ (Turku) โดยตุรกุเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของราชอาณาจักรสวีเดนในยุคนั้น ในช่วงศตวรรษนี้ มีชาวสวีเดนจำนวนมากที่เข้ามาตั้งรกรากบริเวณชายฝั่งทางใต้และตะวันตกเฉียงเหนือ บนหมู่เกาะโอลันด์ และหมู่เกาะอื่นๆใกล้เคียง ซึ่งทำให้ภาษาสวีเดนยังคงเป็นภาษาหลักของภูมิภาคนี้มาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ภาษาสวีเดนได้กลายมาเป็นภาษาของชนชั้นสูงในภาคอื่นๆของฟินแลนด์ในยุคนั้นด้วย
ในปีพ.ศ. 2093 กษัตริย์ของสวีเดน สมเด็จพระราชาธิบดีกุสตาฟที่ 1 ได้ทรงก่อตั้งเมืองเฮลซิงกิขึ้นในชื่อ "เฮลซิงฟอร์ส" (Helsingfors) แต่เมืองนี้คงสภาพเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงกว่าสองร้อยปี ชื่อเฮลซิงฟอร์สยังคงเป็นชื่อเมืองเฮลซิงกิในภาษาสวีเดนในปัจจุบัน
ดินแดนฟินแลนด์ถูกยึดครองโดยรัสเซียสองครั้ง ในพุทธศตวรรษที่ 23
ราชรัฐฟินแลนด์ ภายใต้จักรวรรดิรัสเซีย
ในปีพ.ศ. 2352 ในช่วงสงครามระหว่างสวีเดนและรัสเซีย กองทัพของจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 1 ก็สามารถยึดดินแดนฟินแลนด์ได้อีกครั้ง ฟินแลนด์ดำรงสถานะเป็นดินแดนปกครองตนเอง ราชรัฐฟินแลนด์ ภายใต้จักรวรรดิรัสเซีย (Grand Duchy of Finland; ภาษาฟินแลนด์: Suomen suuriruhtinaskunta; ภาษาสวีเดน: Storfurstendömet Finland; ภาษารัสเซีย: Великое княжество Финляндское) จนกระทั่งถึงการประกาศเอกราชในปีพ.ศ. 2460 ในยุคของราชรัฐฟินแลนด์ ภาษาฟินแลนด์ได้รับความสำคัญมากขึ้นในฟินแลนด์ อันเป็นผลมาจากความเคลื่อนไหวของขบวนการชาตินิยม จนกระทั่งได้รับสถานะเดียวกับภาษาสวีเดนในพ.ศ. 2435 ในปีพ.ศ. 2449 ฟินแลนด์เริ่มมีการให้สิทธิเลือกตั้งอย่างเท่าเทียม (ผู้ใหญ่ทุกคนมีสิทธิกันเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ เพศ หรือสถานะทางสังคม) โดยฟินแลนด์เป็นชาติแรกในโลก ที่ให้สิทธิทั้งการเลือกตั้งและการลงเลือกตั้งแก่สตรี[2]
หลังการประกาศเอกราช
หลังจากการปฏิวัติบอลเชวิกในรัสเซียประสบความสำเร็จ รัฐสภาของฟินแลนด์ลงมติเห็นชอบในเรื่องการประกาศเอกราชของฟินแลนด์ ในวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2460 และรัฐบาลบอลเชวิกรัสเซีย ยอมรับการประกาศเอกราชในเกือบหนึ่งเดือนถัดมา ซึ่งเยอรมนีและชาติสแกนดิเนเวียอื่นๆก็ยอมรับการประกาศเอกราชตามมาในทันที หลังจากการประกาศเอกราช ฟินแลนด์ก็ตกอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมือง โดยเกิดการต่อสู้ระหว่างฝ่าย"ขาว" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจักรวรรดิเยอรมนี และฝ่าย"แดง" ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียบอลเชวิก ฝ่ายขาวนั้นประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่มีฐานะค่อนข้างดี มีความเห็นทางการเมืองค่อนไปทางขวา ในขณะที่ฝ่ายแดงส่วนใหญ่ ซึ่งค่อนข้างจะเป็นฝ่ายซ้ายจะเป็นกลุ่มแรงงาน ฝ่ายขาวชนะสงครามนี้ในเวลาต่อมา ก่อตั้งสาธารณรัฐฟินแลนด์เป็นผลสำเร็จ
หลังจากสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง รัฐสภาของฟินแลนด์ ซึ่งไม่มีสมาชิกของพรรคสังคมประชาธิปไตยซึ่งสนับสนุนสาธารณรัฐอยู่เลย ได้ประกาศตั้งราชอาณาจักรฟินแลนด์ขึ้น โดยเลือกเจ้าชายเฟเดอริก ชาลส์ แห่งแฮสส์ของเยอรมนี ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของฟินแลนด์ แต่เมื่อเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ความคิดนี้จึงต้องยกเลิกไป และฟินแลนด์ก็ประกาศเป็นสาธารณรัฐ โดยมีคาร์โล ยุโฮ สโตห์ลเบิร์ก เป็นประธานาธิบดีคนแรก
สงครามโลกครั้งที่สอง
