ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ความน่าสะพรึงกลัว"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Drgarden (คุย | ส่วนร่วม)
จัดรูปแบบ +เก็บกวาดด้วยสจห.
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
'''ยุคแห่งความเหี้ยมโหด''' (The Reign of Terror - [[5 กันยายน]] [[พ.ศ. 2336]] – [[28 กรกฎาคม]] [[พ.ศ. 2337]] ) ในบางครั้งเรียกในภาษาอังกฤษสั้นๆ ว่า ''The Terror'' (ฝรั่งเศส: la Terreur) หมายถึงช่วงระยะเวลาประมาณ 10 เดือนที่เกิดขึ้นในการ[[ปฏิวัติฝรั่งเศส]]จากการพยายามต่อสู้กันระหว่างคู่แข่งสองฝ่ายซึ่งได้นำไปสู่ความรุนแรงด้วยการฆาตกรรมหมู่ด้วย[[กิโยติน]] ส่วนใหญ่จะโยงถึง บุคคลคือ [[ มักซีมีลียอง โรแบสปีแยร์ |Robespierre]] และ [[จอร์จส์ ดังตอง|Georges Danton]] ซึ่งกลายเป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ของการปฏิวัติที่รุนแรงทั่วๆ ไป
'''ยุคแห่งความเหี้ยมโหด''' ({{lang-en|The Reign of Terror}}; [[5 กันยายน]] [[พ.ศ. 2336]] – [[28 กรกฎาคม]] [[พ.ศ. 2337]] ) ในบางครั้งเรียกในภาษาอังกฤษสั้นๆ ว่า ''The Terror'' (ฝรั่งเศส: la Terreur) หมายถึงช่วงระยะเวลาประมาณ 10 เดือนที่เกิดขึ้นในการ[[ปฏิวัติฝรั่งเศส]]จากการพยายามต่อสู้กันระหว่างคู่แข่งสองฝ่ายซึ่งได้นำไปสู่ความรุนแรงด้วยการฆาตกรรมหมู่ด้วย[[กิโยติน]] ส่วนใหญ่จะโยงถึง บุคคลคือ [[มักซีมีลียอง โรแบสปีแยร์|Robespierre]] และ [[จอร์จส์ ดังตอง|Georges Danton]] ซึ่งกลายเป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ของการปฏิวัติที่รุนแรงทั่วๆ ไป


'''ความโหดเหี้ยม'''ได้เริ่มเมื่อวันที่ [[5 กันยายน]] [[พ.ศ. 2336]] ซึ่งตรงกับรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก]] การปราบปรามอย่างรุนแรงเพิ่มเริ่มขึ้นในระหว่างเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม [[พ.ศ. 2337]] ซึ่งถูกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า "''la Grande Terreur''" หรือ ความเหี้ยมโหดอย่างที่สุด (The Great Terror) ซึ่งยืนยาวต่อเนื่องไปจนถึงการประหารชีวิตตัวการแห่งยุคแห่งความเหี้ยมโหดเองหลายคนรวมทั้ง Saint-Just และ [[ มักซีมีลียอง โรแบสปีแยร์ |Maximilien Robespierre]] ความโหดเหี้ยมโหดของยุคนี้คร่าชีวิตคนไประหว่าง 18,000 ถึง 40,000 คน (ประมาณการอย่างกว้างๆ เนื่อจากมีความแตกต่างกันระหว่างบันทึกทางประวัติศาสตร์ การประมาณการเชิงสถิติ) ในเดือนสุดท้ายก่อนการยุติ มีผู้ถูกประหารมากถึง 1,900 คน
'''ความโหดเหี้ยม'''ได้เริ่มเมื่อวันที่ [[5 กันยายน]] [[พ.ศ. 2336]] ซึ่งตรงกับรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก]] การปราบปรามอย่างรุนแรงเพิ่มเริ่มขึ้นในระหว่างเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม [[พ.ศ. 2337]] ซึ่งถูกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า "''la Grande Terreur''" หรือ ความเหี้ยมโหดอย่างที่สุด (The Great Terror) ซึ่งยืนยาวต่อเนื่องไปจนถึงการประหารชีวิตตัวการแห่งยุคแห่งความเหี้ยมโหดเองหลายคนรวมทั้ง Saint-Just และ [[มักซีมีลียอง โรแบสปีแยร์|Maximilien Robespierre]] ความโหดเหี้ยมโหดของยุคนี้คร่าชีวิตคนไประหว่าง 18,000 ถึง 40,000 คน (ประมาณการอย่างกว้างๆ เนื่อจากมีความแตกต่างกันระหว่างบันทึกทางประวัติศาสตร์ การประมาณการเชิงสถิติ) ในเดือนสุดท้ายก่อนการยุติ มีผู้ถูกประหารมากถึง 1,900 คน


