ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กฎหมาย"
HerculeBot (คุย | ส่วนร่วม) ล โรบอต เพิ่ม: kn, sr ลบ: sg แก้ไข: sc |
ล โรบอต เพิ่ม: mwl:Dreito |
||
บรรทัด 536: | บรรทัด 536: | ||
[[mk:Право]] |
[[mk:Право]] |
||
[[ms:Undang-undang]] |
[[ms:Undang-undang]] |
||
[[mwl:Dreito]] |
|||
[[ne:कानून]] |
[[ne:कानून]] |
||
[[nl:Recht]] |
[[nl:Recht]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 08:42, 22 กันยายน 2552
กฎหมาย (อังกฤษ: law หรือ legislation) คือ กฎอันมีที่มาจากการตราขึ้นโดยสถาบันหรือผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐ หรือจากจารีตประเพณีอันเป็นที่ยอมรับนับถือ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการบริหารประเทศ ใช้บังคับบุคคลให้ปฏิบัติตาม หรือกำหนดระเบียบแห่งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือระหว่างบุคคลกับรัฐ [1]
ภูมิหลังของกฎหมาย
ความจำเป็นในการมีกฎหมาย
กฎหมายเป็นเครื่องควบคุมประพฤติการณ์ในสังคม พัฒนาขึ้นมาจากศีลธรรม ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ศาสนา และกฎเกณฑ์ข้อบังคับ ตามลำดับ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อธำรงความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของสมาชิกในสังคม กับทั้งเพื่อให้การอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นเป็นไปโดยราบรื่น สนองความต้องการของภาคส่วนต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ดังภาษิตละตินที่ว่า "ที่ใดมีมนุษย์ ที่นั้นมีสังคม ที่ใดมีสังคม ที่นั้นมีกฎหมาย ด้วยเหตุนั้น ที่ใดมีมนุษย์ ที่นั้นจึงมีกฎหมาย" (ละติน: Ubi homo, ibi societas. Ubi societas, ibi jus. Ergo ubi homo, ibi jus) ด้วยเหตุนี้กฎหมายจึงได้ชื่อว่าเป็น "ปทัสถานทางสังคม" (อังกฤษ: social norms) ซึ่งบางทีก็เรียก "บรรทัดฐานของสังคม"
ปทัสถานทางสังคม
เป็นที่ยอมรับกันในทางสังคมวิทยาว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงไม่สามารถอยู่เองอย่างโดดเดี่ยวได้ และเมื่อสังคมเกิดขึ้น การติดต่อสมาคมเพื่อสนองความต้องการซึ่งกันและกันก็มีขึ้น ดังนั้น แต่ละสังคมจึงจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อควบคุมความประพฤติของสมาชิกให้เป็นไปในทำนองเดียวกัน และ/หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของส่วนรวม กฎเกณฑ์เช่นนี้เรียก "ปทัสถานทางสังคม" (อังกฤษ: social norms)[2]
คำ "ปทัสถานทางสังคม" นี้ บางทีก็ว่า "บรรทัดฐานทางสังคม" หรือ "ปทัฏฐานทางสังคม" ซึ่งคำ "ปทัสถาน" "ปทัฏฐาน" และ "บรรทัดฐาน" สามคำนี้ ล้วนแต่เป็นคำ ๆ เดียวกันและมีความหมายอย่างเดียวกันทั้งสิ้น ชั่วแต่ว่า "ปทัสถาน" เป็นคำสันสกฤต "ปทัฏฐาน" เป็นคำบาลี ส่วน "บรรทัดฐาน" นั้นแผลงมาจาก "ปทัฏฐาน" อีกทีหนึ่ง หาใช่มาจากคำ "บรรทัด" + "ฐาน" ไม่[1]
ความสำคัญของปทัสถานของสังคมนั้น นอกจากเป็นเครื่องควบคุมสังคมและธำรงความสงบเรียบร้อยของสังคมแล้ว ยังเป็นแบบแผนพฤติกรรมอันเป็นที่คาดหวังของสังคม เป็นมาตรฐานที่สมาชิกทั้งปวงได้รับการประสงค์ให้ปฏิบัติตาม จึงเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ตัวอย่างเช่น ในสังคมไทย เมื่อนักเรียนมาถึงโรงเรียนและพบครูเวรยืนอยู่ก็จะแสดงความเคารพครูโดยไม่ต้องใช้เวลานึกคิดเลยว่าควรทำประการใดในกรณีเช่นนั้น
ปทัสทานทางสังคมจึงเกิดจากการที่คนในสังคมปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติตามคตินิยมของตน จนกลายเป็นระเบียบ แบบแผน หรือประเพณีนิยม นอกจากนั้นยังมีที่มาจากค่านิยมของสังคมนั้น ๆ ด้วย เช่น สังคมไทยมีค่านิยมยกย่องนับถือผู้ใหญ่ จึงเกิดปทัสถานทางสังคมในการนับถือผู้ใหญ่[3] [4]
โดยทั่วไปแล้ว นักสังคมวิทยาแบ่งปทัสถานทางสังคมเป็นสามประเภทใหญ่ ๆ ดังต่อไปนี้[5]
วิถีประชา
วิถีประชา หรือวิถีชาวบ้าน (อังกฤษ: folkways) เป็นปทัสถานทางสังคมที่คนยอมรับนับถือจนเกิดความเคยชิน ไม่รู้สึกว่าเป็นภาระหน้าที่ และไม่มีกฎหมายข้อบังคับใด ๆ สั่งให้ปฏิบัติ กับทั้งยังเป็นพฤติกรรมที่คนคาดหวังกันว่าคนอื่นจะทำหรือไม่ทำอะไรในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การพูดคำ "สวัสดี" การยกมือไหว้ การสวมชุดดำในงานศพ เป็นต้น โดยส่วนใหญ่เป็นมาตรฐานทางพฤติกรรม ไม่มีการบังคับควบคุมอย่างเข้มงวด เมื่อมีการละเมิดผู้ละเมิดก็เพียงได้รับคำติฉินนินทา ทั้งนี้ วิถีประชาสามารถจำแนกได้ดังนี้[6]
1. สมัยนิยม (อังกฤษ: fashion) เป็นปทัสถานทางสังคมที่แสดงออกถึงความนิยมของกลุ่มคนซึ่งแพร่หลายไปรวดเร็วในช่วงเวลาหนึ่ง และก็เสื่อมไปรวดเร็วเช่นกัน ในช่วงแพร่ระบาดนั้น คนในสังคมทั่วไปมีความรู้สึกว่าตนถูกบังคับให้ปฏิบัติตาม มิเช่นนั้นก็ถูกว่า "เชย" เป็นต้น เช่น เรื่องแบบทรงผม แบบเครื่องแต่งกาย
2. ความนิยมชั่วครู่ (อังกฤษ: fad) เป็นแบบพฤติกรรมเพียงผิวเผินและไม่จริงจัง เปลี่ยนแปลงง่าย รวดเร็ว มาเร็วไปเร็ว เช่น สมัยหนึ่งคนไทยเคยสนทนากันด้วยสำนวน "อย่าให้เซด"
