ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ฌ็อง อานูย"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
'''ฌอง อานุยห์''' (Jean Anouilh) เกิดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1910 ที่เมืองบอร์โดซ์ ( Bordeaux ) พ่อของเขาชื่อ ฟรองซัวส์ อานุยห์ ( François Anouilh ) เป็นช่างตัดเสื้อ แม่ของเขาชื่อ มารี – มัคเดอแรน ซูลู ( Marie – Magdeleine Soulue ) เป็นนักไวโอลิน
'''ฌอง อานุยห์ ( Jean Anouilh )'''
'''ชีวประวัติ'''
ฌอง อานุยห์ ( Jean Anouilh ) เกิดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1910 ที่เมืองบอร์โดซ์ ( Bordeaux ) พ่อของเขาชื่อ ฟรองซัวส์ อานุยห์ ( François Anouilh ) เป็นช่างตัดเสื้อ แม่ของเขาชื่อ มารี – มัคเดอแรน ซูลู ( Marie – Magdeleine Soulue ) เป็นนักไวโอลิน
เขาเข้าเรียนระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนกอลแบร์ ( Colbert ) จากนั้นเขาก็เข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยชับตัล ( collège Chaptal ) ซึ่งเขาได้เริ่มต้นเรียนทางด้านกฎหมายที่นี่ หลังจากที่เขาเรียนจบทางด้านกฎหมายแล้ว เขาได้ใช้เวลา 2 ปี ในโรงพิมพ์ ซึ่งทำให้เขาได้รับประสบการณ์เป็นอย่างมาก เมื่อเขาอายุได้ 18 ปี เขาได้เข้ามาอยู่ที่กอมเมดี้ เดส์ ฌอง – เซลิเซ่ ( Comédies des Champs – Elysées ) ซึ่งมี หลุยส์ ชูแวร์ ( Louis Jouvert ) เป็นหัวหน้า เขาได้เข้ามาทำหน้าที่ในฐานะผู้ช่วยของ หลุยส์ ชูแวร์ ( Louis Jouvert ) และในปี ค.ศ. 1930 เขาต้องลาออกจากกอมเมดี้ เดส์ ฌอง – เซลิเซ่ ( Comédies des Champs – Elysées ) เนื่องจากเขาต้องไปรับราชการทหาร
ต่อมาในปี ค.ศ. 1931 หลังจากที่เขากลับมาจากรับราชการทหารแล้ว เขาได้แต่งงานกับนักแสดงที่ชื่อ โมแนล วาลองแต็ง ( Monelle Valentin ) และมีบุตรสาวด้วยกัน 1 คน คือ แคทเธอรีน ( Catherine )
ในปีค.ศ. 1932 เขาได้เขียนบทละครเรื่อง L’Hermine ซึ่งบทละครเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยบทละครเรื่องนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบทละครที่ดี แต่ผลงานอีก 2 เรื่องถัดมา ก็ประสบความล้มเหลว ได้แก่ เรื่อง Mandarine และเรื่อง Y avait un prisonnier
ในปีค.ศ. 1937 บทละครเรื่อง Le voyageur sans bagage ก็จัดว่าเป็นบทละครที่ประสบความสำเร็จอีกบทละครหนึ่ง ซึ่งบทละครเรื่องนี้ถูกนำมาเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึง 190 ครั้ง
ในปีค.ศ. 1944 ได้มีการนำบทละครเรื่อง Antigone ออกมาแสดง ซึ่งบทละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก บทละครเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงโศกนาฏกรรม ( tragédie ) ที่สะท้อนให้เห็นถึงชะตากรรมของมนุษย์ ผู้ผยองในความยิ่งใหญ่ของตนเอง จนก่อให้เกิดเป็นสถานการณ์ความขัดแย้งที่นำไปสู่ความพินาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในปีค.ศ. 1953 เขาได้แต่งงานใหม่อีกครั้งกับ ชาร์ล็อต ชาร์ดง ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ แคโรลีน ( Caroline ), นิโกลาส์ ( Nicolas ) และ มารี – โกลอมบ์ ( Marie – Colombe )
ในช่วงบั้นปลายชีวิตของเขา ผลงานของเขาก็เริ่มน้อยลง เนื่องจากเขารู้สึกเบื่อหน่ายกับการวิจารณ์ ดังนั้นเขาจึงใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษ จะสังเกตได้ว่า ช่วงนี้ผลงานของเขาจะออกมาน้อยมาก อีกทั้งผลงานที่ออกมานั้นก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร
ฌอง อานุยห์ ( Jean Anouilh ) เสียชีวิตในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1987 ที่เมืองโลซาน
( Lausanne ) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ( Suisse ) รวมอายุได้ 77 ปี


==ประวัติ==
เขาเข้าเรียนระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนกอลแบร์ (Colbert) จากนั้นเขาก็เข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยชับตัล (collège Chaptal) ซึ่งเขาได้เริ่มต้นเรียนทางด้านกฎหมายที่นี่ หลังจากที่เขาเรียนจบทางด้านกฎหมายแล้ว เขาได้ใช้เวลา 2 ปี ในโรงพิมพ์ ซึ่งทำให้เขาได้รับประสบการณ์เป็นอย่างมาก เมื่อเขาอายุได้ 18 ปี เขาได้เข้ามาอยู่ที่กอมเมดี้ เดส์ ฌอง – เซลิเซ่ (Comédies des Champs – Elysées) ซึ่งมี หลุยส์ ชูแวร์ (Louis Jouvert) เป็นหัวหน้า เขาได้เข้ามาทำหน้าที่ในฐานะผู้ช่วยของหลุยส์ ชูแวร์ และในปี ค.ศ. 1930 เขาต้องลาออกจากกอมเมดี้ เดส์ ฌอง – เซลิเซ่ (Comédies des Champs–Elysées) เนื่องจากเขาต้องไปรับราชการทหาร


