ผลต่างระหว่างรุ่นของ "มารายห์ แครี"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
EmausBot (คุย | ส่วนร่วม)
Robot: lv:Meraija Kerija is a good article
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 266: บรรทัด 266:
[[หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน]]
[[หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน]]
[[หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายไอริช‎]]
[[หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายไอริช‎]]
[[หมวดหมู่:ชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิก]]


{{Link FA|en}}
{{Link FA|en}}

รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:47, 23 ธันวาคม 2554

มารายห์ แครี
มารายห์ แครี ปี 2008 ในเทศกาลภาพยนตร์ทริเบกา
ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อเกิดมารายห์ แครี
เกิด (1970-03-27) 27 มีนาคม ค.ศ. 1970 (54 ปี)[1][2][3]
ที่เกิดนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
แนวเพลงป็อป อาร์แอนด์บี
อาชีพนักร้อง, นักแต่งเพลง, นักแสดง,
เจ้าของค่ายเพลง
ช่วงปีค.ศ. 1990 - ปัจจุบัน
ค่ายเพลงโคลัมเบีย (1988–2001)

เวอร์จิ้น (2001–2002)

ไอแลนด์/เดฟ แจม (2002–ปัจจุบัน)
เว็บไซต์MariahCarey.com

สำหรับอัลบั้มเพลงในชื่อเดียวกันนี้ ดูที่ มารายห์ แครี (อัลบั้ม)

มารายห์ แครี (อังกฤษ: Mariah Carey) เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1970 เป็นนักร้องชาวอเมริกัน นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์เพลง และนักแสดง เธอมีผลงานเปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1990 ภายใต้การชักนำของผู้บริหารค่ายเพลงโคลัมเบียเรเคิดส์ ทอมมี มอตโตลา และได้กลายเป็นศิลปินคนแรกที่มี 5 ซิงเกิ้ลแรกติดชาร์ตอันดับ 1 บนบิลบอร์ดฮอต 100 หลังจากนั้นเธอได้แต่งงานกับมอตโตลาในปี ค.ศ. 1993 มีผลงานเพลงฮิตมากมายและยังทำให้เธอเป็นศิลปินที่มียอดขายสูงสุดของค่ายโคลัมเบีย และจากข้อมูลของนิตยสารบิลบอร์ด เธอเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จที่สุดในคริสต์ทศวรรษ 1990 ในสหรัฐอเมริกา[4]

หลังจากที่เธอเลิกรากับมอตโตลาในปี ค.ศ. 1997 แครีได้เริ่มทำเพลงฮิปฮอปในผลงานอัลบั้มของเธอ ที่ในเบื้องต้นแล้วประสบความสำเร็จดี แต่ความนิยมของเธอก็ลดลงหลังจากเธอออกจากโคลัมเบียในปี ค.ศ. 2001 เธอเซ็นสัญญากับเวอร์จินเรเคิดส์แต่ล้มเหลวจากค่ายเพลงที่ซื้อสัญญาคืนในปีถัดมาหลังจากที่เธอสติแตกต่อสาธารณะชน เช่นเดียวกับเสียงตอบรับด้านลบจากภาพยนตร์ Glitter และผลงานอัลบั้มประกอบภาพยนตร์ ต่อมาในปี ค.ศ. 2002 แครีเซ็นสัญญากับค่ายไอแลนด์เรเคิดส์ และหลังจากไม่ค่อยที่จะประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เธอก็กลับมาขึ้นอันดับต้น ๆ ของเพลงป็อปในปี 2005[5][6]

แครีมียอดขายอัลบั้ม ซิงเกิ้ลและวิดีโอมากกว่า 175 ล้านชุด ทั่วโลก[7][8][9] เธอยังมีชื่อว่าเป็นศิลปินป็อปหญิงที่มียอดขายมากที่สุดในสหัสวรรษจากงานเวิลด์มิวสิกอวอร์ดส 2002[10] และจากข้อมูลของสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา เธอเป็นศิลปินหญิงที่มียอดขายมากที่สุดเป็นอันดับ 3 และเป็นอันดับ 17 ของศิลปินทั้งหมดด้วยยอดขายอัลบั้มมากกว่า 62.5 ล้านชุด เฉพาะในสหรัฐอเมริกา[11] เธอยังติดอันดับศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดในยุคการสำรวจยอดขายโดยนีลสันซาวด์สแกนของสหรัฐอเมริกา (เป็นที่ 3 ของศิลปินทั้งหมด)[12] เธอยังเป็นศิลปินเดี่ยวที่มีซิงเกิ้ลอันดับ 1 มากที่สุดในสหรัฐอเมริกา (18 ซิงเกิ้ล เป็นที่สองรองจากวงเดอะบีตเทิลส์)[13] นอกจากนั้นเธอยังได้รับรางวัลแกรมมี่ 5 ครั้ง และเธอยังเป็นที่รู้จักในความสามารถการร้องเพลงที่มีช่วงกว้าง ทรงพลัง การร้องเทคนิคที่เรียกว่า "เมลิสม่า" และการใช้ whistle register

ประวัติ

ชีวิตในวัยเด็กและครอบครัว ปี 1970 ถึง 1990

มารายห์ แครี เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1970 ที่ เมืองฮันติงตัน มลรัฐนิวยอร์ก เป็นบุตรคนที่สามและคนสุดท้องของนักร้องโอเปราและนักฝึกสอนการขับร้องชาวไอริชอเมริกัน ชื่อ แพทรีเชีย ฮิกกี้ กับ วิศวกรอากาศยานชาวเวเนซูเอล่า-แอฟริกัน ชื่อ อัลเฟรด รอย แครี[14] แครีมีพี่สาวชื่อ แอลิสัน อายุมากกว่าเธอสิบปี และพี่ชายชื่อ มอร์แกน อายุมากกว่าเธอเก้าปี ชื่อของแครีนั้นไม่มีชื่อกลาง ส่วนชื่อ "มารายห์" มีที่มามาจากเพลง "(And They Call the Wind) Mariah" ในละครบรอดเวย์เรื่อง "Paint Your Wagon"[15]

จากการที่แครีมีผู้ปกครองมาจากชาติพันธุ์ที่ต่างกัน ครอบครัวของเธอจึงประสบกับปัญหาทางด้านการแบ่งแยกเชื้อชาติเสมอ ตั้งแต่การโดนดูถูก เมินเฉย หรือแม้กระทั่งถูกกระทำด้วยความรุนแรง เป็นผลให้ครอบครัวของแครีต้องย้ายที่อยู่ไปรอบ ๆ กรุงนิวยอร์กบ่อย ๆ เพื่อหาที่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า ความตึงเครียดภายในครอบครัวได้ทำให้บิดามารดาของเธอหย่าร้างกันในที่สุด ซึ่งขณะนั้น แครีมีอายุได้สามขวบเท่านั้น[15] แครีและมอร์แกนอาศัยอยู่กับมารดาในขณะที่แอลิสันไปอาศัยอยู่กับผู้เป็นบิดา แครีไม่ค่อยได้ติดต่อกับบิดาของเธอเท่าใดนักยกเว้นช่วงวันหยุด แต่ก็น้อยลงเมื่อเธอมีอายุมากขึ้น แพทริเชียเลี้ยงดูแครีขณะที่เธอต้องทำงานสองถึงสามงานและก็ยังคงต้องย้ายที่อยู่อาศัยอยู่บ่อย ๆ ในเขตลองไอแลนด์[16]

มารายห์ แครี เริ่มร้องเพลงเมื่ออายุได้สามขวบ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม่ของเธอเชื่อว่าเธอมีพรสวรรค์ในด้านการร้องเพลง จริง ๆ แล้วแพทริเชียชอบพาแครีไปดูการซ้อมโอเปราอยู่บ่อย ๆ แครีเริ่มแสดงต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกเมื่อเธออายุหกขวบและเริ่มประพันธ์เพลงครั้งแรกตอนกำลังศึกษาในชั้นประถม แครีเรียนจบจากโรงเรียนประถมโอลด์ฟิลด์และโรงเรียนมัธยมฮาร์เบอร์ฟิลด์สใน กรีนลอว์น นิวยอร์ก แต่มักจะขาดเรียนอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากเธอพยายามจะเข้าสู่วงการบันเทิง ทำให้เธอได้ฉายาว่า "มิราจ" (ภาพลวงตา) จากเพื่อน ๆ และเป็นเรื่องแปลกที่แครีไม่เคยเข้าร่วมวงร้องเพลงประสานเสียงของโรงเรียนเลย[17]

ต่อมา เธอได้รับงานเป็นนักร้องเสียงประสานให้กับ เบรนด้า เค. สตารร์ และในปี ค.ศ. 1988 ในช่วงนั้น แครีได้พบกับผู้บริหารระดับสูงจากค่ายเพลง "โคลัมเบีย" ชื่อ ทอมมี่ มอตโตล่า ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งซึ่งเพื่อนของเธอได้นำม้วนเทปตัวอย่างที่อัดเสียงของแครีตอนร้องเพลงเอาไว้ให้กับเขา เทปม้วนนั้นถูกเปิดในงานเลี้ยงและทอมมี่ก็ประทับใจกับสิ่งที่ได้ฟังเป็นอย่างมาก เขาจึงกลับไปที่งานเลี้ยงเพื่อตามหาแครี แต่เธอก็กลับไปแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็สามารถตามหาแครีจนพบและเซ็นสัญญาให้เข้ามาอยู่ในสังกัด[18] เหตุการณ์ที่เหมือนกับเทพนิยายเรื่องซินเดอเรลล่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องเล่าในวงการบันเทิงเกี่ยวกับการปรากฏตัวของแครีสู่สายตาของสาธารณชน[19]

การประสบความสำเร็จในช่วงแรก ปี 1990 ถึง 1992

ไฟล์:IBT.jpg
มารายห์ ในรายการ MTV Unplugged
เกี่ยวกับเสียงนี้ ตัวอย่างเพลง "Emotions" (Live)

แครีเริ่มอาชีพนักร้องเมื่อปี ค.ศ. 1990 ด้วยผลงานอัลบั้มชุดแรกที่มีชื่อชุดตรงกับชื่อของเธอเอง อัลบั้มนี้มีเพลงที่ติดอันดับ 1 ของตารางจัดอันดับเพลงในสหรัฐอเมริกาถึง 4 เพลง ได้แก่ เพลง "Vision Of Love", "Love Takes Time", "Someday" และ "I Don't Wanna Cry"[20] แต่อัลบั้มนี้ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในระดับสากลเท่าที่ควร อย่างไรก็ดี ในปี ค.ศ. 1991 แครีก็ได้รับรางวัลแกรมมีเป็นครั้งแรก กับรางวัลศิลปินป็อปฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมและศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม[21]