ฟินแลนด์ต่อสู้กับสหภาพโซเวียตสองครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในสงครามฤดูหนาว ระหว่างปีพ.ศ. 2482-2483 และสงครามต่อเนื่อง ในปีพ.ศ. 2484-2487 โดยร่วมมือกับเยอรมนี (อาณาจักรไรช์ที่สาม) ในยุทธการบาร์บารอสซา ทำให้สหราชอาณาจักรประกาศสงครามกับฟินแลนด์ และฟินแลนด์มีสถานะเป็นประเทศฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างไรก็ตาม ฟินแลนด์เปลี่ยนฝ่ายในปีพ.ศ. 2587 เมื่อต่อสู้ขับไล่เยอรมนีออกจากตอนเหนือของฟินแลนด์ในสงครามแลปแลนด์ หลังจากที่เซ็นสัญญาสงบศึกกับโซเวียต
ยุคหลังสงคราม
จากสนธิสัญญาสันติภาพหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ฟินแลนด์ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาลให้กับสหภาพโซเวียต รวมถึงเสียดินแดนจำนวนหนึ่งด้วย ในยุคสงครามเย็น ฟินแลนด์ได้รับอิทธิพลจากโซเวียตอย่างมาก
ฟินแลนด์และประเทศในคณะมนตรีนอร์ดิกเข้าร่วมเปิดเสรีหนังสือเดินทางในปีพ.ศ. 2495 โดยอนุญาตให้ประชาชนของชาติสมาชิกข้ามพรมแดนโดยไม่ต้องมีหนังสือเดินทาง (ขณะนั้นฟินแลนด์ยังไม่ได้เข้าร่วมคณะมนตรี) โดยฟินแลนด์เข้าร่วมคณะมนตรีนอร์ดิกในปี พ.ศ. 2498
แม้ว่าฟินแลนด์จะได้อิทธิพลจากโซเวียตเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงรักษาประชาธิปไตยและเศรษฐกิจระบบตลาดเสรีไว้ได้ ซึ่งต่างจากประเทศส่วนใหญ่ที่อยู่ติดกับสหภาพโซเวียต ความเสียหายจากสงคราม รวมถึงการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการที่ต้องจ่ายค่าเสียหายจำนวนมาก ทำให้ฟินแลนด์พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจากกสิกรรมมาเป็นอุตสาหกรรม รวมถึงสร้างระบบสวัสดิการสังคมที่ดีได้ในเวลาไม่กี่สิบปี
หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตล่มสลายลง ฟินแลนด์ก็ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจจากการที่การค้าทวิภาคีจำนวนมหาศาลหายไปอย่างรวดเร็ว ฟินแลนด์ยื่นใบสมัครเข้าร่วมสหภาพยุโรปในปีพ.ศ. 2535 หลังจากที่สวีเดนยื่นไปก่อนหน้านั้นและโซเวียตล่มสลายลง ฟินแลนด์เข้าร่วมสหภาพพร้อมกับสวีเดนและออสเตรียในปีพ.ศ. 2538
การเมืองการปกครอง
ฟินแลนด์ปกครองในระบอบสาธารณรัฐ โดยใช้ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน มีรัฐสภา และใช้ระบอบกึ่งประธานาธิบดี ประมุขของประเทศคือประธานาธิบดีมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องของนโยบายต่างประเทศ อำนาจบริหารส่วนใหญ่จะอยู่ที่คณะรัฐมนตรี นำโดยนายกรัฐมนตรี
รัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญของประเทศฟินแลนด์ (ภาษาฟินแลนด์: Suomen perustuslaki; ภาษาสวีเดน: Finlands grundlag) ฉบับแรกมีใช้ในปีพ.ศ. 2462 ไม่นานจากประกาศอิสรภาพจากรัสเซีย ไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตลอด 50 ปีแรกของการใช้รัฐธรรมนูญ การปฏิรูปรัฐธรรมนูญครั้งสำคัญเริ่มในปีพ.ศ. 2526 หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง รวมถึงการเริ่มใช้ระบบเลือกตั้งประธาธิบดีโดยตรง
ในปีพ.ศ. 2538 ฟินแลนด์เริ่มตั้งคณะทำงานรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2543 เพื่อศึกษาการปรับปรุงรัฐธรรมนูญ และต่อมาก็ตั้งคณะกรรมการรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2543 เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คณะกรรมการเสร็จสิ้นการทำงานในปีพ.ศ. 2541 ในรูปของร่างรัฐธรรมนูญ หลังจากนั้น คณะกรรมการกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ทำการพิจารณาร่าง รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภาในผ่านการอนุมัติจากประธานาธิบดีของสาธารณรัฐ ในปีพ.ศ. 2542 เริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2543 และยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน
ในฟินแลนด์ไม่มีศาลรัฐธรรมนูญและฝ่ายตุลาการไม่มีอำนาจในการประกาศว่ากฎหมายใดขัดรัฐธรรมนูญ อำนาจในการตีความว่ากฎหมายนั้นสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญหรือไม่อยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภาเท่านั้น โครงสร้างนี้พบได้ไม่บ่อยนักในรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตย นอกจากฟินแลนด์แล้ว ประเทศอื่นในยุโรปที่ไม่มีศาลรัฐธรรมนูญได้แก่ สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน
ฝ่ายบริหาร
อำนาจบริหารของฟินแลนด์อยู่ที่ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ (ภาษาฟินแลนด์: Suomen Tasavallan Presidentti; ภาษาสวีเดน: Republiken Finlands President) และคณะรัฐมนตรี (ภาษาฟินแลนด์: Valtioneuvosto; ภาษาสวีเดน: Statsrådet) ประธานาธิบดีได้รับเลือกโดยตรง ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 6 ปี มีหน้าที่รับผิดชอบนโยบายต่างประเทศ รับรองกฎหมาย แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีของฟินแลนด์และรัฐมนตรีอื่นๆอย่างเป็นทางการ และดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังของฟินแลนด์ด้วย อย่างไรก็ตาม กิจการภายในสหภาพยุโรปไม่รวมอยู่ในอำนาจหน้าที่ของประธานาธิบดี แต่เป็นของคณะรัฐมนตรี
ในคณะรัฐมนตรีจะมีตำแหน่งผู้ตรวจการ (ภาษาฟินแลนด์: Oikeuskansleri; ภาษาสวีเดน: Justitiekanslern) ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ เช่น ประธานาธิบดี คณะรัฐมนตรี รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐการทั่วไป ผู้ตรวจการจะเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีในฐานะสมาชิกที่ไม่มีสิทธิออกเสียง ตำแหน่งนี้และผู้ช่วยแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี โดยไม่มีการหมดวาระตลอดชีวิต
รัฐสภา
รัฐสภาของฟินแลนด์ (ภาษาฟินแลนด์: Eduskunta; ภาษาสวีเดน: Riksdag) เป็นระบบสภาเดี่ยว มีสมาชิก 200 คน ภายใต้รัฐธรรมนูญของฟินแลนด์ รัฐสภามีอำนาจการตัดสินใจสูงสุดในประเทศ โดยถือว่าอำนาจการปกครองอยู่ที่ประชาชน และใช้อำนาจผ่านรัฐสภา รัฐสภามีหน้าที่ผ่านกฎหมาย กำหนดงบประมาณรัฐ ยอมรับสนธิสัญญาระหว่างประเทศ และดูแลการดำเนินงานของรัฐบาล รัฐสภาสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถอดถอนคณะรัฐมนตรี และดำเนินการหลังการใช้สิทธิยับยั้ง (วีโต้) ของประธานาธิบดีได้ การตรากฎหมายสามารถเริ่มโดยคณะรัฐมนตรี หรือสมาชิกของรัฐสภา การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาสองครั้ง โดยสภาสองสมัยติดต่อกัน (หมายความว่า เห็นชอบโดยรัฐสภาชุดปัจจุบัน และชุดหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า)
สมาชิกรัฐสภาดำรงตำแหน่งเป็นเวลาสี่ปี การเลือกตั้งในฟินแลนด์จะแบ่งออกเป็น 16 เขตเลือกตั้ง โดยจำนวนสมาชิกสภาของแต่ละเขตขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรในเขตนั้นๆ สมาชิกของแต่ละเขตได้รับเลือกโดยแบ่งตามอัตราส่วนตามระบบบัญชีรายชื่อแบบเปิด หมู่เกาะโอลันด์จะมีตัวแทนในรัฐสภาหนึ่งที่เสมอ การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2550[3] โดยทั่วไปการเลือกตั้งจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่สามของเดือนมีนาคม
สมาชิกรัฐสภาประชุมกันที่อาคารรัฐสภา (ภาษาฟินแลนด์: Eduskuntatalo; ภาษาสวีเดน: Riksdagshuset) ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเฮลซิงกิ
พรรคการเมือง