ต่อมาในปี ค.ศ. 1931 หลังจากที่เขากลับมาจากรับราชการทหารแล้ว เขาได้แต่งงานกับนักแสดงที่ชื่อ โมแนล วาลองแต็ง (Monelle Valentin) และมีบุตรสาวด้วยกัน 1 คน คือ แคทเธอรีน (Catherine)
'''ลักษณะการแต่งบทละครแบบ le théâtre dans le théâtre'''
ลักษณะการแต่งบทละครดังกล่าวถือเป็นวิวัฒนาการใหม่ในการแต่งบทละครของ Jean Anouilh เนื่องจากเขาชอบและหลงใหลในรูปแบบการเขียนของ Pirandello(1867-1936) นักเขียนชาวอิตาเลียน ซึ่งเป็นนักเขียนร่วมสมัยกับเขาแต่หันไปเขียนผลงานแนวคลาสลิก ซึ่งเขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากและได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณคดีเมื่อปี ค.ศ.1934 ด้วย นอกจากนี้ยังมี Giraudoux(1882-1944)นักเขียนชาวฝรั่งเศส ซึ่งก็เป็นนักเขียนร่วมสมัยกับเขาเช่นเดียวกัน ลักษณะของเนื้อเรื่องก็จะเป็นละครจะเป็นลักษณะที่ตัวละครในเรื่องหลอกกันไปมา หรืออาจะมีลักษณะที่เอาชีวิตของคนมาแต่งเป็นบทละคร ฉากของละครจะมีแค่ฉากเดียว ระยะวันเวลาในเรื่องก็จะจบลงภายในวันเดียวซึ่งลักษณะดังกล่าวก็จะสอดคล้องกับลักษณะกับบทละครแนวกรีกด้วย ยกตัวอย่างผลงานของ Anouilh ที่มีลักษณะดังกล่าวเช่นเรื่อง Le directeur de l’opéra ซึ่งเป็นเรื่องของ Antonio di San-Floura หัวหน้าวงดนตรีโอเปร่า ผู้ที่ต้องทำงานหาเลี้ยงชีพให้กับตนเองและครอบครัว เขาต้องพบกับปัญหามากมายทั้งเรื่องครอบครัวและกับเพื่อนร่วมงาน แต่เขาก็ได้พบกับปรัชญาอย่างง่ายๆที่เต็มไปด้วยความสุขนั่นคือการยอมรับความเป็นตรึงและอยู่ร่วมกับมันอย่างมีความสุข ซึ่งลักษณะของบทละครเรื่องดังกล่าวเป็นการนำเอาชีวิตของคนมาแต่งเป็นบทละคร สอดคล้องกับแนวความคิดแบบ le théâtre dans le théâtre นอกจากนี้ยังมีผลงานเรื่องอื่นๆที่เป็นบทละครแบบ le théâtre dans le théâtre เช่น Le Scénario, Épisode de la vie d’un auteur en témoignent etc.


ในปีค.ศ. 1932 เขาได้เขียนบทละครเรื่อง L’Hermine ซึ่งบทละครเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยบทละครเรื่องนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบทละครที่ดี แต่ผลงานอีก 2 เรื่องถัดมา ก็ประสบความล้มเหลว ได้แก่ เรื่อง Mandarine และเรื่อง Y avait un prisonnier
'''ผลงานโดยรวม'''


ในปี ค.ศ. 1937 บทละครเรื่อง Le voyageur sans bagage ก็จัดว่าเป็นบทละครที่ประสบความสำเร็จอีกบทละครหนึ่ง ซึ่งบทละครเรื่องนี้ถูกนำมาเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึง 190 ครั้ง
1. Pièces noires เป็นลักษณะบทละครที่เป็นแนวโศกนาฏกรรม (tragédie) ตอนจบของเรื่องจะไม่สุขสมหวัง


ในปี ค.ศ. 1944 ได้มีการนำบทละครเรื่อง Antigone ออกมาแสดง ซึ่งบทละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก บทละครเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงโศกนาฏกรรม ที่สะท้อนให้เห็นถึงชะตากรรมของมนุษย์ ผู้ผยองในความยิ่งใหญ่ของตนเอง จนก่อให้เกิดเป็นสถานการณ์ความขัดแย้งที่นำไปสู่ความพินาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
1.1 Hermine (1932)
Franz aime Monime qui est devenue sa maîtresse. La duchesse, tant de la jeune femme, s’oppose au mariage car Franz n’a ni titre ni fortune. Celui-ci la tue afin de s’approprier l’argent nécessaire à son bonnheur. Monime épouvantée, maudit d’abord son amant. Elle lui redira son amour quand la police arrêtera.
“ ฟร็อง” ชายหนุ่มผู้ซึ่งตกหลุมรัก “โมนีม” หญิงสาวผู้ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยฐานะ แต่ด้วยเพราะฟร็องเป็นคนที่ไม่มีฐานะและไม่มียศถาบรรดาศักดิ์อื่นใด ทำให้ป้าของโมนีมกีดกันการแต่งงาน สิ่งนี้เองทำให้ฟร็องต้องฆ่าป้าของโมนีม เมื่อตอนแรกที่โมนีมรู้เรื่องก็ถึงกับต่อว่าฟร็อง แต่ในท้ายที่สุดแล้วเธอก็ได้บอกกับเขาตอนที่เขากำลังถูกตำรวจจับว่าเธอรักเขามาก


ในปี ค.ศ. 1953 เขาได้แต่งงานใหม่อีกครั้งกับ ชาร์ล็อต ชาร์ดง ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ แคโรลีน (Caroline), นิโกลาส์ (Nicolas) และมารี–โกลอมบ์ (Marie–Colombe)
1.2 Le voyageur sans bagage (1937)
Un amnésique refuse de rentrer dans sa famille et prétend retrouver un parent dans la personne d’un jeune orphelin. C’est avec lui qu’il partira.
เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มผู้ความจำเสื่อม เขาได้ปฏิเสธที่จะกลับไปที่บ้านเพื่อพบกับครอบครัวเนื่องจากเขาได้พบว่าเขาเป็นญาติกับเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ซึ่งในที่สุดเขาก็ได้จากไปพร้อมกับเด็กคนดังกล่าว


ในช่วงบั้นปลายชีวิตของเขา ผลงานของเขาก็เริ่มน้อยลง เนื่องจากเขารู้สึกเบื่อหน่ายกับการวิจารณ์ ดังนั้นเขาจึงใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษ จะสังเกตได้ว่า ช่วงนี้ผลงานของเขาจะออกมาน้อยมาก อีกทั้งผลงานที่ออกมานั้นก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร
1.3 La sauvage (1938)
Thérèse, violoniste de café-concert, est aimée de florent, artiste célèbre et fort riche. Malgré son amour pour Florent, elle renonce à lui et à une vie opulente pour laquelle elle ne se sent pas faite.
“แตแคส” นักไวโอลินสาว เธอมีฐานะยากจน เธอตกหลุมรัก “ฟลอค็องก์” นักแสดงหนุ่มผู้ร่ำรวยและมีชื่อเสียง แต่เธอกลับล้มเลิกที่จะแต่งงานกับเขา เพราะเธอไม่สามารถใช้ชีวิตในแบบที่เขาเป็นได้ เพราะเธอไม่ชอบชีวิตที่หรูหรา และถึงแม้ว่าเธอจะพยายามที่จะปรับตัวเองเท่าใด แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้


ฌอง อานุยห์เสียชีวิตในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1987 ที่เมืองโลซาน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ รวมอายุได้ 77 ปี


==ผลงานโดยรวม==
===บทละครที่เป็นแนวโศกนาฏกรรม ตอนจบของเรื่องจะไม่สุขสมหวัง (Pièces noires)===
* Hermine (1932)
: ฟร็อง” ชายหนุ่มผู้ซึ่งตกหลุมรัก “โมนีม” หญิงสาวผู้ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยฐานะ แต่ด้วยเพราะฟร็องเป็นคนที่ไม่มีฐานะและไม่มียศถาบรรดาศักดิ์อื่นใด ทำให้ป้าของโมนีมกีดกันการแต่งงาน สิ่งนี้เองทำให้ฟร็องต้องฆ่าป้าของโมนีม เมื่อตอนแรกที่โมนีมรู้เรื่องก็ถึงกับต่อว่าฟร็อง แต่ในท้ายที่สุดแล้วเธอก็ได้บอกกับเขาตอนที่เขากำลังถูกตำรวจจับว่าเธอรักเขามาก