อัลบั้มชุดที่ 2 ที่ชื่อ Emotions ออกวางจำหน่ายในช่วงเดือนกันยายน ค.ศ. 1991 ในอัลบั้มชุดนี้มีซิงเกิ้ลเพลง "Emotions" ติดอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลานาน 3 สัปดาห์[22] จากความสำเร็จดังกล่าวนี้ ได้ทำให้เธอเป็นศิลปินคนแรกที่เปิดตัวด้วยผลงานซิงเกิลติดอันดับ 1 ในบิลบอร์ดถึง 5 เพลงติดต่อกัน[23] นอกจากนั้น ในอัลบั้มนี้ยังมีเพลง "Can't Let Go" ที่หยุดอยู่ที่อันดับ 2[20] และเพลง "Make It Happen" ก็สูงสุดอันดับ 5[20] อีกด้วย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จที่ดีนักทั้งเสียงวิจารณ์และยอดขาย นิตยสารโรลลิงสโตนอธิบายไว้ว่า "เหมือนเดิม ด้วยวัตถุดิบที่น่าสนใจน้อย เพลงรักสไตล์ป็อปที่เหมือนขาดไม่ได้"[24]

อัลบั้มชุดนี้ แครีได้ร่วมงานกับ โรเบิร์ต คลิวิลส์ กับ เดวิด โคลส์ จากวงซีแอนด์ซี มิวสิก แฟกทอรี และร่วมงานกับ คาโรล์ คิง นักร้อง นักประพันธ์เพลงหญิงชื่อดังในช่วงทศวรรษที่ 1970 ในเพลง "If It's Over" ด้วย[25] เธอร่วมทำงานในทุกเพลงของอัลบั้มนี้ เธอกล่าวว่า "ฉันไม่ต้องการให้ Emotions เป็นใครคนอื่นในรูปลักษณ์ของฉัน" และเสริมว่า "มันมีอะไรมากกว่าตัวฉัน ในอัลบั้มนี้"[26]

ในปี ค.ศ. 1992 แครีได้แสดงคอนเสิร์ตจริงครั้งแรกกับเอ็มทีวี ในรายการ “MTV Unplugged” โดยเธอได้นำเพลงจากอัลบั้มสองชุดแรกมาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบที่ไม่ใช้เครื่องดนตรีไฟฟ้า และได้ร้องเพลง "I'll be there" เพลงเก่าของวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์ ร่วมกับเทรย์ โลเรนซ์ (เพลงนี้ได้ถูกนำมาสร้างเป็นเพลงซิงเกิ้ลในภายหลัง และประสบความสำเร็จจนติดอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา[20]) เพลงที่ร้องในการแสดงสดครั้งนี้ ได้รับการบันทึกลงในอัลบั้มอีพีของเธอที่ชื่อ MTV Unplugged โดยมีเพลงทั้งหมด 7 เพลงด้วยกัน ซึ่งนิตยสารเอนเตอร์เทนเมนวีกลี ให้ความเห็นว่า "แข็งแกร่งที่สุด เป็นการบันทึกเสียงที่แท้จริงที่เธอเคยทำมา หรือการแสดงสดครั้งนี้จะช่วยให้เธอก้าวสู่การเติบโตครั้งแรก"[27]

ความสำเร็จไปทั่วโลก ปี 1993 ถึง 1996

ไฟล์:OSD.jpg
มารายห์กับวงบอยซ์ ทู เม็น ในเพลง One Sweet Day
เกี่ยวกับเสียงนี้ ตัวอย่างเพลง "One Sweet Day"

มารายห์ แครี แต่งงานกับ ทอมมี่ มอตโตล่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทโซนี่ในขณะนั้น ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1993 ที่แมนฮัตตัน สหรัฐอเมริกา[17] ต่อมาแครีออกผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 ที่ชื่อว่า Music Box อัลบั้มชุดนี้มียอดขายรวมมากกว่า 10 ล้านชุด โดยที่เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ล "Dreamlover" ที่ติดอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกานาน 8 สัปดาห์[22] และซิงเกิ้ลถัดมา เป็นเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการให้กำลังที่ชื่อ "Hero" ก็ติดอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา นาน 4 สัปดาห์[22] นิตยสารบิลบอร์ดกล่าวไว้ว่า "ช่างปวดใจเหลือเกิน ...เป็นการใช้สิ่งพื้นฐาน ง่ายๆ ของแครี เสียงของเธอช่างเป็นธรรมชาติกับเพลง"[28] แต่ทาง นิตยสารไทม์ กล่าวทำนองว่า "อัลบั้ม Music Box นี้ ดูทำเป็นพอพิธี และขาดความน่าหลงใหล ... แครีสามารถเป็นนักร้องเพลงป็อป-โซล ที่ดีได้ แทนการพยายามทำให้เหมือนความสามัญอย่างซาลิเอรี"[29] แครีได้ออกมาให้ความเห็นว่า "ทันทีที่คุณประสบความสำเร็จ ก็จะมีหลายๆ คนไม่ชอบอย่างนั้น ฉันทำอะไรไม่ได้จริงๆ สิ่งที่ฉันพอทำได้คือทำดนตรีในสิ่งที่ฉันเชื่อมั่น"[30] คำวิจารณ์ส่วนใหญ่จะเกิดก่อนการทัวร์ Music Box Tour ในอเมริกาเล็กน้อย[31] ส่วนซิงเกิ้ลที่ 3 เพลง "Without You" ซึ่งเป็นเพลงดังของแฮรี นิลล์สัน ที่เธอนำมาขับร้องใหม่ ก็เป็นเพลงแรกที่ไปติดอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักรได้เป็นเพลงแรก[22]

ช่วงปี ค.ศ. 1994 แครีได้ร่วมงานกับ ลูเธอร์ แวนดรอส ในอัลบั้ม Songs โดยได้นำเพลง "Endless Love" เพลงเก่าของไลโอเนล ริชชี และ ไดอาน่า รอสส์ กลับมาร้องใหม่[32] ปลายปีเดียวกันนั้น แครียังได้ออกอัลบั้มคริสต์มาสอีก 1 ชุด โดยที่เธอได้มีส่วนร่วมในการประพันธ์เพลง "All I Want For Christmas Is You" ที่อยู่ในอัลบั้มชุดนี้ด้วย ซิงเกิ้ลนี้มียอดขายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นถึง 1.1 ล้านชุดด้วยกัน[33] และยังคงเป็นซิงเกิ้ลที่ขายดีที่สุดของเธอในญี่ปุ่นอีกด้วย เว็บไซต์ All Music Guide วิจารณ์ไว้ว่า "ทำให้ดูเหมือนอุปรากรชั้นสูงในเพลง 'O Holy Night' และทำเพลงแด๊นซ์คลับที่ดูน่ากลัวในเพลง 'Joy to the World'"[34] อัลบั้มชุดนี้ก็ถือเป็นอัลบั้มเพลงคริสต์มาสที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล[35]

ในปี ค.ศ. 1995 แครีได้ออกผลงานอัลบั้ม Daydream ซึ่งอัลบั้มชุดนี้เธอผสมผสานดนตรีแนวอาร์แอนด์บี ฮิปฮอป และป็อปเข้าด้วยกัน โดยอัลบั้มนี้มีเพลง "Fantasy" เป็นซิงเกิ้ลแรก ทำงานร่วมกับ โอล' เดอร์ตี บาสตาร์ด ศิลปินฮิปฮอป แครีพูดว่าทางค่ายโคลัมเบีย ต้นสังกัด ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงในชุดนี้ "ทุกๆ คนพูดเหมือนว่า 'คุณบ้าไปแล้วเหรอ' พวกเขารู้สึกกังวลมากในการเปลี่ยนแปลงสูตรเก่า ๆ"[36] เพลงนี้ก็สามารถขึ้นอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาทันทีในสัปดาห์แรกที่เข้าตารางอันดับเพลง[22] ซึ่งนับเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ทำสถิติได้เช่นนี้ และเพลงนี้ยังเป็นเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 ในสัปดาห์แรก[37]เป็นเพลงที่ 2 ถัดจากเพลง "You Are Not Alone" ของ ไมเคิล แจ็กสัน อีกด้วย[38] ส่วนซิงเกิ้ลที่ 2 เพลง "One Sweet Day" ที่ร่วมร้องกับวงแนวดนตรีอาร์แอนด์บีที่ชื่อ บอยซ์ ทู เม็น ก็ขึ้นอันดับ 1 นานที่สุดในประวัติศาสตร์บนตารางอันดับเพลงซิงเกิ้ลในสหรัฐอเมริกา นานถึง 16 สัปดาห์[39] และซิงเกิ้ลที่ 3 "Always Be My Baby" ที่ร่วมงานกับเจอร์เมน ดูปริ สามารถขึ้นอันดับ 1[20] เช่นกัน รวมถึง มียอดการเปิดออกอากาศมากที่สุดประจำปี ค.ศ. 1996 ด้วย[40]

นิตยสารบิลบอร์ด พูดว่า อัลบั้ม Daydream ได้สร้างเสียงตอบรับที่ดีที่สุดแล้ว สำหรับอาชีพนักร้อง[41] และนิวยอร์กไทม์ยังให้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดในปี 1995 และยังเขียนไว้ว่า " การตัดความเป็นป็อปลูกกวาดออกสู่ ความละเอียดปราณีต ... การเขียนเพลงของเธอได้ก้าวกระโดด ผลคือดูสบายขึ้น เซ็กซี่ขึ้น และดูลดความน่าเบื่อคุ้นหูออก[42]

นอกจากผลงานของเธอแล้ว ในช่วงปีนี้ แครียังได้ไปร่วมประสานเสียงให้กับเพลง "Everytime I close My Eyes" ของเบบี้เฟส อีกด้วย

ความเป็นอิสระและภาพลักษณ์ใหม่ ปี 1997 ถึง 2000

ไฟล์:Mariah Honey.jpg
มารายห์กับภาพลักษณ์ใหม่สไตล์ฮิปฮอปในเพลง Honey
เกี่ยวกับเสียงนี้ ตัวอย่างเพลง "Honey"

ในปี ค.ศ. 1997 มารายห์ แครี และทอมมี่ มอตโตล่า ก็ต้องแยกทางกัน หลังจากที่เธอต้องสร้างภาพสู่สาธารณชนว่าเธอมีความสุขในชีวิตคู่ ซึ่งแท้จริงแล้วแครีไม่มีความสุขเลย เธอถูกปฏิบัติเหมือนนกในกรงทอง เธอถูกเฝ้าดูทุกฝีก้าว ไม่มีความเป็นอิสระ จนสุดท้ายการหย่าร้างก็เกิดขึ้นในปีถัดมา[43]

