ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สงครามปฏิวัติอเมริกา"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
EmausBot (คุย | ส่วนร่วม)
บอต: ลิงก์บทความคัดสรร no:Den amerikanske uavhengighetskrigen
EmausBot (คุย | ส่วนร่วม)
Robot: ja:アメリカ独立戦争 is a good article
บรรทัด 67: บรรทัด 67:
{{Link FA|hr}}
{{Link FA|hr}}
{{Link FA|no}}
{{Link FA|no}}
{{Link GA|ja}}


[[af:Amerikaanse Rewolusie]]
[[af:Amerikaanse Rewolusie]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 21:45, 22 ธันวาคม 2554

สงครามปฏิวัติอเมริกัน
วันที่19 เมษายน ค.ศ. 1775 – 3 กันยายน ค.ศ. 1783 (8 ปี 137 วัน)
สถานที่
อเมริกาเหนือตะวันออก, ยิบรอลตาร์, หมู่เกาะแบลีแอริก, อเมริกากลาง;
อาณานิคมในครอบครองฝรั่งเศส ดัตช์และอังกฤษในอนุทวีปอินเดียและที่อื่น;
น่านน้ำชายฝั่งยุโรป, ทะเลแคริบเบียน, มหาสมุทรแอตแลนติกและอินเดีย
ผล

สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1783)

  • ชัยชนะของอเมริกา ได้รับเอกราช
ดินแดน
เปลี่ยนแปลง
อังกฤษเสียดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี และทางใต้ของเกรตเลกส์และแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์ให้แก่สหรัฐอเมริกาที่มีเอกราช และสเปน สเปนได้ฟลอริดาตะวันออก ฟลอริดาตะวันตก และไมนอร์กา; อังกฤษยกโตบาโกและเซเนกัลให้แก่ฝรั่งเศส
สาธารณรัฐดัตช์เสียนาคปัตตินัมให้แก่อังฤษ
คู่สงคราม

 สหรัฐ
ราชอาณาจักรฝรั่งเศส ฝรั่งเศส
สเปน สเปน
 สาธารณรัฐดัตช์
Oneida
Tuscarora
สาธารณรัฐเวอร์มอนต์
Watauga Association
Catawba

Lenape

ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ บริเตนใหญ่
Onondaga
Mohawk
Cayuga
Seneca

เชโรกี
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
สหรัฐ จอร์จ วอชิงตัน
สหรัฐ Nathanael Greene
สหรัฐ Horatio Gates
สหรัฐ Richard Montgomery
สหรัฐ Daniel Morgan
สหรัฐ Henry Knox
สหรัฐ Ethan Allen
สหรัฐ Francis Nash
สหรัฐ Francis Marion
สหรัฐ Benedict Arnold (แปรพักตร์)
สหรัฐ Friedrich Wilhelm von Steuben
สหรัฐ Marquis de La Fayette
ราชอาณาจักรฝรั่งเศส Comte de Rochambeau
ราชอาณาจักรฝรั่งเศส Comte de Grasse
ราชอาณาจักรฝรั่งเศส Bailli de Suffren
สเปน Bernardo de Gálvez
สเปน Luis de Córdova
สเปน Juan de Lángara
ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่Lord North
ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ Sir William Howe
ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ Thomas Gage
ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ Sir Henry Clinton
ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ Lord Cornwallis (เชลย)
ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ Sir Guy Carleton
Allan Maclean
Alexander Stewart
James Agnew
James Grant
ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ John Burgoyne (เชลย)
ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ Benedict Arnold
ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ George Rodney
ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ Richard Howe
ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ Wilhelm von Knyphausen
Joseph Brant
กำลัง

ณ จุดสูงสุด:
กองทัพภาคพื้นทวีป 35,000 นาย
ทหารชาวบ้าน 44,500 คน
กะลาสีกองทัพภาคพื้นทวีป 5,000 คน (สูงสุดใน ค.ศ. 1779)[1]
เรือกองทัพเรือภาคพื้นทวีป 34 ลำ (สูงสุดใน ค.ศ. 1779)[2]; 53 ลำ (ณ บางจุดระหว่างสงคราม)[1]
ฝรั่งเศส 10,000 นาย (ในอเมริกา)

ฝรั่งเศสและสเปน ~60,000 นาย (ในยุโรป)[3]

ณ จุดสูงสุด:
อังกฤษ 56,000 นาย[ต้องการอ้างอิง]
เรือราชนาวี 78 ลำ ใน ค.ศ. 1775[1] กะลาสี 171,000 คน[4]
เยอรมัน 30,000 นาย[5]
ฝ่ายภักดีอังกฤษ 50,000 คน[6]

ชนพื้นเมือง 13,000 คน[7]
ความสูญเสีย
อเมริกัน 50,000± คน เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ[8]

กองทัพอังกฤษ 20,000± คน เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ กะลาสี 19,740 คน เสียชีวิต[4]
กละาสี 42,000 คน เสียชีวิตด้วยความหิวโหย[4]

เยอรมันเสียชีวิต 7,554 นาย

สงครามปฏิวัติอเมริกัน (อังกฤษ: American Revolutionary War หรือ American War of Independence; ค.ศ. 1775-1783) เปิดฉากเป็นสงครามระหว่างสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ฝ่ายหนึ่ง กับสิบสามอาณานิคมอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง ก่อนจบลงด้วยสงครามทั่วโลก ระหว่างชาติมหาอำนาจทั้งหลายในทวีปยุโรป