* Le voyageur sans bagage (1937)
1.4 Roméo et Jeannette (1946)
: เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มผู้ความจำเสื่อม เขาได้ปฏิเสธที่จะกลับไปที่บ้านเพื่อพบกับครอบครัวเนื่องจากเขาได้พบว่าเขาเป็นญาติกับเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ซึ่งในที่สุดเขาก็ได้จากไปพร้อมกับเด็กคนดังกล่าว
Frédéric doit d’abord épouser la sage Julia. Il lui préfère, dès qu’il la rencontre, sa soeur Jeannette, malgré son étrange conduite, ou peut-être à cause d’elle. Ils’s’enfuiront et se laisseront surprendre par la grande marée.
“เฟรเดริก” ซึ่งตอนแรกเขาจะต้องแต่งงานกับ “จูเลีย” หญิงสาวที่เรียบร้อย แต่เขากลับหลงรัก “เชอแน๊ต” ซึ่งเป็นน้องสาวของจูเลีย ซึ่งแม้ว่าคนภายนอกจะมองดูว่าแปลก แต่เค้าก็ไม่สนใจและเขาทั้งสองคนกลับพากันหนีไปและหนีไปกระโดดน้ำตายด้วยกันทั้งคู่


* La sauvage (1938)
2. Pièces grinçantes เป็นลักษณะบทละครที่เป็นแนวเสียดสีทางสังคมหรือการเมือง
: "แตแคส" นักไวโอลินสาว เธอมีฐานะยากจน เธอตกหลุมรัก “ฟลอค็องก์” นักแสดงหนุ่มผู้ร่ำรวยและมีชื่อเสียง แต่เธอกลับล้มเลิกที่จะแต่งงานกับเขา เพราะเธอไม่สามารถใช้ชีวิตในแบบที่เขาเป็นได้ เพราะเธอไม่ชอบชีวิตที่หรูหรา และถึงแม้ว่าเธอจะพยายามที่จะปรับตัวเองเท่าใด แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้
2.1 La Valse de toréadors (1952)
Esclave de sa femme, fausse malade et cantatrice déchue, le général de Saint-Pé se console comme il peut avec les caméristes. Son amour de jeunesse, par bonheur retrouvé, lui sera ravi par son secrétaire.
ข้าทาสของภรรยาเขาได้แกล้งป่วยและนักร้องก็ได้ลาออกทำให้นายพลแซงก์ เป ต้องปลอบใจตัวเองเหมือนกับอย่างที่เขาได้ทำกับคนอื่นๆ แต่เขาก็ได้พบกับความรักใหม่ที่ดีกับผู้ช่วยของเขานั่นเอง


* Roméo et Jeannette (1946)
2.2 Le Boulanger, la boulangère et le petit mitron (1968)
: "เฟรเดริก" ตอนแรกเขาจะต้องแต่งงานกับ "จูเลีย" หญิงสาวที่เรียบร้อย แต่เขากลับหลงรัก "เชอแนต" ซึ่งเป็นน้องสาวของจูเลีย ซึ่งแม้ว่าคนภายนอกจะมองดูว่าแปลก แต่เค้าก็ไม่สนใจและเขาทั้งสองคนกลับพากันหนีไปและหนีไปกระโดดน้ำตายด้วยกันทั้งคู่
D’un épisode historique, le retour de Louis XVI, de la Reine et du Dauphin à Paris, sort une féerie burlesque et sanglante où se trouve déchirée une intimité familliale, dans une sucession de scènes réalistes, fantastiques, funambulesques et à l’issue desquelles deux enfants, témoins de tout ce pandemonium, se trouvent orphelins.
ย้อนกลับไปในช่วงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เป็นเรื่องราวของพระราชินีและรัชทายาท เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยการเสียดสีและการนองเลือดที่ซึ่งพบว่าในเรื่องมีความขัดแย้งในฉากที่เป็นจริงและฉากที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ผ่านทางตัวละครที่เป็นเด็ก 2 ตัวละคร ที่ต่อมาในภายหลังพบว่าทั้งสองคนเป็นเด็กกำพร้า


===Pièces grinçantes===
3. Pièces roses เป็นลักษณะบทละครเกี่ยวกับความรัก
เป็นลักษณะบทละครที่เป็นแนวเสียดสีทางสังคมหรือการเมือง
3.1 Le Bal des voleurs (1938)
A la faveur d’une méprise, et pris pour des grands d’Espagne, des voleurs, qui plaisent beaucoup à Lady Hurf, s’introduisent dans un château. Le plus romantique des voleurs épousera la plus romantique des mademoiselles, avec la bénédiction de la vieille lady, qui s’amuse fort de la méprise initiale.
ด้วยความเข้าใจของ Lady Hurf ที่คิดว่า พวกโจรเป็นพวกที่ใหญ่โตและมีอำนาจของประเทศสเปน อีกทั้งพวกโจรกลุ่มนี้ยังทำให้ Lady Hurf รู้สึกชอบใจ ดังนั้นจึงทำให้พวกโจรสามารถที่จะเข้าไปอยู่ในปราสาทของเธอได้ไม่ยาก อีกทั้งชายหนุ่มที่โรแมนติกที่สุดของพวกโจรได้แต่งงานกับหญิงสาวที่โรแมนติกที่สุดของพวกโจร การแต่งงานจึงไม่มีการคัดค้านอะไร อีกทั้ง Lady Hurf ยังสนับสนุนอีกด้วย


3.2 Le Rendez – vous de Senlis (1941)
* La Valse de toréadors (1952)
: ข้าทาสของภรรยาเขาได้แกล้งป่วยและนักร้องก็ได้ลาออกทำให้นายพลแซงก์ เป ต้องปลอบใจตัวเองเหมือนกับอย่างที่เขาได้ทำกับคนอื่นๆ แต่เขาก็ได้พบกับความรักใหม่ที่ดีกับผู้ช่วยของเขานั่นเอง
Pour épouser Isabelle, la jeune fille qu’il aime, Georges s’invente des parents plus poétiques que les siens, et s’arrache à la vie passablement déréglée qu’il mène entre une épouse et une maîtresse, qui lui sont devenues également indifférentes.
เพิ่อที่จะได้แต่งงานกับ Isabelle หญิงสาวที่เขาหลงรัก Georges จึงสร้างพ่อแม่ที่เป็นไปตามแบบฉบับของกวีที่สุดขึ้นมา และเขาได้ดึงตัวเองออกมาจากชีวิตที่เหลวไหล ซึ่งเขามีทั้งภรรยาและเมียน้อยอยู่แล้ว แต่เขาก็เพิกเฉยไม่สนใจ