ในปีเดียวกันนี้ อัลบั้ม Butterfly ของเธอก็ออกวางจำหน่าย และขึ้นอันดับ 1[44] ในสัปดาห์แรกเป็นครั้งที่ 2 ภาพลักษณ์ของเธอในอัลบั้มชุดนี้เน้นไปที่ความเซ็กซี่เป็นหลัก ส่วนเพลงที่อยู่ในอัลบั้มชุด นี้แครีได้สร้างออกมาในดนตรีแนวอาร์แอนด์บีและฮิปฮอปอย่างจริงจัง อัลบั้มนี้เธออธิบายไว้ว่า ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ของเธออย่างเต็มที่ ในผลงานเพลงชิ้นนี้[45] อย่างไรก็ตามเธอก็เสริมต่อว่า "ฉันไม่คิดว่า มันจะเป็นอะไรที่หลุดจากความเป็นตัวฉัน ที่เคยทำมาแต่ก่อน"[46] เว็บไซต์ LAUNCHcast วิจารณ์ไว้ว่า "นี่อาจพิสูจน์ได้ว่าแฟนเก่าแก่ อาจกระอักกระอ่วนได้" แต่ก็ชมว่า "เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ต้อนรับ"[47] โดยในซิงเกิ้ลเพลงแรกที่ชื่อ "Honey" เธอก็ได้ร่วมกันสร้างกับศิลปินแร็ปที่ชื่อ พัฟฟ์ แดดดี้ (ในขณะนั้น) ส่วนเพลง "My All" นั้น ก็ขึ้นสู่อันดับ 1 บนตารางอันดับเพลงซิงเกิลเป็นเพลงที่ 13[20] ส่วนเพลง "Butterfly" ที่มีเนื้อหากล่าวถึงชีวิตคู่ของเธอ กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

ต่อมา แครีได้เปิดสังกัดเพลงเล็ก ๆ ชื่อเครฟ เรคคอร์ดส โดยมีศิลปินอย่าง อัลลัวร์ หรือเซเว่น ไมล์ ที่เข้ามาสังกัดกับค่ายนี้ เป็นต้น แต่สุดท้ายก็ได้ยุติกิจการไปในที่สุด ส่วนของงานเบื้องหลังนั้น ในช่วงปีนี้ เธอได้ทำหน้าที่เป็นนักประพันธ์เพลงและควบคุมการบันทึกเพลง ให้กับศิลปินคนอื่น ๆ โดยตัวอย่างงานประพันธ์เพลงของเธอนั้นได้แก่ เพลง "Head Over Heels" และ "Last Chance" ของอัลลัวร์ เพลง "Make You Happy" ของเทรย์ โลเรนซ์ (เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง หน่วยจารชนพิทักษ์จักรวาล (Men in Black)) และเพลง "Where Are You Christmas" ของเฟธ ฮิลล์ (เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง เดอะกริ๊นช์ ตัวเขียวป่วนเมือง) เป็นต้น ส่วนงานทางด้านการควบคุมการบันทึกเพลงให้ศิลปินอื่น ก็ได้แก่ เพลง "All Cried Out" ของอัลลัวร์ เพลง "After" ของวงเซเว่น ไมล์ และเพลง "Don't Go Looking For Love" ของวงบลาค เป็นต้น[48]

ในปี ค.ศ. 1998 แครีก็ได้ออกอัลบั้มรวมเพลงที่ติดอันดับ 1 บนตารางอันดับเพลง โดยใช้ชื่อว่า #1s โดยมีเพลงดังอย่าง "I Still Believe" ซึ่งเป็นเพลงเก่าของเบรนด้า เค. สตารร์ ที่ได้รับความนิยมในปี ค.ศ. 1988 รวมอยู่ในนั้นด้วย (ในเวอร์ชันปี 1988 ของเพลงนี้ แครีได้มีส่วนร่วมในการร้องประสานเสียงด้วย) [49]

และที่สร้างความประหลาดใจคือ เธอยังได้ร่วมร้องเพลงคู่กับวิทนีย์ ฮูสตัน ในเพลง "When You Believe" ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง เดอะ พริ้นซ์ ออฟ อียิปต์ (The Prince Of Egypt) โดยเพลงนี้ได้รางวัลจากการประกวดออสการ์อีกด้วย[50] นิตยสารเอ็นเอ็มอีวิจารณ์ไว้ว่า "เพลงนี้มีความ หวานอย่างไร้สาระ เหมือนเพลง 'Hero'"[51] แครียังได้มีส่วนร่วมกับงานวีเอชวัน ดีวาส์ ทางช่องวีเอชวัน โดยเป็นคอนเสิร์ตที่รวมศิลปินหญิงชื่อดังอย่าง อารีธา แฟรงคลิน, เซลิน ดิออน, กลอเรีย เอสเตฟาน, คาโรล์ คิง และชาเนีย ทเวน มาแสดงร่วมกัน นอกจากนั้น ในปีนี้ แครียังเป็นข่าวกับนักกีฬาเบสบอลทีมนิวยอร์กแยงกี้ส์ที่ชื่อ เดเรค เจเตอร์ อีกด้วย

ในปี ค.ศ. 1999 แครีได้ออกอัลบั้มมาอีก 1 ชุด โดยใช้ชื่อว่า Rainbow ที่เธอทำเพลงแนวฮิปฮอปและอาร์แอนด์บี อย่างอัลบั้ม Butterfly โดยซิงเกิ้ลแรกที่ชื่อ "Hearbreaker" ได้เจย์-ซี มาร่วมร้อง ส่วนมิวสิกวิดีโอเพลงนี้มีค่าใช้จ่ายในการทำมิวสิกวิดีโอมากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ด้วยเงินลงทุน 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ[52] ซิงเกิ้ลที่ 2 "Thank God I Found You" ได้ร่วมงานกับโจ และวงไนน์ตี้เอท ดีกรีส์ เพลงนี้เป็นเพลงอันดับ 1[20] เพลงที่ 15 ในสหรัฐอเมริกาของเธอ ทางฝั่งสหราชอาณาจักร แครีได้ออกวางขายซิงเกิ้ล "Against All Odds (Take A Look At Me Now)" เพลงเก่าของฟิล คอลลินส์ ในปี ค.ศ. 1984 โดยได้ร่วมร้องกับวงบอยแบนด์ เวสท์ไลฟ์ ขึ้นอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร ถือเป็นเพลงอันดับ 1 ในอังกฤษเป็นเพลงที่ 2 ของเธอ ตัวอัลบั้มในสหรัฐอเมริกาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับอัลบั้มชุดก่อนๆ โดยขึ้นอันดับ 2 ในสหรัฐอเมริกา[44] สำหรับเสียงวิจารณ์ของอัลบั้ม Rainbow ซันเดย์เฮอรัลด์ พูดไว้ว่า "ก้าวเดินที่ไม่มั่นคงแต่น่าประทับใจ ระหว่างเพลงโซลบัลลาดกับการ่วมงานกับศิลปินอาร์แอนด์บีที่มีชื่อเสียง อย่างสนูป ด็อกกี้ ด็อก ,อัชเชอร์ ... เป็นอัลบั้มป็อป-โซล ที่สละสลวย"[53] นิตยสารไวบ์พูดคล้ายๆกันว่า "Rainbow จะเป็นอัลบั้มที่คงไปด้วยความเลื่อมใส ถึงแม้ว่าจะกลายเป็นอัลบั้มที่ทำยอดขายที่ต่ำที่สุดของแครี"[54]

ท้ายปี นิตยสารบิลบอร์ด ได้แจกรางวัลให้กับเธอ รางวัลศิลปินแห่งทศวรรษ และแครียังได้รางวัลจากเวิลด์ มิวสิก อวอร์ดส รางวัลศิลปินหญิงที่มียอดขายมากที่สุดในสหัสวรรษ นอกจากนี้เธอยังทำสถิติเป็นศิลปินคนเดียวในประวัติศาสตร์ อันดับเพลงในนิตยสารบิลบอร์ดที่มีเพลงอันดับ 1 ทุก ๆ ปีในทศวรรษที่ 90 (ปี ค.ศ. 1990-1999) [55] นอกจากนี้แครียังได้ก้าวสู่ฐานะศิลปินแนวอาร์แอนด์บี โดยได้ทำงานกับเจย์-ซี เพลง "Things That U Do" และ "Got A Thing For You" ของดา แบรท

อุปสรรคในเรื่องส่วนตัวและอาชีพ ปี 2001 ถึง 2003

ไฟล์:NTFS.jpg
จากภาพยนตร์เรื่อง Glitter (ปี 2001)

หลังจากที่เธอได้รับรางวัลเวิลด์ มิวสิก อวอร์ดส แครีได้สิ้นสุดสัญญากับโซนี่และได้เซ็นสัญญากับอีเอ็มไอด้วยเงิน 70 ล้านปอนด์ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2001[56] ในช่วงนั้นร่างกายและจิตใจเธอทรุดโทรมลงมาก แครีได้ทิ้งข้อความเสียงลงเว็บไซต์ของเธอ[57] ถึงเรื่องการทำงานหนักมากของเธอในรอบหลายปี นอกจากนั้นความสัมพันธ์กับนักร้องละติน ลุยส์ มิเกลก็จบลง เธอให้สัมภาษณ์หลังจากนั้นว่า "ฉันอยู่กับคนที่ไม่รู้จักฉันจริงๆ และฉันก็ไม่สามารถจัดการเรื่องส่วนตัวได้ ทั้งให้สัมภาษณ์ทั้งวัน มีเวลานอนแค่ราว 2 ชั่วโมงเท่านั้น "[58] แครียังได้แสดงกิริยาหลุดโลกในรายการของเอ็มทีวี รายการ TRL (Total Request Live) โดยถอดเสื้อผ้าออกกลางรายการ [59]

แครีได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกเป็นตัวเอกในเรื่องกึ่งอัตชีวประวัติของเธอ Glitter ภาพยนตร์ออกฉายในวันที่ 21 กันยายน หนังเรื่องนี้ถูกวิจารณ์อย่างมากและล้มเหลวในตารางอันดับภาพยนตร์ทำเงินบ็อกซ์ออฟฟิส[60] เมื่อเวอร์จิ้น เรคคอร์ดส ออกขายอัลบั้มที่ 10 ของเธอ "Glitter" แครีก็ไม่สามารถที่จะประชาสัมพันธ์อัลบั้มชุดนี้ได้เท่าที่ควรเนื่องจากเธอประสบปัญหาเรื่องสุขภาพ และการวางขายอัลบั้มในวันที่แย่ที่สุดคือ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 (วันเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน) อัลบั้มเข้าตารางอันดับที่อันดับ 7[44] ซึ่งแย่ที่สุดที่เคยทำได้ หนังสือพิมพ์เซนต์หลุยส์โพสต์-ดิสแพตช์ เขียนไว้ว่า "นี่เป็นช่วงตกต่ำที่สุดของอาชีพเธอ"[61] และนิตยสารเบล็นเดอร์เขียนไว้ว่า "หลังจากที่เธอรุ่งเรืองในอาชีพของเธอ ไม่ว่าจะเป็นยอดการเปิดทางวิทยุ แต่ตอนนี้แทบไม่เป็นเช่นนั้นเลย"[62] "Loverboy" ซิงเกิ้ลแรกในอัลบั้มนี้ขึ้นสูงสุดอันดับ 2 เนื่องจากแผนการตลาดลดราคาเหลือ 99 เซ็นต์[63] แครีได้ร้องเพลง "Hero" ในวันที่ 21 กันยายน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการหาเงินหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 11 ก.ย.[17] และในเดือนธันวาคมเธอได้ร้องเพลงให้กับกองทัพอเมริกันก่อนไปโคโซโว หลังออกอัลบั้ม Glitter โซนี่ได้ออกอัลบั้ม Greatest Hits ก่อนช่วงคริสต์มาส อัลบั้มนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จในตารางอันดับเพลง (สูงสุดที่อันดับ 52[44])

