ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โรมันคาทอลิกในประเทศไทย"
พุทธามาตย์ (คุย | ส่วนร่วม) →ยุคมิสซัง: ใส่รูป |
Rattakorn c (คุย | ส่วนร่วม) ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
'''คริสตจักรคาทอลิกในประเทศไทย''' ( |
'''คริสตจักรคาทอลิกในประเทศไทย'''<ref name="พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน">ราชบัณฑิตยสถาน, ''พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน'', กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2552, หน้า 468</ref> หรือที่ชาวคาทอลิกเรียกโดยย่อว่า '''พระศาสนจักร''' ({{lang-en|Roman Catholicism in Thailand}}) เป็นประชาคมของคริสต์ศาสนิกชนชาวไทยที่นับถือ[[นิกายโรมันคาทอลิก]] มีการปกครองตนเองแต่ภายใต้การควบคุมของ[[สันตะสำนัก]] ปัจจุบันมีชาวไทยนับถือนิกายคาทอลิกอยู่ราว 250,000 คน |
||
==ประวัติการเผยแพร่== |
==ประวัติการเผยแพร่== |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:23, 19 กุมภาพันธ์ 2554
คริสตจักรคาทอลิกในประเทศไทย[1] หรือที่ชาวคาทอลิกเรียกโดยย่อว่า พระศาสนจักร (อังกฤษ: Roman Catholicism in Thailand) เป็นประชาคมของคริสต์ศาสนิกชนชาวไทยที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก มีการปกครองตนเองแต่ภายใต้การควบคุมของสันตะสำนัก ปัจจุบันมีชาวไทยนับถือนิกายคาทอลิกอยู่ราว 250,000 คน
ประวัติการเผยแพร่
ตลอดประวัติศาสตร์คริสตจักรคาทอลิกในประเทศไทย สามารถจำแนกได้เป็น 3 ยุค ดังนี้
ยุคปาโดรอาโด
ยุคปาโดรอาโด (Padroadro) ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2054 - 2212 (ค.ศ. 1511 – 1669)
ปาโดรอาโด เป็นสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างคริสตจักรคาทอลิกกับรัฐคาทอลิกในยุโรป ให้มีอำนาจในการบริหารและสนับสนุนคริสตจักรภายในเขตอธิปไตยของตน เมื่อโปรตุเกสและสเปนขยายอาณานิคมไปทั่วโลก ทำให้สิทธิ์ตามสัญญานี้ขยายไปทั่วโลกไปด้วย และทำให้เกิดกรณีพิพาทระหว่างทั้งสองรัฐเพราะต่างก็ต้องการรักษาผลประโยชน์ของตน สมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 จึงทรงให้แบ่งโลกเป็นสองส่วน แล้วยกดินแดนซีกโลกตะวันออกทั้งหมดให้โปรตุเกสมีอำนาจปกครองทั้งทางการเมืองและทางศาสนา[2] แต่เนื่องจากโปรตุเกสเป็นชาติเล็ก มีประชากรน้อย การปกครองอาณานิคมจำนวนมากจึงต้องอาศัยอาสาสมัครจากต่างชาติเข้าร่วม รวมทั้งงานด้านศาสนาด้วย คริสต์ศาสนาซึ่งเข้าสู่สยามครั้งแรกจึงเป็นนิกายคาทอลิกโดยโปรตุเกส และปรากฏหลักฐานว่ามีมิชชันนารีคู่แรกเป็นบาทหลวงคณะดอมินิกัน 2 ท่าน คืออ บาทหลวง เยโรนีโมแห่งไม้กางเขน (Jeronimo da Cruz) และบาทหลวง เซบาสตีอาวแห่งกันโต (Sebastiao da canto) ซึ่งเข้ามาอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2140 (ค.