* Le Boulanger, la boulangère et le petit mitron (1968)
4. Pièces faceuses เป็นลักษณะบทละครที่มีการกล่าวกินจริงและเนื้อเรื่องจะไม่สมจริง
: ย้อนกลับไปในช่วงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เป็นเรื่องราวของพระราชินีและรัชทายาท เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยการเสียดสีและการนองเลือดที่ซึ่งพบว่าในเรื่องมีความขัดแย้งในฉากที่เป็นจริงและฉากที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ผ่านทางตัวละครที่เป็นเด็ก 2 ตัวละคร ที่ต่อมาในภายหลังพบว่าทั้งสองคนเป็นเด็กกำพร้า
4.1 Colombe (1951)
Epouse de Julien, qui doit faire son service militaire, et qui demande en vain des subsides à sa mère, Mme Alexandra, monstre sacré du théâtre, Colombe devient comédienne à son tour. Venu en permission, Julien ne peut que constater que la théâtre lui a définitivement ravi ce qu’il avait de plus cher au monde.
คู่สมรสของ Julien ต้องไปรับราชการทหารและขอเงินช่วยเหลือจากแม่ไม่เป็นผลสำเร็จ มาดาม Alexandra บ้าละครมาก Colombe จึงตัดสินใจไปเป็นนักแสดง เมื่อกลายเป็นดาราละคร ตัวเองก็ชอบละครไปด้วย จากเดิมที่ไม่ชอบละคร


===บทละครเกี่ยวกับความรัก (Pièces roses)==
5. Pièces costumées เป็นลักษณะบทละครที่ตัวละครจะแต่งตัวอย่างสวยงาม
* Le Bal des voleurs (1938)
5.1 L’Alouette (1952)
: ด้วยความเข้าใจของ Lady Hurf ที่คิดว่า พวกโจรเป็นพวกที่ใหญ่โตและมีอำนาจของประเทศสเปน อีกทั้งพวกโจรกลุ่มนี้ยังทำให้ Lady Hurf รู้สึกชอบใจ ดังนั้นจึงทำให้พวกโจรสามารถที่จะเข้าไปอยู่ในปราสาทของเธอได้ไม่ยาก อีกทั้งชายหนุ่มที่โรแมนติกที่สุดของพวกโจรได้แต่งงานกับหญิงสาวที่โรแมนติกที่สุดของพวกโจร การแต่งงานจึงไม่มีการคัดค้านอะไร อีกทั้ง Lady Hurf ยังสนับสนุนอีกด้วย
C’est l’époqée de Jeanne d’Arc rétrospectivement vécue au procès où Cauchon tente de sauver la guerrière et où l’Anglais et l’Inquisiteur exigent son supplice.
เกิดขึ้นในยุคของ ฌาน ดาร์ค ซึ่งในตอนนั้นเธอถูกทรมาน และตัวละครของเรื่อง คือ โกชง ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนในการช่วยชีวิตเธอให้รอดพ้นจากพวกทหารอังกฤษที่ทรมานเธอ
5.2 Becket ou l’honneur de Dieu (1959)
Tragédie de la soudaineté et de la souveraineté de la Grâce. Le despotisme du roi d’Angleterre n’est rien auprès de la volonté de Dieu. D’où un dépit assez violent pour faire un grand martyr.
โศกนาฏกรรมที่เกิดโดยทันทีทันใดและเกิดจากระบบราชาธิปไตยที่ผู้ปกครองเป็นใหญ่ เรื่องดังกล่าวว่าด้วยลัทธิการปกครองแบบกดขี่ของกษัตริย์อังกฤษที่ไม่เคยได้ยอมรับจากพระเจ้า ทำให้ผู้ที่สนับสนุนในเรื่องของศาสนาถึงกับยอมตายเพื่อศาสนา


* Le Rendez – vous de Senlis (1941)
'''Antigone ในตำนานกรีก'''
: เพิ่อที่จะได้แต่งงานกับ Isabelle หญิงสาวที่เขาหลงรัก Georges จึงสร้างพ่อแม่ที่เป็นไปตามแบบฉบับของกวีที่สุดขึ้นมา และเขาได้ดึงตัวเองออกมาจากชีวิตที่เหลวไหล ซึ่งเขามีทั้งภรรยาและเมียน้อยอยู่แล้ว แต่เขาก็เพิกเฉยไม่สนใจ


===บทละครที่มีการกล่าวกินจริงและเนื้อเรื่องจะไม่สมจริง (Pièces faceuses)===
ตามตำนานกรีก Antigone เป็นลูกสาวของกษัตริย์อิดิปุสแห่งเมืองธีปส์ มีน้องสาวชื่อ Ismène มีพี่ชายอีก 2 คนคือ Étéocle และ Polynice เมื่ออีดิปุสได้รู้ความจริงเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตัวเองจึงรู้ว่าตนนั้นได้ทำปิตุฆาตและแต่งงานกับแม่ของตนเองคือ Jocaste ซึ่งเมื่อนางทราบความจริงจึงแขวนคอตาย ส่วน อีดิปุส เลือกที่จะไถ่บาปให้แก่ความผิดที่ตนเองได้ก่อ ด้วยการควักลูกตาทิ้ง และออกเดินทางร่อนเร่ เมืองธีปส์จึงตกอยู่ภายใต้ความดูแลของลูกชายทั้ง 2 คนของอีดิปุส คือ Étéocle และ Polynice ซึ่งจะผลัดกันปกครองเมือง โดยจะมีลุง Créon ผู้เป็นพี่ชายของ Jocaste เป็นที่ปรึกษา ต่อมาเกิดสงครามและเนื่องจากการสู้รบที่ยืดเยื้อ ทำให้พี่ชายทั้ง 2 ของ Antigone ตายในสงคราม Étéocle นั้นได้รับการฝังร่างตามประเพณีแต่ศพของ Polynice ถูกทิ้งไว้โดยไม่ได้ฝัง เพราะคำสั่งของกษัตริย์คนใหม่ คือ กษัตริย์ Créon สั่งห้ามมิให้ผู้ใดฝังศพ Polynice ซึ่งเป็นคำสั่งที่ผิดจารีตและศีลธรรม วัฒนธรรมของเมืองธีปส์ในขณะนั้นมีความเชื่อว่า เมื่อผู้ใดพบเห็นศพที่ตายโดยไม่ได้ฝัง ต้องทำการฝังศพนั้นทันที เพื่อว่าศพนั้นจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นวิญญาณเร่ร่อนและจะได้ไปสู่สุขคติ Antigone หาญกล้ากล้าฝ่าฝืนคำสั่ง และทำการฝังศพพี่ชาย Polynice ผู้เป็นที่รัก เธอจึงถูกลงโทษโดยขังให้ตายทั้งเป็น
* Colombe (1951)
: คู่สมรสของ Julien ต้องไปรับราชการทหารและขอเงินช่วยเหลือจากแม่ไม่เป็นผลสำเร็จ มาดาม Alexandra บ้าละครมาก Colombe จึงตัดสินใจไปเป็นนักแสดง เมื่อกลายเป็นดาราละคร ตัวเองก็ชอบละครไปด้วย จากเดิมที่ไม่ชอบละคร


===บทละครที่ตัวละครจะแต่งตัวอย่างสวยงาม (Pièces costumées)===
*L’Alouette (1952)
: เกิดขึ้นในยุคของ ฌาน ดาร์ค ซึ่งในตอนนั้นเธอถูกทรมาน และตัวละครของเรื่อง คือ โกชง ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนในการช่วยชีวิตเธอให้รอดพ้นจากพวกทหารอังกฤษที่ทรมานเธอ
* Becket ou l’honneur de Dieu (1959)
: โศกนาฏกรรมที่เกิดโดยทันทีทันใดและเกิดจากระบบราชาธิปไตยที่ผู้ปกครองเป็นใหญ่ เรื่องดังกล่าวว่าด้วยลัทธิการปกครองแบบกดขี่ของกษัตริย์อังกฤษที่ไม่เคยได้ยอมรับจากพระเจ้า ทำให้ผู้ที่สนับสนุนในเรื่องของศาสนาถึงกับยอมตายเพื่อศาสนา