เดือนมกราคม ค.ศ. 2002 อีเอ็มไอตัดสินใจยกเลิกสัญญากับเธอด้วยเงิน 20 ล้านปอนด์[56] เธอให้สัมภาษณ์ถึงช่วงเวลาที่อยู่กับต้นสังกัดเวอร์จิ้นว่า "เป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียด การตัดสินใจเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์การเงิน แต่ฉันไม่ได้ตัดสินใจเพราะเกี่ยวกับเงินที่ได้ ฉันเรียนรู้บทเรียนครั้งใหญ่จากเหตุการณ์ครั้งนี้"[64]และหลังจากนั้นหนึ่งปีแครีได้เซ็นสัญญาอีกครั้งกับ “Island Records” ด้วยสัญญา 20 ล้านเหรียญและเปิดค่ายใหม่ของเธอ MonarC[65] ต่อมากรกฎาคม ปี 2002 เป็นช่วงที่พ่อของเธออัลเฟรด รอย แครีเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง[66]

แครีได้ร่วมแสดงเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์เรื่องไวส์เกิร์ลส (WiseGirls) แครี ได้ออกอัลบั้ม Charmbracelet กับสังกัดใหม่ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2002 ติดบนตารางอันดับอัลบั้มสูงสุดอันดับ 3[44] ในอัลบั้มนี้แครีได้ถ่ายทอดเพลงผ่านบทเพลงซึ่งมีความหมายกับเธอและแฟนเพลง อย่างเพลง "Through The Rain" นอกจากนั้นในอัลบั้มนี้ยังมีเพลง "Boy (I Need You)" ได้ร่วมงานกับศิลปินแนวแร็ปอย่างแคม'รอน รวมถึงได้นำเพลงเก่าของเดฟ เล็พพาร์ด ในปี 1993 นำมาทำใหม่ในเพลง "Bringin' On The Heartbreak" สำหรับเสียงวิจารณ์ในอัลบั้มชุดนี้ เดอะบอสตันโกลบ วิจารณ์ไว้ว่า "แย่ที่สุดของเธอ เผยเสียงร้องที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นเสียงขึ้นลงที่เข้มแข็งหรือเสียงกระซิบที่อ่อนนุ่ม"[67] นิตยสารโรลลิงสโตน วิจารณ์ว่า "แครีต้องเน้นเพลงให้เธอให้ดูมีพละกำลังขึ้นและความกว้างของเสียงที่เธอเคยโด่งดังมาก่อน Charmbracelet เหมือนสีน้ำที่ไหลซึมออกมาจากบ่อ"[68]

ในปี 2003 แครีได้ร่วมงานกับบัสตา ไรมส์ ในเพลง "I Know What You Want" เพลงนี้ขึ้นสูงสุดอันดับ 3[20] ในสหรัฐอเมริกาและบรรจุอยู่ในอัลบั้มรีมิกซ์ The Remixes ของเธอด้วย

การกลับมาของเธอ ปี 2004 ถึง 2007

ไฟล์:WeBelongT2.jpg
จากมิวสิกวิดีโอ We Belong Together
เกี่ยวกับเสียงนี้ ตัวอย่างเพลง"We Belong Together"

ในปี 2004 แครีใช้เวลาส่วนใหญ่กับการทำอัลบั้ม The Emancipation of Mimi โดยปลายปี 2004 เธอได้ร่วมงานกับจาดาคิส ในเพลง "U Make Me Wanna" ซึ่งสามารถเข้าถึง 10[20] อันดับแรกบนตารางอันดับเพลงบิลบอร์ด อาร์แอนด์บี/ฮิปฮอป ซิงเกิ้ลส์ ชาร์ท

แครีได้ปฐมทัศน์เพลง "It's Like That" ที่เพียวคลับในลาสเวกัส[69] ได้รับเสียงตอบรับในทางที่ดีและเพลงนี้ก็ขึ้นสูงสุดอันดับ 16 ในตารางอันดับเพลงนิตยสารบิลบอร์ด สื่อต่าง ๆ ให้ความเห็นว่านี่คือการกลับมาของแครีในคำประกาศโดยใช้คำว่า "การกลับมาของเสียงร้อง" (The Return Of The Voice) [70] อัลบั้ม The Emancipation of Mimi เธอได้ร่วมงานกับเดอะเนปจูนส์ , คานยี เวสต์ รวมไปถึงเจอร์เมน ดูปริ อัลบั้มนี้ได้ขึ้นอันดับ 1 ในตารางอันดับอัลบั้มบิลบอร์ดตั้งแต่สัปดาห์แรกที่วางขาย ซิงเกิ้ลที่ 2 "วีบีลองทูเกเตอร์" ได้ถูกโหมเปิดทางวิทยุจนขึ้นอันดับ 1[20] ในตารางอันดับเพลงเป็นเวลานานถึง 14 สัปดาห์ ถือเป็นเพลงอันดับ 1 ของแครีเพลงแรกในรอบ 5 ปี และเป็นหนึ่งในซิงเกิ้ลที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเธอ ซิงเกิ้ลที่ 3 "Shake It Off" ก็ยังได้รับการเปิดทางสถานีวิทยุอย่างมากจนทำให้ขึ้นสูงสุดอันดับ 2[20] ในตารางอันดับเพลงนิตยสารบิลบอร์ด อีกทั้งซิงเกิ้ลที่ 4 "Don't Forget About Us" ขึ้นอันดับ 1[20] บนตารางอันดับเพลงนิตยสารบิลบอร์ดเป็นเพลงที่ 17

อัลบั้ม The Emancipation of Mimi ชุดนี้ก็เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดประจำปีและได้รับ 3 รางวัลแกรมมี่ (อัลบั้มเพลงอาร์แอนด์บีร่วมสมัยยอดเยี่ยม, เพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม จากเพลง "We Belong Together", ศิลปินอาร์แอนด์บีหญิงยอดเยี่ยม) [71] และในปี 2007 แครียังได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล "ศิลปินอาร์แอนด์บีหญิงยอดเยี่ยม" และ "เพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม" อีกครั้งกับเพลง "Don't Forget About Us"[72] เดอะการ์เดียน วิจารณ์อัลบั้มชุดนี้ไว้ว่า "เยี่ยม.. ชุดนี้เน้นไปที่เพลงเมืองคนเมือง มารายห์ได้ปรับตัวได้ในรอบหลายปี"[73] ต่อมาวันที่ 2 กรกฎาคม 2005 แครีได้ร่วมแสดงในงานคอนเสิร์ตไลฟ์เอทที่เวทีลอนดอน โดยร้องเพลง "Make It Happen" และ "Hero" ซึ่งร้องกับคณะประสานเสียงแอฟริกัน ชิลเดรน'ส ไควร์ และจบด้วยเพลง "We Belong Together" โดยมีเพื่อนเก่าอย่างแรนดี้ แจ็คสัน คณะกรรมการอเมริกันไอดอลมาร่วมแสดง[74]

แครีได้ทัวร์คอนเสิร์ตตามเมืองต่าง ๆ ในชื่อทัวร์ว่า “The Adventures of Mimi” ช่วงซัมเมอร์ ปี 2006[75]

2007-09

ช่วงกลางปี 2006 หลังจากที่ได้เริ่มทำงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 11[76] E=MC² ผลงานอัลบั้มชุดที่ 11 ที่ได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์อย่าง ซี. “ทริกกี้” สจ๊วต กับ เดอะ-ดรีม ก็ยังมีบรรดาโปรดิวเซอร์รับเชิญไม่ว่าจะเป็น เจอร์เมน ดูปริ ,ดีเจ ทูมป์ หรือแม้กระทั่ง วิลล์ ไอ แอม เป็นต้น กับซิงเกิลแรก "ทัชมายบอดี"[77] ที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทซิงเกิ้ล 100 อันดับ ทำให้เธอมีเพลงอันดับ 1 ถึง 18 ซิงเกิ้ล แซงหน้า เอลวิส เพรสลีย์ที่มีซิงเกิ้ลอันดับ 1 อยู่ 17 ซิงเกิ้ล[78] และจำนวนสัปดาห์ของซิงเกิ้ลอันดับ 1 รวมกันได้ 79 สัปดาห์ ซึ่งมีสถิติตามหลังเพียงเอลวิส เพรสลีย์ที่มีผลรวมที่ 80 สัปดาห์[79]

เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2008 แครีแต่งงานกับนิก แคนนอน นักแสดง เธอแต่งที่เกาะวินเดอร์แมร์ในบาฮามาส[80][81][82] แครีบอกว่าเธอรู้สึกว่า ทั้งคู่เป็นโซลเมตกัน[83] แครีแสดงเพลง "Hero" ในงานสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของประธานาธิบดีชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกในประวัติศาสตร์ บารัก โอบามา เมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2009 ต่อมาแครีได้ร่วมงานกับซิงเกิ้ลที่ 2 ในอัลบั้ม Love vs. Money ของเดอะดรีม ชื่อเพลง "My Love"[84]

แครีออกผลงานอัลบั้มชุดที่ 12 ในชื่อ Memoirs of an Imperfect Angel มีซิงเกิ้ลแรกคือ "Obsessed" เข้าชาร์ตสัปดาห์แรกที่อันดับ 11 และทำอันดับสูงสุดที่อันดับ 7 บนบิลบอร์ดฮอต 100 ถือเป็นซิงเกิ้ลลำดับที่ 40 ที่ติดชาร์ตนี้ ทั้งนี้แครีถือเป็นนักร้องหญิงคนที่ 8 ที่มี 40 ซิงเกิ้ลบนบิลบอร์ดฮอต 100 โดยอารีธา แฟรงกลิน มีมากที่สุดอยู่ 76 เพลง[85]