3. ความคลั่งไคล้ (อังกฤษ: craze) เป็นเรื่องราวของความไม่มีเหตุผล เมื่อครอบงำผู้ใดแล้วผู้นั้นก็มักประพฤติปฏิบัติในในทำนองโง่เขลาเบาปัญญา หมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่ตนคลั่งไคล้เป็นต้น เช่น การคลั่งไคล้ดารานักร้อง
4. งานพิธี (อังกฤษ: ceremonies) เป็นการแสดงออกซึ่งเกียรติยศ ความมีหน้ามีตา ยังผลให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน สนับสนุนความสมานฉันท์ภายในกลุ่ม แต่ใครจะปฏิบัติหรือไม่ก็ได้ เช่น งานฉลองวันครบรอบวันเกิด งานฉลองวันครบรอบวันสมรส เป็นต้น
5. พิธีการ (อังกฤษ: rites) เป็นแบบแผนพฤติกรรมที่มีลำดับขั้นตอนแน่นอน และต้องทำซ้ำ ๆ เช่น วันพระ วันสงกรานต์ วันทำบุญขึ้นบ้านใหม่ วันมาฆบูชา
6. พิธีกรรม (อังกฤษ: rituals) เป็นแบบแผนพฤติกรรมตามความเชื่อที่มักไม่เปิดเผยต่อสาธารณชนทั้งหมด เช่น พิธีรับน้องใหม่
7. มรรยาททางสังคม หรือมารยาททางสังคม (อังกฤษ: etiquette) เป็นการปฏิบัติตนให้เหมาะสมแก่กาลเทศะในการสมาคม เช่น มรรยาทในการรับประทานอาหาร การโดยสารรถประจำทางควรลุกให้เด็ก คนชรา และสตรีมีครรภ์นั่ง เป็นต้น
จารีตประเพณี
จารีตประเพณี หรือกฎศีลธรรม หรือศีลธรรมเฉย ๆ ก็เรียก (อังกฤษ: mores) เป็นปทัสถานที่กำหนดให้คนในสังคมประพฤติปฏิบัติอย่างเข้มงวด มีการควบคุมที่รุนแรงเพื่อป้องกันการฝ่าฝืน โดยคนในสังคมนั้นถือว่าแบบแผนการปฏิบัติดังกล่าวเป็นสิ่งดีสิ่งงาม ผู้ละเมิดเป็นคนผิดคนชั่ว เป็นต้น จารีตประเพณีจึงมีลักษณะเป็นข้อห้าม (อังกฤษ: taboo) เช่น การห้ามสมรสกันระหว่างญาติสืบสายโลหิต และขอให้ปฏิบัติ เช่น ต้องช่วยเหลือผู้อื่น เป็นต้น อันใดจะเป็นจารีตประเพณีได้ ต้องเป็นแนวประพฤติปฏิบัติที่ดำเนินสืบ ๆ ต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน โดยผู้ปฏิบัตินั้นรู้สึกร่วมกันว่าจะต้องปฏิบัติตาม เป็นกฎเกณฑ์ควบคุมความประพฤติเช่นเดียวกับกฎหมาย[7]
จารีตประเพณีต่างจากวิถีประชาตรงที่ จารีตประเพณีเป็นพฤติกรรมอันเชื่อว่าจะมีผลต่อสวัสดิภาพโดยรวมของคนหมู่มาก และเป็นสิ่งที่มีขึ้นเพื่อคนหมู่มาก มีความมั่นคงและมีการควบคุมที่เข้มงวดกว่าวิถีประชาอยู่มาก
จารีตประเพณีนั้นวิวัฒนามาจากศีลธรรม (อังกฤษ: moralty) ซึ่งเกิดแต่ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์แต่ละคนว่าการกระทำอย่างไรชอบ อย่างไรไม่ชอบ เกิดจากมโนสำนึกและมโนธรรมของแต่ละคน[8] มีขึ้นได้เพราะแต่ละคนมีสติปัญญาจะหยั่งรู้ว่าเมื่อตนกระทำอย่างไรไปแล้ว อีกฝ่ายจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร และจะมีปฏิกิริยาอย่างไร[9]
ศีลธรรมนั้นมีอยู่ในทุกสังคมมาแต่โบราณกาล และเป็นกฎเกณฑ์ควบคุมความประพฤติอย่างเดียวกับกฎหมายเช่นกัน แต่ก็มีความแตกต่างกับกฎหมายในหลาย ๆ ด้าน เช่น ศีลธรรมมีวัตถุประสงค์มุ่งเอาความสมบูรณ์ของจิตใจ เน้นมโนสำนึกเป็นหลัก ส่วนกฎหมายนั้นเน้นรักษาความสงบของส่วนรวมเป็นหลัก ซึ่งบางทีก็ไม่เกี่ยวกับมโนสำนึก เช่น การคิดปองร้ายผู้อื่นอยู่ในใจ กฎหมายไม่ถือว่าผิด แต่ทางศีลธรรมว่าเป็นผิดเป็นชั่ว อย่างไรก็ดี ศีลธรรมกับกฎหมายนั้นก็มีความสัมพันธ์กันในฐานะที่เป็นวิวัฒนาการแห่งกัน เป็นต้นว่า มีกฎหมายหลายบทหลายมาตราที่กำหนดว่าการกระทำที่ขัดต่อ "ศีลธรรมอันดีของประชาชน" (อังกฤษ: good moral of the public) เป็นสิ่งที่กฎหมายไม่รับรู้ แต่กรณีนี้ต้องเป็นศีลธรรมที่คนหมู่ยืดถือร่วมกัน ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง และต้องเป็นศีลธรรมอันดีด้วย[10]
อันศีลธรรมนั้น หากเป็นของที่คนหมู่ซึ่งประกอบอาชีพลักษณะเดียวกันถือร่วมกัน ศีลธรรมของวิชาชีพนั้นจะเรียก "จริยธรรม" (อังกฤษ: ethnics) เช่น จริยธรรมของแพทย์ จริยธรรมของนักกฎหมาย
เมื่อศีลธรรมนั้นได้รับการประพฤติปฏิบัตินานเข้า ๆ และเกิดความรู้สึกร่วมกันว่าจะต้องปฏิบัติเช่นนั้น ก็กลายเป็นกฎเกณฑ์ควบคุมความประพฤติที่เรียกว่า "จารีตประเพณี" ดังกล่าวมาแล้ว จารีตประเพณีนี้มีสภาพบังคับสำหรับกรณีที่มีการฝ่าฝืน คือ สมาชิกในสังคมนั้นจะร่วมกันประณามหรือเกิดความรู้สึกเป็นผิดเป็นชั่วสำหรับผู้ฝ่าฝืนจารีตประเพณี ซึ่งสภาพบังคับเช่นนี้บางทีก็ไม่ชัดเจน กระนั้น จารีตประเพณีเป็นเรื่องอันครอบคลุมทุกมิติของสังคมมากกว่ากฎหมาย กฎหมายจึงใช้จารีตประเพณีอุดช่องว่างของกฎหมาย เช่น ที่กำหนดในประมวลกฎหมาแพ่งและพาณิชย์ของไทยว่า ในกรณีที่กฎหมายไม่ครอบคลุม ก็ให้เอาจารีตประเพณีมาใช้[11]
กฎหมาย
กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ความประพฤติที่กำหนดให้คนในสังคมปฏิบัติตาม ส่วนใหญ่ปรากฏในสังคมที่มีระบบความสัมพันธ์สลับซับซ้อนมาก และมีองค์กรหรือสถาบันคอยกำกับดูแลการประพฤติปฏิบัติตามอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
นักสังคมวิทยาจำแนกความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจารีตประเพณีไว้ดังต่อไปนี้[12]
