ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วิกฤตการณ์ตัวประกันโรงละครมอสโก"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 9: | บรรทัด 9: | ||
ในวันถัดมาวันที่ [[24 ตุลาคม]] การจับตัวประกันครั้งนี้เป็นข่าวโด่งดังไปทั้งโลก ทำให้[[วลาดิเมียร์ ปูติน|ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน]] ของ[[รัสเซีย]]ต้องยกเลิกการเดินทางไปประชุมกับ[[จอร์จ ดับเบิลยู บุช|ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช]] และมีคนดังๆ อย่างเช่น [[มิคาอิล กอร์บาชอฟ|อดีตประธานาธิบดีมิคาอิล กอร์บาชอฟ]] ของ[[สหภาพโซเวียต|อดีตสหภาพโซเวียต]]มาช่วยเจรจา มีข้อเสนอมากมาย เช่น ให้ผู้เข้าจับตัวประกันลี้ภัยไปอยู่ในประเทศที่ 3 แต่ก็ไม่มีการตอบรับ แต่ก็มีการปล่อยตัวประกันออกมาเป็นระยะๆ พร้อมกับมีการนำอาหาร และ ยา โดยแพทย์ และ องค์การกาชาดสากลเข้าไปให้ตัวประกัน ซึ่งพวกเขาได้บอกว่าตัวประกันอยู่ในสภาพค่อนข้างดี ไม่มีการทำร้ายตัวประกันแต่ก็มี 2 - 3 คน ที่ตกใจกลัวอย่างมาก ในช่วงพลบค่ำของคืนวันนั้นก็มีการยิงใส่ผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ เจเนดี วลากค์ เพราะเขาวิ่งเขาไปในอาคารโรงละครโดยอ้างว่ามีลูกชายติดเป็นตัวประกัน ในนั้น และราวเที่ยงคืนก็มีตัวประกันชายที่วิ่งเข้าไปหาผู้หญิงชาวเชเชนที่มีระเบิด แต่ผู้ชายชาวเชเชนยิงปืนเข้าใส่กระสุนพลาดไปโดนตัวประกันหญิง 2 คน ก็คือ ทามาร่า สตาร์โคว่า และ พาร์เวล ซาร์คารอฟ บาดเจ็บสาหัสจนต้องถูกนำออกมารักษาตัวข้างนอก ต่อมาในคืนวันที่ [[25 ตุลาคม]] มีข่าวมาว่าจะเริ่มการเจรจาอย่างจริงจังแต่ก็มีข่าวรั่วมาว่าจะมีการบุกชิงตัวประกันในเช้ามืดที่จะมาถึง เมื่อเวลา 05.00 น. ของวันที่ [[26 ตุลาคม]] [[ค.ศ. 2002]] เริ่มมีการปั๊มแก็สเข้ามาทางท่อระบายอากาศของตัวอาคารของโรงละคร ตัวประกันก็เริ่มสังเกตเห็นควันและคิดว่ามีการเกิดเพลิงใหม้ มีการโทรศัพท์ออกมาจากหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ แอนนา แอนเดียนอว่า ซึ่งเป็นนักข่าวโทรมายังสถานีวิทยุ Echo of Moscow ว่าทั้งตัวประกันและชาวเชเชนในโรงละครทุกคนไม่อยากตายและขวัญเสียเป็นอย่างมาก มีการยิงออกมาจากอาคาร ใส่ที่ตั้งของทหารรัซเซียข้างนอก แต่ไม่ได้มีการระเบิด หรือยิงตัวประกันแต่อย่างใด ประมาณ 30 นาทีหลังจากการปั๊มแก็สที่คาดกันว่าเป็น 3-methyl fentanyl หรือ Kolokol-1 (ซึ่งทางการรัสเซียไม่ได้ออกมาแถลงอย่างแน่ชัดว่าเป็นชนิดใด) และก็เกิดการยิงกันอีกราว 1 ชั่วโมง ชาวเชนที่ถูกยิงมีทั้งหญิงและชายแต่ไม่ทราบตัวเลขที่แน่นอน สุดท้ายมีชาวเชเชนเสียชีวิต 33 คน ตัวประกันเสียชีวิต 129 คน (มีเพียงคนเดียวที่เสียชีวิตจากการถูกยิง ที่เหลือเสียชีวิตจากแก็สและการช่วยเหลือที่ล่าช้า) |
