ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ศาสนาพุทธในประเทศจีน"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
BotKung (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาดบทความด้วยบอต
Saeng Petchchai (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 6: บรรทัด 6:
== ประวัติพุทธศาสนาในประเทศจีน ==
== ประวัติพุทธศาสนาในประเทศจีน ==


=== ยุคราชวงศ์ฮั่น ===
ใน พ.ศ. 2455 [[ประเทศจีน]]ได้เปลี่ยนการปกครองเป็นแบบ[[สาธารณรัฐ]] รัฐบาลสนับสนุน[[ลัทธิมาร์กซิสต์]] ซึ่งลัทธิดังกล่าวได้โจมตีพระพุทธศาสนาตลอดมา และมีการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อ[[พระพุทธศาสนา]] เช่น เอาวัดเป็นสถานที่ราชการ
ใน พ.ศ. 2465 พระสงฆ์ชาวจีนรูปหนึ่งชื่อว่า [[พระอาจารย์ไท้สู]] ได้ช่วยกู้ฐานะของ[[พระพุทธศาสนา]]ไว้บางส่วนคือ ท่านได้ทำการปฏิรูปพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง แม้จะมีกำลังน้อย เริ่มด้วยการตั้งวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นที่ [[วูซันเอ้หมิง]] [[เสฉวน]] และ[[หลิ่งนาน]] เพื่อฝึกผู้นำทาง[[พระพุทธศาสนา]]ให้มีความรู้ทาง[[พระธรรมวินัย]]และวิชาการทางโลกสมัยใหม่ และนำมาเผยแผ่เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม จนผู้คนเลื่อมใสมากขึ้น จึงตั้งพุทธสมาคมแห่ง[[ประเทศจีน]]ขึ้นใน พ.ศ. 2472 ความพยายามของ[[พระอาจารย์ไท้สู]] ทำให้ประชาชนและรัฐบาลเข้าใจใน[[พระพุทธศาสนา]]ดีขึ้น ทางราชการได้ออกคำสั้งพิทักษ์ทรัพย์สินของวัดห้ามนำไปใช้ในกิจการอื่น ใน พ.ศ. 2473 สาธารณรัฐจีนมีพระภิกษุและภิกษุณีรวม 738,000 รูป ซึ่งนับว่า[[พระพุทธศาสนา]]เจริญใน[[ประเทศจีน]]พอสมควร
พ.ศ. 2492 [[สาธารณรัฐจีน]]ได้เปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบ[[คอมมิวนิสต์]] ในระยะแรกพรรค[[คอมมิวนิสต์]]เห็นว่า[[พระพุทธศาสนา]]ยังมีอิทธิพลอยู่ในจิตใจของประชาชนจึงงไม่ใช้ความรุนแรง จนใน พ.ศ. 2494 รัฐบาลได้ออกกฎหมายเพิกถอนสิทธิวัดในการยึดครองที่ดิน ซึ่งเป็นการบีบให้พระสงฆ์ต้องลาสิกขาโดยทางอ้อม พระภิกษุที่ยังไม่ลาสิกขาก็ต้องไปประกอบอาชีพเอง เช่น ทำไร่ ทำนา เป้นต้น ทั้งที่ยังครองเพศเป็นภิกษุอยู่และในช่วงปฏิวัติวัมนะรรมครั้งใหญ่ของประเทศจีน เมื่อ พ.ศ. 2509-2512 ได้มีเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนต่อ[[พระพุทธศาสนา]]เป็นอย่างมาก คือ รัฐบาลได้ยึดวัดเป็นของราชการ ห้ามประกอบศาสนกิจต่างๆ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาถือเป้นความผิดทางกฎหมาย เมื่อ[[เหมา เจ๋อ ตุง]] ประธานพรรค[[คอมมิวนิสต์]]จีน ได้ถึงแก่อสัญกรรมใน พ.ศ. 2519 รัฐบาลชุดใหม่ของจีนก็คลายความเข้มงวดลงบ้าง และให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการเลือกนับถือศาสนา


{{รายการอ้างอิง}}อ้างอิง : หนังสือศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ สำนักพิมพ์ บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ จำกัด