1. กฎหมายกำหนดระดับต่าง ๆ ของการกระทำความผิด และกำหนดบทลงโทษสำหรับความผิดนั้นตามระดับด้วย ผิดน้อยก็โทษน้อย ผิดมากก็โทษมาก แต่จารีตประเพณีเป็นเรื่องของความรู้สึกว่ารับได้หรือไม่ได้ของสังคมมากกว่า
2. การลงโทษผู้กระทำตามกฎหมายมีองค์กรคอยเป็นธุระจัดการอย่างเป็นกิจจะลักษณะ แต่สำหรับจารีตประเพณีแล้ว ไม่มีองค์กรรับผิดชอบเช่นว่าโดยเฉพาะและมักเป็นการลงโทษของสังคมเอง เช่น การประณาม การเลิกคบค้าสมาคมด้วย ฯลฯ
3. จารีตประเพณีมีความเป็นยาวนานและเปลี่ยนแปลงยาก ในขณะที่กฎหมายแม้อาจมีความเป็นมายาวนานแต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้เข้ากับสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ทันที
4. จารีตบางอย่างถูกละเลยโดยคนในสังคม กฎหมายจึงมีประโยชน์กว่าเพราะมีอำนาจบังคับใช้แก่ทุกคนเป็นการทั่วไปอย่างไม่มีการยกเว้น
5. จารีตประเพณีบางทีก็ไม่ชัดเจน ทำให้เกิดปัญหาได้ ขณะที่กฎหมายมีความแน่นอนกว่า
วิวัฒนาการของกฎหมาย
วิวัฒนาการกฎหมายไทย
ตามคำไทยแต่เดิม "กฎหมาย" หมายแต่เพียงว่าเป็นคำสั่งของพระเจ้าแผ่นดินที่โปรดให้กดไว้หมายไว้เพื่อใช้บังคับเป็นการคงทนถาวร จะเห็นได้ในพงศาวดารเหนือ (ฉบับของพระวิเชียรปรีชา) ตอนที่พระยาพสุจราชแห่งราชวงศ์พระร่วงได้จัดการแต่งบ้านแต่งเมืองออกรับกองทัพพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก มีความว่า "แล้วให้กำหนดกฎหมายไว้ทุกหน้าด่าน แล้วให้กำหนดกฎหมายไปถึงเมืองกัมโพชนคร ให้กำหนดกฎหมายสืบ ๆ กันไปถึงเมืองคีรี เมืองสวางคบุรี เมือง... ฯลฯ"[13] ในภาษาไทยแต่เดิม กฎหมายจึงหมายถึงคำสั่งที่ได้กดไว้หมายไว้ให้เป็นที่แน่นอนเท่านั้น ทั้งนี้ คำว่า "กฎหมาย" เป็นคำกริยา ซึ่งประกอบขึ้นจากกริยา "กฎ" มีความหมายว่า "จดบันทึก, จดไว้เป็นหลักฐาน, ตรา" อันเป็นคำที่มาจากภาษาเขมรว่า "กต่" มีความหมายว่า "จด" + นาม "หมาย" ซึ่งแปลว่า "หนังสือ"[1]
แต่โบราณกาล เพื่อให้คำสั่งอันเป็นกฎหมายเป็นของขลังและเป็นที่เคารพเชื่อฟัง จึงมักมีการอ้างเอาความศักดิ์สิทธิ์แห่งสรวงสวรรค์ว่าเป็นที่มาของกฎหมายหรือเป็นที่มาของอำนาจที่ใช้ออกกฎหมาย เช่น ของอังกฤษ ในตอนต้นของกฎหมายมักเขียนว่า "อาศัยพระราชอำนาจอันทรงได้รับประทานจากเทพยุดาฟ้าดิน สมเด็จพระราชินีนาถจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราขึ้นไว้ดังต่อไปนี้" (อังกฤษ: The Queen, by the Grace of God, enacts as follows:)
ถึงแม้ว่าชั้นเดิม กษัตริย์จะชื่อว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์คือมีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน แต่การจะสั่งให้เป็นกฎหมายนั้นก็ต้องอาศัยอ้างเหตุอ้างผลเพื่อให้คนทั้งหลายเห็นว่าเป็นคำสั่งที่เป็นธรรม เหตุผลที่ยกขึ้นส่วนมากคือจารีตประเพณี เช่น กฎหมายไทยที่ว่า "อันว่าสาขคดีทั้งหลายดั่งพรรณนามานี้ อันบูราณราชกษัตริย์มีบุญญาภินิหารสมภารบารมีเป็นอธิบดีประชากร ผจญข้าศึกเสร็จแล้ว แลเป็นอิสรภาพในบวรเศวตรฉัตร ประกอบด้วยศีลสัจวัตรปฏิบัติเป็นอันดี...ทรงพระอุตสาหะพิจารณาคำนึงตามคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ แล้วมีพระราชบัญญัติดัดแปลงตกแต่งตั้งเป็นพระราชกำหนดบทพระอัยการไว้โดยมาตราเป็นอันมาก...มาตราบเท้าทุกวันนี้"[13]
สำหรับประเทศไทยนั้นเดิมทีมีกฎหมายฉบับหนึ่งซึ่งเรียกเป็นการทั่วไปว่า "พระอัยการ" เป็นกฎหมายแม่บทเสมอรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน พระอัยการนี้ต่อมารู้จักกันในชื่อ "กฎหมายตราสามดวง" ซึ่งเป็นกฎหมายที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดให้ชำระขึ้นใหม่เพราะของเก่าล้วนสูญหายไปเมื่อตอนกรุงศรีอยุธยาแตกก็มี วิปริตผิดเพี้ยนไปก็มี เป็นต้น แต่พระอัยการนั้นพึงเข้าใจว่าเป็นกฎหมายก่อนกฎหมายตราสามดวง แต่มีวิวัฒนาการไปเป็นกฎหมายตราสามดวง
พระอัยการดังกล่าวมีที่มาจากคัมภีร์มนูธรรมศาสตร์ของอินเดีย เนื่องจากเชื่อกันมาพระอัยการนี้เป็นของที่เทวดาบัญญัติขึ้น และจารึกไว้ที่กำแพงจักรวาลตรงสุดป่าหิมพานต์ มนุษย์เราเพียงแต่ไปพบมา จึงเป็นของศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง จะแก้ไข เปลี่ยนแปลง ยกเลิก หรือเพิ่มเติมอย่างไรไม่ได้ทั้งสิ้น หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช อธิบายเกี่ยวกับระบบกฎหมายเก่าของไทยว่า[14]
แต่บทพระอัยการนี้เป็นของเก่า เขียนมาแต่โบราณ บางทีก็มีบทซับซ้อนกัน บางทีก็เขียนด้วยภาษาเก่าจนไม่สามารถจะเข้าใจได้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในบทพระอัยการเช่นนี้ก็เป็นหน้าที่ของขุนศาลตระลาการจะต้องนำบทพระอัยการที่เป็นปัญหานั้นขึ้นถวายให้ทอดพระเนตร และกราบบังคมทูลขอพระราชวินิจฉัยว่าเป็นอย่างไรกันแน่ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินจึงทรงพระราชวินิจฉัย...พระราชวินิจฉัยนั้นก็ถือว่าเป็นกฎหมายเอาไว้ใช้เป็นหลักได้ต่อไป เรียกว่าพระราชบัญญัติ ส่วนพระราชกฤษฎีกานั้นมีบทลงโทษเช่นเดียวกับกฎหมาย แต่ถ้าจะว่าไปแล้วเป็นระเบียบภายในพระราชฐานหรือเท่าที่เกี่ยวกับพระองค์สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น มิได้ใช้บังคับในบ้านเมืองทั่วไปเหมือนกับกฎหมาย อีกอย่างหนึ่งคือพระราชกำหนด พระราชกำหนดนั้นแต่ก่อนมิได้เป็นกฎหมาย แต่เป็นคำสั่งหรือข้อบังคับซึ่งใช้กับข้าราชการที่รับราชการอยู่เท่านั้น จะได้ใช้บังคับแก่ราษฎรโดยทั่วไปก็หาไม่