ซิงเกิ้ลที่ 2 ของอัลบั้ม นำเพลงเก่าของโฟไรเนอร์มาทำใหม่ ที่ชื่อ "I Want to Know What Love Is" ขึ้นอันดับสูงสุดด้วยอันดับ 60 บนบิลบอร์ดฮอต 100 ซึ่งก็ประสบความสำเร็จระดับปานกลางในที่อื่นทั่วโลก อัลบั้ม Memoirs of an Imperfect Angel ออกวางขายวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2009 ในสหรัฐอเมริกา เปิดตัวสัปดาห์แรกบนบิลบอร์ด 200 ที่อันดับ 3 กับยอดขาย 168,000 ชุด น้อยกว่าอัลบั้มก่อนหน้านี้ E=MC2 อย่างมาก[86] เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ในระหว่างการแสดงส่วนตัวในนิวยอร์กเธอประกาศว่า ซิงเกิ้ลที่ 3 ของอัลบั้มนี้จะเป็นซิงเกิ้ล "H.A.T.E.U."[87][88] แครีได้แสดงคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ในที่พักเพื่อประชาสัมพันธ์คอนเสิร์ตของเธอที่ชื่อ Live At The Pearl ที่เธอแสดงเป็นเวลา 2 วันในเดือนกันยายนในลาสเวกัส ก่อนที่อัลบั้มจะออก 2 วัน[89] แครีแสดงในคอนเสิร์ตก่อนวันปีใหม่ในปี 2009 ที่เมดิสันสแควร์การ์เดน ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของทัวร์คอนเสิร์ตใหม่ของเธอ

วันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 2010 ผลงานอัลบั้มชุดต่อมาของเธอจะออกจำหน่ายในชื่อว่า Angels Advocate ซึ่งเป็นอัลบั้มที่รวบรวมเพลงทั้งหมดของอัลบั้ม Memoirs of an Imperfect Angels มาทำใหม่ในรูปแบบเพลงรีมิกซ์ มีศิลปินรับเชิญมาร่วมงานอย่างนี-โย, อาร์. เคลลี, แมรี เจ. ไบลจ์ และนิกกี มานาจ ทั้งนี้แครี่ยังได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์เช่นเจอร์เมน ดูปรีและทิมบาแลนด์ด้วย แต่ในท้ายที่สุดก็ได้ประกาศยกเลิกไป เพราะเห็นว่าตัวอัลบั้มไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร[90] เพลง 100% เป็นเพลงที่แต่เดิมจะใช้ประกอบภาพยนตร์ พรีเชียส ที่แครี่ร่วมแสดง แต่ต่อมาเพลงนี้ได้ถูกใช้เป็นเพลงประกอบการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 2010 ที่จัดขึ้นที่ประเทศแคนาดา ซึ่งมิวสิกวีดีโอของเพลงดังกล่าวได้ถ่ายทำในระหว่างที่แครี่ทัวร์คอนเสิร์ต ณ เมืองโทรอนโต ประเทศแคนาดา[91]

บทบาททางการแสดง

ไฟล์:800px-Carey Walters Sorvino in WiseGirls.jpg
จากภาพยนตร์เรื่อง WiseGirls (ปี 2002)

แครีได้ก้าวเข้าสู่หนทางการเป็นนักแสดง โดยได้เริ่มเรียนการแสดงในปี 1997 ปีถัดมาเธอได้ลองทดสอบความสามารถการแสดงจนได้แสดงเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์เรื่อง เดอะ แบชเชอเรอร์ ผู้ชายหัวใจเวอร์จิ้น (1999) นำแสดงโดย คริส โอ'ดอนเนลล์ และเรเน่ เซลเวเกอร์ โดยเธอแสดงเป็นนักร้องโอเปรา ซีเอ็นเอ็นวิจารณ์บทบาทครั้งนี้ของเธอไว้ว่า "เธอแสดงไม่เป็น"[92]

เรื่องต่อมาแครีได้แสดงในภาพยนตร์กึ่งอัตชีวประวัติของเธอ เรื่อง กลิตเตอร์ (Glitter) (2001) โดยครั้งนี้เธอได้รับบทเป็นนักแสดงนำ โดบร่วมกับแม็กซ์ บีสลีย์ (Max Beesley) เรื่องนี้ล้มเหลวทั้งรายได้และคำวิจารณ์[93] เลสลี ฮัลลิเวลล์วิจารณ์ไว้ว่า "เป็นการแสดงที่จืดชืด ปราศจากความสามารถทางด้านการแสดง"[94] หนังสือพิมพ์วิลเลจวอยซ์ เขียนไว้ว่า "เมื่อเธอพยายามจะแสดงบทอารมณ์ เธอแสดงเหมือนว่าเธอทำกุญแจรถหาย"[95] อีกทั้งแครียังได้รางวัลแรซซีจากบทบาทในภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า "แนวความคิดของหนังเริ่มแรกเริ่มด้วยสามารถ แต่มาจบตรงที่การปรับให้เป็นเด็กอายุ 10 ขวบ ฉันสูญเสียความกล้าลงไป และมันก็วนเวียนอยู่ในหัวฉันตลอดเรื่องนี้"[58]

เรื่องที่ 3 ของแครีได้แสดงเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์เรื่องไวซ์เกิร์ลส์ (WiseGirls) (2002) แสดงร่วมกับมิร่า ซอวิโน และ เมโลรา วอลเตอร์ส โดยในเรื่องนี้เธอได้รับบทเป็นบริกรสาว[96] เสียงวิจารณ์เรื่องนี้ ฮอลลีวูดรีพอร์ต กล่าวว่า "เสียงเสียดสีจากเรื่องกลิตเตอร์ของนักร้องคนนี้ จะถูกลืมไป"[97] โรเจอร์ ฟรายด์แมน เขียนวิจารณ์ไว้ว่า "เธอเป็น เทลมา ริตเตอร์แห่งสหัสวรรษใหม่" และพูดต่อว่า "บทพูดของเธอดูคมคายและเธอก็จัดการให้คนหัวเราะได้ถูกจังหวะ"[98] และแครียังได้แสดงในภาพยนตร์เรื่องเดธ ออฟ อะ ไดนาสตี (Death of a Dynasty) (2003) และ สเตท พร็อพเพอร์ตี 2 (State Property 2) (2005)

ในส่วนทางด้านละครโทรทัศน์แครีได้ร่วมแสดงในอัลลี แม็คบีล (Ally McBeal) ช่วงเดือนมกราคม ปี 2002 ล่าสุดในปี 2006 เธอได้แสดงในภาพยนตร์ต้นทุนต่ำเรื่องเทนเนซซี (Tennessee) รับบทเป็นบริกรสาวที่เดินทางกับพี่ชาย 2 คนเพื่อตามหาพ่อที่หายไป[99] และในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2007 เว็บไซต์โจโบล.คอม รายงานว่าเธอจะแสดงในภาพยนตร์ของอดัม แซนด์เลอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง อย่าแหย่โซฮาน‎ (You Don't Mess with the Zohan) โดยแสดงเป็นตัวเธอเอง[100] ในปี 2009 เธอรับบทเป็นนักสังคมสงเคราะห์ ในภาพยนตร์ พรีเซียส ซึ่งดัดแปลงมาจากบทประพันธ์เรื่อง Push ของแซปไฟร์[101] ภาพยนตร์ได้รับเสียงวิจารณ์แง่บวก เช่นเดียวกับการแสดงของแครีด้วย[102][103] นิตยสารวาไรตีอธิบายการแสดงของเธอว่า "ระดับสมบูรณ์แบบ"[104] ภาพยนตร์ พรีเซียส ได้รับรางวัลทั้งจากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์และเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโต[105][106][107] ในเดือนมกราคม 2010 แครีได้รับรางวัลนักแสดงดาวรุ่งจากบทบาทการแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปาล์มสปริงส์[108]

ผลงานการแสดง

  • เดอะ แบชเชอเรอร์ ผู้ชายหัวใจเวอร์จิ้น (The Bachelor) (1999)
  • กลิตเตอร์ (Glitter) (2001)
  • ไวซ์เกิร์ลส์ (WiseGirls) (2002)
  • เดธ ออฟ อะ ไดนาสตี (Death of a Dynasty) (2003)
  • เดอะ พราวด์ แฟมิลี (The Proud Family) (2003)
  • สเตท พร็อพเพอร์ตี 2 (State Property 2) (2005)
  • เทนเนซซี (Tennessee) (2007)
  • อย่าแหย่โซฮาน‎ (You Don't Mess with the Zohan) (2008)
  • พรีเชียส (Precious: Based on the Novel "Push" by Sapphire) (2009)

สไตล์เพลง และ ความสามารถ

แครีเคยพูดว่าเธอได้ถูกกระตุ้นจากนักร้องอาร์แอนด์บีและโซลจากศิลปินอย่าง บิลลี ฮอลิเดย์, ซาราห์ วอห์น, แกลดีส์ ไนท์ , อารีธา แฟรงคลิน, อัล กรีน และ สตีวี่ วันเดอร์ เธอได้รับอิทธิพลจากดนตรีแนวกอสเปล และนักร้องแนวกอสเปลที่เธอชื่นชอบคือ เดอะ คลาร์ก ซิสเตอร์ส , เชอร์ลีย์ เซซาร์ และ เอดวิน ฮอกินส์[109] แต่เมื่อแครีเริ่มหันมาทำดนตรีแนวฮิปฮอป เธอถูกกล่าวว่ากำลังทำเพลงที่นิยมในขณะนั้น เธอบอกกับนิตยสารนิวส์วีค ว่า "ไม่มีใครเข้าใจว่า ฉันเติบโตมากับดนตรีจำพวกนี้"[110] โดยแครีออกมาเปิดเผยว่าเธอชื่นชอบศิลปินอย่าง เดอะ ซูการ์ฮิลล์ แกงก์ , อีริค บี แอนด์ ราคิม , เดอะ วู-แทง แคลน , เดอะ โนทอเรียส บีไอจี และ ม็อบบ์ ดีพ , ที่เธอได้ร่วมงานในเพลง "The Roof (Back in Time)"[19]

ตลอดอาชีพการร้องเพลง เสียงร้อง แนวทางดนตรี รวมถึงระดับความสำเร็จของเธอ ก็มักจะถูกเปรียบเทียบกับ วิทนีย์ ฮูสตัน และ เซลีน ดิออน ซึ่งก็มีคำวิจารณ์ของแกร์รี มูลฮอลแลนด์ไว้ว่า "เหล่าบรรดาเจ้าหญิง เสียงสูง เธอเป็นผู้ช่ำชองในการใช้เสียงกับเพลงป็อปฮิตติดตลาด"[111] แต่ก็มีนักเขียนบางคนเขียนว่าเธอแตกต่างจาก วิทนีย์ ฮูสตัน และ เซลีน ดิออน ตรงที่เธอเขียนเพลงเองด้วย [112]