หลายคนถือว่าความเหี้ยมโหดในระบอบการปกครองแบบ[[ทรราช]]ในปัจจุบันสืบเนื่องมาจาก ยุคแห่งความเหี้ยมโหดครั้งนี้ แต่หลายคนก็โต้เถียงว่าแนวคิดดังกล่าวนี้มองข้ามอิทธิพลของการปฏิวัติฝรั่งเศสมีผลให้เกิดความเฟื่องฟูของระบอบ[[ประชาธิปไตย]]และระบอบ[[รัฐธรรมนูญ]]
หลายคนถือว่าความเหี้ยมโหดในระบอบการปกครองแบบ[[ทรราช]]ในปัจจุบันสืบเนื่องมาจาก ยุคแห่งความเหี้ยมโหดครั้งนี้ แต่หลายคนก็โต้เถียงว่าแนวคิดดังกล่าวนี้มองข้ามอิทธิพลของการปฏิวัติฝรั่งเศสมีผลให้เกิดความเฟื่องฟูของระบอบ[[ประชาธิปไตย]]และระบอบ[[รัฐธรรมนูญ]]
บรรทัด 19: บรรทัด 19:


== ความสยดสยอง ==
== ความสยดสยอง ==
[[ภาพ:Cruikshank - The Radical's Arms.png|thumb|left|1819 [[ภาพล้อ]] โดย [[George Cruikshank]]. Titled "แขนของพวกหัวรุนแรง" รูปแสดงให้เห็น ''[[กิโยติน]]''ที่โด่งดัง "ไม่มีพระเจ้า! ไม่มีศาสนา! ไม่มีกษัตริย์! ไม่มีรัฐธรรมนูญ!" ข้อความแผ่นแถบป้ายของฝ่ายสาธารณรัฐ]]
[[ไฟล์:Cruikshank - The Radical's Arms.png|thumb|left|1819 [[ภาพล้อ]] โดย [[George Cruikshank]]. Titled "แขนของพวกหัวรุนแรง" รูปแสดงให้เห็น ''[[กิโยติน]]''ที่โด่งดัง "ไม่มีพระเจ้า! ไม่มีศาสนา! ไม่มีกษัตริย์! ไม่มีรัฐธรรมนูญ!" ข้อความแผ่นแถบป้ายของฝ่ายสาธารณรัฐ]]