ปรากฏในเสภาขุนช้างขุนแผนว่าพระราชกฤษฎีกาเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับเกี่ยวกับเรื่องส่วนพระองค์เท่านั้น ในตอนที่ขุนช้างจะเข้าไปถวายฎีกาฟ้องร้องพลายงามต่อสมเด็จพระพันวษา บังเอิญว่าทรงเสด็จประพาสทางเรือ ขุนช้างจึงไปรอถวายฎีกาอยู่ริมน้ำ พบเรือพระที่นั่งกลับมาพอดีก็โจนลงน้ำลอยคอชูหนังสือฎีกาเข้าไปถวาย ณ เรือพระที่นั่ง ทำเอาบรรดาฝีพายและผู้อยู่บนเรือตกในไปตาม ๆ กัน แต่การถวายฎีกานั้นมีธรรมเนียมว่าราษฎรมีสิทธิถวายที่ไหนก็ได้ และพระมหากษัตริย์ก็จะต้องทรงหยุดรับเสมอไป สมเด็จพระพันวษาจึงโปรดให้รับฎีกาของขุนช้างไว้ และทรงให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นใหม่ให้ชาวพนักงานคอยอารักขาพระองค์ให้จงดี อย่าให้ผู้ใดผลุบเข้ามาได้โดยง่ายเช่นครานี้ มิเช่นนั้นต้องระวางโทษถึงประหารชีวิต ดังเสภาว่า[14]
วันนั้นพอพระปิ่นนรินทร์ราช | เสด็จประพาสบัวยังหากลับไม่ |
ขุนช้างมาถึงซึ่งวังใน | ก็คอยจ้องที่ใต้ตำหนักน้ำ ฯ |
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงเดช | เสด็จคืนนิเวศน์พอจวบค่ำ |
ฝีพายรายเล่มมาเต็มลำ | เรือประจำแหนแห่เซ็งแซ่มา |
พอเรือพระที่นั่งประทับที่ | ขุนช้างก็รี่ลงตีนท่า |
ลอยคอชูหนังสือดื้อเข้ามา | ผุดโผล่ดงหน้ายึดแคมเรือ |
เข้าตรงโทนอ้นต้นกัญญา | เพื่อนโขกลงด้วยกะลาว่าผีเสื้อ |
มหาดเล็กอยู่งานพัดพลัดตกเรือ | ร้องว่าเสือตัวใหญ่ว่ายน้ำมา |
ขุนช้างดึงดื้อมือยึดเรือ | มิใช่กระหม่อมฉานล้านเกศา |
สู้ตายขอถวายซึ่งฎีกา | แค้นเหลือปัญญาจะทานทนฯ |
๏ ครานั้นสมเด็จพระพันวษา | ทรงพระโกรธาโกลาหล |
ทุดอ้ายชั่วมิใช่คน | บนบกบนฝั่งดังไม่มี |
ใช่ที่ใช่ทางวางเข้ามา | หรืออ้ายช้างเป็นบ้ากระมังนี่ |
เฮ้ยใครรับฟ้องของมันที | ตีเสียสามสิบจึงปล่อยไป |
มหาดเล็กก็รับเอาฟ้องมา | ตำรวจคว้าขุนช้างหาวางไม่ |
ลงพระราชอาญาตามว่าไว้ | พระจึงให้ตั้งกฤษฎีกา |
ว่าตั้งแต่วันนี้สืบต่อไป | หน้าที่ของผู้ใดให้รักษา |
ถ้าประมาทราชการไม่นำพา | ปล่อยให้ใครเข้ามาในล้อมวง |
ระวางโทษเบ็ดเสร็จเจ็ดสถาน | ถึงประหารชีวิตเป็นผุยผง |
ตามกฤษฎีการักษาพระองค์ | แล้วลงจากพระที่นั่งเข้าวังใน ฯ |
ระเบียบกฎหมายไทยเป็นดังนี้มาจนถึงช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยก็ได้ยึดแนวทางตรากฎหมายอย่างอังกฤษ กระนั้น คำเรียกกฎหมายก็เฝืออยู่ เช่น บางฉบับตราเป็นพระราชกำหนดแต่ให้ชื่อว่าพระราชบัญญัติก็มี ราชบัณฑิตยสถานสันนิษฐานว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะพระราชกำหนดและพระราชบัญญัติสมัยนั้นมีความหมายอย่างเดียวกัน[13] ครั้นต่อมาเมื่อมีรัฐธรรมนูญสำหรับปกครองแผ่นดินขึ้นแล้ว ก็มีการแบ่งแยกอำนาจเป็นฝ่าย ๆ ไป อำนาจในการออกกฎหมายจึงตกแก่ฝ่ายนิติบัญญัติ และกฎหมายก็เป็นระบบระเบียบดังกาลปัจจุบัน
วิวัฒนาการของกฎหมายสากล
ในการที่มนุษย์มาอยู่ร่วมกันจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม กฎเกณฑ์นี้เรียกว่า "กฎหมาย" ซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามวิวัฒนาการของแต่ละสังคม การพิจารณาถึงวิวัฒนาการของกฎหมายจึงจำต้องกระทำควบคู่ไปกับการพิจารณาถึงวิวัฒนาการของสังคม
ศาสตราจารย์ปรีดี เกษมทรัพย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สร้างทฤษฎีกฎหมายสามชั้น หรือกฎหมายสามยุค (อังกฤษ: Three-layered Law Theory) ขึ้นเพื่ออธิบายวิวัฒนาการของกฎหมาย กฎหมายสามชั้นก็คือชั้นของการกำเนิดขึ้นของกฎหมายตามลำดับ ซึ่งได้แก่[15] [16]
ยุคกฎหมายจารีตประเพณี
1. ยุคกฎหมายจารีตประเพณี หรือยุคกฎหมายชาวบ้าน (อังกฤษ: folk law) : ในบุรพกาลอันมนุษย์เริ่มมาสโมสรกันเป็นสังคมนั้น ได้เกิดกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมประพฤติการณ์ของสมาชิกในสังคมนั้นโดยปรากฏตัวอยู่ในรูป "จารีตประเพณี" (อังกฤษ: customary practice)
จารีตประเพณี คือ ประเพณีที่นิยมและประพฤติกันสืบมา ถ้าฝ่าฝืนถือว่าเป็นผิดเป็นชั่ว[1] บางทีก็เรียกว่า "กฎหมายที่ดีของบรรพบุรุษ" (อังกฤษ: The Good Old Law)[17] มีที่มาจากสามัญสำนึกและความสามารถในการจำแนกดีจำแนกชั่วของมนุษย์ จารีตประเพณีเช่นว่านี้เป็นสิ่งที่ใช้ความรู้สึกหรือเหตุผลธรรมดาสามัญสัมผัสก็เข้าใจเข้าถึงได้ เช่น บิดามารดามีหน้าอภิบาลบุตร บุตรมีหน้าที่อภิบาลบิดามารดาเมื่อยามท่านแก่เฒ่า การลักขโมยของผู้อื่นเป็นการกระทำที่มิชอบ เป็นต้น
กล่าวโดยสรุปคือ จารีตประเพณีนั้นมีองค์ประกอบอยู่สองประการ ดังนี้ 1) มีการกระทำทางกายภาพ กล่าวคือ มีการปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นระยะยาวนานพอสมควร และ 2) มีองค์ประกอบทางจิตใจ กล่าวคือ สมาชิกในสังคมนั้นเห็นพ้องกันว่าเป็นเสมือนกฎหมาย จำเป็นต้องปฏิบัติตาม[18]