ในวันถัดมาวันที่ [[24 ตุลาคม]] การจับตัวประกันครั้งนี้เป็นข่าวโด่งดังไปทั้งโลก ทำให้[[วลาดิเมียร์ ปูติน|ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน]] ของ[[รัสเซีย]]ต้องยกเลิกการเดินทางไปประชุมกับ[[จอร์จ ดับเบิลยู บุช|ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช]] และมีคนดังๆ อย่างเช่น [[มิคาอิล กอร์บาชอฟ|อดีตประธานาธิบดีมิคาอิล กอร์บาชอฟ]] ของ[[สหภาพโซเวียต|อดีตสหภาพโซเวียต]]มาช่วยเจรจา มีข้อเสนอมากมาย เช่น ให้ผู้เข้าจับตัวประกันลี้ภัยไปอยู่ในประเทศที่ 3 แต่ก็ไม่มีการตอบรับ แต่ก็มีการปล่อยตัวประกันออกมาเป็นระยะๆ พร้อมกับมีการนำอาหาร และ ยา โดยแพทย์ และ องค์การกาชาดสากลเข้าไปให้ตัวประกัน ซึ่งพวกเขาได้บอกว่าตัวประกันอยู่ในสภาพค่อนข้างดี ไม่มีการทำร้ายตัวประกันแต่ก็มี 2 - 3 คน ที่ตกใจกลัวอย่างมาก ในช่วงพลบค่ำของคืนวันนั้นก็มีการยิงใส่ผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ เจเนดี วลากค์ เพราะเขาวิ่งเขาไปในอาคารโรงละครโดยอ้างว่ามีลูกชายติดเป็นตัวประกัน ในนั้น และราวเที่ยงคืนก็มีตัวประกันชายที่วิ่งเข้าไปหาผู้หญิงชาวเชเชนที่มีระเบิด แต่ผู้ชายชาวเชเชนยิงปืนเข้าใส่กระสุนพลาดไปโดนตัวประกันหญิง 2 คน ก็คือ ทามาร่า สตาร์โคว่า และ พาร์เวล ซาร์คารอฟ บาดเจ็บสาหัสจนต้องถูกนำออกมารักษาตัวข้างนอก ต่อมาในคืนวันที่ [[25 ตุลาคม]] มีข่าวมาว่าจะเริ่มการเจรจาอย่างจริงจังแต่ก็มีข่าวรั่วมาว่าจะมีการบุกชิงตัวประกันในเช้ามืดที่จะมาถึง เมื่อเวลา 05.00 น. ของวันที่ [[26 ตุลาคม]] [[ค.ศ. 2002]] เริ่มมีการปั๊มแก็สเข้ามาทางท่อระบายอากาศของตัวอาคารของโรงละคร ตัวประกันก็เริ่มสังเกตเห็นควันและคิดว่ามีการเกิดเพลิงใหม้ มีการโทรศัพท์ออกมาจากหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ แอนนา แอนเดียนอว่า ซึ่งเป็นนักข่าวโทรมายังสถานีวิทยุ Echo of Moscow ว่าทั้งตัวประกันและชาวเชเชนในโรงละครทุกคนไม่อยากตายและขวัญเสียเป็นอย่างมาก มีการยิงออกมาจากอาคาร ใส่ที่ตั้งของทหารรัซเซียข้างนอก แต่ไม่ได้มีการระเบิด หรือยิงตัวประกันแต่อย่างใด ประมาณ 30 นาทีหลังจากการปั๊มแก็สที่คาดกันว่าเป็น 3-methyl fentanyl หรือ Kolokol-1 (ซึ่งทางการรัสเซียไม่ได้ออกมาแถลงอย่างแน่ชัดว่าเป็นชนิดใด) และก็เกิดการยิงกันอีกราว 1 ชั่วโมง ชาวเชนที่ถูกยิงมีทั้งหญิงและชายแต่ไม่ทราบตัวเลขที่แน่นอน สุดท้ายมีชาวเชเชนเสียชีวิต 33 คน ตัวประกันเสียชีวิต 129 คน (มีเพียงคนเดียวที่เสียชีวิตจากการถูกยิง ที่เหลือเสียชีวิตจากแก็สและการช่วยเหลือที่ล่าช้า) |
||
== เชิงอรรถ == |
|||
{{รายการอ้างอิง}} |
|||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:30, 23 ตุลาคม 2554
วิกฤตการจับตัวประกันในโรงละครมอสโก (อังกฤษ: Moscow theatre hostage crisis) หรือ การล้อมนอร์ด-โอสท์ พ.ศ. 2545 (อังกฤษ: 2002 Nord-Ost siege) เป็นการยึดโรงละครซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2545 โดยกลุ่มติดอาวุธเชเชนราว 40 ถึง 50 คน ที่อ้างความภักดีต่อขบวนการแบ่งแยกดินแดนอิสลามในเชชเนีย[1] คนร้ายจับตัวประกัน 850 คน และเรียกร้องให้ถอนกำลังรัสเซียออกจากเชชเนีย และยุติสงรามเชชเนียครั้งที่สอง การล้อมนี้อยู่ภายใต้การนำอย่างเป็นทางการของมอฟซาร์ บาราเยฟ หลังการล้อมนานสองวันครึ่ง กองกำลังสเปซนาซของรัสเซียได้สูบสารเคมีไม่ทราบชื่อ (คาดว่าเป็นเฟนตานิล หรือ 3-เมทิลเฟนตานิล) เข้าไปในระบบระบายอากาศของอาคารและโจมตี[1]