ศ. 1567) [3] ทั้งสองทำหน้าที่สอนศาสนาให้ชาวโปรตุเกสรวมทั้งชาวพื้นเมืองที่เป็นภรรยา เมื่อท่านทั้งสองเริ่มมีอิทธิพลในสังคมไทยก็ถูกชาวมุสลิมที่อิจฉาริษยาทำร้ายร่างกาย[4] บาทหลวงเยโรนีโมเสียชีวิต ส่วนบาทหลวงเซบาสตีอาวบาดเจ็บสาหัส จึงขอพระบรมราชานุญาตพามิชชันนารีจากมะละกามาเพิ่มเติม ต่อมาจึงมีมิชชันนารี 3 คนทำงานในสยาม มิชชันนารีทั้งสามคนเสียชีวิตพร้อมกันเพราะถูกทหารพม่าฆ่าตายขณะกำลังอธิษฐานในอยู่ในโบสถ์คราวเสียกรุงคร้งที่ 1 ปี ค.ศ. 1569
เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ ก็มีมิชชันนารีซึ่งเป็นนักพรตและนักบวชจากคณะนักบวชคาทอลิกต่างๆ เข้ามาเผยแพร่ศาสนาในสยาม เช่น คณะดอมินิกัน (ซึ่งเข้ามาก่อนแล้ว) คณะฟรันซิสกัน (ในปี พ.ศ. 2125 หรือ ค.ศ. 1582) คณะเยสุอิต (พ.ศ. 2150 หรือ ค.ศ. 1607) คณะออกัสติเนียน (พ.ศ. 2220 หรือ ค.ศ. 1677)
แม้ว่าจะพยายามเผยแพร่คริสต์ศาสนาในกลุ่มชาวสยาม แต่เนื่องจากปัญหาด้านภาษา และขาดความเข้าใจเรื่องสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่น ประกอบกับการดำเนินงานภายใต้สิทธิปาโดรอาโดของโปรตุเกสมีข้อจำกัด คือมิชชันนารีในอาณัติมีแตกต่างกันไปหลายเชื้อชาติและคณะ ทำให้การดำเนินงานไม่เป็นเอกภาพ และมีการวิวาทกันเองบ่อยครั้ง ทำให้การแผยแพร่กับคนสยามในระยะนี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เหล่ามิชชันนารีจึงหันไปมุ่งงานอภิบาล (pastoral work) คนในอาณัติโปรตุเกสแทน[5]
ปัญหาข้างต้นทำให้สันตะสำนักหาทางแก้ปัญหาโดยตั้งสมณะกระทรวงการเผยแพร่ความเชื่อ (Congregation for the Evangelization of Peoples) หรือ โปรปากันดา ฟีเด (Propaganda Fide) เพื่อให้การเผยแพร่ศาสนาและปกครองคริสจักรที่สิทธิ์ปาโดรอาโดยังไปไม่ถึงได้ขึ้นกับสมณะกระทรวงนี้แต่เพียงแห่งเดียวโดยตรง และเมื่อทราบว่าคริสตจักรทางตะวันออกไกลต้องการประมุขมิสซังไปปกครอง สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 10 จึงแต่งตั้งบาทหลวง 3 ท่านเป็นมุขนายกเกียรตินาม (titular bishop) และประมุขมิสซังต่างๆ ดังนี้
- ฟร็องซัว ปาลูว์ (Francois Pallu) เป็นมุขนายกเกียรตินามแห่งเฮลีโอโปลิส (Heliopolis) และประมุขมิสซังตังเกี๋ย โดยรวมลาวและห้ามณฑลทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนอยู่ในปกครองด้วย
- ปีแยร์ ล็องแบร์ เดอ ลา มอต (Pierre Lambert de la Motte) เป็นมุขนายกเกียรตินามแห่งเบรุท (Beirut) และประมุขมิสซังโคชินจีน
- อีญาส กอตอล็องดี (Ignace Cotolendi) เป็นมุขนายกเกียรตินามแห่งเมเตลโลโปลิส (Metellopolis) และประมุขมิสซังหนานจิง โดยรวมมณฑลทางภาคอีสานของจีนตลอดทั้งเกาหลีอยู่ในปกครองด้วย ต่อมามุขนายกท่านนี้ได้ถึงแก่กรรมเสียในระหว่างทาง