ยุคกฎหมายของนักกฎหมาย
2. ยุคกฎหมายของนักกฎหมาย (อังกฤษ: jurist law) : ในยุคต่อ ๆ มา สังคมมีความเจริญขึ้น ขยายใหญ่ขึ้น และมีความซับซ้อนขึ้นตามลำดับ เมื่อผู้ใดมาละเมิดกฎหมายที่ปรากฏตัวอยู่ในรูปจารีตประเพณีดังกล่าวนั้น สมาชิกคนอื่น ๆ ของสังคมย่อมมองว่าเป็นผิดเป็นชั่ว ต้องพิจารณาโทษสำหรับผู้ละเมิดนั้นเพื่อมิให้เกิดการกระทำเช่นนั้นอีก ความรู้สึกร่วมเช่นนี้ค่อย ๆ พัฒนาเป็น "กระบวนการยุติธรรม" ขึ้น
กระบวนการยุติธรรมนั้นประกอบด้วยขั้นตอนสองขั้นตอน คือ 1) กระบวนพิจารณา (อังกฤษ: proceedings) เป็นขั้นพิจารณาและตัดสินชึ้ขาดว่าใครผิดใครถูก และ 2) การบังคับคดี (อังกฤษ: execution) เป็นขั้นดำเนินการตามคำตัดสินชี้ขาดนั้น เช่น การลงโทษคนผิด การชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นต้น เมื่อกระบวนการยุติธรรมนี้เกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอก็กลายเป็นการสถาปนา "อำนาจตุลาการ"
อำนาจตุลาการนั้น เมื่อมีการใช้บ่อยขึ้น ๆ ก็เป็นการสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อมาใช้แก่กรณีที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนขึ้นตามกาลสมัยและอันซึ่งจารีตประเพณีอย่างเดิมไม่อาจใช้ได้ กฎเกณฑ์ใหม่เช่นว่านี้เป็นการเสริมเติมจารีตประเพณีเดิมให้มีรายละเอียดเหมาะสมแก่กาลเวลาและกรณี เรียกว่า "กฎหมายนักกฎหมาย" ดูตัวอย่างกรณีทั้งสามต่อไปนี้
กรณีที่หนึ่ง - นาย ก ล่าสัตว์ได้ตัวหนึ่ง นาย ข เข้ามาแย่ง หากให้ตัดสินทุกคนก็ย่อมตอบได้ว่า นาย ข เป็นฝ่ายผิด โดยไม่จำเป็นต้องไปร่ำเรียนกฎหมายที่ได้ก็รู้ได้ตัดสินได้เช่นนั้นโดยใช้สามัญสำนึก การใช้เหตุผลเช่นนี้เรียก "การใช้เหตุผลแบบธรรมดาสามัญ" (อังกฤษ: simple natural reasoning)
กรณีที่สอง - นาย ก พยายามฆ่าสัตว์ตัวหนึ่งแต่ไม่ตาย สัตว์นั้นกระหืดกระหอบหนีเข้าไปตายหลังบ้านนาย ข นาย ก ตามไปได้ ใครจะมีสิทธิเป็นเจ้าของสัตว์นั้น กรณีเช่นนี้หากใช้เหตุผลที่ลึกล้ำขึ้นอีกระดับหนึ่งแยกแยะรายละเอียดของข้อเท็จจริง ก็จะพบว่านาย ก ควรได้สัตว์นั้น เพราะเป็นฝ่ายลงทุนลงแรงฆ่าและติดตามไปตัว แต่นาย ข อยู่เฉย ๆ มิได้กระทำอันใด ควรหรือจะได้สัตว์นั้น
กรณีที่สาม - นาย ก ยิงสัตว์ตัวหนึ่งแต่เฉียดไป สัตว์นั้นวิ่งหนีไปได้เข้าไปในหลังบ้านนาย ข นาย ข ยิงสัตว์นั้นตายลง นาย ก ติดตามไปได้พบและว่าสัตว์นั้นควรเป็นของตน กรณีเช่นนี้ใครควรจะได้สัตว์นั้น หากผู้ตัดสินมิได้แยกแยะโดยละเอียดตามข้อเท็จจริงก็อาจตัดสินไปตามกรณีที่สอง แต่หากวิเคราะห์แล้ว นาย ก มิได้ทำให้สัตว์นั้นสูญเสียความสามารถที่จะหนี สัตว์นั้นจึงมีอิสรภาพอยู่ เมื่อนาย ข ยิงสัตว์ที่มีอิสรภาพคือมิได้เป็นสมบัติของผู้ใดได้ ก็ควรจะได้สัตว์นั้นไป
สามกรณีนี้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นตามข้อเท็จจริง ซึ่งในกรณีหลัง ๆ ไม่อาจใช้เหตุผลธรรมดาสามัญมาจัดการได้นัก จึงจำต้องใช้เหตุผลที่เกิดจากความคิดแยกแยะเปรียบเทียบตามแต่กรณี เรียกว่า "การใช้เหตุผลทางกฎหมาย" (อังกฤษ: juristic reasoning) ซึ่งต่อมาการใช้เหตุผลเช่นนี้ก็ได้มีการเปิดสอนฝึกฝนและกลายมาเป็นวิชานิติศาสตร์
ยุคกฎหมายบัญญัติ
3. ยุคกฎหมายบัญญัติ ยุคกฎหมายนิติบัญญัติ หรือยุคกฎหมายเทคนิค (อังกฤษ: technical law) : ยุคถัดมา สังคมมีความเจริญรุดหน้าและเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น การดำรงชีวิตมีความสลับซับซ้อนตามไปด้วย จำเป็นต้องมีการแก้ไขปัญหาอย่างปัจจุบันหรือเฉพาะหน้า หรือเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะบางประการ ซึ่งบางทีจารีตประเพณีหรือกฎหมายอย่างเดิมก็มีข้อจำกัดไม่อาจสนองความต้องการนั้นได้ และบางทีก็เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับจารีตประเพณีเอาเสียเลย เช่น เรื่องการตัดไม้ มีกำหนดว่าไม้บางประเภทห้ามตัด ไม้บางประเภทจะตัดหรือเคลื่อนย้ายต้องได้รับอนุญาตก่อน ปัญหามีอยู่ว่าทำไมต้องห้ามเช่นนั้น ในเมื่อโบราณก็ตัดก็ทำกัน และการตัดไม้มิใช่เรื่องผิดศีลธรรมอันใดเลย แต่เป็นความจำเป็นในปัจจุบันที่ต้องควบคุมและรักษาสมดุลทางธรรมชาติ จึงกำหนดเช่นนั้น เป็นต้น
กฎหมายสมัยใหม่เช่นว่านี้มักมีองค์กรประจำทำหน้าที่กลั่นกรองและประกาศใช้ เรียกว่า "ฝ่ายนิติบัญญัติ" ซึ่งมีกำเนิดแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18
รองศาสตราจารย์สมยศ เชื้อไทย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นว่า[19]
...กฎหมายเทคนิคไม่มีขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรมคอยหนุนหลัง ถ้าใครผิดก็ไม่รู้สึกว่าคนนั้นทำชั่วหรือทำผิดศีลธรรม เพราะฉะนั้นกฎหมายเทคนิคจึงไม่มีลักษณะบังคับตามธรรมชาติ (spontaneous sanction)...เช่น จอดรถในที่ห้ามจอด คนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกว่าชั่ว...