คนร้าย 39 คนถูกสังหารโดยกองทัพรัสเซีย เช่นเดียวกับตัวประกันอย่างน้อย 129 คน (ซึ่งรวมชาวต่างชาติเก้าคน) ตัวประกันเกือบทั้งหมดที่เสียชีวิตในเหตุการณ์เสียชีวิตจากสารพิษที่สูบเข้าไปในโรงละครที่ตั้งใจใช้กับคนร้าย[2][3] การใช้แก๊สดังกล่าวถูกประณามอย่างกว้างขวางว่า "มือหนัก" แต่รัฐบาลรัสเซียยืนยันว่า ตนมีพื้นที่น้อยมากสำหรับกลวิธี โดยเผชิญหน้ากับกบฏติดอาวุธหนัก 50 คนที่เตรียมฆ่าตัวตายและตัวประกัน[4] แพทย์ในกรุงมอสโกประณามการปฏิเสธที่จะเปิดเผยเอกลักษณ์ของแก๊ส ซึ่งทำให้แพทย์ไม่สามารถช่วยชีวิตได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี บางรายงานว่า ยานาลอกโซนสามารถใช้ช่วยชีวิตตัวประกันบางคนอย่างได้ผล[5] รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ทั้งสิ้นประมาณ 170 คน
เหตุการณ์การจับตัวประกัน
เหตุการณ์เริ่มขึ้นไม่นานหลังจากเริ่มการแสดงละคร เวลา 21.05 น. ของวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 2002 ก็ได้มีรถบัสบรรทุกทั้งชายและหญิงในชุดดำลายพราง บุกเข้ามาและประกาศว่าพวกเขาเป็นหน่วยฆ่าตัวตายจากกองพลที่ 29 และทำการควบคุมตัวผู้ชม ผู้แสดง และผู้คนที่อยู่ภายในโรงละคร ซึ่งต่อมาก็ได้มีตัวประกันที่เป็นนักแสดงและผู้ชมบางส่วนหลบหนีออกมาทางหน้าต่าง และออกมาแจ้งตำรวจซึ่งยังมีอีกราว 90 คน ที่แอบหลบซ่อนตัวตามมุมอับของตึก ในตอนแรกผู้นำชาวเชเชน ประกาศว่าจะปล่อยตัวชาวต่างชาติที่มีพาสปอร์ต (มี 75 คนจาก 14 ประเทศ เช่น ออสเตรเลีย เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ยูเครน สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา) แต่ก็ไม่ได้มีการปล่อยตัว ได้มีการใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อกับตัวประกัน ซึ่งได้เล่าว่ามีผู้หญิงชาวเชเชนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบอาหรับที่นิยมกันในแถบคอเคซัสเหนือ ส่วนผู้ชายพูดภาษาอาหรับ และมีระเบิดพันตามร่างกายอีกทั้งยังติดระเบิดใว้ตามอาคารที่เป็นที่กักตัวประกัน (ซึ่งในภายหลังพบว่าเป็นระเบิดปลอม) ทางส่วนผู้นำชาวเชเชน - อิสลามที่นิยมรัซเซียได้ประณามการจับตัวประกันในครั้งนี้ และโฆษก กบฏเชเชนเองก็ประณามการทำร้ายพลเรือนด้วยแต่บอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องผู้ก่อการในครั้งนี้ และหลังจากการควบคุมตัวประกันได้ไม่นาน ก็ได้มีการปล่อยผู้หญิงท้อง เด็ก ชาวมุสลิม และ ชาวต่างชาติบางส่วนที่มีปัญหาทางสุขภาพประมาณ 150 - 200 คน ให้เป็นอิสระ แต่ก็ยังมีการยิงผู้หญิง 1 คน ที่ชาวเชเชนเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งสหพันธ์รัสเซีย หรือ Federal Security Service (FSB) ที่มีชื่อว่า ออลกา โรมานอว่า เพราะเธอได้พูดปลุกเร้าจิตใจให้ตัวประกันลุกขึ้นมาต่อต้านชาวเชเชนเหล่านี้