ฟินแลนด์มีระบบการเมืองแบบหลายพรรค โดยมีพรรคการเมืองใหญ่สามพรรค โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีพรรคใดได้เสียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว และจะต้องร่วมมือกับพรรคอื่นในการจัดตั้งรัฐบาลผสม พรรคการเมืองที่มีสมาชิกในรัฐสภาได้แก่
ชื่อภาษาอังกฤษ | ชื่อภาษาฟินแลนด์ | ชื่อภาษาสวีเดน | ปีที่ก่อตั้ง | จำนวนสมาชิกในรัฐสภา |
---|---|---|---|---|
Center Party | Keskusta | Centern i Finland | พ.ศ. 2449 | |
Social Democratic Party of Finland | Suomen Sosialidemokraattinen Puolue | Finlands Socialdemokratiska Parti | พ.ศ. 2442 | |
The National Coalition Party | Kansallinen Kokoomus | Samlingspartiet | พ.ศ. 2458 | |
Left Alliance | Vasemmistoliitto | Vänsterförbundet | พ.ศ. 2533 | |
Green League | Vihreä liitto | Gröna förbundet | พ.ศ. 2530 | |
Swedish People's Party | Ruotsalainen kansanpuolue | Svenska folkpartiet | พ.ศ. 2449 | |
Christian Democrats | Kristillisdemokraatit | Kristdemokraterna | พ.ศ. 2503 | |
True Finns | Perussuomalaiset | Sannfinländarna | พ.ศ. 2538 |
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
นโยบายการต่างประเทศของฟินแลนด์โดยหลักแล้วมีพื้นฐานอยู่ที่การเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ฟินแลนด์ยังเป็นสมาชิกของคณะมนตรีนอร์ดิก และมีความร่วมมือระหว่างประเทศในกลุ่มนอร์ดิกมาอย่างยาวนาน ฟินแลนด์มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน สวีเดน นอร์เวย์ รัสเซีย และเอสโตเนีย และไม่มีปัญหาเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศหรือตามแนวชายแดน ฟินแลนด์วางสถานะเป็นกลางและไม่เข้าร่วมในพันธมิตรทางการทหารใด รวมถึงองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ การค้าระหว่างประเทศมีความสำคัญต่อฟินแลนด์ โดยมีผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศถึงหนึ่งในสาม และฟินแลนด์ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ
การแบ่งเขตการปกครอง
ชุมชนและภูมิภาค
ฟินแลนด์มีการแบ่งการปกครองเป็นสองระดับ ได้แก่ รัฐ และ 432 เทศบาล (ภาษาฟินแลนด์: kunta; ภาษาสวีเดน: kommun) โดยเทศบาลนั้นอยู่ในระดับการปกครองเดียวกับเมือง เว้นแต่ว่าเทศบาลในเขตชนบทจะไม่เรียกว่าเป็นเมือง แม้ว่าทุกเทศบาลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ แต่จะสามารถกระทำการตัดสินใจเองได้ นั่นหมายความว่า หากการตัดสินใจของสภาเทศบาลไม่ผิดกฎหมายแล้ว ก็จะไม่สามารถขัดได้
เทศบาลต่างๆจะประสานงานกันในระดับอนุภูมิภาค(ภาษาฟินแลนด์: seutukunta; ภาษาสวีเดน: ekonomist region) และภูมิภาค (ภาษาฟินแลนด์: maakunta; ภาษาสวีเดน: landskap) โดยมี 74 อนุภูมิภาคและ 20 ภูมิภาคในฟินแลนด์ อนุภูมิภาคและภูมิภาคปกครองโดยชุมชนที่เป็นสมาชิก ภูมิภาคโอลันด์มีสภาเทศบาลถาวรที่มาจากการเลือกตั้ง จากการที่เป็นเขตปกครองตนเอง ในภูมิภาคไกนู (Kainuu) มีโครงการนำร่องที่มีการเลือกตั้งในระดับภูมิภาคที่ใกล้เคียงกัน
จังหวัด
ฟินแลนด์ยังมีการแบ่งการปกครองออกเป็น 6 จังหวัด (ภาษาฟินแลนด์: läänit; ภาษาสวีเดน: län)และ 90 เขตปกครองท้องถิ่นของรัฐ โดยที่เจ้าหน้าที่จังหวัดเป็นเจ้าหน้าที่แต่งตั้งจากรัฐบาลกลาง การแบ่งจังหวัดนั้นเป็นเรื่องของการปกครองเท่านั้น ไม่ได้สะท้อนการแบ่งเขตทางภาษาและวัฒนธรรมแต่อย่างใด จังหวัดของฟินแลนด์ได้แก่ (เรียงลำดับตามภาพด้านขวา)
ภูมิศาสตร์
ภูมิประเทศ
ฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีทะเลสาบและเกาะเป็นจำนวนมาก โดยมีทะเลสาบถึง 187,888 แห่ง[4][5] (ที่มีเนื้อที่มากกว่า 500 ตารางเมตร) และมีเกาะถึง 179,584 เกาะ[5] โดยทะเลสาบไซมา ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในฟินแลนด์ เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับห้าของยุโรป ภูมิประเทศทั่วไปของฟินแลนด์มีลักษณะเป็นที่ราบ ไม่มีภูเขามากนัก จุดสูงสุดของประเทศอยู่ที่ภูเขาฮัลติ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเขตแลปแลนด์ โดยมีความสูง 1,328 เมตร[1] นอกจากทะเลสาบแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ของฟินแลนด์ปกคลุมด้วยป่าสน และมีพื้นที่เพาะปลูกไม่มากนัก ฟินแลนด์มีเกาะที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ บริเวณหมู่เกาะโอลันด์ และตลอดแนวชายฝั่งทางใต้ในอ่าวฟินแลนด์ ฟินแลนด์เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศของโลกที่ยังคงมีขนาดใหญ่ขึ้น จากการยกตัวของแผ่นดินที่มีผลมาตั้งแต่ยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย
ภูมิอากาศ
ภูมิอากาศทางตอนใต้ของฟินแลนด์เป็นแบบเขตอบอุ่น ทางตอนเหนือ โดยเฉพาะในเขตจังหวัดแลปแลนด์ มีภูมิอากาศแบบป่าสนหรือกึ่งอาร์กติก ซึ่งโดยทั่วไปจะหนาวเย็น มีฤดูหนาวที่รุนแรงในบางครั้ง และมีฤดูร้อนที่ค่อนข้างอบอุ่นโดยเปรียบเทียบ ฟินแลนด์ได้รับอิทธิพลจากกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมเพราะอยู่ใกล้มหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้มีภูมิอากาศที่ค่อนข้างอบอุ่นเมื่อเปรียบเทียบกับละติจูดที่อยู่สูงมาก
เนื้อที่ราวหนึ่งในสี่ของประเทศฟินแลนด์ตั้งอยู่เหนืออาร์กติกเซอร์เคิล ทำให้เกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนได้ ในจุดที่เหนือที่สุดของฟินแลนด์ พระอาทิตย์ไม่ตกดินเป็นเวลา 73 วันในช่วงฤดูร้อน และไม่ขึ้นเลยเป็นเวลา 51 วันในช่วงฤดูหนาว[5][6]
เศรษฐกิจและอุตสาหกรรม
ในอดีต นโยบายการค้าขายของฟินแลนด์อยู่ในกรอบของการไม่ไปกระตุ้นยักษ์ใหญ่อย่างจักรวรรดิรัสเซีย และต่อมา สหภาพโซเวียต ถึงกระนั้นก็ตาม ฟินแลนด์ได้กลายเป็นประเทศที่มีขยายอำนาจทางเศรษฐกิจได้กว้างไกลที่สุดประเทศหนึ่งของโลกในเวลาต่อมา
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ฟินแลนด์มีเศรษฐกิจที่เป็นอุตสาหกรรมและเป็นตลาดเสรี ซึ่งมีผลผลิตต่อประชากรสูงไม่ต่างจากเศรษฐกิจในโลกตะวันตกอื่นๆ ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่การผลิตไม้ โลหะ วิศวกรรม โทรคมนาคม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การค้าของฟินแลนด์มีส่วนถึงหนึ่งในสามของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ นอกจากป่าไม้และแร่ธาตุบางอย่างแล้ว ฟินแลนด์ต้องพึ่งพาการนำเข้าว้ตถุดิบและพลังงาน รวมถึงส่วนประกอบของสินค้าอุตสาหกรรมบางอย่าง
ในปีพ.ศ. 2534 ฟินแลนด์ประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก จากความร้อนแรงเกินควรของเศรษฐกิจ ตลาดต่างประเทศที่ซบเซา และการสิ้นสุดลงของการค้าขายแบบแลกเปลี่ยนกับอดีตสหภาพโซเวียต เนื่องด้วยก่อนปี 2534 การค้าขายมากกว่าหนึ่งในห้าของฟินแลนด์เกิดขึ้นกับสหภาพโซเวียต และการค้าขายนั้นสิ้นสุดลงในช่วงสองปี ในปี 2535 และ 2536 ฟินแลนด์ลดค่าเงินมาร์คคาเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากขึ้น ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำถึงจุดต่ำสุดในปี 2536 จากนั้นก็มีการเจริญเติบโตขึ้นจนถึงปี 2538 ตั้งแต่นั้นมา ฟินแลนด์ก็อยู่ในกลุ่มที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดในประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี)
เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่ไม่เหมาะสม ทำให้การทำเกษตรกรรมถูกจำกัดอยู่เพียงการผลิตเพื่อเพียงพอต่อการบริโภคเท่านั้น การทำป่าไม้จึงเป็นอาชีพอันดับสองของประชากรในเขตชนบท
ฟินแลนด์เป็นหนึ่งใน 11 ประเทศที่ร่วมใช้ระบบเงินยูโรในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2542 สกุลเงินมาร์คคาฟินแลนด์ได้ถูกนำออกจากระบบและทดแทนโดยเงินยูโรในต้นปี 2545
ฟินแลนด์ได้รับการประกาศให้เป็นประเทศที่มีขีดการแข่งขันสูงที่สุดในโลกสามปีติดต่อกันในปี 2546-2548 โดยเวิลด์อิโคโนมิกฟอรั่ม (World Economic Forum)[7] ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีความสนใจไปที่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะในเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวได้ว่าบริษัทโนเกียของฟินแลนด์เป็นส่วนประกอบสำคัญในสาขาสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ นั่นคือภาคโทรคมนาคม
การคมนาคม
จากข้อมูลถึงปีพ.ศ. 2548 ถนนสาธารณะทั้งหมดของประเทศมีความยาว 78,189 กิโลเมตร[8] ทางรถไฟทั้งประเทศมีความยาว 5,741 กิโลเมตร[8] โดยในเฮลซิงกิมีระบบรถไฟในเมือง และในปัจจุบันกำลังมีโครงการสร้างไลท์เรลในเมืองตัมเปเร และตุรกุ ฟินแลนด์มีสนามบิน 148 แห่ง[9] โดยสนามบินที่ใหญ่ที่สุดคือท่าอากาศยานเฮลซิงกิ-วันตา
ระบบรถไฟในฟินแลนด์ให้บริการโดยรัฐวิสาหกิจ "เวแอร" (VR) โดยให้บริการรถไฟเชื่อมต่อเมืองต่างๆทั่วประเทศ เส้นทางรถไฟส่วนใหญ่จะเริ่มต้นหรือสิ้นสุดทางที่สถานีรถไฟกลางเฮลซิงกิ มีบริการรถไฟความเร็วสูงเพนโดลีโน เชื่อมต่อเมืองหลักของประเทศ โดยเฉพาะตัมเปเรและตุรกุ ท่่าอากาศยานเฮลซิงกิ-วันตา เป็นประตูสู่เมืองหลักๆของโลกหลายแห่ง โดยมีเที่ยวบินตรงไปยังกรุงเทพฯ ปักกิ่ง เดลี กวางเจา นาโกย่า นิวยอร์ก โอซะกะ เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง และโตเกียว
ประชากร
ฟินแลนด์มีประชากรประมาณ 5 ล้านคน และมีความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ราว 16 คนต่อตารางกิโลเมตร โดยเป็นประเทศที่มีประชากรเบาบางที่สุดในยุโรปรองจากนอร์เวย์และไอซ์แลนด์ ประชากรของฟินแลนด์กระจุกตัวอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ โดยเฉพาะในมหานครเฮลซิงกิ มีประชากรถึง 1.2 ล้านคน คิดเป็นความหนาแน่นถึง 415 คนต่อตารางกิโลเมตร (ในส่วนของตัวเมืองเฮลซิงกิมีความหนาแน่นถึงสามพันคนต่อตารางกิโลเมตร) ในขณะที่ทางตอนเหนือในเขตแลปแลนด์ มีประชากรเพียงสองคนต่อตารางกิโลเมตรเท่านั้น เมืองใหญ่อื่นๆนอกจากในเขตมหานครเฮลซิงกิ (ซึ่งรวมถึงเมืองวันตาและเอสโป) ได้แก่ตัมเปเร ตุรกุ และโอวลุ
ประชากรฟินแลนด์ส่วนใหญ่มีเชื้อสายฟินแลนด์ (ทั้งที่พูดภาษาฟินแลนด์และภาษาสวีเดน นับว่าเป็นเชื้อสายฟินแลนด์) เชื้อสายอื่นๆที่เป็นชนกลุ่มน้อยได้แก่รัสเซีย โรมา ซามิ และทาทาร์
ภาษา
ร้อยละ 92 ของประชากรฟินแลนด์พูดภาษาฟินแลนด์เป็นภาษาแม่้ รองลงมาคือภาษาสวีเดน (ร้อยละ 5.5) และภาษากลุ่มซามิที่พูดทางตอนเหนือในเขตแลปแลนด์ ซึ่งในฟินแลนด์มีพูดกันสามภาษาคือภาษาซามิเหนือ ภาษาซามิอินาริ และภาษาซามิสโกลต์ ภาษาและวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อย (ซึ่งโดยหลักๆก็คือชาวซามิ) ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ชาวฟินแลนด์ส่วนใหญ่จะเรียนภาษาอังกฤษและสามารถสื่อสารได้ดี ภาษาอื่นๆที่มีเรียนเป็นภาษาที่สองมากในฟินแลนด์คือภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส และภาษาสวีเดน (สำหรับคนฟินแลนด์ส่วนใหญ่ที่ไม่ได้พูดภาษาสวีเดน)
ศาสนา