== ยุคราชวงศ์ฮั่น ==


ในสมัย[[ราชวงศ์ฮั่น]] แม้ว่า[[พระพุทธศาสนา]]จะเป็นที่เลื่อมใสแต่ก็ยังจำกัดอยู่ในวงแคบคือ ในหมู่ข้าราชการและชนชั้นสูงแห่งราชสำนักเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่แพร่หลายในหมู่ประชาชนชาวเมือง เพราะ[[ชาวจีน]]ส่วนใหญ่ยังคงนับถือ[[ลัทธิขงจื้อ]]และ[[ลัทธิเต๋า]] จนกระทั่งโม่งจื๊อ นักปราชญ์ผู้มีความสามารถยิ่งได้แสดงหลักธรรมของ[[พระพุทธศาสนา]]ให้ชาวเมืองได้เห็นถึงความจริงแท้อันลึกซึ้งของ[[พระพุทธศาสนา]]เหนือกว่าลัทธิเดิม กับอาศัยความประพฤติอันบริสุทธิ์ของพระสงฆ์เป็นเครื่องจูงใจให้ชาวจีนเกิดศรัทธาเลื่อมใส จนทำให้ชาวเมืองหันมานับถือ[[พระพุทธศาสนา]]มากกว่าลัทธิศาสนาอื่นๆ พระพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองมาเป็นลำดับ
ในสมัย[[ราชวงศ์ฮั่น]] แม้ว่า[[พระพุทธศาสนา]]จะเป็นที่เลื่อมใสแต่ก็ยังจำกัดอยู่ในวงแคบคือ ในหมู่ข้าราชการและชนชั้นสูงแห่งราชสำนักเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่แพร่หลายในหมู่ประชาชนชาวเมือง เพราะ[[ชาวจีน]]ส่วนใหญ่ยังคงนับถือ[[ลัทธิขงจื้อ]]และ[[ลัทธิเต๋า]] จนกระทั่งโม่งจื๊อ นักปราชญ์ผู้มีความสามารถยิ่งได้แสดงหลักธรรมของ[[พระพุทธศาสนา]]ให้ชาวเมืองได้เห็นถึงความจริงแท้อันลึกซึ้งของ[[พระพุทธศาสนา]]เหนือกว่าลัทธิเดิม กับอาศัยความประพฤติอันบริสุทธิ์ของพระสงฆ์เป็นเครื่องจูงใจให้ชาวจีนเกิดศรัทธาเลื่อมใส จนทำให้ชาวเมืองหันมานับถือ[[พระพุทธศาสนา]]มากกว่าลัทธิศาสนาอื่นๆ พระพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองมาเป็นลำดับ


== ยุคราชวงศ์ถัง ==
=== ยุคราชวงศ์ถัง ===


[[ราชวงศ์ถัง]] ([[พ.ศ. 1161]] - [[พ.ศ. 1450|1450]]) [[พระพุทธศาสนา]]ก็เจริญสูงสุด เพราะได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้าจักรพรรดิตลอดจนนักปราชญ์ราชบัณฑิตต่างๆโดยมีการสร้างวัดขึ้นหลายแห่ง และมีการแปลพระสูตรจากภาษาบาลีเป็นภาษาจีนมากมาย[[พระพุทธศาสนา]]เริ่มเสื่อมลงเมื่อ[[พระเจ้าบู๊จง]]ขึ้นปกครองประเทศ เพราะพระเจ้าบู๊จงทรงเลื่อมใสใน[[ลัทธิเต๋า]] พระองค์ได้ทำลาย[[พระพุทธศาสนา]] เช่น ให้[[ภิกษุ]] [[ภิกษุณี]] ลาสิกขาบท ยึดวัด ทำลาย[[พระพุทธรูป]] เผาคัมภีร์ เป็นต้น [[พระพุทธศาสนา]]ไม่ได้รับการอุปถัมภ์จากราชสำนัก ก็เริ่มเสื่อมลงตั้งแต่บัดนั้น
[[ราชวงศ์ถัง]] ([[พ.ศ. 1161]] - [[พ.ศ. 1450|1450]]) [[พระพุทธศาสนา]]ก็เจริญสูงสุด เพราะได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้าจักรพรรดิตลอดจนนักปราชญ์ราชบัณฑิตต่างๆโดยมีการสร้างวัดขึ้นหลายแห่ง และมีการแปลพระสูตรจากภาษาบาลีเป็นภาษาจีนมากมาย[[พระพุทธศาสนา]]เริ่มเสื่อมลงเมื่อ[[พระเจ้าบู๊จง]]ขึ้นปกครองประเทศ เพราะพระเจ้าบู๊จงทรงเลื่อมใสใน[[ลัทธิเต๋า]] พระองค์ได้ทำลาย[[พระพุทธศาสนา]] เช่น ให้[[ภิกษุ]] [[ภิกษุณี]] ลาสิกขาบท ยึดวัด ทำลาย[[พระพุทธรูป]] เผาคัมภีร์ เป็นต้น [[พระพุทธศาสนา]]ไม่ได้รับการอุปถัมภ์จากราชสำนัก ก็เริ่มเสื่อมลงตั้งแต่บัดนั้น


