ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สงครามปฏิวัติอเมริกา"
ล บอต: ลิงก์บทความคัดสรร no:Den amerikanske uavhengighetskrigen |
ล Robot: ja:アメリカ独立戦争 is a good article |
||
บรรทัด 67: | บรรทัด 67: | ||
{{Link FA|hr}} |
{{Link FA|hr}} |
||
{{Link FA|no}} |
{{Link FA|no}} |
||
{{Link GA|ja}} |
|||
[[af:Amerikaanse Rewolusie]] |
[[af:Amerikaanse Rewolusie]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 21:45, 22 ธันวาคม 2554
สงครามปฏิวัติอเมริกัน | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
สหรัฐ |
บริเตนใหญ่ | ||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
จอร์จ วอชิงตัน Nathanael Greene Horatio Gates Richard Montgomery Daniel Morgan Henry Knox Ethan Allen Francis Nash Francis Marion Benedict Arnold (แปรพักตร์) Friedrich Wilhelm von Steuben Marquis de La Fayette Comte de Rochambeau Comte de Grasse Bailli de Suffren Bernardo de Gálvez Luis de Córdova Juan de Lángara |
Lord North Sir William Howe Thomas Gage Sir Henry Clinton Lord Cornwallis (เชลย) Sir Guy Carleton Allan Maclean Alexander Stewart James Agnew James Grant John Burgoyne (เชลย) Benedict Arnold George Rodney Richard Howe Wilhelm von Knyphausen Joseph Brant | ||||||||
กำลัง | |||||||||
ณ จุดสูงสุด: |
ณ จุดสูงสุด: | ||||||||
ความสูญเสีย | |||||||||
อเมริกัน 50,000± คน เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ[8] |
กองทัพอังกฤษ 20,000± คน เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ
กะลาสี 19,740 คน เสียชีวิต[4] |
สงครามปฏิวัติอเมริกัน (อังกฤษ: American Revolutionary War หรือ American War of Independence; ค.ศ. 1775-1783) เปิดฉากเป็นสงครามระหว่างสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ฝ่ายหนึ่ง กับสิบสามอาณานิคมอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง ก่อนจบลงด้วยสงครามทั่วโลก ระหว่างชาติมหาอำนาจทั้งหลายในทวีปยุโรป
สงครามดังกล่าวเป็นผลมาจากการปฏิวัติอเมริกาในทางการเมือง ซึ่งถูกกระตุ้นด้วยข้อพิพาทระหว่างรัฐสภาแห่งบริเตนใหญ่กับชาวอาณานิคมซึ่งคัดค้านพระราชบัญญัติสแตมป์ ค.ศ. 1765 ซึ่งชาวอเมริกันเห็นว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ รัฐสภายืนยันสิทธิ์ของตนในการเก็บภาษีชาวอาณานิคม แต่ชาวอเมริกันอ้างสิทธิ์ของตนว่าเป็นชาวอังกฤษในการไม่จ่ายภาษีหากไม่มีผู้แทน ชาวอเมริกันจัดตั้งสภาภาคพื้นทวีปที่เป็นอันหนึ่งเดียวกัน และรัฐบาลเงาในแต่ละอาณานิคม การคว่ำบาตรชาอังกฤษของอเมริกานำไปสู่กรณีชาที่บอสตัน ใน ค.ศ. 1773 รัฐบาลอังกฤษตอบสนองโดยยุติการปกครองตนเองในแมตซาชูเซ็ตส์ และกำหนดให้อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพโดยมีพลเอกโทมัส เกจเป็นผู้ว่าราชการ เดือนเมษายน ค.ศ. 1775 เกจส่งกองทัพไปยึดอาวุธของกบฏ ทหารอาสาสมัครท้องถิ่น ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "minutemen" เผชิญหน้ากับทหารอังกฤษและทำลายกองทัพอังกฤษได้เกือบทั้งหมด ยุทธการเลซิงตันและคอนคอร์ดเป็นชนวนสงคราม โอกาสในการประนีประนอมหมดลงเมื่ออาณานิคมต่าง ๆ ประกาศอิสรภาพและจัดตั้งประเทศใหม่ขึ้น ชื่อว่า สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776