แนวคิดแม่บทเกี่ยวกับกฎหมาย
กฎหมายมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของบุคคลเป็นอย่างยิ่ง กฎหมายจึงเป็นสิ่งที่คนทั่วไปควรรู้ อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีกฎหมายบังคับให้ทุกคนต้องรู้กฎหมาย แต่ก็มีหลักกฎหมายอยู่ว่า "ความไม่รู้กฎหมายไม่เป็นข้อแก้ตัว" (ละติน: ignorantia juris non excusat หรือ ignoraritia legis non excusat) เพราะหากมีคนกล่าวดังนั้นได้ การบังคับใช้กฎหมายก็มิได้ผล
แม้กฎหมายจะเป็นสิ่งที่ทุกคนควรรู้ แต่นิยามของกฎหมายนั้นก็มีมากมายเหลือเกินและได้รับการถกเถียงมานานแต่โบราณกาลจวบปัจจุบันก็ยังหาที่ยุติมิได้ ก็นิยามของกฎหมายนั้นย่อมแตกต่างไปตามแต่ผู้ให้นิยาม อย่างไรก็ดี มีสำนักทางวิชากฎหมายอยู่สามฝ่ายซึ่งให้นิยามไว้ ดังต่อไปนี้
สำนักกฎหมายธรรมชาติ
สำนักกฎหมายธรรมชาติ (อังกฤษ: the Natural Law Thoery) เกิดขึ้นในสมัยกรีก โดยเป็นผลพลอยได้จากแนวคิดเรื่องสิทธิโดยธรรมชาติ สำนักนี้เห็นว่ากฎหมายคือ "...พลังแห่งธรรมชาติ เป็นจิตใจและเหตุผลของผู้ทรงภูมิปัญญา เป็นมาตรฐานชั่งน้ำหนักความยุติธรรมและอยุติธรรม กฎหมายมิใช่สิ่งอื่นใดนอกจากการสร้างสรรค์ความมีเหตุผลอันเป็นหนึ่งของกฎอันนิรันดร กฎหมายธรรมชาติเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นโดยเหตุผลและเป็นงานของเหตุผล"[20] [21] [22]
สำนักนี้เชื่อว่า กฎหมายนั้นมนุษย์มิได้สร้างขึ้นมา แต่เกิดขึ้นจากธรรมชาติโดยตรงเสมอกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอื่น ๆ หรือเกิดจากพระเจ้าสถาปนาขึ้น หรือเกิดจากความรู้สึกของมนุษย์ที่สามารถแยกผิดชอบชั่วดีได้ กับทั้งเห็นว่ากฎหมายมีลักษณะพิเศษคือใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาไม่มีวันพ้นสมัย และอยู่เหนือรัฐอีกด้วย
แนวคิดของสำนักนี้มีอิทธิพลต่อประเทศฝรั่งเศสและประเทศอื่น ๆ ในโลกตะวันตกมาก เห็นได้จากคำประกาศอิสรภาพจากอังกฤษของอเมริกาใน พ.ศ. 2319 ซึ่งมีความว่า "เมื่อปรากฏว่ามีความจำเป็นที่ประชาชาติหนึ่งจำต้องเลิกล้มความสัมพันธ์ทางการเมืองที่เคยมีกับประชาชนอีกชาติหนึ่ง เพื่อที่จะแยกทางเดินเป็นอิสระเท่าเทียมกับชาติทั้งหลายในโลกตามสิทธิในกฎหมายธรรมชาติและกฎของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น จึงจำต้องประกาศสาเหตุซึ่งทำให้ตัดสินใจประกาศเอกราช เพื่อให้มนุษยชาติทั้งหลายได้รับรู้ไว้" [23]
แนวคิดของสำนักนี้เสื่อมลงเพราะทนทานต่อการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และแนวคิดทฤษฎีใหม่ ๆ ที่มีเหตุผลกว่าแนวคิดอันอิงเทวนิยมไม่ไหว ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังคงตกค้างและมีอิทธิพลเหนือจิตใจนักกฎหมายในด้านอุดมคติและคุณธรรมอยู่มาก[24]
สำนักกฎหมายบ้านเมือง
เพื่อให้เข้าใจแนวคิดของสำนักนี้ยิ่งขึ้น โปรดทำความเข้าใจแนวคิดในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการด้วย
สำนักกฎหมายบ้านเมือง (อังกฤษ: the Positive Law Theory) เกิดขึ้นในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ โดยมีแนวคิดขัดแย้งกับสำนักกฎหมายธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง สำนักนี้เห็นว่ากฎหมายคือระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับความประพฤติที่ประชาชนต้องปฏิบัติตาม มีตัวตนอยู่จริง และเป็นที่ยอมรับในสังคม ไม่ใช่แค่สิ่งที่ควรมีหรือเป็นนามธรรมตามที่สำนักกฎหมายธรรมชาตินำเสนอ
ศาสตราจารย์เฮอร์เบิร์ต ลีโอเนล อาดอลฟัส ฮาร์ต (Herbert Lionel Adolphus Hart) ปรัชญาเมธีทางนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า สำนักนี้เห็นว่า กฎหมายมีลักษณะเป็นคำสั่งของมนุษย์ การวิเคราะห์แนวคิดทางกฎหมายเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ควรแยกออกจากการสืบค้นหรือตรวจสอบทางประวัติศาสตร์และสังคมวิทยาโดยสิ้นเชิง ตลอดจนต้องไม่เป็นการประเมินคุณค่าเชิงวิพากษ์วิจารณ์ด้วย[25]
ปรัชญาเมธีคนสำคัญของสำนักนี้ คือ จอห์น ออสติน (John Austin) ซึ่งว่า กฎหมายคือคำสั่งคำบัญชาของรัฏฐาธิปัตย์ในการกำหนดมาตรฐานความประพฤติของผู้อยู่ใต้บังคับ ผู้ฝ่าฝืนย่อมมีโทษ[26]
สำนักกฎหมายบ้านเมืองนี้มีอิทธิพลต่อแนวคิดทางกฎหมายในประเทศไทยอยู่ช่วงหนึ่งด้วย เนื่องจากนักกฎหมายไทยในอดีตเคยเอาแนวคิดของสำนักนี้มาเผยแพร่และยึดถือกันอยู่พักใหญ่ เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งว่า[27]
เราจะต้องระวัง อย่าคิดเอากฎหมายไปปนกับความดีความชั่วฤๅความยุติธรรม กฎหมายเป็นคำสั่งแบบที่เราจะต้องปฏิบัติตาม แต่กฎหมายนั้นบางทีก็จะชั่วได้ฤๅไม่เป็นยุติธรรม อะไรไม่ยุติธรรมมีบ่อเกิดหลายแห่ง เช่น ตามศาสนาต่าง ๆ แต่กฎหมายนั้นเกิดขึ้นได้แห่งเดียวคือจากผูเปกครองแผ่นดินฤๅที่ผู้ปกครองแผ่นดินอนุญาตเท่านั้น
สำนักกฎหมายประวัติศาสตร์
สำนักกฎหมายประวัติศาสตร์ (อังกฤษ: the Historical School of Law) เห็นว่า "...กฎหมายโดยแท้จริงหาใช่เป็นเพียงแค่อะไรสักอย่างที่ผู้มีอำนาจตรากฎหมายสามารถเขียนขึ้นได้ตามใจปรารถนาโดยพลการ ทว่ากฎหมายเป็นผลผลิตของพลังภายในสังคมที่ทำงานของมันเองอย่างเงียบ ๆ และมีรากเหง้าที่หยั่งลึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของประชาชาติ โดยมีกำเนิดและเติบโตเรื่อยมาจากประสบการณ์และหลักความประพฤติทั่วไปของประชาชนซึ่งปรากฏอยู่ในรูปประเพณีหรือ 'จิตสำนึกร่วมกันของประชาชน' (common consciousness of the people) และเหนือสิ่งอื่นใด ตัวกำหนดธรรมชาติของกฎหมายคือลักษณะเฉพาะของชาติหนึ่ง ๆ ที่จัดเป็นเสมือน 'จิตวิญญาณของประชาชน' (the spirit of the people) ในชาตินั้น ๆ...มองจากแง่นี้ กฎหมายจึงเปรียบได้กับภาษาซึ่งมีกำเนิดและวิวัฒนาการเป็นการเฉพาะในแต่ละชาติแต่ละเผ่าพันธุ์"[28]
หลักการสำคัญของสำนักนี้ว่า กฎหมายเป็นสิ่งที่ถูกค้นพบ มิใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ดังนั้น การนิติบัญญัติโดยเจตจำนงของมนุษย์จึงมีความสำคัญน้อยว่าของธรรมชาติและจารีตประเพณี และนักกฎหมายนั้นสำคัญกว่านักนิติบัญญัติ เนื่องจากเป็นผู้มาก่อนและมีวิวัฒนาการเคียงคู่กับประชาชนมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ กฎหมายมิใช่สิ่งสมบูรณ์พร้อมสรรพ ไม่อาจนำมาปรับใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาสำหรับกรณีอย่างเดียวกัน สรุปได้ว่า สำนักนี้มีความเห็นเป็นการประสมประสานระหว่างสองสำนักข้างต้น โดยเน้นว่ากฎหมายเกิดจากพัฒนาการด้านประวัติศาสตร์ของแต่ละชนชาติ ไม่เชื่อว่ากฎหมายสามารถค้นแล้วพบได้เลยในกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ[29]