== ยุคสาธารณรัฐจีน ==
=== ยุคสาธารณรัฐจีน ===


ใน [[พ.ศ. 2455]] ประเทศจีนได้เปลี่ยน ชื่อ ประเทศเป็นสาธารณรัฐจีน รัฐบาลไม่ได้สนับสนุนในพระพุทธศาสนา แต่สนับสนุนแนวความคิดของ[[ลัทธิมาร์กซิสต์]] ซึ่งลัทธิดังกล่าว ได้โจมตี[[พระพุทธศาสนา]]ตลอดมา และมีการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อ[[พระพุทธศาสนา]]มากขึ้นโดยเอา[[วัด]]ไปใช้เป็นสถานที่ราชการอื่นๆ สถานการณ์ของ[[พระพุทธศาสนา]]จึงยังไม่ดีขึ้น
ใน [[พ.ศ. 2455]] ประเทศจีนได้เปลี่ยน ชื่อ ประเทศเป็นสาธารณรัฐจีน รัฐบาลไม่ได้สนับสนุนในพระพุทธศาสนา แต่สนับสนุนแนวความคิดของ[[ลัทธิมาร์กซิสต์]] ซึ่งลัทธิดังกล่าว ได้โจมตี[[พระพุทธศาสนา]]ตลอดมา และมีการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อ[[พระพุทธศาสนา]]มากขึ้นโดยเอา[[วัด]]ไปใช้เป็นสถานที่ราชการอื่นๆ สถานการณ์ของ[[พระพุทธศาสนา]]จึงยังไม่ดีขึ้น
บรรทัด 32: บรรทัด 24:
ใน [[พ.ศ. 2473]] สาธารณรัฐจีนมี[[พระภิกษุ]]และ[[ภิกษุณี]]รวม 738,000 รูป มีวัดทั้งสิ้น 267,000 วัด ซึ่งนับว่าพระพุทธศาสนาเจริญในประเทศจีนพอสมควร
ใน [[พ.ศ. 2473]] สาธารณรัฐจีนมี[[พระภิกษุ]]และ[[ภิกษุณี]]รวม 738,000 รูป มีวัดทั้งสิ้น 267,000 วัด ซึ่งนับว่าพระพุทธศาสนาเจริญในประเทศจีนพอสมควร


== ยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน ==
=== ยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน ===


ใน [[พ.ศ. 2492]] สาธารณรัฐจีนได้เปลี่ยนชื่อประเทศอีกครั้งหนึ่ง เป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ปกครองด้วย[[ลัทธิคอมมิวนิสต์]] ลัทธิคอมมิวนิสต์นี้มีคำสอนที่ขัดแย้งกับ[[พระพุทธศาสนา]]เป็นอย่างมาก พระพุทธศาสนาจึงไม่อาจอยู่ได้ใน[[สาธารณรัฐประชาชนจีน]] ในระยะแรกพรรคคอมมิวนิสต์เป็นว่า[[พระพุทธศาสนา]]ยังมีอิทธิพลอยู่ในจิตใจของประชาชนจึงไม่ใช้ความรุนแรง
ใน [[พ.ศ. 2492]] สาธารณรัฐจีนได้เปลี่ยนชื่อประเทศอีกครั้งหนึ่ง เป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ปกครองด้วย[[ลัทธิคอมมิวนิสต์]] ลัทธิคอมมิวนิสต์นี้มีคำสอนที่ขัดแย้งกับ[[พระพุทธศาสนา]]เป็นอย่างมาก พระพุทธศาสนาจึงไม่อาจอยู่ได้ใน[[สาธารณรัฐประชาชนจีน]] ในระยะแรกพรรคคอมมิวนิสต์เป็นว่า[[พระพุทธศาสนา]]ยังมีอิทธิพลอยู่ในจิตใจของประชาชนจึงไม่ใช้ความรุนแรง
บรรทัด 62: บรรทัด 54:
== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==
<references />
<references />
* หนังสือศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ สำนักพิมพ์ บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ จำกัด