ในวันที่ [[2 มิถุนายน]] มีการยึดอำนาจในสภาโดยเรียกร้องให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายการเมืองลดและกำหนดราคาขนมปังตายตัวและลดการให้สัมปทานแก่บางฝ่ายเป็นการเฉพาะ และด้วยการสนับสนุนของกองกำลังแห่งชาติพวกดังกล่าวสามารถโน้มน้าวให้จับกุมบุคคลผู้นำกลุ่มการเมือง Girondin ไป 31 คน และจากการจับกุมครั้งนี้ทำให้ฝ่าย Jacobin มีอิทธิพลมากขึ้นจนสามารถคุมคณะกรรมาธิการฝ่ายความมั่นคงไว้ได้เมื่อวันที่ [[10 มิถุนายน]] และจัดตั้งระบบเผด็จการฝ่ายปฏิวัติขึ้นมาได้ เมื่อวันที่ [[13 มิถุนายน]] ผู้นำที่เป็นนักหนังสือพิมพ์ด้วยฝ่าย Jacobin ปากกล้าที่ถูกตราว่ากระหายเลือดถูกสังหารโดยฝ่าย Girodin กลับมีผลให้ฝ่าย Jacobin มีอิทธิพลทางการเมืองสูงขึ้น ฝ่ายปฏิวัติคนหนึ่งที่ช่วยโค่นล้มกษัตริย์ซึ่งมีภาพลักษณ์เป็นพวกหรูหราถูกปลดจากตำแหน่งกรรมาธิการและตั้งคนที่ "''บริสุทธ์จากการคอร์รัปชั่น''" คนหนึ่งขึ้นมาแทนและกลายเป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในคณะกรรมาธิการที่กำลังเพิ่มมาตรการปราบปรามพวกต่อต้านต่างจังหวัดและข้าศึกต่างชาติ
ในวันที่ [[2 มิถุนายน]] มีการยึดอำนาจในสภาโดยเรียกร้องให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายการเมืองลดและกำหนดราคาขนมปังตายตัวและลดการให้สัมปทานแก่บางฝ่ายเป็นการเฉพาะ และด้วยการสนับสนุนของกองกำลังแห่งชาติพวกดังกล่าวสามารถโน้มน้าวให้จับกุมบุคคลผู้นำกลุ่มการเมือง Girondin ไป 31 คน และจากการจับกุมครั้งนี้ทำให้ฝ่าย Jacobin มีอิทธิพลมากขึ้นจนสามารถคุมคณะกรรมาธิการฝ่ายความมั่นคงไว้ได้เมื่อวันที่ [[10 มิถุนายน]] และจัดตั้งระบบเผด็จการฝ่ายปฏิวัติขึ้นมาได้ เมื่อวันที่ [[13 มิถุนายน]] ผู้นำที่เป็นนักหนังสือพิมพ์ด้วยฝ่าย Jacobin ปากกล้าที่ถูกตราว่ากระหายเลือดถูกสังหารโดยฝ่าย Girodin กลับมีผลให้ฝ่าย Jacobin มีอิทธิพลทางการเมืองสูงขึ้น ฝ่ายปฏิวัติคนหนึ่งที่ช่วยโค่นล้มกษัตริย์ซึ่งมีภาพลักษณ์เป็นพวกหรูหราถูกปลดจากตำแหน่งกรรมาธิการและตั้งคนที่ "''บริสุทธ์จากการคอร์รัปชั่น''" คนหนึ่งขึ้นมาแทนและกลายเป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในคณะกรรมาธิการที่กำลังเพิ่มมาตรการปราบปรามพวกต่อต้านต่างจังหวัดและข้าศึกต่างชาติ
บรรทัด 34: บรรทัด 34:


== การยุติ ==
== การยุติ ==
[[ภาพ:Execution robespierre, saint just....jpg|right|thumb|การประหารชีวิต Robespierre]]
[[ไฟล์:Execution robespierre, saint just....jpg|right|thumb|การประหารชีวิต Robespierre]]


ความพยายามสร้างความสมานฉันท์และความรักชาติให้เกิดขึ้นของฝ่ายปฏิวัติกลับนำมาซึ่งการนองเลือดอย่างต่อเนื่อง หลังการได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดจกาการสู้รบกับฝ่ายออสเตรีย Robespierre ผู้ยึดอำนาจและเป็นเผด็จการทางรัฐสภาก็ถูกโค่นอำนาจโดยการสมรู้ร่วมคิดของสมาชิกสภาหลายคนและถูกนำไปตัดศีรษะด้วยกิโยตินพร้อมกับพวกในกลุ่มหลายคนเมื่อวันที่ [[28 กรกฎาคม]] ซึ่งเหตุการณ์นี้นำไปสู่ยุคที่เรียกว่า "''เหี้ยมขาว''" (White Terror.) ซึ่งเป็นยุคต่อต้านความโหดเหี้ยมที่นำโดย Robespierre ซึ่งยังคงมีความโหดเหี้ยมเกิดขึ้นประปรายไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งมีการประหารพวก Jacobins ไปอีกหลายร้อยคน
ความพยายามสร้างความสมานฉันท์และความรักชาติให้เกิดขึ้นของฝ่ายปฏิวัติกลับนำมาซึ่งการนองเลือดอย่างต่อเนื่อง หลังการได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดจกาการสู้รบกับฝ่ายออสเตรีย Robespierre ผู้ยึดอำนาจและเป็นเผด็จการทางรัฐสภาก็ถูกโค่นอำนาจโดยการสมรู้ร่วมคิดของสมาชิกสภาหลายคนและถูกนำไปตัดศีรษะด้วยกิโยตินพร้อมกับพวกในกลุ่มหลายคนเมื่อวันที่ [[28 กรกฎาคม]] ซึ่งเหตุการณ์นี้นำไปสู่ยุคที่เรียกว่า "''เหี้ยมขาว''" (White Terror.) ซึ่งเป็นยุคต่อต้านความโหดเหี้ยมที่นำโดย Robespierre ซึ่งยังคงมีความโหดเหี้ยมเกิดขึ้นประปรายไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งมีการประหารพวก Jacobins ไปอีกหลายร้อยคน

