ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กติกาสัญญาโมโลตอฟ–ริบเบินทร็อพ"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Horus (คุย | ส่วนร่วม)
Horus (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
[[ไฟล์:Tajny protokoł 23.08.jpg|thumb|เนื้อหาของข้อตกลงลับ (เป็นภาษาเยอรมัน)]]
[[ไฟล์:Tajny protokoł 23.08.jpg|thumb|เนื้อหาของข้อตกลงลับ (เป็นภาษาเยอรมัน)]]
'''สนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ''' ({{lang-en|Molotov-Ribbentrop Pact}}) เป็นสนธิสัญญาที่ได้ชื่อตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของโซเวียต [[วียาเชสลาฟ โมโลตอฟ]] และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของนาซีเยอรมนี [[โจอาคิม ฟอน ริบเบนทรอพ]] โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า '''สนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนีกับสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต''' และได้รับการลงนามใน[[มอสโก|กรุงมอสโก]] เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 สิงหาคม 1939 (แต่ในสนธิสัญญาระบุเป็นวันที่ 23 สิงหาคม) <ref name="Malcher0">Blank Pages by G.C.Malcher ISBN 1 897984 00 6 Page 7</ref> ข้อตกลงดังล่าวเป็นการประกาศวางตัวเป็นกลางหากคู่เจรจาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกโจมตีโดยประเทศที่สาม ประเทศผู้ลงนามทั้งสองฝ่ายให้สัญญาที่จะไม่เข้าร่วมกลุ่มกับอำนาจอื่นซึ่ง "พุ่งเป้าหมายไปยังคู่เจรจาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยตรงหรือโดยอ้อม" สนธิสัญญาดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในหลายชื่อด้วยกัน ซึ่งรวมไปถึง '''สนธิสัญญานาซี-โซเวียต''' '''สนธิสัญญาฮิตเลอร์-สตาลิน''' '''สนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนี-โซเวียต''' หรือบางครั้งก็เรียกว่า '''พันธมิตรนาซี-โซเวียต'''<ref name="Fischer">Benjamin B. Fischer, "[https://www.cia.gov/library/center-for-the-study-of-intelligence/csi-publications/csi-studies/studies/winter99-00/art6.html The Katyn Controversy: Stalin's Killing Field]", ''Studies in Intelligences'', Winter 1999–2000, last accessed on [[10 December]] [[2005]]</ref> สนธิสัญญาดังกล่าวมีผลจนถึงวันที่ 22 มิถุนายน 1941 เมื่อเยอรมนีเริ่มต้น[[ปฏิบัติการบาร์บารอสซา]] และรุกรานสหภาพโซเวียต

'''สนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอป''' ({{lang-en|Molotov-Ribbentrop Pact}}) เป็นสนธิสัญญาที่ได้ชื่อตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของโซเวียต [[วียาเชสลาฟ โมโลตอฟ]] และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของนาซีเยอรมนี [[โจอาคิม ฟอน ริบเบนทรอป]] โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า '''สนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนีกับสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต''' และได้รับการลงนามใน[[มอสโก|กรุงมอสโก]] เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 สิงหาคม 1939 (แต่ในสนธิสัญญาระบุเป็นวันที่ 23 สิงหาคม) <ref name="Malcher0">Blank Pages by G.C.Malcher ISBN 1 897984 00 6 Page 7</ref> ข้อตกลงดังล่าวเป็นการประกาศวางตัวเป็นกลางหากคู่เจรจาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกโจมตีโดยประเทศที่สาม ประเทศผู้ลงนามทั้งสองฝ่ายให้สัญญาที่จะไม่เข้าร่วมกลุ่มกับอำนาจอื่นซึ่ง "พุ่งเป้าหมายไปยังคู่เจรจาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยตรงหรือโดยอ้อม" สนธิสัญญาดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในหลายชื่อด้วยกัน ซึ่งรวมไปถึง '''สนธิสัญญานาซี-โซเวียต''' '''สนธิสัญญาฮิตเลอร์-สตาลิน''' '''สนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนี-โซเวียต''' หรือบางครั้งก็เรียกว่า '''พันธมิตรนาซี-โซเวียต'''<ref name="Fischer">Benjamin B. Fischer, "[https://www.cia.gov/library/center-for-the-study-of-intelligence/csi-publications/csi-studies/studies/winter99-00/art6.html The Katyn Controversy: Stalin's Killing Field]", ''Studies in Intelligences'', Winter 1999–2000, last accessed on [[10 December]] [[2005]]</ref> สนธิสัญญาดังกล่าวมีผลจนถึงวันที่ 22 มิถุนายน 1941 เมื่อเยอรมนีเริ่มต้น[[ปฏิบัติการบาร์บารอสซา]] และรุกรานสหภาพโซเวียต