==ดูเพิ่ม==
==ดูเพิ่ม==
*[[เซน]]
*[[เซน]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 12:16, 28 กุมภาพันธ์ 2553

พระพุทธศาสนาได้เข้ามาในประเทศจีนดังได้ปรากฏในหลักฐาน เมื่อประมาณพุทธศักราช 608 ในสมัยของพระจักรพรรดิเม่งเต้แห่งราชวงศ์ฮั่น พระได้จัดส่งคณะทูต 18 คน ไปสืบพระพุทธศาสนาในอินเดีย คณะทูตชุดนี้ได้เดินทางกลับประเทศจีนพร้อมด้วยพระภิกษุ 2 รูป คือ พระกาศยปมาตังคะ และพระธรรมรักษ์ รวมทั้งคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาอีกส่วนหนึ่งด้วย เมื่อพระเถระ 2 รูป พร้อมด้วยคณะทูตมาถึงนครโลยาง พระเจ้าฮั่นเม่งเต้ ได้ทรงสั่งให้สร้างวัดเพื่อเป็นที่อยู่ของพระทั้ง 2 รูป นั้นซึ่งมีชื่อว่า วัดแป๊ะเบ๊ยี่ แปลเป็นไทยว่า วัดม้าขาว เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ม้าตัวที่บรรทุกพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากับพระเถระทั้งสอง หลังจากนั้นพระปาศยมาตังตะ กับพระธรรมรักษ์ได้แปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นภาษาจีนเล่มแรก


ประวัติพุทธศาสนาในประเทศจีน

ยุคราชวงศ์ฮั่น

ในสมัยราชวงศ์ฮั่น แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเป็นที่เลื่อมใสแต่ก็ยังจำกัดอยู่ในวงแคบคือ ในหมู่ข้าราชการและชนชั้นสูงแห่งราชสำนักเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่แพร่หลายในหมู่ประชาชนชาวเมือง เพราะชาวจีนส่วนใหญ่ยังคงนับถือลัทธิขงจื้อและลัทธิเต๋า จนกระทั่งโม่งจื๊อ นักปราชญ์ผู้มีความสามารถยิ่งได้แสดงหลักธรรมของพระพุทธศาสนาให้ชาวเมืองได้เห็นถึงความจริงแท้อันลึกซึ้งของพระพุทธศาสนาเหนือกว่าลัทธิเดิม กับอาศัยความประพฤติอันบริสุทธิ์ของพระสงฆ์เป็นเครื่องจูงใจให้ชาวจีนเกิดศรัทธาเลื่อมใส จนทำให้ชาวเมืองหันมานับถือพระพุทธศาสนามากกว่าลัทธิศาสนาอื่นๆ พระพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองมาเป็นลำดับ

ยุคราชวงศ์ถัง

ราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161 - 1450) พระพุทธศาสนาก็เจริญสูงสุด เพราะได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้าจักรพรรดิตลอดจนนักปราชญ์ราชบัณฑิตต่างๆโดยมีการสร้างวัดขึ้นหลายแห่ง และมีการแปลพระสูตรจากภาษาบาลีเป็นภาษาจีนมากมายพระพุทธศาสนาเริ่มเสื่อมลงเมื่อพระเจ้าบู๊จงขึ้นปกครองประเทศ เพราะพระเจ้าบู๊จงทรงเลื่อมใสในลัทธิเต๋า พระองค์ได้ทำลายพระพุทธศาสนา เช่น ให้ภิกษุ ภิกษุณี ลาสิกขาบท ยึดวัด ทำลายพระพุทธรูป เผาคัมภีร์ เป็นต้น พระพุทธศาสนาไม่ได้รับการอุปถัมภ์จากราชสำนัก ก็เริ่มเสื่อมลงตั้งแต่บัดนั้น

ยุคสาธารณรัฐจีน

ใน พ.ศ. 2455 ประเทศจีนได้เปลี่ยน ชื่อ ประเทศเป็นสาธารณรัฐจีน รัฐบาลไม่ได้สนับสนุนในพระพุทธศาสนา แต่สนับสนุนแนวความคิดของลัทธิมาร์กซิสต์ ซึ่งลัทธิดังกล่าว ได้โจมตีพระพุทธศาสนาตลอดมา และมีการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนามากขึ้นโดยเอาวัดไปใช้เป็นสถานที่ราชการอื่นๆ สถานการณ์ของพระพุทธศาสนาจึงยังไม่ดีขึ้น