รุ่นแก้ไขเมื่อ 23:55, 13 เมษายน 2553

ยุคแห่งความเหี้ยมโหด (อังกฤษ: The Reign of Terror; 5 กันยายน พ.ศ. 233628 กรกฎาคม พ.ศ. 2337 ) ในบางครั้งเรียกในภาษาอังกฤษสั้นๆ ว่า The Terror (ฝรั่งเศส: la Terreur) หมายถึงช่วงระยะเวลาประมาณ 10 เดือนที่เกิดขึ้นในการปฏิวัติฝรั่งเศสจากการพยายามต่อสู้กันระหว่างคู่แข่งสองฝ่ายซึ่งได้นำไปสู่ความรุนแรงด้วยการฆาตกรรมหมู่ด้วยกิโยติน ส่วนใหญ่จะโยงถึง บุคคลคือ Robespierre และ Georges Danton ซึ่งกลายเป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ของการปฏิวัติที่รุนแรงทั่วๆ ไป

ความโหดเหี้ยมได้เริ่มเมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2336 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก การปราบปรามอย่างรุนแรงเพิ่มเริ่มขึ้นในระหว่างเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม พ.ศ. 2337 ซึ่งถูกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า "la Grande Terreur" หรือ ความเหี้ยมโหดอย่างที่สุด (The Great Terror) ซึ่งยืนยาวต่อเนื่องไปจนถึงการประหารชีวิตตัวการแห่งยุคแห่งความเหี้ยมโหดเองหลายคนรวมทั้ง Saint-Just และ Maximilien Robespierre ความโหดเหี้ยมโหดของยุคนี้คร่าชีวิตคนไประหว่าง 18,000 ถึง 40,000 คน (ประมาณการอย่างกว้างๆ เนื่อจากมีความแตกต่างกันระหว่างบันทึกทางประวัติศาสตร์ การประมาณการเชิงสถิติ) ในเดือนสุดท้ายก่อนการยุติ มีผู้ถูกประหารมากถึง 1,900 คน

หลายคนถือว่าความเหี้ยมโหดในระบอบการปกครองแบบทรราชในปัจจุบันสืบเนื่องมาจาก ยุคแห่งความเหี้ยมโหดครั้งนี้ แต่หลายคนก็โต้เถียงว่าแนวคิดดังกล่าวนี้มองข้ามอิทธิพลของการปฏิวัติฝรั่งเศสมีผลให้เกิดความเฟื่องฟูของระบอบประชาธิปไตยและระบอบรัฐธรรมนูญ

ภูมิหลัง

ฤดูร้อน พ.ศ. 2336 การปฏิวัติของฝรั่งเศสส่งผลกระทบ ทั้งการภายในและกลุ่มผู้ก่อกบฏจากราชวงศ์ต่างๆ ในยุโรป ทำให้เกิดความกลัวว่าการปฏิวัติจะขยายลุกลามสู่ ประเทศโดยรอบที่ปกครองโดยระบบกษัตริย์ จึงส่งกองกำลังมาประชิดชายแดนฝรั่งเศส จนเกิดการประทะกันกับทหารของฝ่ายสาธารณรัฐฝรั่งเศส

กองกำลังต่างชาติได้ข่มขู่ฝรั่งเศสให้ปล่อยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส และคืนราชสมบัติให้พระองค์ ดยุคแห่งบรุนสวิก ประเทศปรัสเซียถึงกับขู่ว่าจะเข้าปล้นปารีส หากชาวปารีสแตะต้องพระบรมวงศานุวงศ์ และมีกระแสความเชื่อสงสัยว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เองอาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับรัฐบาลต่างชาติ ให้บุกฝรั่งเศสเพื่อเข้ามาฟื้นฟูระบอบกษัตริย์