เสียงร้อง

มารายห์ แครีเป็นนักร้องโคโลราทูราโซปราโน (coloratura soprano คือนักร้องระดับเสียงสูงสุดของผู้หญิงที่สามารถใช้เสียงได้หลากหลายด้วยเทคนิคอันแพรวพราวและร้องเสียงเฮดโทนวอยซ์ได้) [113] เสียงเธอมีความกว้างถึงห้าออกเตฟและมีเอกลักษณ์จากความสามารถในการร้องเสียงสูงใน whistle register (เสียงร้องเสียงสูงที่สูงกว่า E6) โน้ตที่สูงที่สุดที่เธอร้องได้คือ G#7[17] (โน้ตที่สูงกว่า C7 ซึ่งเป็นโน้ตสูงสุดบนคีย์บอร์ดมาตรฐานอยู่ห้าเสียงครึ่ง หรือสูงกว่าโน้ตสูงที่สุดบนคีย์ของเปียโนซึ่งมีอยู่ 88 คีย์) เธอยังได้รับการบันทึกจากหนังสือกินเนสบุ๊คว่าเธอเป็นนักร้องที่สามารถร้องโน้ตได้สูงที่สุด[114] แครีมักจะได้รับคำกล่าวอย่างผิด ๆ ว่ามีเสียงร้องถึงเจ็ดออกเตฟ สาเหตุเนื่องจากการกล่าวเกินจริงในสมัยที่เธอเพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ[115] บางทีคำกล่าวนี้อาจจะเกิดจากการเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสามารถในการใช้เสียงของเธอในการร้องเสียงสูงใน whistle register โดยเฉพาะโน้ตเพลงในออกเตฟที่เจ็ด

ในปี 2003 แครี ได้รับการลงคะแนนเสียงให้เป็นนักร้องเสียงดีที่สุดจากรายการเดอะ เกรทเท็ส วอยเซ็ส อิน มิวสิก (The Greatest Voices in Music) ของสถานีโทรทัศน์เอ็มทีวี และนิตยสารเบล็นเดอร์ของอเมริกา โดยจากการจัดอันดับ มีศิลปินดังอย่างวิทนีย์ ฮูสตัน ซึ่งอยู่อันดับสาม คริสติน่า อากีเลร่า อันดับห้า และ เซลีน ดิออน ซึ่งอยู่อันดับที่เก้า[116] แครีให้ความเห็นกับแบบสำรวจนี้ว่า "นี่เป็นแบบสำรวจของคนรุ่นเอ็มทีวี แน่นอนว่าเป็นคำชมเชยที่ดี แต่ฉันก็ไม่รู้สึกอะไรเกี่ยวกับตัวฉันอย่างนั้น"[114]

สำหรับคำวิจารณ์ในด้านเสียงร้องของเธอ นิตยสารโรลลิงสโตนพูดไว้ว่า ในช่วงที่เธอออกอัลบั้ม Emotions "แครีได้พรสวรรค์นี้มา แต่ถึงวันนี้ โชคไม่ดีที่การร้องของเธอมันไกลไปเกินประทับใจกว่าที่เธอได้แสดงออกมา กับระดับเสียงร้องที่สูงเกินกว่ามนุษย์ ผ่านโน้ตเพลงที่เกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเธอกำลังร้องอยู่"[117] นิวยอร์กเดลีนิวส์เขียนไว้ในปี 2005 ว่า "การร้องของเธอ เป็นเรื่องของการแสดง ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ที่เป็นแรงดลใจ ... การที่มีเสียงดี จะเป็นนักร้องที่ดีได้หรือไม่ ...ค่อนข้างยาก"[118] และมีหลายคนตีความว่า เธอได้เปลี่ยนการร้องในลักษณะ มีลมหายใจออกมาด้วย ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 ถึงต้นยุค 2000 เสียงของเธอทรุดโทรมลง แต่เธอก็ยังคงบอกว่า "เสียงฉันก็ยังคงเป็นแบบนี้มาโดยตลอด"[119] และในปี 2007 แครีอยู่ในอันดับนักร้องที่แย่ที่สุดตลอดการของนิตยสารคิว จากการสำรวจของผู้อ่าน โดยนิตยสารเขียนไว้ว่า "ถึงแม้ว่า มารายห์ แครีจะมีเสียงช่วงกว้างถึง 5 ออกเตฟและมีเสียงดังที่ทำให้รังนกตกจากต้นไม้ได้ แต่มันก็ไม่ดี"[120]

ธีมและสไตล์เพลง

แครีมักจะเขียนเพลงที่มีเนื้อเพลงเกี่ยวกับความรัก บางครั้งเธอก็ได้เขียนเนื้อเพลงที่เกี่ยวกับการเหยียดสีผิว ความตาย ความหิวโหย และเรื่องของความเชื่อจิตและวิญญาณ โดยภาคดนตรี ได้ใช้เครื่องดนตรีอีเลคโทรนิค เช่น ดรัม แมชชีน, คีย์บอร์ด และ เครื่องสังเคราะห์เสียง โดยหลาย ๆ เพลงของเธอจะมีเปียโนประกอบอยู่ด้วย แครีเคยเรียนเปียโนตอนอายุ 6 ขวบ แต่เธอบอกว่าเธอไม่สามารถอ่านโน้ตได้แต่ชอบที่จะร่วมแต่งเพลงกับนักเปียโนเวลาแต่งเพลง และมันง่ายกว่าที่จะทดลองด้วยการรวมเมโลดี้และโครงสร้างคอร์ดด้วยวิธีนี้ การเรียบเรียงเพลงของแครีได้รับอิทธิพลจากสตีวี่ วันเดอร์ ที่เธอเคยยกยอว่าเป็นอัจฉริยะแห่งศตวรรษที่ 20[121]

แครีเริ่มรีมิกซ์เพลงของเธอตั้งแต่ช่วงต้น และเป็นผู้นำที่จะทำการร้องใหม่ในรีมิกซ์ของเธอ โดยดีเจ เดวิด มอราเลสได้ร่วมงานกับเธออยู่หลายครั้ง เริ่มจากเพลง "Dreamlover" (ปี 1993) รีมิกซ์ของเพลงนี้ได้รับความนิยมในหมู่วงการเพลงเฮาส์โดยนิตยสารสแลนท์ ยกย่องให้เป็นเพลงเต้นรำที่ดีที่สุดเพลงหนึ่ง[122] เพลง "Fantasy" (ปี 1995) เธอได้ร่วมแต่งรีมิกซ์ทั้งในรูปแบบแนวดนตรีฮิปฮอปและเฮาส์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ วีคลีได้ยกให้ทั้งสองรีมิกซ์ของเพลง "Fantasy" เป็นหนึ่งเพลงเยี่ยมที่สุดของเธอ[123]

แครียังคงร่วมงานการทำเพลงรีมิกซ์กับโปรดิวเซอร์อย่าง เดวิด มอราเลส, เจอร์เมน ดูปริ, จูเนียร์ วาสเควซ และ ดีเจ คลูย์

กิจกรรมการกุศลและงานอื่นๆ

กิจกรรมการกุศล

ไฟล์:Mariah Carey and children at Camp Mariah.jpg
มารายห์ แครีกับเด็กในแคมป์เฟร็ชแอร์ฟันด์

แครีเธอได้เป็นคนใจบุญใจกุศล ได้ร่วมการบริจาคเงินนับล้าน ๆ ดอลล่าร์ให้กับองค์กรการกุศลอย่างเช่น เมค-อะ-วิช ฟาวเดชัน (Make-A-Wish Foundation) , เนชันนอลอะดอบชันเซ็นเตอร์ (National Adoption Center) , โครงการของวีเอชวันเซฟเดอะมิวสิก (Save The Music Foundation) , เฟร็ชแอร์ฟันด์ (Fresh Air Fund) [124] และอื่นๆ

แครีได้เป็นที่รู้จักกันดีในการช่วยเหลืองานในมูลนิธิเมค-อะ-วิช ฟาวเดชัน (ช่วยเหลือเด็กที่ป่วย) นอกจากนั้นเธอยังเป็นอาสาสมัครให้กับนิวยอร์ก เพรบีทีเรียน ฮอสปิทอล คอร์เนลล์ เมดิคัล เซ็นเตอร์ ยอดการขายอัลบั้ม "MTV Unplugged" ก็ได้บริจาคให้การกุศลหลายโครงการ[125] ในปี 1998 แครีได้ร่วมงานกับวีเอชวัน ดีวาส์ (VH1 Divas Live) ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตหารายได้ให้กับเด็กที่ขาดแคลนเครื่องดนตรีในมูลนิธิเซฟเดอะมิวสิก เธอร่วมงานกับวีเอชวันอีกครั้งในปี 2006 ในรายการวีเอชวันเซฟเดอะมิวสิก และล่าสุดในปี 2007 นี้ แครีจะร่วมงานกับวีเอชวันอีกครั้งฉลองครบรอบ 10 ปีมูลนิธิเซฟเดอะมิวสิก[126]

แครีร่วมร้องเพลงในงานอเมริกา: อะ ทริบิวท์ ทู ฮีโรส์ (America: A Tribute to Heroes) เป็นการหารายได้ทางรายการโทรทัศน์จากเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน[127] และในเดือนธันวาคม 2001 แครีได้ร้องเพลงให้กับกองทัพอเมริกันก่อนไปโคโซโว นอกจากนั้นเธอยังได้เป็นพิธีกรให้กับรายการพิเศษของสถานีซีบีเอส รายการแอ็ท โฮม ฟอร์ เดอะ ฮอลิเดย์ส (At Home for the Holidays) เป็นสารคดีเกี่ยวกับลูกอุปถัมภ์ เธอยังได้ร่วมงานกับนิวยอร์ก ซิตี้ แอดมินิสเตรชัน ฟอร์ ชิลเดรนส์ เซอร์วิส (New York City Administration for Children's Services) ในปี 2005 เธอได้ร่วมแสดงในงานคอนเสิร์ตไลฟ์เอทในลอนดอน[128]และช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา[125] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 แครีร่วมกับนักร้องอื่นร่วมกับบันทึกเสียงซิงเกิ้ลการกุศลที่ชื่อ "Just Stand Up" โปรดิวซ์โดยเบบี้เฟซและแอล. เอ. รีด เพื่อสนับสนุนโครงการ "สแตนด์อัปทูแคนเซอร์" โดยในวันที่ 5 กันยายน เหล่านักร้องได้ร่วมการแสดงสดบนโทรทัศน์[129]

งานอื่น ๆ

สำหรับงานอื่นๆ ในช่วงแรกๆ เธอไม่เคยมีงานเกี่ยวข้องกับแบรนด์การค้า จนกระทั่งในปี 2006 เมื่อเธอได้ร่วมกับ อินเทล เซ็นทริโน คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และยังได้ร่วมเปิดผลิตภัณฑ์อัญมณีและของใช้เกี่ยวกับวัยรุ่น และร้านเสื้อผ้าผู้หญิงอย่าง แคลร์ [130] และยังได้ร่วมงานกับเป๊ปซี่และโมโตโรลา เธอยังได้บันทึกเสียงและประชาสัมพันธ์ให้กับงานโฆษณา มีเพลงริงโทนชื่อ "Time of Your Life"[131] เธอเซ็นสัญญากับบริษัทเครื่องสำอาง เอลิซาเบธ อาร์เด็น และในปี 2007 เธอออกน้ำหอมที่ชื่อว่า "M"[132][133]