==อ้างอิง==
''''''Antigone''''''
{{โครง-ส่วน}}
ละครเรื่อง Antigone ได้นำมาจาก La mythologie grecque หรือเทพปกรณัมกรีกโรมัน Sophocleเป็นผู้ที่สร้างเรื่องนี้เป็นคนแรก Sophocle คือนักการละครในสมัยกรีกผู้มีผลงานละครมากมายหลายเรื่อง แต่ผลงานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือเรื่อง Antigone โดย Sophocle ได้เขียนเรื่องนี้ขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 5 ประมาณปี441-442 ช่วงก่อนคริสตกาล โดยผลงานเรื่องนี้ถือว่าเป็นอีกผลงานหนึ่งที่เขย่าวงการละครในสมัยนั้น และนักเขียนคนต่อมาที่ได้นำเรื่องนี้มาเขียนขึ้นอีกครั้งนั่นก็คือ Jean Anouilh เรื่องนี้ได้เขียนขึ้นอีกครั้งในปีค.ศ 1942 และนำออกแสดงในปี 1944 ที่ le théâtre de l’Atelier ที่ปารีส ละครเรื่องนี้สร้างชื่อเสียงให้กับ Jean Anouilh อย่างมาก และต่อมาก็ได้มีนักเขียนชาวเยอรมัน Bertolt Brecht ได้เขียนเรื่องนี้ขึ้นและออกแสดงที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ในปีค.ศ 1948 และในปี พ.ศ 2519 ละครเรื่องนี้ได้ถูกแปลขึ้นเป็นภาษาไทยเป็นครั้งแรก โดย อ.มัทนี รัตนินและ อ. สุชาวดี ตัณฑวณิช และนำออกแสดงครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อเรื่องและชื่อตัวละครเพื่อให้เหมาะกับการแสดงในเมืองไทยและผู้ชมชาวไทย โดยชื่อเรื่องได้มีการเปลี่ยนจาก Antigone เป็น อันตราคนี ซึ่งแปลว่าผู้มีไฟไม่สิ้นสุด
ตัวละครสำคัญของเรื่อง
Antigone เป็น อันตราคนี ( นางเอก )
Hémon เป็น เหมาธร ( คู่หมั้นนางเอก )
Créon เป็น คีรีธร ( อัครประธาน )
OEdipes เป็น เอศบุตร ( พ่อนางเอก )
Jocaste เป็น ยุชาสิตา ( แม่นางเอก )
Ismène เป็น หัสมณี ( พี่สาวนางเอก )
Étéocle เป็น อสิทธกฤต ( พี่ชายคนโตของนางเอก )
Polynice เป็น พลนิกฤต ( พี่ชายคนรองของนางเอก )


[[หมวดหมู่:นักประพันธ์]]
เนื้อเรื่องย่อ
นคร Thèbes ตั้งอยู่ในหุบเขา มีวัฒนธรรมและระบบการปกครองของตัวเองที่ไม่เหมือนที่ไหน คือมีประมุขเรียกว่า “อัครประธาน” เลือกขึ้นมาจากผู้ที่เหมาะสมที่สุด โดยมีมติเอกฉันท์ของคณะมนตรีและหัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆอัครประธานมีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน แต่ก็มีคณะมนตรีเป็นที่ปรึกษาทางการบริหารแผ่นดิน โดยมี Oedipes เป็นอัครประธานและ Jocaste เป็นราชินีและทั้งคู่มีลูกทั้งหมด 4 คน คือÉtéocle,Polynice,Ismène และ Antigone โดยมียู่วันหนึ่งได้เกิดเหตุอาเพศขึ้นในครอบครัวซึ่งอื้อฉาวเสื่อมเสียวงศ์ตระกูลอย่างร้ายแรงคือ Oedipes พบความจริงว่าตนได้ฆ่าพ่อของตนและเอาแม่เป็นเมียโดยไม่รู้ ซึ่งนับว่าเป็นคนบาปผิดประเวณีอย่างร้ายกาจ Jocaste ภรรยาจึงฆ่าตัวตายในทันทีและ Oedipes ก็เอาเหล็กแหลมทิ่มตาของตนบอด และเนรเทศตนเองสาบสูญไป เป็นเรื่องที่น่าหวาดเสียวและสยดสยองมาก คณะมนตรีจึงประชุมหารือกันเห็นควรให้ลูกชายทั้งสองของ Oedipes คือÉtéocle และ Polynice ผลัดกันเป็นอัครประธานคนละปี โดยระหว่างที่พี่ชายคือÉtéocleเป็นอัครประธาน Polynice ก็ได้ไปอยู่อีกเมืองหนึ่งนั่นก็คือเมือง Argos ซึ่งเป็นเมืองพี่เมืองน้องและไม่ไกลกันมาก แต่ปรากฎว่าÉtéocleพี่ชายพอครบกำนดก็ไม่ยอมมอบอำนาจให้ Polyniceน้องชาย จึงเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น Polyniceไปขอความช่วยเหลือทางทหารจากเมืองArgosแต่กลับแพ้สงคราม ในวันสยองนั้นพี่น้องทั้งสองเข้าประหัตประหารกัน และตายแหลกด้วยกันทั้งคู่ อยู่นอกกำแพงเมือง คณะมนตรีจึงปรึกษากันและลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า Créon ซึ่งเป็นพี่เมีย Oedipes เป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะรับตำแหน่งอัครประธานต่อไป ตามประเพณีทางศาสนาของชาว Thèbesนั้น เมื่อคนตายลงจะต้องทำพิธีฝังศพทันที วิญญาณผู้ตายจึงจะไปสู่สุขคติ เพียงแต่โรยดินพอกลบร่างเป็นพิธีก็พอ หากศพถูกทิ้งไว้ตามยถากรรมเป็นเหยื่อแร้งกาวิญญาณจะล่องลยไปไม่มีสิ้นสุด ไม่มีวันได้ไปผุดไปเกิด เมื่อสองพี่น้องฆ่ากันตาย Créon ได้จัดพิธีศพให้Étéocle พี่ชายอย่างใหญ่โตสมศักดิ์ศรีเยี่ยงวีบุรุษที่ได้ต่อสู้ป้องกันบ้านเมือง ส่วนPolyniceในฐานะผู้ก่อความไม่สงบนั้น ให้ทิ้งศพไว้เป็นเหยื่อแร้งกา และออกประกาศว่าผู้ดที่พยายามจะฝังศพPolynice ตามพิธีทางศาสนา ผู้นั้นจะมีโทษถึงตาย แต่ Antigone น้องสาวได้ฝ่าฝืนกฏไปฝังศพของพี่ชายตนเอง จนในที่สุดแล้ว Antigone ก็ถูกจับได้ แม้เธอก็ทราบดีแล้วว่าผู้ใดทีฝ่าฝืนกฏนี้โทษคือการประหารชีวิต แต่เธอก็ไม่กลัวที่จะตายขอเพียงแต่ได้ทำตามความถูกต้องของราชประเพณีดั้งเดิม โดยระหว่างที่เธอถูกจับ Hémon คู่หมั้นของเธอได้พยายามช่วยเหลือเธอย่างเต็มความสามารถ แต่ตอนท้ายของเรื่องเธอก็ได้ถูกขังคุกให้ตายทั้งเป็นส่วนคู่หมั้นของเธอก็ได้ฆ่าตัวตายตาม