ชนชั้นสูงของฝรั่งเศสจำนวนมากที่สูญเสียทรัพย์สิน ต่างได้ประโยชน์จากพ่ายแพ้ของฝ่ายปฏิวัติ ฝ่ายศาสนาก็เช่นกัน ต่อต้านฝ่ายปฏิวัติ เพราะมิฉะนั้นพวกพระถูกลดฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของรัฐ และยังต้องสาบานตนว่าจะจงรักภักดีต่อรัฐบาล ทำให้พระมากกว่าครึ่งหนึ่ง (ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคตะวันตก) ปฏิเสธจะสาบานตน และประกาศตนเป็น ฝ่ายดื้อดึง (Non-juror) พระฝ่ายแคทอลิก และชนชั้นสูงในภาคตะวันตก รวมตัวก่อกบฏต่อต้านรัฐบาลฝ่ายปฏิวัติ โดยได้รับการสนับสนุนจากบริเตนใหญ่

สงครามกลางเมืองและการประชิดของกองกำลังต่างชาติ สร้างวิกฤติทางการเมืองขึ้นอย่างรุนแรง และเกิดการแตกแยกขึ้นในรัฐสภาเอง

ความสยดสยอง

1819 ภาพล้อ โดย George Cruikshank. Titled "แขนของพวกหัวรุนแรง" รูปแสดงให้เห็น กิโยตินที่โด่งดัง "ไม่มีพระเจ้า! ไม่มีศาสนา! ไม่มีกษัตริย์! ไม่มีรัฐธรรมนูญ!" ข้อความแผ่นแถบป้ายของฝ่ายสาธารณรัฐ

ในวันที่ 2 มิถุนายน มีการยึดอำนาจในสภาโดยเรียกร้องให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายการเมืองลดและกำหนดราคาขนมปังตายตัวและลดการให้สัมปทานแก่บางฝ่ายเป็นการเฉพาะ และด้วยการสนับสนุนของกองกำลังแห่งชาติพวกดังกล่าวสามารถโน้มน้าวให้จับกุมบุคคลผู้นำกลุ่มการเมือง Girondin ไป 31 คน และจากการจับกุมครั้งนี้ทำให้ฝ่าย Jacobin มีอิทธิพลมากขึ้นจนสามารถคุมคณะกรรมาธิการฝ่ายความมั่นคงไว้ได้เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน และจัดตั้งระบบเผด็จการฝ่ายปฏิวัติขึ้นมาได้ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ผู้นำที่เป็นนักหนังสือพิมพ์ด้วยฝ่าย Jacobin ปากกล้าที่ถูกตราว่ากระหายเลือดถูกสังหารโดยฝ่าย Girodin กลับมีผลให้ฝ่าย Jacobin มีอิทธิพลทางการเมืองสูงขึ้น ฝ่ายปฏิวัติคนหนึ่งที่ช่วยโค่นล้มกษัตริย์ซึ่งมีภาพลักษณ์เป็นพวกหรูหราถูกปลดจากตำแหน่งกรรมาธิการและตั้งคนที่ "บริสุทธ์จากการคอร์รัปชั่น" คนหนึ่งขึ้นมาแทนและกลายเป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในคณะกรรมาธิการที่กำลังเพิ่มมาตรการปราบปรามพวกต่อต้านต่างจังหวัดและข้าศึกต่างชาติ

ในขณะเดียวกัน รัฐสภาก็ได้ผ่านการรับรอบรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐฉบับแรกของฝรั่งเศส

ท่ามกลางการต่อต้านภายในและการรุกรานของต่างชาติทั้งทางตะวันออกและตะวันตก ภารกิจหลักของรัฐบาลสาธารณรัฐฯ จึงเน้นที่สงคราม ในวันที่ 17 พฤษภาคม สภาลงมติให้เกณฑ์ทหารเข้ากองกำลัง และในวันที่ 5 กันยายนนั้นเอง รัฐสภาก็ได้ลงมติรับ "ความเหี้ยมโหด" ให้มีความถูกต้องตามรัฐธรรมนูญโดยอนุมัติให้ปราบปรามข้าศึกศัตรูภายในประเทศได้โดยเด็ดขาด