ในวันถัดมาวันที่ 24 ตุลาคม การจับตัวประกันครั้งนี้เป็นข่าวโด่งดังไปทั้งโลก ทำให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียต้องยกเลิกการเดินทางไปประชุมกับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช และมีคนดังๆ อย่างเช่น อดีตประธานาธิบดีมิคาอิล กอร์บาชอฟ ของอดีตสหภาพโซเวียตมาช่วยเจรจา มีข้อเสนอมากมาย เช่น ให้ผู้เข้าจับตัวประกันลี้ภัยไปอยู่ในประเทศที่ 3 แต่ก็ไม่มีการตอบรับ แต่ก็มีการปล่อยตัวประกันออกมาเป็นระยะๆ พร้อมกับมีการนำอาหาร และ ยา โดยแพทย์ และ องค์การกาชาดสากลเข้าไปให้ตัวประกัน ซึ่งพวกเขาได้บอกว่าตัวประกันอยู่ในสภาพค่อนข้างดี ไม่มีการทำร้ายตัวประกันแต่ก็มี 2 - 3 คน ที่ตกใจกลัวอย่างมาก ในช่วงพลบค่ำของคืนวันนั้นก็มีการยิงใส่ผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ เจเนดี วลากค์ เพราะเขาวิ่งเขาไปในอาคารโรงละครโดยอ้างว่ามีลูกชายติดเป็นตัวประกัน ในนั้น และราวเที่ยงคืนก็มีตัวประกันชายที่วิ่งเข้าไปหาผู้หญิงชาวเชเชนที่มีระเบิด แต่ผู้ชายชาวเชเชนยิงปืนเข้าใส่กระสุนพลาดไปโดนตัวประกันหญิง 2 คน ก็คือ ทามาร่า สตาร์โคว่า และ พาร์เวล ซาร์คารอฟ บาดเจ็บสาหัสจนต้องถูกนำออกมารักษาตัวข้างนอก ต่อมาในคืนวันที่ 25 ตุลาคม มีข่าวมาว่าจะเริ่มการเจรจาอย่างจริงจังแต่ก็มีข่าวรั่วมาว่าจะมีการบุกชิงตัวประกันในเช้ามืดที่จะมาถึง เมื่อเวลา 05.00 น. ของวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2002 เริ่มมีการปั๊มแก็สเข้ามาทางท่อระบายอากาศของตัวอาคารของโรงละคร ตัวประกันก็เริ่มสังเกตเห็นควันและคิดว่ามีการเกิดเพลิงใหม้ มีการโทรศัพท์ออกมาจากหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ แอนนา แอนเดียนอว่า ซึ่งเป็นนักข่าวโทรมายังสถานีวิทยุ Echo of Moscow ว่าทั้งตัวประกันและชาวเชเชนในโรงละครทุกคนไม่อยากตายและขวัญเสียเป็นอย่างมาก มีการยิงออกมาจากอาคาร ใส่ที่ตั้งของทหารรัซเซียข้างนอก แต่ไม่ได้มีการระเบิด หรือยิงตัวประกันแต่อย่างใด ประมาณ 30 นาทีหลังจากการปั๊มแก็สที่คาดกันว่าเป็น 3-methyl fentanyl หรือ Kolokol-1 (ซึ่งทางการรัสเซียไม่ได้ออกมาแถลงอย่างแน่ชัดว่าเป็นชนิดใด) และก็เกิดการยิงกันอีกราว 1 ชั่วโมง ชาวเชนที่ถูกยิงมีทั้งหญิงและชายแต่ไม่ทราบตัวเลขที่แน่นอน สุดท้ายมีชาวเชเชนเสียชีวิต 33 คน ตัวประกันเสียชีวิต 129 คน (มีเพียงคนเดียวที่เสียชีวิตจากการถูกยิง ที่เหลือเสียชีวิตจากแก็สและการช่วยเหลือที่ล่าช้า)
เชิงอรรถ
- ↑ 1.0 1.1 Modest Silin, Hostage, Nord-Ost siege, 2002, Russia Today, 27 October 2007
- ↑ Gas "killed Moscow hostages", ibid.
- ↑ "Moscow court begins siege claims", BBC News, 24 December 2002
- ↑ "Moscow siege gas 'not illegal'". BBC News. 29 October 2002.
- ↑ "Mystery of Russian gas deepens"
อ้างอิง
- The 2002 Dubrovka and 2004 Beslan Hostage Crises: A Critique of Russian Counter-Terrorism by John B. Dunlop (ISBN 3-89821-608-X)