ใน พ.ศ. 2465 พระสงฆ์ชาวจีนรูปหนึ่ง ชื่อว่า พระอาจารย์ไท้สู ได้ช่วยกู้ฐานะของพระพุทธศาสนาไว้บางส่วนคือ ท่านได้ทำการปฏิรูปพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง แม้จะมีกำลังน้อย เริ่มด้วยการตั้งวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นที่ วูซัน เอ้หมิง เสฉวน และ หลิ่งนาน เพื่อฝึกผู้นำทางพระพุทธศาสนาให้มีความรู้ทางพระธรรมวินัยและวิชาการทางโลกสมัยใหม่ และนำมาเผยแผ่เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม จนผู้คนเลื่อมใสมากขึ้น จึงตั้งพุทธสมาคมแห่งประเทศจีนขึ้น

ใน พ.ศ. 2472 ความพยายามของพระอาจารย์ไท้สู ทำให้ประชาชนและรัฐบาลเข้าใจในพระพุทธศาสนาดีขึ้น ทางราชการได้ออกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์สินของวัดห้ามนำไปใช้ในกิจการอื่น

ใน พ.ศ. 2473 สาธารณรัฐจีนมีพระภิกษุและภิกษุณีรวม 738,000 รูป มีวัดทั้งสิ้น 267,000 วัด ซึ่งนับว่าพระพุทธศาสนาเจริญในประเทศจีนพอสมควร

ยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน

ใน พ.ศ. 2492 สาธารณรัฐจีนได้เปลี่ยนชื่อประเทศอีกครั้งหนึ่ง เป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิคอมมิวนิสต์นี้มีคำสอนที่ขัดแย้งกับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก พระพุทธศาสนาจึงไม่อาจอยู่ได้ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ในระยะแรกพรรคคอมมิวนิสต์เป็นว่าพระพุทธศาสนายังมีอิทธิพลอยู่ในจิตใจของประชาชนจึงไม่ใช้ความรุนแรง

ใน พ.ศ. 2494 รัฐบาลได้ออกกฎหมาย เพิกถอนสิทธิวัดในการยึดครองที่ดิน ซึ่งเป็นการบีบให้พระสงฆ์ต้องลาสิกขาบทโดยทางอ้อม พระภิกษุที่ยังไม่ลาสิกขาก็ต้องไปประกอบอาชีพเอง เช่น ทำไร่ ทำนา เป็นต้น ทั้งที่ยังครองเพศเป็นภิกษุอยู่ และในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน

ใน พ.ศ. 2509 - 2512 ได้มีเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากคือ รัฐบาลได้ยึดวัดเป็นของราชการ ห้ามประกอบศาสนกิจต่างๆ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาถือเป็นความผิดกฎหมาย พระภิกษุถูกบังคับให้ลาสิกขา พระคัมภีร์ต่างๆ ถูกเผา พระพุทธรูปและวัดถูกทำลายไปเป็นอันมาก จากเหตุการณ์นี้ทำให้พระพุทธศาสนา เกือบสูญสิ้นไปจากประเทศจีนเลยทีเดียว เมื่อประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน เหมา เจ๋อ ตุง ได้ถึงแก่อสัญกรรม

ใน พ.ศ. 2519 รัฐบาลชุดใหม่ของจีนก็คลายความเข้มงวดลงบ้างและให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาของประชาชนมากขึ้น

พุทธศาสนาในปัจจุบัน

ในปัจจุบันได้มีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานขึ้นใหม่ ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังให้การสนับสนุนจัดตั้งพุทธสมาคมแห่งประเทศจีน และสภาการศึกษาพระพุทธศาสนาแห่งประเทศจีนขึ้นในกรุงปักกิ่งอีกด้วย เพื่อเป็นศูนย์กลางการติดต่อเผยแผ่พระพุทธศาสนากับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ปัจจุบันนี้ชาวจีนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาคู่ไปกับลัทธิขงจื้อ และลัทธิเต๋า ซึ่งปัจจุบันมีผู้นับถือถึง 30%