ผลที่ตามมาคือการใช้กำลังปราบปราบฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเกิดขึ้นอย่างรุนแรง และภายใต้การควบคุมอย่างมีประสิทธภาพของกรรมาธิการความั่นคง ได้มีการออกกฎหมายอีกหลายฉบับ วันที่ 9 กันยายน ได้ออกกฎหมายจัดตั้งกองกำลังร่วมประชาชนฝ่ายปฏิวัติเพื่อบังคับให้ชาวนามอบผลผลิตให้แก่รัฐตามที่รัฐต้องการ วันที่ 17 กันยายนมีการออกกฎหมายให้อำนาจการจับกุมผู้ต้องสงสัยที่เข้าข่ายเป็น ผู้ก่ออาชญากรรมต่อเสรีภาพ วันที่ 29 กันยายน รัฐสภาได้เพิ่มการกำหนดราคาตายตัวที่ต่ำลงสำหรับธัญพืช ขนมปังและสินค้าจำเป็นอีกหลายอย่าง รวมทั้งการกำหนดค่าแรงตายตัวให้ต่ำลง กิโยตินได้กลายเป็นสัญลักณ์แห่งการประหารชีวิตที่ต่อเนื่อง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส ได้ถูกบั่นพระเศียรด้วยกิโยตินไปก่อนหน้าการเริ่มยุคแห่งความเหี้ยมโหดนี้ไปแล้ว พระนางมารี อองตัวแนต พวก Girondin ฟิลิปเป Égalité ผู้ซึ่งลงคะแนนให้ประหารพระเจ้าหลุยส์ มาดามดรแลนด์และผู้คนอีกมากมายได้ถูกประหารโดยกิโยติน ศาลคณะปฏิวัติได้พิพากษาประหารชีวิตคนหลายพันคนด้วยกิโยติน ผู้เคราะห็ร้ายจำนวนมากถูกฝูงชนทุบตีจนตายอย่างโหดร้าย ประชาชนจำนวนมากตายเนื่องจากการมีตวามเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง ไม่น้อยที่ถูกประหารเพียงด้วยข้อสงสัยเล็กๆ น้อยๆ หรืออาจเพียงเป็นบังเอิญผู้มีส่วนได้เสียเพียงเล็กน้อยกับฝ่ายตรงข้าม ผู้เคราะห์ร้ายส่วนใหญ่ถูกลากตัวไปกับเกวียนไม้แบบเปิดที่ทำไว้เฉพาะสำหรับการประจานนักโทษ และถูกโห่ประจานไปตลอดทาง

เหยื่อของยุคแห่งความเหี้ยมโหดที่ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยศาลฝ่ายปฏิวัตินับได้ประมาณ 40,000 คน เป็นชนชั้นปกครองชั้นสูง 8% พระ 6% ชนชั้นกลาง 14% และอีก 70% เป็นคนงานและชาวนายากจนที่ถูกกล่าวหาว่ากักตุน หนีทหาร ก่อกบฏและก่ออาชญากรรมอื่นๆ ในกลุ่มสังคมเหล่านี้ พระแคทอลิกมีสัดส่วนการสูญเสียมากที่สุด

ความพยายามของรัฐบาลปฏิวัติในการล้มเลิกศาสนาคริสเตียนในฝรั่งเศสเริ่มที่นิการแคทอลิกก่อนและลุกลามไปทุกนิกาย ด้วยการออกเป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2336 ให้เนรเทศและประหารชีวิตพระไปเป็นจำนวนมาก มีการปิดโบสถ์วิหารและสถาบันของลัทธิต่างๆ มากมาย มีการทำลายศาสนสถานและรูปเคารพทางศาสนาในวงกว้าง ออกกฎหมายห้ามการสอนศาสนาและปิดโรงเรียนที่อิงศาสนา มีการเพิกถอนความเป็นพระ บังคับพระให้แต่งงานและกำหนดโทษประหาร ณ ที่ที่จับได้แก่ผู้ให้ที่พักพิงแก่ผู้หลบหนี มีการทำพิธีสถาปนาปรัชญาความเชื่อเป็นใหม่ของฝ่ายปฏิวัติเรียกว่าลัทธิ "Supreme Being" ที่เชื่อว่ามีผู้สุงส่งเบื้องบนคอยดูแลฝรั่งเศสอยู่