จากข้อมูลของนิตยสารฟอร์บ แครีถือเป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในวงการบันเทิงเป็นอันดับ 6 (ข้อมูลเดือนมกราคม 2007) กับรายได้กว่า 225 ล้านเหรียญสหรัฐ[134] ในปี 2008 แครียังติดอันดับของนิตยสารไทม์ประจำปี ในหัวข้อ 100 อันดับบุคคลทรงอิทธิพล[135][136][137] ในเดือนมกราคม 2010 แครีประกาศผ่านทางทวิตเตอร์ของเธอว่าจะออกแบรนด์แชมเปญสีกุหลาบ ที่ชื่อ แองเจิลแชมเปญ[108]

ผลงานเพลง

แครี มีออกผลงานอัลบั้มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 โดยมีผลงานทั้งหมด 15 อัลบั้ม โดยเป็นสตูดิโออัลบั้ม 11 อัลบั้ม อัลบั้มรวมเพลง 2 อัลบั้ม อัลบั้มรีมิกซ์ 1 อัลบั้ม อัลบั้มอีพี 1 อัลบั้ม โดยมี 6 อัลบั้มที่ขึ้นอันดับ 1 บนอันดับอัลบั้มในอเมริกา คืออัลบั้ม Mariah Carey, Music Box, Daydream, Butterfly,The Emancipation of Mimi[138] และ E=MC²[139]

ทัวร์คอนเสิร์ต

  • 1993: Music Box Tour
  • 1996: Daydream World Tour
  • 1998: Butterfly World Tour
  • 2000: Rainbow World Tour
  • 2003–2004: Charmbracelet World Tour
  • 2006: The Adventures of Mimi Tour
  • 2009-2010: Angels Advocate Tour