มุขนายกทั้งสามได้ตั้งคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปาริสขึ้นเพื่อฝึกหัดบาทหลวงที่จะไปเป็นมิชชันนารีในภูมิภาคตะวันออกไกล เมื่อมิชชันนารีเหล่านี้เดินทางมาถึงก็ได้ข่าวว่ากำลังมีการเบียนเบียนคริสต์ศาสนาขึ้นในจีนและญวน คณะทั้งหมดจึงตัดสินใจพำนักที่กรุงศรีอยุธยาเพราะทราบว่ากษัตริย์ไทย (ขณะนั้นคือสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) มีไมตรีกับชาติตะวันตก จากนั้นจึงดำเนินการเผยแพร่ศาสนาทันที
คณะมิชชันนารีได้จัดซีโนด (Synod) ขึ้นที่อยุธยา ได้ข้อสรุปการทำงานดังนี้[6]
- 1.ตั้งคณะนักบวชคาทอลิกท้องถิ่นทั้งชาย – หญิง งานเผยแพร่ศาสนา จะตั้งชื่อว่า คณะรักไม้กางเขนแห่งพระเยซูคริสต์
- 2.พิมพ์คำสอนเผยแพร่
- 3.ตั้งบ้านเสมินาร์ (Seminary) เพื่อฝึกหัดชายท้องถิ่นที่ศรัทธา อ่านภาษาลาตินได้ เป็นบาทหลวง
การเผยแพร่ศาสนาดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับมิชชันนารีฝ่ายปาโดรอาโด มุขนายก ล็องแบร์จึงส่งบาทหลวง ฌ็อง เดอ บูร์ชไปแจ้งปัญหาแก่สันตะสำนัก ในที่สุดโรมจึงตั้งมิสซังสยามขึ้นในปี พ.ศ. 2212 (ค.ศ. 1669) ให้อยู่ภายใต้การปกครองของประมุขมิสซังซึ่งพระคุณเจ้าทั้งสองเลือกเอง จึงถือเป็นการสิ้นสุดยุคปาโดรอาโด
ยุคมิสซัง
ยุคมิสซังครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2212 - 2508 (ค.ศ. 1669 – 1965)
เมื่อสันตะสำนักให้สยามเป็นเขตมิสซังแล้ว ก็ให้มุขนายกทั้งสองท่านอภิเษกบาทหลวงคนหนึ่งขึ้นเป็นผู้แทนพระสันตะปาปาประจำกรุงสยาม (Vicar apostolic of Siam) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าประมุขมิสซังสยาม ทั้งสองตัดสินใจเลือกบาทหลวง หลุยส์ ลาโน (Louis Laneau) ซึ่งเป็นมิชชันนารีในคณะของมุขนายก ปาลูว์ เป็นประมุขมิสซังสยามคนแรก นับจากนั้นมาก็มีประมุขมิสซังสืบงานต่อมาดังนี้
- 1. หลุยส์ ลาโน (Louis Laneau) ปกครองมิสซังตั้งแต่ พ.ศ. 2216 - 2239 (ค.ศ. 1673-1696)
- 2. หลุยส์ ช็องปียง เดอ ซีเซ (Louis Champion de Cicé) ปกครองมิสซังตั้งแต่ พ.ศ. 2243 - 2270 (ค.ศ. 1700-1727)
- 3. ฌ็อง – ฌัก เตสซีเย เดอ เกราแล (Jean-Jacques Tessier de Quéralay) ปกครองมิสซังตั้งแต่ พ.ศ. 2270 - 2279 (ค.ศ. 1727-1736)
- 4. ฌ็อง เดอ ลอลีแยร์ – ปุยกงตา (Jean de Lolière-Puycontat) ปกครองมิสซังตั้งแต่ พ.ศ. 2281 - 2298 (ค.ศ. 1738-1755)
- 5. ปีแยร์ บรีโก (Pierre Brigot) ปกครองมิสซังตั้งแต่ พ.ศ. 2298 - 2310 (ค.ศ. 1755-1767)
- 6. โอลีวีเย – ซีมง เลอ บง (Olivier-Simon Le Bon) ปกครองมิสซังตั้งแต่ พ.ศ. 2311 - 2323 (ค.ศ. 1768-1780)
- 7. โฌแซ็ฟ – หลุยส์ กูเด (Joseph-Louis Coudé) ปกครองมิสซังตั้งแต่ พ.ศ. 2325 - 2328 (ค.ศ. 1782-1785)
- 8. อาร์โน – อ็องตวน การ์โนล (Arnaud-Antoine Garnault) ปกครองมิสซังตั้งแต่ พ.ศ. 2329 - 2353 (ค.ศ. 1786-1810)
- 9. แอสพรี – มารี – โฌแซ็ฟ โฟลร็อง (Esprit-Marie-Joseph Florens) ปกครองมิสซังตั้งแต่ พ.ศ. 2354 - 2377 (ค.ศ. 1811-1834)