การยุติ

การประหารชีวิต Robespierre

ความพยายามสร้างความสมานฉันท์และความรักชาติให้เกิดขึ้นของฝ่ายปฏิวัติกลับนำมาซึ่งการนองเลือดอย่างต่อเนื่อง หลังการได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดจกาการสู้รบกับฝ่ายออสเตรีย Robespierre ผู้ยึดอำนาจและเป็นเผด็จการทางรัฐสภาก็ถูกโค่นอำนาจโดยการสมรู้ร่วมคิดของสมาชิกสภาหลายคนและถูกนำไปตัดศีรษะด้วยกิโยตินพร้อมกับพวกในกลุ่มหลายคนเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ซึ่งเหตุการณ์นี้นำไปสู่ยุคที่เรียกว่า "เหี้ยมขาว" (White Terror.) ซึ่งเป็นยุคต่อต้านความโหดเหี้ยมที่นำโดย Robespierre ซึ่งยังคงมีความโหดเหี้ยมเกิดขึ้นประปรายไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งมีการประหารพวก Jacobins ไปอีกหลายร้อยคน

อ้างอิง

  1. Robespierre: «Le but du gouvernement constitutionnel est de conserver la République; celui du gouvernement révolutionnaire est de la fonder. [...] Le gouvernement révolutionnaire doit au bon citoyen toute la protection nationale; il ne doit aux Ennemis du Peuple que la mort. Ces notions suffisent pour expliquer l'origine et la nature des lois que nous appelons révolutionnaires [...]. Si le gouvernement révolutionnaire doit être plus actif dans sa marche et plus libre dans ses mouvements que le gouvernement ordinaire, en est-il moins juste et moins légitime? Non; il est appuyé sur la plus sainte de toutes les lois: le salut du Peuple.»
  2. Harvey, Donald Joseph FRENCH REVOLUTION, History.com 2006 (Accessed April 27,2007)
  3. a b Latreille, A. "French Revolution". New Catholic Encyclopedia (Second Ed. 2002) 5. Thompson Gale. 972–973.
  4. Shelia Fitzpatrick. Vengeance and Ressentiment in the Russian Revolution, in French Historical Studies. Fall 2001
  5. a b Jean-Clément Martin, historian and professor at Paris-I, "France was cut in half by the Revolution", in L'Histoire n°311, July–August 2006
  6. [French Revolution] The Columbia Encyclopedia, Sixth Edition. 2001-05.

หนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม

  • Andress, David The Terror: The Merciless War for Freedom in Revolutionary France. New York: Farrar, Straus and Giroux, 2006 (hardcover, ISBN 0-374-27341-3; paperback, ISBN 0-374-53073-4)
  • Beik, William. "The Absolutism of Louis XIV as Social Collaboration: Review Article", Past and Present, no. 188 (Aug. 2005) , pp. 195–224.
  • Kerr, Wilfred Brenton. Reign of Terror, 1793–1794. London: Porcupine Press, 1985 (hardcover, ISBN 0-87991-631-1).
  • Moore, Lucy. Liberty: The Lives and Times of Six Women in Revolutionary France. London: HarperCollins, 2006 (hardcover, ISBN 0007206011).
  • Steel, Mark. "Vive La Revolution". London: Scribner, 2003 (paperback new edn., ISBN 0743208064).
  • Palmer, R. R. Twelve Who Ruled: The Year of the Terror in the French Revolution. Princeton: Princeton University Press, 2005 (paperback, ISBN 0-691-12187-7)
  • Jordan, David P. The Revolutionary Career of Maximilien Robespierre. New York, Free Press, 1985, (hardcover; ISBN 0-02-916530-X) pp. 150-164.
  • Schama, Simon. Citizens - A Chronicle of the French Revolution. New York, Alfred A. Knopf, 1989, (hardcover; ISBN 0-394-55948-7) pp. 714-716. See also pp. 678-847.
  • Scott, Otto. Robespierre, The Fool as Revolutionary - Inside the French Revolution. Windsor, NY, The Reformer Library, 1974 (softcover; ISBN 9-781887-690058)
  • Loomis, Stanley. Paris in the Terror. New York, NY, Dorset Press, 1964 (hardcover; ISBN 0-88029-401-9). The dramatic events surrounding the reign of terror and the fall of Robespierre are vividly described in this book.
  • Hibbert, Christopher. The Days of the French Revolution. New York, Quill-William Morrow, 1981 (softcover: ISBN 9-780688-169787) , pp. 271-304.

แหล่งข้อมูลอื่น