อ้างอิง

  1. Billboard.com - Biography - Mariah Carey. Billboard. เรียกดูเมื่อ 2 เมษายน ค.ศ. 2008.
  2. Mariah Carey. Yahoo Music. Retrieved 2 เมษายน ค.ศ. 2008.
  3. YouTube - Mariah Interview 1990 Stuffed Weekend VH1
  4. Shapiro, Marc. Mariah Carey (2001). pg. 145. UK: ECW Press, Canada. ISBN 1-55022-444-1.
  5. Lamb, Bill. "Mariah Carey- Comeback of the Year". About.com. June 4, 2005. Retrieved March 12, 2008.
  6. Anderman, Joan. "Cary's On". The Boston Globe. February 5, 2006. Retrieved March 12, 2008.
  7. "Mariah's New Single Available At iTunes on Sept. 15th!". Island Def Jam Music Group. สืบค้นเมื่อ 2008-10-13.
  8. "MARIAH CAREY's NEW SINGLE "I WANT TO KNOW WHAT LOVE IS" IMPACTS AT RADIO ON SEPT. 14th". Universal Music Group. สืบค้นเมื่อ 2009-11-14.
  9. "CELEBRATE NEW YEAR'S EVE WITH MARIAH CAREY!". Mariah Carey official website. สืบค้นเมื่อ 2009-11-14.
  10. "Winners of the World Music Awards". World Music Awards. May 2000. Retrieved November 19, 2006 from the Wayback Machine; "Michael Jackson And Mariah Carey Named Best-Selling Artists Of Millennium At World Music Awards In Monaco". Jet. May 29, 2000. Retrieved November 19, 2006.
  11. "Gold and Platinum - Top Selling Artists". Recording Industry Association of America
  12. "BLABBERMOUTH.NET - METALLICA Among Top-Selling Artists Of SOUNDSCAN Era". Roadrunnerrecords.com. สืบค้นเมื่อ 2009-10-21.
  13. Pietroluongo, Silvio. Mariah, Madonna Make Billboard Chart History. Billboard. April 2, 2008. Retrieved April 2, 2008.
  14. , Marc. Mariah Carey (2001). หน้า 16. UK: ECW Press, Canada. ISBN 1-55022-444-1. (อังกฤษ)
  15. 15.0 15.1 "Mariah Carey:People.com." เว็บไซต์ people.com (อังกฤษ)
  16. Handelman, David. "Miss Mariah". Cosmopolitan. December 1997. (อังกฤษ)
  17. 17.0 17.1 17.2 17.3 ประวัติในเว็บไซต์ imdb.com (อังกฤษ)
  18. "Star Is Burrn: Mariah Carey" มิวสิกเอกซ์เพรส ฉบับที่ 62 หน้า 32 (ไทย)
  19. 19.0 19.1 Gardner, Elysa. "Cinderella Story". VIBE. April 1996. (อังกฤษ)
  20. 20.00 20.01 20.02 20.03 20.04 20.05 20.06 20.07 20.08 20.09 20.10 20.11 Mariah Carey: Artist Chart History (Single) (อังกฤษ)
  21. 33rd Grammy Awards - 1991จากเว็บไซต์ rockonthenet.com (อังกฤษ)
  22. 22.0 22.1 22.2 22.3 22.4 Dafydd Rees and Luke Crampton ,Q Rock Stars Encyclopedia (1999) ,Dorling Kindersley,หน้า 170-172 (อังกฤษ)
  23. Mariah Carey 'Emotions' เว็บไซต์ about.com (อังกฤษ)
  24. Evans, Paul. The Rolling Stone Album Guide (1992). pg. 110–111. UK: Virgin Books. ISBN 0-86369-643-0. (อังกฤษ)
  25. Carole King Wilson & Alroy's Record Review
  26. Shapiro, pg. 62. (อังกฤษ)
  27. Sandow, Greg. "MTV Unplugged EP". Entertainment Weekly. June 19, 1992. (อังกฤษ)
  28. White, Timothy. "Mariah Carey's stirring 'Music Box'". Billboard. New York: pg. 5, August 28, 1993, Vol. 105, Iss. 35. (อังกฤษ)
  29. Farley, Christopher John. "Hurray! a B Minus!". TIME. 6 กันยายน ค.ศ. 1993. เรียกดูเมื่อ 4 มีนาคม ค.ศ. 2006. (อังกฤษ)
  30. Shapiro, pg. 78. (อังกฤษ)
  31. Shapiro, pg. 84. (อังกฤษ)
  32. Ramon Thomas.Story behind Endless Love Billboard Book of Number Two’s (อังกฤษ)
  33. ซิงเกิ้ลในญี่ปุ่นที่ขายได้เกิน 1 ล้านชุด ดูที่อันดับ 188 (ญี่ปุ่น)
  34. Parisien, Roch. "Merry Christmas - Review". All Music Guide. เรียกดูเมื่อ 17 มีนาคม ค.ศ. 2006. (อังกฤษ)
  35. Healey, Mitchell. "Carey On". V. January 20, 2006. (อังกฤษ)
  36. Shapiro, pg. 92.
  37. Columbia Records to Release Mariah Carey's #1's On November 17 (อังกฤษ)
  38. นิติเทพ คูณค้ำ "Top records of the year 1995" Year Book 1996, I.S. Song Hits หน้า 294 (ไทย)
  39. นิติเทพ คูณค้ำ "Top records of the year 1997" Year Book 1998, I.S. Song Hits หน้า 321 (ไทย)
  40. อันดับเพลงในปี 1996 จาก alaskajim.com (อังกฤษ)
  41. Shapiro, pg. 94-96. (อังกฤษ)
  42. Holden, Stephen. "Mariah Carey Glides Into New Territory". The New York Times. pg. 76, 13 ตุลาคม ค.ศ. 1995. (อังกฤษ)
  43. Shapiro, Marc. Mariah Carey (2001). หน้า 97-98. UK: ECW Press, Canada. ISBN 1-55022-444-1. (อังกฤษ)
  44. 44.0 44.1 44.2 44.3 44.4 Mariah Carey: Artist Chart History (Album) (อังกฤษ)
  45. Mariah Carey's Biography. Fox News. 24 มีนาคม ค.ศ. 2008. เรียกดูเมื่อ 1 เมษายน ค.ศ. 2008 (อังกฤษ)
  46. Shapiro, pg. 101. (อังกฤษ)
  47. Reynolds, J.R. "Album Review: Butterfly". Yahoo! Music. 16 กันยายน ค.ศ. 1997. เรียกดูเมื่อ 17 มีนาคม ค.ศ. 2006 (อังกฤษ)
  48. Why is Mariah the greatest singer & songwriter in the world? (อังกฤษ)
  49. Brenda K Starr จากเว็บไซต์ beastiemania.com (อังกฤษ)
  50. Full list of Oscar Winners 1999จากเว็บไซต์ bbc.co.uk (อังกฤษ)
  51. "#1's". NME. เรียกดูเมื่อ 10 มีนาคม ค.ศ. 2006 (อังกฤษ)
  52. THE TEN MOST EXPENSIVE MUSIC VIDEOS?จากเว็บไซต์ soyouwanna.com (อังกฤษ)
  53. Virtue, Graham. "Rainbow, Mariah Carey". Sunday Herald, 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1999 (อังกฤษ)
  54. "Mariah Carey, Rainbow". VIBE. pg. 258, December 1999. (อังกฤษ)
  55. No. 1 single for every year of the 1990's (อังกฤษ)
  56. 56.0 56.1 Record deal will keep EMI rocking จากเว็บไซต์ scotsman.com (อังกฤษ)
  57. Friedman, Roger. "Mariah Melts Down; Madonna Disappoints". FOX News. July 26, 2001. เรียกดูเมื่อ March 17, 2006. (อังกฤษ)
  58. 58.0 58.1 Gardner, Elysa. "Mariah Carey, 'standing again'". USA Today. 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 2002. เรียกดูเมื่อ 17 มีนาคม ค.ศ. 2006 (อังกฤษ)
  59. Carey Shocked by MTV Striptease Fuss จาก The Internet Movie Database วันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ 2002 (อังกฤษ)
  60. Brian Hiatt,Mariah's 'Glitter' Falls Short Of Box Office Top 10เว็บไซต์ mtv.com (อังกฤษ)
  61. Johnson, Kevin C. "Mariah Carey's New "Glitter" Is a Far Cry from Golden". St. Louis Post-Dispatch. pg. F.5, September 16 2001 [FIVE STAR LIFT Edition] (อังกฤษ)
  62. "Glitter". Blender. pg. 118, August-September 2001.
  63. Cook, Shanon."Mariah before breakdown -- 'It all seems like one continuous day'" CNN. August 14, 2001. เรียกดูเมื่อ March 17, 2006. (อังกฤษ)
  64. "The fall and rise of Mariah Carey". BBC.co.uk. 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006. เรียกดูเมื่อ 12 มีนาคม [[ค.ศ. 2006] (อังกฤษ)
  65. Mariah sings under the Caprese moon จากเว็บไซต์ mariahdaily.com (อังกฤษ)
  66. Life In Legacy - Week of July 20, 2002 (อังกฤษ)
  67. Anderman, Joan. "For Carey, the Glory's Gone but the Glitter Lives On". Boston Globe. pg. D.4, 10 กันยายน ค.ศ. 2003 [THIRD Edition]. (อังกฤษ)
  68. Walters, Barry. "Charmbracelet". Rolling Stone. New York: pg. 93, 12 ธันวาคม ค.ศ. 2002, iss. 911. (อังกฤษ)
  69. Mariah at Pure Club (อังกฤษ)
  70. Discography:THE EMANCIPATION OF MIMI จากเว็บไซต์ mcarchives.com (อังกฤษ)
  71. มารายห์ รับสาม, ยูทู กวาดสี่ รางวัลแกรมมี 2006 จากเว็บไซต์ Manager.co.th (ไทย)
  72. Complete list of 2007 Grammy winners and nomineesจากเว็บไซต์ baltimoresun.com (อังกฤษ)
  73. Sullivan, Caroline. "Mariah Carey, The Emancipation of Mimi". The Guardian. 1 เมษายน ค.ศ. 2005. เรียกดูเมื่อ 17 มีนาคม ค.ศ. 2006. (อังกฤษ)
  74. Jay-Z, U2, Madonna, Pink Floyd Deliver Live 8 Highlightsเว็บไซต์ mtv.com (อังกฤษ)
  75. "Hollywood Walk of Fame names 2007 honorees"Associated Press. June 23, 2006. เรียกดูเมื่อ August 1, 2006. (อังกฤษ)
  76. "One on One with Mariah!" Entertainment Tonight. August 31, 2006 (อังกฤษ)
  77. MARIAH CAREY ANNOUNCES E=MC²!! gourban.net (อังกฤษ)
  78. Mariah's Got The 'Touch' With 18th No. 1 billboard.com (อังกฤษ)
  79. [Whitburn, Joel, Top Pop Singles 1955-2006, pg. 1139]
  80. Dubin, Danielle (2008-05-02). "Nick Cannon Relative Confirms He Married Mariah". people.com. สืบค้นเมื่อ 2008-05-03.
  81. "Nick Cannon's Family Confirms He's Wed Mariah Carey". usmagazine.com. 2008-05-02. สืบค้นเมื่อ 2008-05-03.
  82. "Mariah Carey reportedly Married in Bahamas". msnbc.com. สืบค้นเมื่อ 2008-05-08. {{cite web}}: ข้อความ "date 2008-05-02" ถูกละเว้น (help)
  83. Liz McNeil. EXCLUSIVE: See Mariah & Nick's Wedding Photo!. People. May 7, 2008. Retrieved May 7, 2008.
  84. "Mariah Carey Works With Husband". MTV UK. สืบค้นเมื่อ January 31, 2009.
  85. The Island Def Jam Music Group. Mariah Carey Puts Finishing Touches on Her New Album, MEMOIRS OF AN IMPERFECT ANGEL, for August 25th Release. Yahoo! Finance. June 16, 2009. Retrieved June 16, 2009.
  86. http://www.billboard.com/#/news/barbra-streisand-surprises-with-ninth-no-1004019217.story
  87. [1][ลิงก์เสีย]
  88. "MariahDaily". Mariahjournal.com. สืบค้นเมื่อ 2009-10-21.
  89. "Official Site and Honey B. Fly Fan Club for Mariah Carey news.news". Mariahcarey.com. สืบค้นเมื่อ 2009-10-21.
  90. Mariah To Release "Angels Advocate" On March 30th! mariahcarey.com
  91. [2]
  92. Tatara, Paul. "Review: 'The Bachelor' -- cold feet, bad film". CNN.com. 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1999. เรียกดูเมื่อ 17 มีนาคม ค.ศ. 2006.
  93. EMI drops Mariah Carey ข่าวจาก bbc.co.uk (อังกฤษ)
  94. Walker, John. Leslie Halliwell Film Guide 2004: 19th Edition (2003). pg. 338. UK: HarperCollins Publishers Inc. ISBN 0-06-055408-8. (อังกฤษ)
  95. Atkinson, Michael. "Eat Drink Man Mariah". The Village Voice. 26 กันยายน - 2 ตุลาคม ค.ศ. 2001. เรียกดูเมื่อ 17 มีนาคม ค.ศ. 2006 (อังกฤษ)
  96. Despite 'Glitter,' Mariah Carey's Movie Career Could Still Sparkle จากเว็บไซต์ mtv.com (อังกฤษ)
  97. Honeycutt, Kirk. "Wisegirls". The Hollywood Reporter. 15 มกราคม ค.ศ. 2002. เรียกดูเมื่อ 17 มีนาคม ค.ศ. 2006 (อังกฤษ)
  98. Friedman, Roger. "Mariah Makes Good in Mob Movie". FOX News. 14 มกราคม ค.ศ. 2002. เรียกดูเมื่อ 17 มีนาคม ค.ศ. 2006 (อังกฤษ)
  99. มารายห์ คืนจอ รับบทสาวเสิร์ฟ ในหนังอินดี้เรื่องใหม่ จากเว็บไซต์ Manager.co.th (ไทย)
  100. Sampson, Mike. "Mariah and Sandler?". JoBlo.com. 11 มิถุนายน ค.ศ. 2007. เรียกดูเมื่อ 12 มิถุนายน ค.ศ. 2007. (อังกฤษ)
  101. Morales, Wilson (2009-02-20). "Lee Daniels Film Renamed 'PRECIOUS'". Black Voices. AOL. สืบค้นเมื่อ 2009-02-20.
  102. "Dark horse nominees: Will the Oscars nominate 'Avatar'? | Gold Derby | Los Angeles Times". Goldderby.latimes.com. สืบค้นเมื่อ 2009-10-21.
  103. "Precious: Based on the Novel PUSH by Sapphire Movie Reviews, Pictures". Rotten Tomatoes. สืบค้นเมื่อ 2009-10-21.
  104. By. "Precious: Based on the Novel 'Push' by Sapphire Movie Review From The Sundance Film Festival". Variety.com. สืบค้นเมื่อ 2009-10-21.
  105. "Entertainment | Precious film takes Toronto prize". BBC News. 2009-09-20. สืบค้นเมื่อ 2009-10-21.
  106. "Movies – News – 'Precious' scoops top Toronto prize". Digital Spy. 2009-09-21. สืบค้นเมื่อ 2009-10-21.
  107. "Precious wins top Toronto film festival prize | Entertainment". Reuters. 2009-09-19. สืบค้นเมื่อ 2009-10-21.
  108. 108.0 108.1 Daily News Staff (January 17, 2010). "Weeks after tipsy awards speech, Mariah Carey pops cork on her own liquor brand, Angel Champagne". NYDailynews.com.
  109. "Mariah carey ...ฤๅเธอเป็นเพียง Whitney Houston คนใหม่?" Today's English ปีที่1 ฉบับที่ 2 วันที่ 26 พ.ย. - 2 ธ.ค. พ.ศ. 2533 หน้า 56 (ไทย)
  110. Shapiro, Marc. Mariah Carey (2001). หน้า 124. UK: ECW Press, Canada. ISBN 1-55022-444-1. (อังกฤษ)
  111. Mulholland, Garry. The Illustrated Encyclopedia of Music (2003). pg. 57. UK: Flame Tree Publishing. ISBN 1-904041-70-1. (อังกฤษ)
  112. Guinness Rockopedia (1998). pg. 74. UK: Guinness Publishing Ltd. ISBN 0-85112-072-5. (อังกฤษ)
  113. Martin, Bill (2002). Pro Secrets of Heavy Rock Singing. Sanctuary Publishing, Page 9. ISBN 1-86074-437-0. (อังกฤษ)
  114. 114.0 114.1 Princess Positive is taking care of the inner Mariahเว็บไซต์ smh.com.au (อังกฤษ)
  115. Mariah Carey possesses a seven-octave vocal rangeใน snopes.com (อังกฤษ)
  116. MTV's 22 Greatest Voices in Music (อังกฤษ)
  117. Tannenbaum, Rob. "Mariah Carey: Emotions". Rolling Stone. RS 617, 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1991. เรียกดูเมื่อ 12 มีนาคม ค.ศ. 2006 (อังกฤษ)
  118. Farber, Jim. "More like a screaming 'Mimi'". New York Daily News. 12 เมษายน ค.ศ. 2005. เรียกดูเมื่อ 21 ตุลาคม ค.ศ. 2007 (อังกฤษ)
  119. "Mariah Carey Ads Say the Voice Will Be Back, but She Says It Never Left". Yahoo! Music. 28 มีนาคม ค.ศ. 2005. เรียกดูเมื่อ 17 มีนาคม ค.ศ. 2006 (อังกฤษ)
  120. article on popcrunch.com
  121. Gardner, Elysa. "Cinderella Story". VIBE. April 1996. (อังกฤษ)
  122. 100 Greatest Dance Songs: 100–91". (อังกฤษ)
  123. Gem Carey Entertainment Weekly. January 2006. เรียกดูเมื่อ March 12, 2006. (อังกฤษ)
  124. เว็บไซต์ freshair.org (อังกฤษ)
  125. 125.0 125.1 "foxnews.com." (อังกฤษ)
  126. Mariah Carey & Jon Bon Jovi Join VH1 Save The Music Foundation's 10th Anniversary Celebration (อังกฤษ)
  127. Mariah Carey To Resurface For 'America' TV Tribute เว็บไซต์ mtv.com (อังกฤษ)
  128. Line up of the artists at Live 8เว็บไซต์ bbc.co.uk (อังกฤษ)
  129. ""JUST STAND UP" STAR-STUDDED CHARITABLE SINGLE SETS PACE FOR STAND UP TO CANCER FUNDRAISING CAMPAIGN | SU2C". Standup2cancer.org. สืบค้นเมื่อ 2009-10-21.
  130. Paoletta, Michael. "The branding of Mimi". Billboard. [10 กรกฎาคม]] ค.ศ. 2006.เรียกดูเมื่อ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 2007 (อังกฤษ)
  131. "Mariah Carey Hits Perfect Note With Pepsi". PR Newswire. 19 เมษายน ค.ศ. 2006. เรียกดูเมื่อ 1 สิงหาคม ค.ศ. 2006 (อังกฤษ)
  132. Vineyard, Jennifer and Bland, Bridget. "Mariah Wants All Fans to See Her — And Even Smell Like Her". MTV.com. 6 เมษายน ค.ศ. 2006. เรียกดูเมื่อ 7 เมษายน ค.ศ. 2006. (อังกฤษ)
  133. Naughton, Julie. "Ready for a Revival: More Stars Launch Scents". WWD.com. 22 มิถุนายน ค.ศ. 2007. เรียกดูเมื่อ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2007. (อังกฤษ)
  134. "The Richest 20 Women In Entertainment". Forbes. January 18, 2007. Retrieved January 21, 2007.
  135. "Sonia, Tata in Time's most influential list". expressindia.com. May 01, 2008. Retrieved May 01, 2008.
  136. "Tony Blair makes list of 100 most influential people – but there's no place for Gordon Brown". Daily Mail. May 01, 2008. Retrieved May 01, 2008.
  137. "Mariah Carey". Time. May 01, 2008. Retrieved May 01, 2008.
  138. Albums Chart History mariahdaily.com (อังกฤษ)
  139. Mariah Debuts At No. 1 After Monster First Week billboard.com (อังกฤษ)

บรรณานุกรม

แหล่งข้อมูลอื่น

แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link GA