ผลต่างระหว่างรุ่นของ "นางกุสาวดี"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Novaskosia (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 27: บรรทัด 27:
== พระประวัติ ==
== พระประวัติ ==


พระนางกุสาวดี เดิมมีพระนามว่า เจ้านางกุลธิดา เป็นพระธิดาใน[[พญาแสนหลวง]] (พระแสนเมือง) [[เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่]] ในสมัย [[พ.ศ. 2193]] (ขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นแก่[[พม่า]]) ครองเมืองได้ 13 ปี ใน พ.ศ. 2205 ก็เสียเมืองให้แก่[[เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)]] ซึ่งเป็นแม่ทัพใน[[สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]] ในครั้งนั้น เจ้านางกุลธิดาได้ถูกนำตัวมาถวายเป็นบาทบาจาริกาแก่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมา สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ยกพระนางให้อภิเษกกับพระเพทราชา ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมช้าง กล่าวกันว่า ขณะนั้นพระนางได้ทรงครรภ์กับสมเด็จพระนารายณ์แล้ว แต่เกิดความละอายที่มีลูกกับหญิงลาว (ซึ่งแต่เดิมไทยอยุธยาถือว่า[[เชียงใหม่]]หรือ[[อาณาจักรล้านนา]]ก็เป็นลาวเหมืองกับล้านช้าง-หลวงพระบาง-เวียงจันทร์ และดูถูกว่าต่ำต้อยกว่าไทยที่อยุธยาหรือรัตนโกสินทร์{{อ้างอิง}}) จึงพระราชทานนางให้แก่พระเพทราชา พระนางประสูติพระโอรสที่ตำบลโพธิประทับช้าง [[จังหวัดพิจิตร]] (บริเวณ[[วัดโพธิประทับช้าง]]ในปัจจุบัน) มีนามว่า เจ้าเดื่อ หรือ มะเดื่อ ดังนั้น พระโอรสที่ประสูติจากพระนางจึงเป็นบุตรบุญธรรมของพระเพทราชา ซึ่งต่อมาก็คือ [[สมเด็จพระเจ้าเสือ]] พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยานั่นเอง
พระนางกุสาวดี เดิมมีพระนามว่า เจ้านางกุลธิดา{{ต้องการอ้างอิงตรงนี้}} เป็นพระธิดาใน[[พญาแสนหลวง]] (พระแสนเมือง) [[เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่]] ในสมัย [[พ.ศ. 2193]] (ขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นแก่[[พม่า]]) ครองเมืองได้ 13 ปี ใน พ.ศ. 2205 ก็เสียเมืองให้แก่[[เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)]] ซึ่งเป็นแม่ทัพใน[[สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]] ในครั้งนั้น เจ้านางกุลธิดาได้ถูกนำตัวมาถวายเป็นบาทบาจาริกาแก่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมา สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ยกพระนางให้อภิเษกกับพระเพทราชา ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมช้าง กล่าวกันว่า ขณะนั้นพระนางได้ทรงครรภ์กับสมเด็จพระนารายณ์แล้ว แต่เกิดความละอายที่มีลูกกับหญิงลาว (ซึ่งแต่เดิมไทยอยุธยาถือว่า[[เชียงใหม่]]หรือ[[อาณาจักรล้านนา]]ก็เป็นลาวเหมืองกับล้านช้าง-หลวงพระบาง-เวียงจันทร์ และดูถูกว่าต่ำต้อยกว่าไทยที่อยุธยาหรือรัตนโกสินทร์{{อ้างอิง}}) จึงพระราชทานนางให้แก่พระเพทราชา พระนางประสูติพระโอรสที่ตำบลโพธิประทับช้าง [[จังหวัดพิจิตร]] (บริเวณ[[วัดโพธิประทับช้าง]]ในปัจจุบัน) มีนามว่า เจ้าเดื่อ หรือ มะเดื่อ ดังนั้น พระโอรสที่ประสูติจากพระนางจึงเป็นบุตรบุญธรรมของพระเพทราชา ซึ่งต่อมาก็คือ [[สมเด็จพระเจ้าเสือ]] พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยานั่นเอง