ศาสนาไม่ได้มีอิทธิพลมากนักกับชีวิตทั่วๆไปของชาวฟินแลนด์ ร้อยละ 83.1 ของชาวฟินแลนด์นับถือศาสนาคริสต์นิกายลูเธอรัน และมีส่วนหนึ่ง (ร้อยละ 1.1) นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกส์ สองนิกายนี้เป็นศาสนาประจำชาติของฟินแลนด์ นอกจากนี้ ศาสนาอื่นๆที่มีนับถือในฟินแลนด์ได้แก่นิกายโปรเตสแทนท์อื่นๆ คาทอลิก อิสลาม และยูดาย นอกเหนือจากประชากรร้อยละ 14.7 ที่ไม่นับถือศาสนาใดๆ อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา (เช่นการเข้าโบสถ์) นั้นน้อยกว่าที่เป็นตามตัวเลขนี้พอสมควร ชาวฟินแลนด์ส่วนใหญ่จะเคยเข้าโบสถ์น้อยครั้งมาก ส่วนใหญ่จะเป็นงานพิธีต่างๆเช่นการแ่ต่งงาน
การศึกษา
ระบบการศึกษาของฟินแลนด์ให้ความสำคัญกับความเสมอภาค โดยไม่มีการเก็บค่าเล่าเรียนสำหรับนักเรียนเต็มเวลา ฟินแลนด์มีการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี ตั้งแต่อายุ 7-16 ปี โรงเรียนทุกแห่งจะมีอาหารกลางวันบริการฟรี การเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายไม่บังคับ โดยมีทั้งการเรียนเตรียมอุดมศึกษาสายสามัญ และอาชีวศึกษา และในระดับอุดมศึกษาก็จะมีทั้งมหาวิทยาลัยและโรงเรียนอาชีวศึกษาขั้นสูง จากการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ในปีพ.ศ. 2546 นักเรียนอายุ 15 ปีของฟินแลนด์นั้นทำคะแนนสูงสุดในด้านความสามารถในการอ่านและวิทยาศาสตร์ และได้รับอันดับสองในด้านคณิตศาสตร์และการแก้ปัญหา[10] เวิลด์อิโคโนมิกฟอรัมจัดอันดับการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้เป็นอันดับหนึ่งของโลก[11] ประชากรที่อายุเกิน 15 ปีมีความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ 100 เปอร์เซนต์[12]
วัฒนธรรม
จากการติดต่อกับต่างประเทศตั้งแต่อดีต ชาวฟินแลนด์ได้รับอิทธิพลของยุโรปตะวันตก โดยเฉพาะสวีเดนและเยอรมนี และในระยะที่ผ่านมา อิทธิพลจากทวีปอเมริกาเหนือเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้น ในทางตะวันออกของฟินแลนด์ อิทธิพลของออร์โธดอกซ์จากรัสเซียยังคงปรากฏอยู่ ในปัจจุบัน ชาวฟินแลนด์มีความพยายามที่จะรับวัฒนธรรมจากดินแดนที่ไกลออกไปด้วย เช่นจากทวีปเอเชียหรือทวีปแอฟริกา
ยังคงมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาคของฟินแลนด์ โดยเฉพาะในเรื่องของสำเนียงการพูดและคำศัพท์ ชนกลุ่มน้อยยังคงรักษาขนบธรรมเนียมดั้งเดิมของตนไว้ เช่นชาวซามิ (ชนท้องถิ่นที่อาศัยในดินแดนทางเหนือของประเทศ) และชาวฟินแลนด์เชื้อสายสวีเดน ชาวฟินแลนด์จำนวนมากยังคงมีความผูกพันกับชนบทและธรรมชาติ เพราะวัฒนธรรมชาวเมืองยังเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่นานนัก
การซาวน่าแบบฟินแลนด์ เป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมฟินแลนด์ ในฟินแลนด์มีซาวน่าถึงกว่าสองล้านแห่ง[13] เทียบกับจำนวนประชากรห้าล้านคนของประเทศ โดยเฉลี่ยแล้วจะมีซาวน่าหนึ่งแห่งต่อครัวเรือน สำหรับชาวฟินแลนด์แล้ว ซาวน่าเป็นสถานที่สำหรับผ่อนคลายกับครอบครัวและเพื่อนฝูง และผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ
ดนตรีของฟินแลนด์ได้รับอิทธิพลจากดนตรีดั้งเดิมของคาเรเลีย วัฒนธรรมคาเรเลียเป็นสิ่งสื่อถึงการแสดงออกของตำนานเทพนิยายและความเชื่อของชาวฟินนิก ดนตรีพื้นบ้านของฟินแลนด์ ได้ถูกนำมาทำใหม่โดยวงดนตรีสมัยใหม่ และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของดนตรียอดนิยมในปัจจุบัน ชาวซามิในตอนเหนือของฟินแลนด์มีดนตรีดั้งเดิมของตนเอง
ส่วนหนึ่งของดนตรีฟินแลนด์สมัยใหม่ของฟินแลนด์ที่มีชื่อเสียงคือดนตรีเดธเมทัล เช่นเดียวกับวงดนตรีร็อก นักดนตรีแจ๊ซ และนักแสดงฮิปฮอป ดนตรีที่เป็นที่นิยมของฟินแลนด์ยังรวมไปถึงอุปรากร และดนตรีแดนซ์ วงดนตรีจากฟินแลนด์หลายวงประสบความสำเร็จในวงการดนตรีเฮวีเมทัลและดนตรีร็อกของยุโรปและญี่ปุ่น เช่น วงไนท์วิช อะมอร์ฟิส วัลตาริ เป็นต้น