ฝรั่งเศส, สเปน และสาธารณรัฐดัตช์ล้วนจัดหาเสบียง เครื่องกระสุนและอาวุธอย่างลับ ๆ ให้แก่กองทัพปฏิวัติเริ่มตั้งแต่ต้น ค.ศ. 1776 หลังอังกฤษประสบความสำเร็จในตอนต้น สงครามเริ่มเปลี่ยนเป็นไม่แน่นอน ฝ่ายอังกฤษใช้ความเหนือกว่าทางทะเลยึดและครอบครองนครชายฝั่งของอเมริกา ขณะที่ฝ่ายกบฏยังควบคุมแถบชนบทเป็นส่วนใหญ่ อันเป็นที่ซึ่งประชากรกว่า 90% อาศัยอยู่ ยุทธศาสตร์ของอังกฤษอาศัยการระดมทหารอาสาสมัครที่จงรักภักดี แต่อังกฤษไม่ได้ให้ความสำคัญอย่างเต็มที่ การรุกรานของอังกฤษจากแคนาดาสิ้นสุดลงด้วยการจับกองทัพอังกฤษเป็นเชลยที่ยุทธการซาราโตกาใน ค.ศ. 1777 ชัยชนะของอเมริกาครั้งนั้นโน้มน้าวให้ฝรั่งเศสเข้าสู่สงครามอย่างเปิดเผยในต้น ค.ศ. 1778 ซึ่งทำให้กำลังทางทหารของทั้งสองฝ่ายสมดุล สเปนและสาธารณรัฐดัตช์ พันธมิตรของฝรั่งเศส เข้าสู่สงครามกับอังกฤษภายในอีกสองปีถัดมา ซึ่งคุกคามจะรุกรานบริเตนใหญ่และทดสอบความเข้มแข็งทางทหารของอังกฤษอย่างรุนแรงด้วยการทัพในยุโรป การมีส่วนร่วมของสเปนส่งผลให้กองทัพอังกฤษในเวสต์ฟลอริดาถอนตัวออก ซึ่งเป็นการทำให้ปีกด้านใต้ของอเมริกาปลอดภัย
การมีส่วนร่วมของฝรั่งเศสพิสูจน์แล้วว่ามีผลชี้ขาด[9] แต่ก็ทำลายเศรษฐกิจของฝรั่งเศสเช่นกัน[10] ชัยชนะทางทะเลของฝรั่งเศสในเชซาพีคบีบให้กองทัพอังกฤษที่สองยอมจำนนที่การล้อมยอร์กทาว์นใน ค.ศ. 1781 ใน ค.ศ. 1783 สนธิสัญญาปารีสยุติสงครามและยอมรับอธิปไตยของสหรัฐอเมริกาเหนือดินแดนที่มีอาณาเขตติดต่อกับแคนาดาทางเหนือ ฟลอริดาทางใต้ และแม่น้ำมิสซิสซิปปีทางตะวันตก[11][12]
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 1.2 Jack P. Greene and J. R. Pole. A Companion to the American Revolution (Wiley-Blackwell, 2003), p. 328.
- ↑ Everett C. Dolman. The Warrior State: How Military Organization Structures Politics (Macmillan, 2004), p. 163.
- ↑ Montero[โปรดขยายความ] p. 356
- ↑ 4.0 4.1 4.2 Mackesy (1964), pp. 6, 176 (British seamen)
- ↑ A. J. Berry, A Time of Terror (2006) p. 252
- ↑ Claude, Van Tyne, The loyalists in the American Revolution (1902) pp. 182–3.
- ↑ Greene and Pole (1999), p. 393; Boatner (1974), p. 545
- ↑ American dead and wounded: Shy, pp. 249–50. The lower figure for number of wounded comes from Chambers, p. 849.
- ↑ Greene and Pole, A companion to the American Revolution p 357
- ↑ Jonathan R. Dull, A Diplomatic History of the American Revolution (1987) p. 161
- ↑ Dull, A Diplomatic History of the American Revolution ch 18
- ↑ Lawrence S. Kaplan, "The Treaty of Paris, 1783: A Historiographical Challenge," International History Review, Sept 1983, Vol. 5 Issue 3, pp 431-442