'''ลักษณะความเหมือนและความแตกต่างของบทละครของ Jean Anouilh และ Sophocle'''
1. Les resemblances (ความเหมือน)
1.1 La fable (เนื้อเรื่อง)
เนื้อเรื่องหรือว่าแก่นเรื่องโดยรวมของทั้ง 2 คน มีความเหมือนกันอย่างเห็นได้ชัด โดย Anouilh ได้เล่าเรื่องราวตามแบบฉบับของ Sophocle และเค้าโครงเรื่องเดิมเกือบทั้งหมด ส่วนเรื่องของตัวละครก็ได้ใช้ตัวละครตัวเดิมอย่างครบถ้วน แต่จะมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย เช่น บุคลิกภาพของตัวละคร บทเจรจาและรายละเอียดปลีก ย่อยบางประการ ส่วนตอนท้ายของเรื่อง Anouilh ก็ยังคงรักษาแบบฉบับเดิมเอาไว้นั่นก็คือการจบลงของเรื่องด้วยความเศร้าตามรูปแบบของละครแนวโศกนาฎกรรม( la tragédie )

1.2 Quelques expressions (สำนวน)
Anouilh ได้นำสำนวนหรือคำบางคำของ Sophocle มาใช้ในผลงานของเขา โดยประโยคที่ Anouilh นำมาใช้นั้นส่วนใหญ่จะเป็นประโยคที่มีสำคัญและเป็นประโยคทองอันโด่งดังของ Sophocle เช่นตอนที่ Antigone กล่าวกับพี่สาวว่า “Tu as choisi la vie et moi la mort” แปลว่า “พี่เลือกที่จะอยู่ แต่ฉันเลือกที่จะตาย” ส่วนอีกประโยคที่มีความสำคัญไม่แพ้กันในตอนท้ายของเรื่องซึ่งตอนนี้เป็นตอนที่ Antigone ถูกจับขังคุก โดยเธอได้รำพึงว่า
“ Ô tombeau,chambre nuptiale,demeure souterraine”แปลว่า “โอ้สุสาน โอ้เตียงวิวาห์ โอ้วังใต้พสุธาของข้า”

2. Les différences (ความแตกต่าง)
2.1 Le style (รูปแบบการเขียน)
ลักษณะการเขียนของ Sophocle จะเป็นลักษณะการเขียนแบบร้อยกรอง (vers) ลักษณะการเขียนแบบดังกล่าวนี้ภาษาที่ใช้ในการเขียนจะเป็นภาษาในระดับสูง ส่วนรูปแบบลักษณะการเขียน ของ Anouilh จะเป็นการนำเรื่องกลับมาเขียนใหม่โดยเปลี่ยนวิธีการเขียนเป็นแบบร้อยแก้ว (prose) โดยเหตุผลที่เขาเปลี่ยนวิธีการเขียนเป็นแบบร้อยแก้วก็เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยอีกทั้งยังเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายและเป็นที่คุ้นเคยกับคนฝรั่งเศสในสมัยนั้น นอกจากนี้แล้วลักษณะการเขียนของ Sophocle ยังเป็นแบบโศกนาฏกรรมแบบกรีก (la tragédie greque) กล่าวคือเนื้อเรื่องจะเป็นเรื่องราวของเทพปกรณัมกรีก-โรมัน ในขณะที่ลักษณะการเขียนของ Anouilh จะเป็นลักษณะโศกนาฏกรรมรูปแบบปัจจุบัน (la tragédie moderne) การเขียนแนวนี้ต้องอาศัยเหตุการณ์ในปัจจุบันเข้าไปในเนื้อเรื่อง โดยเป็นที่สังเกตได้ว่า Anouilh พยายามให้ผู้อ่านรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าบทละครของเขาเป็นคนละเรื่องเดียวกับบทละครของ Sophocle ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะเกิดขึ้นในสมัยโบราณเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น โปสการ์ด,กาแฟ,รถสปอร์ต ฯลฯ ซึ่งเป็นของที่มีในปัจจุบัน ซึ่งสังเกตได้ว่า Anouilh พยายามที่จะให้ผู้อ่านได้เข้ารู้สึกมีส่วนร่วมกับผลงานของเขา
2. 2 L’atmosphère (บรรยากาศ)
บรรยากาศในเรื่องของ Sophocle จะเป็นบรรยากาศของชาวกรีกสมัยโบราณในช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล แต่เมื่อ Anouilh นำมาเขียนใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 20 Anouilh ได้เปลี่ยนแปลงบรรยากาศภายในเรื่อง อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นเครื่องแต่งกาย ซึ่งตัวละครของ Sophocle จะแต่งกายเป็นแบบกรีก ในขณะที่ตัวละครของ Anouilhจะแต่งกายเป็นแบบทันสมัยมากขึ้น เช่น ชุดของ Créon จะใส่เสื้อคลุม ส่วนชุดของ Les gardes จะเป็นชุดสีดำเคลือบมันเพื่อให้ดูเขม็งมากขึ้น และ Antigone จะใส่ชุดกระโปรงสีเข้มมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้เข้ากับบุคลิกของตัวละคร

2.3 Les personnages(ตัวละคร)
ในบทละครของ Sophocle จะมีตัวละครที่สำคัญของเรื่องอีกตัวหนึ่งนั่นก็คือคนแก่ตาบอดที่มีเด็กจูง โดยตัวละครตัวนี้เปรียบเสมือนตัวแทนของพระเจ้าที่มาคอยบอก Créon ว่าสิ่งที่เขาได้ตัดสินใจนั้นเป็นสิ่งที่ผิด แต่สำหรับ Anouilh เขาได้ยกเลิกตัวละครตัวนี้ออกไป เนื่องจากแต่เดิมตัวละครตัวนี้เป็นตัวละครแบบกรีก คือมีการเน้นความเชื่อและความศรัทธาในเรื่องของพระเจ้ามากในยุคนั้น แต่พอมาสมัยของ Anouilh คือในช่วงศตวรรษที่ 20 ความเชื่อในเรื่องของพระเจ้าได้จางลงไปมาก เนื่องจากเป็นยุคหลังจากที่มีการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้น Anouilh จึงได้ปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันมากขึ้น