- 10. ฌ็อง – ปอล – อีแลร์ – มีแชล กูร์เวอซี (Jean-Paul-Hilaire-Michel Courvezy) ปกครองมิสซังตั้งแต่ พ.ศ. 2377 - 2384 (ค.ศ. 1834-1841)
ในปี พ.ศ. 2384(ค.ศ. 1841) สันตะสำนักได้แบ่งมิสซังสยามออกเป็น 2 มิสซัง คือมิสซังสยามตะวันออกซึ่งครอบคลุมพื้นที่อาณาจักรสยามและลาว และมิสซังสยามตะวันตกซึ่งครอบคลุมพื้นที่เกาะสุมาตรา แหลมมลายู และพม่าใต้ โดยมุขนายก กูร์เวอซี ย้ายไปเป็นประมุขมิสซังสยามตะวันตก ประจำอยู่ที่สิงคโปร์ ส่วนมิสซังสยามตะวันออกได้อภิเษกบาทหลวง ปาเลอกัว อดีตมุขนายกผู้ช่วย ขึ้นเป็นมุขนายกประมุขมิสซังปกครองมิสซังสยามตะวันตกแทนสืบมา มิสซังสยามตะวันออกมีลำดับประมุขดังนี้
- 1.ฌ็อง – บัปตีสต์ ปาเลอกัว (Jean-Baptiste Pallegoix) ปกครองมิสซังตั้งแต่ พ.ศ. 2384 - 2405 (ค.ศ. 1841-1862)
- 2.แฟร์ดีน็อง – แอเม – โอกุสแต็ง – โฌแซ็ฟ ดูว์ป็อง (Ferdinand-Aimé-Augustin-Joseph Dupond) ปกครองมิสซังตั้งแต่ พ.ศ. 2407 - 2415 (ค.ศ. 1864-1872)
- 3.ฌ็อง – หลุยส์ แว (Jean-Louis Vey) ปกครองมิสซังตั้งแต่ พ.ศ. 2418 - 2452 (ค.ศ. 1875-1909)
- 4.เรอเน – มารี – โฌแซ็ฟ แปรอส (René-Marie-Joseph Perros) ปกครองมิสซังตั้งแต่ พ.ศ. 2452 - 2490 (ค.ศ. 1909-1947)
ในปี ค.ศ. 1924 มิสซังสยามตะวันออกถูกเปลี่ยนชื่อเป็นมิสซังกรุงเทพฯ[7] มุขนายก แปรอส ยังรั้งตำแหน่งประมุขมิสซัง และมีประมุขมิสซังกรุงเทพฯ สืบทอดต่อมาอีกดังนี้
- 5.หลุยส์ – โอกุส – เกลม็อง – โชแร็ง (Louis-August-Clément Chorin) ปกครองมิสซังตั้งแต่ พ.ศ. 2490 - 2508 (ค.ศ. 1947-1965)
- 6.ยอแซฟ ยวง นิตโย ปกครองมิสซังตั้งแต่ 29 เม.ย. – 18 ธ.ค. พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965)
ในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) สันตะสำนักได้แยกลาวออกไปตั้งเป็นมิสซังลาว ต่อมาปี พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) พื้นที่ราชบุรีได้ถูกยกขึ้นเป็นมิสซัง ตามด้วยจันทบุรีก็ได้เป็นมิสซังในปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) ส่วนมิสซังลาวต่อมาเหลือพื้นที่เฉพาะภาคอีสานของไทยแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นมิสซังท่าแร่ ต่อมาพื้นที่อุดรธานี และอุบลราชธานีได้แยกออกเป็นมิสซังอีก ทำให้ในช่วงท้ายยุคมิสซังคริสตจักรคาทอลิกในประเทศไทยประกอบด้วยมิสซังถึง 7 มิสซัง