เมื่อ[[สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]]สวรรคตแล้ว หลวงสรศักดิ์ (สมเด็จพระเจ้าเสือ) ได้เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้พระเพทราชายึดอำนาจ โดยพระองค์กำจัดผู้มีสิทธิสืบราชสมบัติ 3 พระองค์ คือ พระราชอนุชาของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 2 องค์ คือ [[สมเด็จเจ้าฟ้าอภัยทศ]]และ[[สมเด็จเจ้าฟ้าน้อย]] รวมทั้ง โอรสบุญธรรม คือ [[พระปีย์]] โดยมีพระสงฆ์จำนวนหนึ่งที่ไม่พอใจบาทหลวง[[คริสต์ศาสนา]]เข้าร่วม{{อ้างอิง}} รวมทั้งกองกำลังจากกองทหารมอญที่เข้ามารับราชการอยู่ในไทยเป็นกำลังในการสนับสนุนการยึดอำนาจ แล้วจึงปราบดาภิเษกพระเพทราชาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาและสถาปนาราชวงศ์ใหม่ คือ [[ราชวงศ์บ้านพลูหลวง]] แทน
เมื่อ[[สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]]สวรรคตแล้ว หลวงสรศักดิ์ (สมเด็จพระเจ้าเสือ) ได้เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้พระเพทราชายึดอำนาจ โดยพระองค์กำจัดผู้มีสิทธิสืบราชสมบัติ 3 พระองค์ คือ พระราชอนุชาของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 2 องค์ คือ [[สมเด็จเจ้าฟ้าอภัยทศ]]และ[[สมเด็จเจ้าฟ้าน้อย]] รวมทั้ง โอรสบุญธรรม คือ [[พระปีย์]] โดยมีพระสงฆ์จำนวนหนึ่งที่ไม่พอใจบาทหลวง[[คริสต์ศาสนา]]เข้าร่วม{{อ้างอิง}} รวมทั้งกองกำลังจากกองทหารมอญที่เข้ามารับราชการอยู่ในไทยเป็นกำลังในการสนับสนุนการยึดอำนาจ แล้วจึงปราบดาภิเษกพระเพทราชาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาและสถาปนาราชวงศ์ใหม่ คือ [[ราชวงศ์บ้านพลูหลวง]] แทน


ต่อมา เมื่อสมเด็จพระเพทราชาสวรรคต สมเด็จพระเจ้าเสือซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระนางกุสาวดีจึงขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยา โดยเป็นกษัตริย์ของราชวงศ์บ้านพลูหลวงองค์ที่ 2 และพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าเสือ ซึ่งถือว่าเป็นพระราชนัดดาของพระนางกุสาวดี ก็ได้ครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาสืบต่อมา ด้วยเหตุนี้ พระนางกุสาวดีจึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับ พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์บ้านพลูหลวงทุกพระองค์
ต่อมา เมื่อสมเด็จพระเพทราชาสวรรคต สมเด็จพระเจ้าเสือซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระนางกุสาวดีจึงขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยา โดยเป็นกษัตริย์ของราชวงศ์บ้านพลูหลวงองค์ที่ 2 และพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าเสือ ซึ่งถือว่าเป็นพระราชนัดดาของพระนางกุสาวดี ก็ได้ครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาสืบต่อมา ด้วยเหตุนี้ พระนางกุสาวดีจึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับ พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์บ้านพลูหลวงทุกพระองค์


==อ้างอิง==
==อ้างอิง==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 19:29, 26 สิงหาคม 2553

นางกุสาวดี

เจ้านางกุลธิดา
สมเด็จพระพันปีหลวง
พระราชสวามีสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
พระเพทราชา
พระราชบุตรสมเด็จพระสรรเพชญที่ 8
ราชวงศ์ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
พระบิดาพญาแสนหลวง