นอกเหนือจากการกำหนดเงื่อนไขในการไม่รุกรานระหว่างกันแล้ว สนธิสัญญาดังกล่าวยังรวมไปถึงข้อตกลงลับ ซึ่งแบ่งยุโรปตะวันออกให้อยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของเยอรมนีและโซเวียต เพื่อให้มีการจัดระเบียบทางดินแดนและทางการเมืองในพื้นที่ดังกล่าวใหม่ หลังจากนั้น เยอรมนีและสหภาพโซเวียตได้ร่วมกันรุกรานโปแลนด์ ตามด้วยการผนวก[[เอสโตเนีย]] [[ลัตเวีย]] [[ลิทัวเนีย]]และดินแดนทางตอนเหนือของ[[โรมาเนีย]]เข้าไปอยู่ในเขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียต รวมไปถึงการผนวกดินแดนทางตะวันออกของ[[ฟินแลนด์]] หลังจากความพยายามรุกรานของสหภาพโซเวียตใน[[สงครามฤดูหนาว]] ภาคผนวกลับดังกล่าวถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพ และเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดสงครามแห่งการรุกราน
นอกเหนือจากการกำหนดเงื่อนไขในการไม่รุกรานระหว่างกันแล้ว สนธิสัญญาดังกล่าวยังรวมไปถึงข้อตกลงลับ ซึ่งแบ่งยุโรปตะวันออกให้อยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของเยอรมนีและโซเวียต เพื่อให้มีการจัดระเบียบทางดินแดนและทางการเมืองในพื้นที่ดังกล่าวใหม่ หลังจากนั้น เยอรมนีและสหภาพโซเวียตได้ร่วมกันรุกรานโปแลนด์ ตามด้วยการผนวก[[เอสโตเนีย]] [[ลัตเวีย]] [[ลิทัวเนีย]]และดินแดนทางตอนเหนือของ[[โรมาเนีย]]เข้าไปอยู่ในเขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียต รวมไปถึงการผนวกดินแดนทางตะวันออกของ[[ฟินแลนด์]] หลังจากความพยายามรุกรานของสหภาพโซเวียตใน[[สงครามฤดูหนาว]] ภาคผนวกลับดังกล่าวถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพ และเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดสงครามแห่งการรุกราน
บรรทัด 9: บรรทัด 8:


{{ข้อตกลงระหว่างประเทศ}}
{{ข้อตกลงระหว่างประเทศ}}
{{เรียงลำดับ|มโมโลตอฟ-ริบเบนทรอป}}
{{เรียงลำดับ|มโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ}}


[[หมวดหมู่:สนธิสัญญาสงครามโลกครั้งที่สอง|สนธิสัญญาโมโลตอฟ]]
[[หมวดหมู่:สนธิสัญญาสงครามโลกครั้งที่สอง|สนธิสัญญาโมโลตอฟ]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:21, 30 เมษายน 2554

เนื้อหาของข้อตกลงลับ (เป็นภาษาเยอรมัน)

สนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ (อังกฤษ: Molotov-Ribbentrop Pact) เป็นสนธิสัญญาที่ได้ชื่อตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของโซเวียต วียาเชสลาฟ โมโลตอฟ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของนาซีเยอรมนี โจอาคิม ฟอน ริบเบนทรอพ โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนีกับสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต และได้รับการลงนามในกรุงมอสโก เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 สิงหาคม 1939 (แต่ในสนธิสัญญาระบุเป็นวันที่ 23 สิงหาคม) [1] ข้อตกลงดังล่าวเป็นการประกาศวางตัวเป็นกลางหากคู่เจรจาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกโจมตีโดยประเทศที่สาม ประเทศผู้ลงนามทั้งสองฝ่ายให้สัญญาที่จะไม่เข้าร่วมกลุ่มกับอำนาจอื่นซึ่ง "พุ่งเป้าหมายไปยังคู่เจรจาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยตรงหรือโดยอ้อม" สนธิสัญญาดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในหลายชื่อด้วยกัน ซึ่งรวมไปถึง สนธิสัญญานาซี-โซเวียต สนธิสัญญาฮิตเลอร์-สตาลิน สนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนี-โซเวียต หรือบางครั้งก็เรียกว่า พันธมิตรนาซี-โซเวียต[2] สนธิสัญญาดังกล่าวมีผลจนถึงวันที่ 22 มิถุนายน 1941 เมื่อเยอรมนีเริ่มต้นปฏิบัติการบาร์บารอสซา และรุกรานสหภาพโซเวียต

นอกเหนือจากการกำหนดเงื่อนไขในการไม่รุกรานระหว่างกันแล้ว สนธิสัญญาดังกล่าวยังรวมไปถึงข้อตกลงลับ ซึ่งแบ่งยุโรปตะวันออกให้อยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของเยอรมนีและโซเวียต เพื่อให้มีการจัดระเบียบทางดินแดนและทางการเมืองในพื้นที่ดังกล่าวใหม่ หลังจากนั้น เยอรมนีและสหภาพโซเวียตได้ร่วมกันรุกรานโปแลนด์ ตามด้วยการผนวกเอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนียและดินแดนทางตอนเหนือของโรมาเนียเข้าไปอยู่ในเขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียต รวมไปถึงการผนวกดินแดนทางตะวันออกของฟินแลนด์ หลังจากความพยายามรุกรานของสหภาพโซเวียตในสงครามฤดูหนาว ภาคผนวกลับดังกล่าวถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพ และเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดสงครามแห่งการรุกราน

อ้างอิง

  1. Blank Pages by G.C.Malcher ISBN 1 897984 00 6 Page 7
  2. Benjamin B. Fischer, "The Katyn Controversy: Stalin's Killing Field", Studies in Intelligences, Winter 1999–2000, last accessed on 10 December 2005