ตลอดยุคเขตมิสซัง การเผยแพร่คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก มีทั้งช่วงที่เป็นปกติเรียบร้อย และช่วงที่ถูกเบียดเบียน สาเหตุเป็นเพราะนิกายคาทอลิกมีภาพลักษณ์ว่าเป็นศาสนาของชาติตะวันตกและเป็นสัญลักษณ์ของอิทธิพลตะวันตกที่แพร่หลายในสังคมไทย เมื่อการเมืองไทยอยู่ในภาวะตึงเครียดเพราะความขัดแย้งกับชาติฝรั่งเศส คริสตจักรคาทอลิกในสยามซึ่งมีผู้ปกครองมิสซังเป็นคนชาติฝรั่งเศสก็ถูกเบียดเบียนไปด้วย เช่น การรัฐประหารตอนปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ มีการกวาดล้างอิทธิพลของฝรั่งเศสในการเมืองไทย ทรัพย์สินของมิสซังสยามได้ถูกยึด มุขนายก ลาโน และมิชชันนารีหลายคนถูกจับขังคุกและทรมานร่างกาย เมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติทุกคนจึงถูกปล่อยตัว และคืนทรัพย์สินให้มิสซัง[8] ต่อมาในปี พ.ศ. (ค.ศ. 1940 - 1941) เกิดกรณีพิพาทอินโดจีนหรือสงครามระหว่างไทย – ฝรั่งเศส ทำให้คนไทยกลุ่มหนึ่งออกมาต่อต้านฝรั่งเศสรวมทั้งศาสนาคริสต์ด้วย มีชาวคาทอลิกถูกข่มเหงต่างๆ การเบียดเบียนที่รุนแรงที่สุดคือ การสังหารชาวอีสานคาทอลิก 7 คนที่หมู่บ้านสองคอน โดยมีนักพรตหญิง (nun) ฆราวาสหญิง และเด็กรวมอยู่ในนี้ด้วย ต่อมาผู้พลีชีพทั้งหมดได้รับประกาศให้เป็นบุญราศีและเป็นเจ็ดมรณสักขีแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้วิธีการเผยแพร่ศาสนาก็เป็นต้นเหตุสำคัญให้นิกายคาทอลิกถูกต่อต้าน กล่าวคือมิชชันนารีมักใช้วิธีเหยียดหยามศาสนาท้องถิ่น เช่น มีการพิมพ์เผยแพร่หนังสือชื่อ “ปุจฉาวิสัชนา” ซึ่งแต่งโดยมุขนายก ลาโน มีเนื้อหาเปรียบเทียบศาสนาคริสต์ – ศาสนาพุทธ ชี้ให้เห็นความเหนือกว่าของศาสนาคริสต์ ดูหมิ่นพุทธศาสนา ทันทีหนังสือเล่มนี้ถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกก็สร้างความไม่พอใจให้กับราชการไทย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระทรงเรียกบาทหลวง 3 คนขึ้นศาลไต่สวน ที่สุดมีพระราชโองการห้ามไม่ให้ใช้ภาษาไทยในการเผยแพร่ศาสนา ห้ามคนไทย มอญ และลาวเข้ารีตศาสนาคริสต์ และห้ามมิให้มิชชันนารีติเตียนศาสนาของคนไทย มิชชันนารีที่ไม่ปฏิบัติตามจะถูกเฆี่ยนแล้วเนรเทศ[9] ส่งผลให้การเผยแพร่ศาสนาแก่คนไทยในยุคนั้นต้องหยุดชะงักไป ต่อมาในรัชกาลที่ 3 มุขนายก ปาเลอกัว ให้พิมพ์หนังสือนี้ออกเผยแพร่อีก พอถึง พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) สมัยจอมพลสฤษฎิ์ ก็มีการเผยแพร่หนังสือดังกล่าวอีกครั้ง ตำรวจจึงเรียกบาทหลวง 3 คนไปสอบสวน หนังสือถูกยึด ภายหลังก็สงบลง[10]
แม้คริสตจักรคาทอลิกในประเทศไทยจะประสบปัญหาในบางช่วง แต่โดยภาพรวมก็ถือว่ามีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ช่วงที่ถูกห้ามเผยแพร่ศาสนาให้คนสยาม ก็ได้แผยแพร่ให้คนต่างชาติในสยามแทนจนเกิดโบสถ์คาทอลิกขึ้นหลายแห่ง เช่น โบสถ์คอนเซ็ปชัญของชาวเขมร โบสถ์ซางตาครู้สของชาวจีน เป็นต้น เมื่อได้รับเสรีภาพในการประกาศศาสนาก็ทำให้การดำเนินงานสะดวกขึ้น มีการตั้งโรงเรียน วิทยาลัย และโรงพยาบาลขึ้นหลายแห่งภายใต้การบริหารงานของคณะนักบวชคาทอลิกคณะต่างๆ[10]
ยุคเขตมิสซัง