'''สรุป อิทธิพลของผลงานของ Jean Anouilh ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยและสังคมฝรั่งเศส'''
'''ผลกระทบที่มีต่อสังคมไทย'''
ละครเรื่องนี้ได้มีการแปลออกมาเป็นภาษาไทยโดยใช้ชื่อว่าอันตราคนีและได้มีการจัดแสดงที่หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อปี พ.ศ.2519 โดยได้มีการดัดแปลงให้เข้ากับสภาพสังคมไทยอยู่ 2 ประการ ประการแรกคือมีการแปลงชื่อตัวละครและสถานที่แบบกรีกโดยใช้ชื่อให้เป็นแบบไทย ประการที่สองคือบทละครเรื่องนี้ได้มีการเสริมขยายคำพูดบางคำพูดเข้าไปเพื่อให้พาดพิงถึงเหตุการณ์ร่วมสมัยของไทยในช่วงนั้น กล่าวคือละครเรื่องนี้แสดงในช่วงเดือนกรกฎาคม 2519 ซึ่งเกิดก่อนเหตุการณ์มหาวิปโยคในช่วงเดือนตุลาคม 2519 ไม่นาน ซึ่งเป็นการแสดงในช่วงที่มีกิจกรรมทางประชาธิปไตยสูงสุดยุคหนึ่งของประเทศ ซึ่งเราสามารถอนุมานได้ว่าบทละครเรื่องนี้ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจรัฐกับสิทธิของพลเมือง ผ่านทางตัวละครหลัก 2 ตัวคือ Créon ซึ่งพออนุมานได้ว่าเป็นตัวแทนของพวกผู้นำทรราชย์ในยุคนั้น ส่วนตัวละครอีกตัวหนึ่งคือ Antigone คือตัวแทนของประชาชนหรือนักศึกษาที่กล้าลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจเผด็จการในยุคนั้น บทละครเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเมืองในช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 โดยตรง แต่ก็เป็นหนึ่งในบทละครที่เสียดสีและสะท้อนสภาพทางการเมืองและสังคมในยุคดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
'''ผลกระทบต่อประเทศฝรั่งเศส'''
โดย จุดประสงค์ที่ Anouilh เขียนเรื่องนี้ในปี1942และนำละครเรื่องนี้ออกแสดงในปี 1944 เนื่องจาก ในปี 1944 ช่วงนั้นเป็นช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945) เป็นช่วงที่ลัทธินาซีได้แผ่อำนาจปกครองยุโรปรวมทั้งประเทศฝรั่งเศสด้วยซึ่งทำให้ชาวฝรั่งเศสถูกกดขี่ข่มเหงและถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพเป็นอย่างมาก ซึ่งละครเรื่องนี้ Anouilh ต้องการที่จะนำผลงานชิ้นนี้เปรียบเสมือนเป็นกระจกสะท้อนให้แก่ชาวฝรั่งเศสในการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพกลับคืนมา โดยเปรียบ Antigone เป็นชาวฝรั่งเศส และ เปรียบ Créon เป็นนาซีนั่นเอง เมื่อละครเรื่องนี้ได้นำออกแสดงในปี 1944 นั้น Anouilh ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของแต่ละฝ่ายซึ่งต่างก็มีปรัชญาชีวิตและอุดมการณ์ของตน ฝ่ายหนึ่งจำต้องทำหน้าที่เพื่อรักษากฏหมายและความสงบสุขของบ้านเมืองให้ดีที่สุดแม้จะต้องทำในสิ่งที่ขัดต่ออุดมการณ์ของตัวนั่นก็คือ Créon อีกฝ่ายหนึ่งบูชาอุดมการณ์แม้จะต้องตายก็คือ Antigone Anouilh สามารถชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของแต่ละฝ่ายนี้ได้ ซึ่งแม้แต่ฝ่ายเผด็จการนาซียังยอมให้นำเรื่องนี้ออกแสดงและละครเรื่องนี้ยังส่งผลให้ชาวฝรั่งเศสหลายๆคนลุกขึ้นสู้กับอำนาจเผด็จการเพื่อเรียกร้องอิสรภาพกลับคืนสู่ประเทศฝรั่งเศส

'''ข้อมูลโดยนักศึกษาคณะโบราณคดี สาขาวิชาภาษาฝรั่งเศส มหาวิทยาลัยศิลปากร วิชาประวัติวรรณคดีฝรั่งเศส 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2549'''

รุ่นแก้ไขเมื่อ 17:15, 29 กันยายน 2549

ฌอง อานุยห์ (Jean Anouilh) เกิดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1910 ที่เมืองบอร์โดซ์ ( Bordeaux ) พ่อของเขาชื่อ ฟรองซัวส์ อานุยห์ ( François Anouilh ) เป็นช่างตัดเสื้อ แม่ของเขาชื่อ มารี – มัคเดอแรน ซูลู ( Marie – Magdeleine Soulue ) เป็นนักไวโอลิน

ประวัติ

เขาเข้าเรียนระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนกอลแบร์ (Colbert) จากนั้นเขาก็เข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยชับตัล (collège Chaptal) ซึ่งเขาได้เริ่มต้นเรียนทางด้านกฎหมายที่นี่ หลังจากที่เขาเรียนจบทางด้านกฎหมายแล้ว เขาได้ใช้เวลา 2 ปี ในโรงพิมพ์ ซึ่งทำให้เขาได้รับประสบการณ์เป็นอย่างมาก เมื่อเขาอายุได้ 18 ปี เขาได้เข้ามาอยู่ที่กอมเมดี้ เดส์ ฌอง – เซลิเซ่ (Comédies des Champs – Elysées) ซึ่งมี หลุยส์ ชูแวร์ (Louis Jouvert) เป็นหัวหน้า เขาได้เข้ามาทำหน้าที่ในฐานะผู้ช่วยของหลุยส์ ชูแวร์ และในปี ค.ศ. 1930 เขาต้องลาออกจากกอมเมดี้ เดส์ ฌอง – เซลิเซ่ (Comédies des Champs–Elysées) เนื่องจากเขาต้องไปรับราชการทหาร

ต่อมาในปี ค.ศ. 1931 หลังจากที่เขากลับมาจากรับราชการทหารแล้ว เขาได้แต่งงานกับนักแสดงที่ชื่อ โมแนล วาลองแต็ง (Monelle Valentin) และมีบุตรสาวด้วยกัน 1 คน คือ แคทเธอรีน (Catherine)

ในปีค.ศ. 1932 เขาได้เขียนบทละครเรื่อง L’Hermine ซึ่งบทละครเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยบทละครเรื่องนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบทละครที่ดี แต่ผลงานอีก 2 เรื่องถัดมา ก็ประสบความล้มเหลว ได้แก่ เรื่อง Mandarine และเรื่อง Y avait un prisonnier

ในปี ค.ศ. 1937 บทละครเรื่อง Le voyageur sans bagage ก็จัดว่าเป็นบทละครที่ประสบความสำเร็จอีกบทละครหนึ่ง ซึ่งบทละครเรื่องนี้ถูกนำมาเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึง 190 ครั้ง

ในปี ค.ศ. 1944 ได้มีการนำบทละครเรื่อง Antigone ออกมาแสดง ซึ่งบทละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก บทละครเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงโศกนาฏกรรม ที่สะท้อนให้เห็นถึงชะตากรรมของมนุษย์ ผู้ผยองในความยิ่งใหญ่ของตนเอง จนก่อให้เกิดเป็นสถานการณ์ความขัดแย้งที่นำไปสู่ความพินาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในปี ค.ศ. 1953 เขาได้แต่งงานใหม่อีกครั้งกับ ชาร์ล็อต ชาร์ดง ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ แคโรลีน (Caroline), นิโกลาส์ (Nicolas) และมารี–โกลอมบ์ (Marie–Colombe)