พระนางกุสาวดี หรือ เจ้านางกุสาวดี เป็นอิสตรีที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ไทยอีกพระองค์ โดยมีส่วนเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ไทยในสมัยอยุธยาถึง 3 พระองค์ คือ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเพทราชา และ สมเด็จพระสรรเพชญที่ 8 (สมเด็จพระเจ้าเสือ) จะกล่าวไปแล้ว พระนางกุสาวดีมีความเกี่ยวพันกับพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์บ้านพลูหลวงของกรุงศรีอยุธยาทั้ง 7 พระองค์ รวมทั้ง สมเด็จพระนารายมหาราชแห่งราชวงศ์ปราสาททอง รวมทั้งหมดเป็น 8 พระองค์

พระประวัติ

พระนางกุสาวดี เดิมมีพระนามว่า เจ้านางกุลธิดา[ต้องการอ้างอิง] เป็นพระธิดาในพญาแสนหลวง (พระแสนเมือง) เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ในสมัย พ.ศ. 2193 (ขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นแก่พม่า) ครองเมืองได้ 13 ปี ใน พ.ศ. 2205 ก็เสียเมืองให้แก่เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ซึ่งเป็นแม่ทัพในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในครั้งนั้น เจ้านางกุลธิดาได้ถูกนำตัวมาถวายเป็นบาทบาจาริกาแก่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมา สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ยกพระนางให้อภิเษกกับพระเพทราชา ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมช้าง กล่าวกันว่า ขณะนั้นพระนางได้ทรงครรภ์กับสมเด็จพระนารายณ์แล้ว แต่เกิดความละอายที่มีลูกกับหญิงลาว (ซึ่งแต่เดิมไทยอยุธยาถือว่าเชียงใหม่หรืออาณาจักรล้านนาก็เป็นลาวเหมืองกับล้านช้าง-หลวงพระบาง-เวียงจันทร์ และดูถูกว่าต่ำต้อยกว่าไทยที่อยุธยาหรือรัตนโกสินทร์[ต้องการอ้างอิง]) จึงพระราชทานนางให้แก่พระเพทราชา พระนางประสูติพระโอรสที่ตำบลโพธิประทับช้าง จังหวัดพิจิตร (บริเวณวัดโพธิประทับช้างในปัจจุบัน) มีนามว่า เจ้าเดื่อ หรือ มะเดื่อ ดังนั้น พระโอรสที่ประสูติจากพระนางจึงเป็นบุตรบุญธรรมของพระเพทราชา ซึ่งต่อมาก็คือ สมเด็จพระเจ้าเสือ พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยานั่นเอง

เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชสวรรคตแล้ว หลวงสรศักดิ์ (สมเด็จพระเจ้าเสือ) ได้เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้พระเพทราชายึดอำนาจ โดยพระองค์กำจัดผู้มีสิทธิสืบราชสมบัติ 3 พระองค์ คือ พระราชอนุชาของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 2 องค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าอภัยทศและสมเด็จเจ้าฟ้าน้อย รวมทั้ง โอรสบุญธรรม คือ พระปีย์ โดยมีพระสงฆ์จำนวนหนึ่งที่ไม่พอใจบาทหลวงคริสต์ศาสนาเข้าร่วม[ต้องการอ้างอิง] รวมทั้งกองกำลังจากกองทหารมอญที่เข้ามารับราชการอยู่ในไทยเป็นกำลังในการสนับสนุนการยึดอำนาจ แล้วจึงปราบดาภิเษกพระเพทราชาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาและสถาปนาราชวงศ์ใหม่ คือ ราชวงศ์บ้านพลูหลวง แทน

ต่อมา เมื่อสมเด็จพระเพทราชาสวรรคต สมเด็จพระเจ้าเสือซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระนางกุสาวดีจึงขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยา โดยเป็นกษัตริย์ของราชวงศ์บ้านพลูหลวงองค์ที่ 2 และพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าเสือ ซึ่งถือว่าเป็นพระราชนัดดาของพระนางกุสาวดี ก็ได้ครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาสืบต่อมา ด้วยเหตุนี้ พระนางกุสาวดีจึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับ พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์บ้านพลูหลวงทุกพระองค์

อ้างอิง