สงครามดังกล่าวเป็นผลมาจากการปฏิวัติอเมริกาในทางการเมือง ซึ่งถูกกระตุ้นด้วยข้อพิพาทระหว่างรัฐสภาแห่งบริเตนใหญ่กับชาวอาณานิคมซึ่งคัดค้านพระราชบัญญัติสแตมป์ ค.ศ. 1765 ซึ่งชาวอเมริกันเห็นว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ รัฐสภายืนยันสิทธิ์ของตนในการเก็บภาษีชาวอาณานิคม แต่ชาวอเมริกันอ้างสิทธิ์ของตนว่าเป็นชาวอังกฤษในการไม่จ่ายภาษีหากไม่มีผู้แทน ชาวอเมริกันจัดตั้งสภาภาคพื้นทวีปที่เป็นอันหนึ่งเดียวกัน และรัฐบาลเงาในแต่ละอาณานิคม การคว่ำบาตรชาอังกฤษของอเมริกานำไปสู่กรณีชาที่บอสตัน ใน ค.ศ. 1773 รัฐบาลอังกฤษตอบสนองโดยยุติการปกครองตนเองในแมตซาชูเซ็ตส์ และกำหนดให้อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพโดยมีพลเอกโทมัส เกจเป็นผู้ว่าราชการ เดือนเมษายน ค.ศ. 1775 เกจส่งกองทัพไปยึดอาวุธของกบฏ ทหารอาสาสมัครท้องถิ่น ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "minutemen" เผชิญหน้ากับทหารอังกฤษและทำลายกองทัพอังกฤษได้เกือบทั้งหมด ยุทธการเลซิงตันและคอนคอร์ดเป็นชนวนสงคราม โอกาสในการประนีประนอมหมดลงเมื่ออาณานิคมต่าง ๆ ประกาศอิสรภาพและจัดตั้งประเทศใหม่ขึ้น ชื่อว่า สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776

ฝรั่งเศส, สเปน และสาธารณรัฐดัตช์ล้วนจัดหาเสบียง เครื่องกระสุนและอาวุธอย่างลับ ๆ ให้แก่กองทัพปฏิวัติเริ่มตั้งแต่ต้น ค.ศ. 1776 หลังอังกฤษประสบความสำเร็จในตอนต้น สงครามเริ่มเปลี่ยนเป็นไม่แน่นอน ฝ่ายอังกฤษใช้ความเหนือกว่าทางทะเลยึดและครอบครองนครชายฝั่งของอเมริกา ขณะที่ฝ่ายกบฏยังควบคุมแถบชนบทเป็นส่วนใหญ่ อันเป็นที่ซึ่งประชากรกว่า 90% อาศัยอยู่ ยุทธศาสตร์ของอังกฤษอาศัยการระดมทหารอาสาสมัครที่จงรักภักดี แต่อังกฤษไม่ได้ให้ความสำคัญอย่างเต็มที่ การรุกรานของอังกฤษจากแคนาดาสิ้นสุดลงด้วยการจับกองทัพอังกฤษเป็นเชลยที่ยุทธการซาราโตกาใน ค.ศ. 1777 ชัยชนะของอเมริกาครั้งนั้นโน้มน้าวให้ฝรั่งเศสเข้าสู่สงครามอย่างเปิดเผยในต้น ค.ศ. 1778 ซึ่งทำให้กำลังทางทหารของทั้งสองฝ่ายสมดุล สเปนและสาธารณรัฐดัตช์ พันธมิตรของฝรั่งเศส เข้าสู่สงครามกับอังกฤษภายในอีกสองปีถัดมา ซึ่งคุกคามจะรุกรานบริเตนใหญ่และทดสอบความเข้มแข็งทางทหารของอังกฤษอย่างรุนแรงด้วยการทัพในยุโรป การมีส่วนร่วมของสเปนส่งผลให้กองทัพอังกฤษในเวสต์ฟลอริดาถอนตัวออก ซึ่งเป็นการทำให้ปีกด้านใต้ของอเมริกาปลอดภัย

การมีส่วนร่วมของฝรั่งเศสพิสูจน์แล้วว่ามีผลชี้ขาด[9] แต่ก็ทำลายเศรษฐกิจของฝรั่งเศสเช่นกัน[10] ชัยชนะทางทะเลของฝรั่งเศสในเชซาพีคบีบให้กองทัพอังกฤษที่สองยอมจำนนที่การล้อมยอร์กทาว์นใน ค.ศ. 1781 ใน ค.ศ. 1783 สนธิสัญญาปารีสยุติสงครามและยอมรับอธิปไตยของสหรัฐอเมริกาเหนือดินแดนที่มีอาณาเขตติดต่อกับแคนาดาทางเหนือ ฟลอริดาทางใต้ และแม่น้ำมิสซิสซิปปีทางตะวันตก[11][12]

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 1.2 Jack P. Greene and J. R. Pole. A Companion to the American Revolution (Wiley-Blackwell, 2003), p. 328.
  2. Everett C. Dolman. The Warrior State: How Military Organization Structures Politics (Macmillan, 2004), p. 163.
  3. Montero[โปรดขยายความ] p. 356
  4. 4.0 4.1 4.2 Mackesy (1964), pp. 6, 176 (British seamen)
  5. A. J. Berry, A Time of Terror (2006) p. 252
  6. Claude, Van Tyne, The loyalists in the American Revolution (1902) pp. 182–3.
  7. Greene and Pole (1999), p. 393; Boatner (1974), p. 545
  8. American dead and wounded: Shy, pp. 249–50. The lower figure for number of wounded comes from Chambers, p. 849.
  9. Greene and Pole, A companion to the American Revolution p 357
  10. Jonathan R. Dull, A Diplomatic History of the American Revolution (1987) p. 161
  11. Dull, A Diplomatic History of the American Revolution ch 18
  12. Lawrence S. Kaplan, "The Treaty of Paris, 1783: A Historiographical Challenge," International History Review, Sept 1983, Vol. 5 Issue 3, pp 431-442

ดูเพิ่ม

แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link GA