ในช่วงบั้นปลายชีวิตของเขา ผลงานของเขาก็เริ่มน้อยลง เนื่องจากเขารู้สึกเบื่อหน่ายกับการวิจารณ์ ดังนั้นเขาจึงใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษ จะสังเกตได้ว่า ช่วงนี้ผลงานของเขาจะออกมาน้อยมาก อีกทั้งผลงานที่ออกมานั้นก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร

ฌอง อานุยห์เสียชีวิตในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1987 ที่เมืองโลซาน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ รวมอายุได้ 77 ปี

ผลงานโดยรวม

บทละครที่เป็นแนวโศกนาฏกรรม ตอนจบของเรื่องจะไม่สุขสมหวัง (Pièces noires)

  • Hermine (1932)
ฟร็อง” ชายหนุ่มผู้ซึ่งตกหลุมรัก “โมนีม” หญิงสาวผู้ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยฐานะ แต่ด้วยเพราะฟร็องเป็นคนที่ไม่มีฐานะและไม่มียศถาบรรดาศักดิ์อื่นใด ทำให้ป้าของโมนีมกีดกันการแต่งงาน สิ่งนี้เองทำให้ฟร็องต้องฆ่าป้าของโมนีม เมื่อตอนแรกที่โมนีมรู้เรื่องก็ถึงกับต่อว่าฟร็อง แต่ในท้ายที่สุดแล้วเธอก็ได้บอกกับเขาตอนที่เขากำลังถูกตำรวจจับว่าเธอรักเขามาก
  • Le voyageur sans bagage (1937)
เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มผู้ความจำเสื่อม เขาได้ปฏิเสธที่จะกลับไปที่บ้านเพื่อพบกับครอบครัวเนื่องจากเขาได้พบว่าเขาเป็นญาติกับเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ซึ่งในที่สุดเขาก็ได้จากไปพร้อมกับเด็กคนดังกล่าว
  • La sauvage (1938)
"แตแคส" นักไวโอลินสาว เธอมีฐานะยากจน เธอตกหลุมรัก “ฟลอค็องก์” นักแสดงหนุ่มผู้ร่ำรวยและมีชื่อเสียง แต่เธอกลับล้มเลิกที่จะแต่งงานกับเขา เพราะเธอไม่สามารถใช้ชีวิตในแบบที่เขาเป็นได้ เพราะเธอไม่ชอบชีวิตที่หรูหรา และถึงแม้ว่าเธอจะพยายามที่จะปรับตัวเองเท่าใด แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้
  • Roméo et Jeannette (1946)
"เฟรเดริก" ตอนแรกเขาจะต้องแต่งงานกับ "จูเลีย" หญิงสาวที่เรียบร้อย แต่เขากลับหลงรัก "เชอแนต" ซึ่งเป็นน้องสาวของจูเลีย ซึ่งแม้ว่าคนภายนอกจะมองดูว่าแปลก แต่เค้าก็ไม่สนใจและเขาทั้งสองคนกลับพากันหนีไปและหนีไปกระโดดน้ำตายด้วยกันทั้งคู่

Pièces grinçantes

เป็นลักษณะบทละครที่เป็นแนวเสียดสีทางสังคมหรือการเมือง

  • La Valse de toréadors (1952)
ข้าทาสของภรรยาเขาได้แกล้งป่วยและนักร้องก็ได้ลาออกทำให้นายพลแซงก์ เป ต้องปลอบใจตัวเองเหมือนกับอย่างที่เขาได้ทำกับคนอื่นๆ แต่เขาก็ได้พบกับความรักใหม่ที่ดีกับผู้ช่วยของเขานั่นเอง
  • Le Boulanger, la boulangère et le petit mitron (1968)
ย้อนกลับไปในช่วงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เป็นเรื่องราวของพระราชินีและรัชทายาท เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยการเสียดสีและการนองเลือดที่ซึ่งพบว่าในเรื่องมีความขัดแย้งในฉากที่เป็นจริงและฉากที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ผ่านทางตัวละครที่เป็นเด็ก 2 ตัวละคร ที่ต่อมาในภายหลังพบว่าทั้งสองคนเป็นเด็กกำพร้า

=บทละครเกี่ยวกับความรัก (Pièces roses)

  • Le Bal des voleurs (1938)
ด้วยความเข้าใจของ Lady Hurf ที่คิดว่า พวกโจรเป็นพวกที่ใหญ่โตและมีอำนาจของประเทศสเปน อีกทั้งพวกโจรกลุ่มนี้ยังทำให้ Lady Hurf รู้สึกชอบใจ ดังนั้นจึงทำให้พวกโจรสามารถที่จะเข้าไปอยู่ในปราสาทของเธอได้ไม่ยาก อีกทั้งชายหนุ่มที่โรแมนติกที่สุดของพวกโจรได้แต่งงานกับหญิงสาวที่โรแมนติกที่สุดของพวกโจร การแต่งงานจึงไม่มีการคัดค้านอะไร อีกทั้ง Lady Hurf ยังสนับสนุนอีกด้วย
  • Le Rendez – vous de Senlis (1941)
เพิ่อที่จะได้แต่งงานกับ Isabelle หญิงสาวที่เขาหลงรัก Georges จึงสร้างพ่อแม่ที่เป็นไปตามแบบฉบับของกวีที่สุดขึ้นมา และเขาได้ดึงตัวเองออกมาจากชีวิตที่เหลวไหล ซึ่งเขามีทั้งภรรยาและเมียน้อยอยู่แล้ว แต่เขาก็เพิกเฉยไม่สนใจ

บทละครที่มีการกล่าวกินจริงและเนื้อเรื่องจะไม่สมจริง (Pièces faceuses)

  • Colombe (1951)
คู่สมรสของ Julien ต้องไปรับราชการทหารและขอเงินช่วยเหลือจากแม่ไม่เป็นผลสำเร็จ มาดาม Alexandra บ้าละครมาก Colombe จึงตัดสินใจไปเป็นนักแสดง เมื่อกลายเป็นดาราละคร ตัวเองก็ชอบละครไปด้วย จากเดิมที่ไม่ชอบละคร

บทละครที่ตัวละครจะแต่งตัวอย่างสวยงาม (Pièces costumées)

  • L’Alouette (1952)
เกิดขึ้นในยุคของ ฌาน ดาร์ค ซึ่งในตอนนั้นเธอถูกทรมาน และตัวละครของเรื่อง คือ โกชง ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนในการช่วยชีวิตเธอให้รอดพ้นจากพวกทหารอังกฤษที่ทรมานเธอ
  • Becket ou l’honneur de Dieu (1959)
โศกนาฏกรรมที่เกิดโดยทันทีทันใดและเกิดจากระบบราชาธิปไตยที่ผู้ปกครองเป็นใหญ่ เรื่องดังกล่าวว่าด้วยลัทธิการปกครองแบบกดขี่ของกษัตริย์อังกฤษที่ไม่เคยได้ยอมรับจากพระเจ้า ทำให้ผู้ที่สนับสนุนในเรื่องของศาสนาถึงกับยอมตายเพื่อศาสนา

อ้างอิง