พุทธศาสนาเถรวาทในจีน

ในประเทศจีน มีผู้นับถือพุทธศาสนาแบบเถรวาทเฉพาะในมณฑลยูนนาน ซึ่งโดยทั่วไปเป็นชนกลุ่มน้อยชาวไทลื้อและชาวไทใหญ่

พุทธศาสนาในสิบสองปันนา

พุทธศาสนาในสิบสองปันนาเป็นพุทธศาสนาเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ โดยได้รับอิทธิพลจากอาณาจักรล้านนาหรือเชียงใหม่ในปัจจุบัน แบ่งเป็น 2 นิกายเช่นเดียวกับพุทธศาสนาในเชียงใหม่คือ [1]

  • สำนักวัดสวนดอกหรือฝ่ายสวน ตั้งที่เชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 1914 แต่เข้าสู่สิบสองปันนาเมื่อใดไม่มีหลักฐาน
  • สำนักวัดป่าแดงหรือฝ่ายป่า ตั้งขึ้นที่เชียงใหม่เมื่อราว พ.ศ. 1973 โดยคณะสงฆ์ที่ไปบวชเรียนมาใหม่จากลังกา ถือวินัยเคร่งครัดกว่าฝ่ายสวน เผยแพร่เข้าสู่สิบสองปันนาเมื่อ พ.ศ. 1989 โดยผ่านทางเชียงตุง

พุทธศาสนาในเขตปกครองตนเองไทใต้คง

พุทธศาสนาแพร่เข้าสู่เขตปกครองตนเองไทใต้คงเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 19-20 แบ่งออกเป็น 4 นิกายคือ

  • นิกายปายจอง เป็นนิกายที่แพร่เข้ามาก่อนนิกายอื่น ไม่เคร่งวินัย ภิกษุเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เช่น เป็ด ไก่ ได้
  • นิกายกึงโยน เป็นนิกายที่แพร่เข้าสู่เมืองขอนเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 20 ได้รับอิทธิพลจากเชียงใหม่ มีการแบ่งย่อยเป็นโยนสวนกับโยนป่าเหมือนในเมืองเชียงใหม่ เขียนคัมภีร์ด้วยอักษรล้านนา
  • นิกายโตเล เป็นนิกายที่ได้รับอิทธิพลจากพม่าเข้าสู่เมืองมาวเมื่อ พ.ศ. 2294 ถือวินัยเคร่งครัดกว่านิกายอื่น มีการบวชสามเณรีและภิกษุณี
  • นิกายชุติหรือโจติเป็นนิกายที่เกิดขึ้นในใต้คงโดยภิกษุชาวไทใหญ่เห็นว่าพระสงฆ์เดิมถือวินัยหย่อนยาน แพร่เข้าสู่เมืองแจ้ฝางและเมืองมาวเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 20 เคยแพร่หลายที่เมืองขอนระยะหนึ่งเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 25 แต่ภายหลังพ่ายแพ้นิกายปายจอง คณะสงฆ์นิกายนี้ในเมืองขอนจึงถอนตัวจากเมืองขอนเข้าสู่พม่าไปตั้งศูนย์กลางที่เมืองมีดและเมืองยางในรัฐฉานตามลำดับ ภิกษุในนิกายนี้มีวัตรปฏิบัติต่างจาก 3 นิกายข้างต้น ทั้งภิกษุและฆราวาสต่างเคร่งครัดวินัย

เมื่อ พ.ศ. 2532 สำรวจพบว่าชาวพุทธในไต้คง เป็นชาวไทใหญ่ 90% ชาวปะหล่องและชาวอาชาง 10% ในจำนวนนี้นับถือนิกายปายจอง 52% นิกายโตเล 33% นิกายกึงโยน 12% และนิกายชุติ 3%[2]

อ้างอิง

  1. เจีย แยนจอง. พุทธศาสนากับวิถีชีวิตชาวพุทธไทลื้อในสิบสองพันนา ใน คนไทไม่ใช่ไทย แต่เป็นเครือญาติชาติภาษา. กทม. มติชน. 2549. หน้า 233
  2. เจีย แยนจอง. แคว้นใต้คง:ถิ่นไทยเหนือในยูนนาน. ใน คนไทไม่ไทย แต่เป็นเครือญาติชาติภาษา. กทม. มติชน .2549. หน้า 179-183
  • หนังสือศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ สำนักพิมพ์ บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ จำกัด

ดูเพิ่ม