เมื่อเห็นว่ากิจการของคริสตจักรในประเทศไทยก้าวหน้าเป็นอย่างดี สมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6 ก็ได้สถาปนามิสซังทั้งหลายในประเทศไทยขึ้นเป็นเขตมิสซัง (diocese) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) โดยแบ่งเป็นสองภาคคริสตจักรใหญ่ๆ[11] คือ
- ภาคกรุงเทพฯ ประกอบด้วยเขตมิสซังกรุงเทพฯซึ่งเป็นเขตมิสซังชั้นอัครมุขมณฑล (archdiocese) และเขตมิสซังราชบุรี เขตมิสซังจันทบุรี เขตมิสซังเชียงใหม่เป็นเขตมิสซังชั้นมุขมณฑล (diocese)
- ภาคท่าแร่ – หนองแสง ประกอบด้วยเขตมิสซังท่าแร่ – หนองแสงซึ่งเป็นเขตมิสซังชั้นอัครมุขมณฑล (archdiocese) ส่วนเขตมิสซังอุบลราชธานี เขตมิสซังนครราชสีมา เขตมิสซังอุดรธานีเป็นเขตมิสซังชั้นมุขมณฑล (diocese)
ต่อมาได้มีการแยกพื้นที่ทางตอนเหนือของเขตมิสซังกรุงเทพฯ ออกไปกับบางส่วนของเขตมิสซังเชียงใหม่ ตั้งเป็นเขตมิสซังนครสวรรค์ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967)และแยกภาคใต้ออกจากเขตมิสซังราชบุรีเพื่อตั้งเป็นเขตมิสซังสุราษฎร์ธานีในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2512 ทั้งสองเขตมิสซังใหม่ยังคงรวมอยู่ในภาคกรุงเทพฯ คริสตจักรคาทอลิกในประเทศไทยจึงประกอบด้วย 10 เขตมิสซังดังเช่นปัจจุบัน
ในระยะแรกบางเขตมิสซังยังมีมุขนายกเป็นชาวต่างชาติอยู่ ต่อมาเมื่อเขตมิสซังมีความพร้อมจึงลาออกเพื่อให้มีมุขนายกใหม่ที่เป็นคนไทย คริสตจักรคาทอลิกในประเทศไทยปัจจุบันจึงได้ดำเนินการด้วยคนไทยเองอย่างสมบูรณ์ แต่ยังต้องรายงานและรับนโยบายสำคัญจากสันตะสำนักด้วยเพื่อความเป็นเอกภาพของคริสตจักรคาทอลิกที่มีอยู่ทั่วโลก
อ้างอิง
- ↑ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2552, หน้า 468
- ↑ เคียว อุค ลี, การเผยแพร่ศาสนาคริสต์กับการตอบสนองของชาวพื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่าง ค.ศ.1511 – 1990, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2539, หน้า 71 -2
- ↑ Luc Colla, พระคริสตเจ้าและพระศาสนจักรของพระองค์, เรือง อาภรณ์รัตน์ และ อากาทา จิตอุทัศน์ แปล, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ, 2542, หน้า 44
- ↑ มาโนช พุ่มไพจิตร, แก่นแท้ศาสนาคริสต์ที่หายไป, เชียงใหม่: หน่วยงานเผยแพร่ข่าวประเสริฐ, 2548, หน้า 90
- ↑ มาโนช พุ่มไพจิตร, แก่นแท้ศาสนาคริสต์ที่หายไป, หน้า 87
- ↑ Luc Colla, พระคริสตเจ้าและพระศาสนจักรของพระองค์
- ↑ Archdiocese of Bangkok. The Hierarchy of the Catholic Church. เรียกข้อมูลวันที่ 19 ก.พ. พ.ศ. 2554.
- ↑ Luc Colla, พระคริสตเจ้าและพระศาสนจักรของพระองค์, หน้า 48
- ↑ มาโนช พุ่มไพจิตร, แก่นแท้ศาสนาคริสต์ที่หายไป, หน้า 120
- ↑ 10.0 10.1 เสรี พงศ์พิศ, ศาสนาคริสต์, พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ: ฝ่ายงานอภิบาลและธรรมทูต เขตมิสซังกรุงเทพฯ, 2545, หน้า 92
- ↑ Luc Colla, พระคริสตเจ้าและพระศาสนจักรของพระองค์, หน้า 50 – 1