ในปีพ.ศ. 2549 วงดนตรีลอร์ดิ (Lordi) จากฟินแลนด์ ชนะการประกวดยูโรวิชัน 2006 โดยเป็นชัยชนะครั้งแรกของฟินแลนด์ตลอดยี่สิบปีที่ส่งประกวด เพลงที่ใช้ในการประกวดคือเพลง"ฮาร์ดร็อกฮัลเลลูยา" (Hard Rock Halleluja)[14]
เกร็ดข้อมูล
- ฟินแลนด์ได้รับอันดับสูงสุดในการจัดอันดับเสรีภาพสื่อของรีพอร์ตเตอรส์วิทเอาต์บอร์เดอรส์ (Reporters Without Borders) ทุกปีตั้งแต่เริ่มจัดอันดับในพ.ศ. 2545 โดยในปีพ.ศ. 2549 ฟินแลนด์ได้รับอันดับหนึ่งร่วมกับไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์[15]
- ฟินแลนด์ได้รับอันดับสูงสุดร่วมกับไอซ์แลนด์และนิวซีแลนด์ ในการจัดอันดับการปลอดคอร์รัปชันโดยองค์กรแทรนส์แพเรนซีอินเตอร์เนชันแนล (Transparency International) ประจำปีพ.ศ. 2549 จากทั้งหมด 163 ประเทศ[16] โดยฟินแลนด์เป็นประเทศที่ได้รับอันดับต้นๆในการจัดอันดับทุกครั้ง
- จากการจัดอันดับของเวิลด์ออดิต (World Audit) ฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีการคอร์รัปชันต่ำสุด และเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในโลก[17]
- ฟินแลนด์ได้รับอันดับสองในการจัดอันดับประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงสุด โดยเวิลด์อิโคโนมิกฟอรั่ม (World Economic Forum) ประจำปี 2006-2007[18][19] ก่อนหน้านี้ฟินแลนด์ได้รับอันดับหนึ่งมาสามปีติดต่อกัน[7]
- ต้นกำเนิดของบริษัทโนเกียอยู่ที่เมืองโนเกีย ในประเทศฟินแลนด์
- ในฟินแลนด์ไม่มีการใช้เหรียญ 1 และ 2 ยูโรเซนต์ แต่ยังคงมีการตั้งราคาสินค้าด้วยหน่วย 1 เซนต์อยู่ โดยเมื่อรวมราคาแล้วจะใช้การปัดเศษ
- ด้านประจำชาติของเหรียญยูโรของฟินแลนด์มีสามแบบ (ไม่รวมเหรียญที่ระลึก)ได้แก่ รูปสิงโตซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ (พบบนเหรียญ 1 2 5 10 20 และ 50 เซนต์) รูปหงส์สองตัวบินเหนือภูมิประเทศของฟินแลนด์ (บนเหรียญ 1 ยูโร) และรูปผลและใบของเคลาด์เบอร์รี (บนเหรียญ 2 ยูโร) ทั้งนี้เหรียญ 1 และ 2 เซนต์ มีการผลิตออกมาในจำนวนไม่มากเพื่อการสะสม
-
เหรียญ 1 เซนต์
-
เหรียญ 2 เซนต์
-
เหรียญ 5 เซนต์
-
เหรียญ 10 เซนต์
-
เหรียญ 20 เซนต์
-
เหรียญ 50 เซนต์
-
เหรียญ 1 ยูโร
-
เหรียญ 2 ยูโร
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 สำนักงานสถิติฟินแลนด์ (อังกฤษ)
- ↑ Finland's trailblazing path for women บีบีซีนิวส์ 1 มิถุนายน 2549 (อังกฤษ)
- ↑ ไอเอฟอีเอส อิเล็กชันไกด์ (อังกฤษ)
- ↑ สถาบันสิ่งแวดล้อมฟินแลนด์ (อังกฤษ)
- ↑ 5.0 5.1 5.2 Finland at a glance (อังกฤษ)
- ↑ Finland's climate (อังกฤษ)
- ↑ 7.0 7.1 Finland First in Global Competitiveness Report 2005-2006 BSKR (อังกฤษ)
- ↑ 8.0 8.1 สำนักงานสถิติฟินแลนด์ (อังกฤษ)
- ↑ เวิลด์แฟกต์บุุก (อังกฤษ)
- ↑ คะแนนเฉลี่ย PISA 2003 (อังกฤษ)
- ↑ รายงานของเวิลด์อิโคโนมิกฟอรัม (อังกฤษ)
- ↑ เวิลด์แฟกต์บุก (อังกฤษ)
- ↑ Finnish Sauna (อังกฤษ)
- ↑ Finland celebrates Eurovision win บีบีซีนิวส์ 21 พฤษภาคม 2549 (อังกฤษ)
- ↑ รายงานเสรีภาพสื่อ 2006 (อังกฤษ)
- ↑ ดัชนีการปลอดคอร์รัปชั่น 2006 (อังกฤษ)
- ↑ เวิลด์ออดิต (อังกฤษ)
- ↑ สวิตเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และ สวีเดน ติด 3 อันดับแรกประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุดในโลก ThaiEurope.net 27 กันยายน 2549
- ↑ Finland ranks second in global competitiveness Tekes (อังกฤษ)
แหล่งข้อมูลอื่น
- โดยสังเขป
- รัฐบาล