ที่มาของกฎหมาย
ที่มาของกฎหมาย หรือบ่อเกิดของกฎหมาย (อังกฤษ: source of law) หมายถึง สภาพที่กฎหมายปรากฏตัว สำหรับประเทศไทยนั้น เมื่อพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันเป็นกฎหมายพื้นฐาน และพิจารณาตามกฎหมายอื่น ๆ โดยภาพรวมแล้ว จะพบว่ากฎหมายไทยปรากฏตัวอยู่ในสามรูป คือ รูปกฎหมายลายลักษณ์อักษร รูปจารีตประเพณี และรูปหลักกฎหมายทั่วไป[30]
กฎหมายลายลักษณ์อักษร
โปรดดูหัวเรื่อง ศักดิ์ของกฎหมาย
กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรของไทยสามารถจำแนกตามรูปแบบและองค์กรที่ตราขึ้นได้ตามลำดับดังนี้ 1) รัฐธรรมนูญ 2) กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 3) พระราชบัญญัติ 4) พระราชกำหนด 5) พระราชกฤษฎีกา 6) กฎกระทรวง และ 7) กฎหมายที่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นตราขึ้น
จารีตประเพณี
โปรดดูหัวเรื่อง ภูมิหลังของกฎหมาย / ปทัสถานทางสังคม / จารีตประเพณี
จารีตประพณี ตามประวัติศาสตร์นั้นได้รับการใช้บังคับเสมอเป็นกฎหมายมาแต่บุรพกาลก่อนที่สังคมจะรวมเป็นรัฐและมีระบบอักษรใช้ ปัจจุบันบางประเทศมีการบันทึกจารีตประเพณีเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อประโยชน์ในการสืบทอดและขจัดข้อสงสัยด้วย[31]
ความสำคัญของจารีตประเพณีอยู่ที่ ถึงแม้จะมีความพยายามในการเขียนกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรให้มีความกว้างขวางเพียงไร แต่ก็ไม่อาจครอบคลุมกรณีทั้งปวงได้ จึงต้องอาศัยจารีตประเพณีมาประกอบให้สมบูรณ์เสมอ เช่น ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พุทธศักราช 2550) ว่า "ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
ศาสตราจารย์หยุด แสงอุทัย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า "สำหรับประเทศไทยแล้ว เห็นว่า เมื่อประเทศไทยรับเอาระบบประมวลกฎหมาย (code law) มาใช้ ก็น่าที่จะยอมรับแนวคิดที่ว่าจารีตประเพณีเป็นที่มาของกฎหมายในตัวเอง ซึ่งหมายความว่า เมื่อจารีตประเพณีเป็นที่มาของกฎหมายในตัวมันเอง จารีตประเพณีก็ใช้บังคับกับสังคมได้โดยตรงโดยไม่ต้องมีการออกกฎหมายมารองรับ"[32]
จารีตประเพณีจะใช้ได้ในเมื่อไม่อาจหากฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรมาใช้แก่กรณีนั้น ๆ แล้ว ฉะนั้น ในกรณีที่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรระบุไว้โดยชัดแจ้งแล้วจะไม่ใช้จารีตประเพณีเป็นอันขาด ทั้งนี้ จารีตประเพณีที่ใช้ได้เพื่อการอุดช่องว่างทางกฎหมายเช่นว่าต้องมีลักษณะเป็นจารีตประเพณีที่ได้รับการปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนานและสม่ำเสมอจนกลายเป็นธรรมเนียม กับทั้งต้องมีสภาพที่สังคมเห็นว่าเป็นสิ่งถูกต้อง สมควรปฏิบัติตาม เป็นต้น นอกจากนี้ จารีตประเพณีที่จะมาใช้จะมีลักษณะดังต่อไปนี้มิได้เลย คือ 1) มาสร้างความผิดทางอาณาขึ้นใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามหลักที่ว่า "ไม่มีความผิดถ้าไม่มีกฎหมายกำหนด" และ "ไม่มีโทษถ้าไม่มีกฎหมายกำหนด" และ 2) มากำหนดหน้าที่ของบุคคลเพิ่มจากที่กฎหมายลายลักษณ์อักษรกำหนดไว้แล้วไม่ได้ เช่น จะมีจารีตประเพณีให้เสียภาษีมรดกทั้ง ๆ ที่กฎหมายไม่ได้บังคับให้เสียไม่ได้[33]
หลักกฎหมายทั่วไป
หลักกฎหมายทั่วไป ได้แก่ หลักกฎหมายที่ผู้พิพากษาค้นคว้าหามาจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อใช้ในกรณีที่ไม่มีทั้งกฎหมายลายลักษณ์อักษร จารีตประเพณี และบทกฎหมายอันใกล้เคียงที่สุดใช้แล้ว ซึ่งผู้พิพากษาจะอาศัยสิ่งใดเป็นเครื่องค้นหาหลักกฎหมายทั่วไปนั้น นักนิติศาสตร์ให้ความเห็นว่า[34]
1. สุภาษิตกฎหมาย คือ คำกล่าวที่ปลูกถ่ายความคิดทางกฎหมาย และยังเป็นบทย่อของหลักกฎหมายต่าง ๆ ด้วย[35] เช่น
"กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา" : มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1531/2512[36] พนักงานอัยการจังหวัดอุบลราชธานีเป็นโจทก์ นายสุดใจ หลักคำเป็นจำเลย ความว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจใช้ขวานคมกว้างสองนิ้วครึ่ง ยาวสามนิ้วครึ่ง ทั้งตัวและด้ามขวานยาวสิบเจ็ดนิ้ว ฟันต้นคอร้อยตรีประพันธ์ ศิวิไล โดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ไม่บรรลุผลโดยกระดูกต้นคอแตก ได้รับการรักษาพยาบาลทันท่วงทีจึงไม่ตาย ขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ขวานของกลางเป็นขวานขนาดเล็ก จำเลยฟันครั้งเดียว ไม่ฟันซ้ำ การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส ศาลฎีกาว่า ขวานขนาดนั้นถือเป็นขวานขนาดใหญ่อยู่มิใช่น้อย หมายฟันที่คอซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญโดยแรง เป็นบาดแผลฉกรรจ์ ถ้าไม่รีบรักษาทันท่วงทีก็อาจถึงแก่ความตาย โดยที่หมายฟันที่คอซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญโดยแรงเป็นบาดแผลฉกรรจ์ ถ้าไม่รีบรักษาทันท่วงทีก็อาจถึงแก่ความตายได้นั้น กรรมย่อมเป็นเครื่องชี้เจตนา การกระทำของจำเลยชี้ว่าจำเลยมีเจตนาหมายเอาให้ตาย แต่พอดีผู้เสียหายไม่ตาย จำเลยจึงผิดฐานพยามยามฆ่า มิใช่ทำร้ายร่างกาย
"ความยินยอมไม่ทำให้เป็นการละเมิด" : มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 673/2510[36] นายน่วม เหตุทองเป็นโจทก์ นายน่วม เหตุทองเป็นจำเลย ความว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดฟันทำร้ายโจทก์ จนโจทก์ได้รับอันตรายสาหัส ทุกขเวทนาและประกอบกรณียกิจตามปกติเกินกว่ายี่สิบวัน กับทั้งแขนอาจพิการตลอดชีวิต จำเลยว่า โจทก์เสพสุรามึนเมาแล้วอวดอ้างว่าเป็นผู้อยู่คงกระพันฟันไม่เข้า ขอให้จำเลยลองฟัน จำเลยไม่ควรต้องรับผิด ศาลมณฑลทหารบกที่ 5 พิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกาย ศาลฎีกาว่า การที่โจทก์ท้าให้จำเลยฟันเช่นนั้นเป็นการที่โจทก์ได้ยอมหรือสมัครใจให้จำเลยทำต่อร่างกายตน และเป็นการยอมรับผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ตนเองแล้ว ตามกฎหมายจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย กลับคำพิพากษา(พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 9 "ความตกลงหรือความยินยอมของผู้เสียหายสำหรับการกระทำที่ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จะนำมาอ้างเป็นเหตุยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดเพื่อละเมิดมิได้") จึงถือได้ว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 673/2510 (ป.) ไม่อาจใช้เป็นบรรทัดฐานได้อีกต่อไป
"ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนให้" : มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 844/2511[36] ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลโรงงานน้ำตาลเจริญผลโดยนายศักดิ์ชัย แซ่ตั้ง หุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นโจทก์ กับนายไพศาล ชนะศรีวนิชชัย และนายดำรง ชนะศรีวนิชชัย เป็นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ความว่า การซื้อทรัพย์จากผู้ที่มิใช่เจ้าของทรัพย์ย่อมมิได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้น เพระผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
2. การพิเคราะห์โครงสร้างกฎหมาย วิธีนี้เห็นกันว่าดีกว่าวิธีก่อน เนื่องเพราะมีความแน่นอนกว่าการค้นหาหลักกฎหมายทั่วไปโดยใช้สุภาษิตเป็นเครื่องมือ เพราะบางครั้งสุภาษิตก็ใช้แก่บางประเทศหรือบางท้องที่มิได้
มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 999/2496[36] บริษัทยางจินฮง จำกัดเป็นโจทก์ และบริษัทซินฮั้วประกันภัย จำกัดเป็นจำเลย ความว่า โจทก์ฟ้องว่า ได้ประกันภัยปูนซิเมนต์ของบริษัทบรรทุกในเรือยนต์ชื่อ "ตรังกานู" จากจังหวัดพระนครไปยังจังหวัดสงขลา บัดนี้ เรือยนต์ตรังกานูอับปางลงในอ่าวไทยเพราะแนวเรือแตก หมันของเรือหลุดทำให้ไม้คิ้วเรือแยกออกจากทวนหัวเรือ ซึ่งนายช่างตรวจเรือว่าอาจมีสาเหตุจากการวิ่งฝ่าฟันคลื่นหรือไปกระแทกของแข็งเข้าก็เป็นได้ ยังผลให้ปูนซิเมนต์ดังประกันภัยไว้เสียหายไปด้วย แต่จำเลยกลับบิดพลิ้วไม่ใช้ค่าเสียหายตามจำนวนในกรมธรรม์ จึงขอให้ศาลบังคับ จำเลยแย้งว่า คำว่า "อันตรายทางทะเล" ตามกรมธรรม์นั้นหมายแต่ว่าเป็นอันตรายซึ่งเกิดจากคลื่นลมพายุที่มีมาอย่างหนักผิดปกติเป็นต้น ศาลฎีกาว่า กฎหมายทะเลของไทยในขณะนี้ยังไม่มี ทั้งจารีตประเพณีก็ไม่ปรากฏ เมื่อเกิดมีคดีขึ้นจึงควรเทียบวินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป และเมื่อกรมธรรม์นี้ทำขึ้นเป็นภาษาอังกฤษจึงควรถือกฎหมายว่าด้วยการประกันภัยทางทะเลของประเทศอังกฤษเป็นกฎหมายทั่วไปเพื่อเทียบเคียงวินิจฉัย ตามกฎหมายนั้น คำว่า "อันตรายทางทะเล" หรือ "ภยันตรายแห่งทะเล" ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า "peril of the sea" ย่อมหมายถึงภยันตรายใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเป็นวิสัยที่ท้องทะเลจะบันดาลได้ หาจำต้องคำนึงถึงว่าขณะนั้นทะเลเรียบร้อยอยู่หรือทะเลเป็นบ้าคลั่งอย่างใดไม่ พิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์
ลักษณะสำคัญของกฎหมาย
กฎหมายปัจจุบันจำต้องมีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้จึงจะชื่อว่าเป็น "กฎหมาย"[37]
1. กฎหมายมีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์ กล่าวคือ ต้องเป็นข้อบังคับที่เป็นมาตรฐาน ใช้วัดและกำหนดความประพฤติของสมาชิกในสังคมได้ว่าถูกหรือผิด ทำได้หรือไม่ได้เป็นต้น เช่น ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้ประชาชนสวมใส่ชุดดำเนื่องในการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ไม่เป็นกฎหมาย เพราะไม่ใช่ข้อกำหนดที่บ่งบอกว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก ไม่อาจวัดเป็นมาตรฐานได้ว่าการแต่งชุดดำเช่นนั้นแล้วเป็นการถูกกฎหมาย การไม่แต่งผิดกฎหมาย และที่สำคัญ ประกาศนั้นเป็นแต่การเชิญชวน มิได้เป็นการบังคับ เป็นต้น
2. กฎหมายกำหนดความประพฤติของบุคคล กล่าวคือ กฎหมายควบคุมแต่ความประพฤติของบุคคลเท่านั้น มิได้ก้าวล่วงเข้าไปถึงจิตใจ จึงอาจกล่าวได้ว่าศาสนา ศีลธรรม และจารีตประเพณีควบคุมมนุษย์ได้ลึกซึ้งยิ่งกว่ากฎหมาย และกฎหมายนั้นหยาบกว่าสิ่งเช่นว่า ทั้งนี้ ความประพฤติที่จะถูกควบคุมมีองค์ประกอบ ได้แก่ 1) มีการเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวร่างกาย และ 2) การเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวเช่นนั้นอยู่ภายในความควบคุมของจิตใจ กล่าวอีกชั้นคือ บุคคลรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่
3. กฎหมายมีสภาพบังคับ สภาพบังคับ (อังกฤษ: sanction) ของกฎหมายนั้นมีทั้งที่เป็นผลร้าย เช่น โทษทางอาญา และผลดี เช่น การลดภาษีเงินได้
สำหรับสภาพบังคับที่เป็นผลดีนั้น ในความจริงแล้วมนุษย์มิใช่จะปฏิบัติตามกฎหมายเพราะเกรงจะได้รับผลร้ายเท่านั้น แต่อาจเพราะมีแรงจูงใจด้วย เช่น บทบัญญัติในมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 ว่า "ผู้ได้รับการส่งเสริมจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรที่ได้จากการประกอบกิจการ..."[38] เป็นต้น
4. กฎหมายมีกระบวนการอันเป็นกิจจะลักษณะ ในอดีต สำหรับการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายบางทีก็ใช้ระบบตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่สังคมสมัยใหม่ซึ่งมีการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ กล่าวคือ รัฐออกกฎหมายและรัฐเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย รัฐสมัยใหม่จะไม่ยอมให้มีการบังคับใช้กฎหมายโดยประชาชนเลย เพราะจะทำให้คนที่แข็งแรงกว่ากระทำเกินเลยต่อคนที่อ่อนแอกว่าได้ กับทั้งจะเกิดความวุ่นวายประการอื่น ๆ
กระบวนการบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้ รัฐกระทำผ่านองค์กรต่าง ๆ เช่น ตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ ฯลฯ
อย่างไรก็ดี มีการเว้นให้ประชาชนบังคับใช้กฎหมายได้เองเป็นกรณีพิเศษ คือ 1) กรณีเพื่อการป้องกันตามกฎหมายอาญา เช่น การป้องกันตนเองจากภัยที่ใกล้จะถึง และการป้องกันนั้นไม่เกินกว่าเหตุ เป็นต้น และ 2) กรณีที่ได้รับนิรโทษกรรมตามกฎหมายแพ่ง เช่น กรณีเพื่อป้องกันสิทธิของตนเอง หากไปแจ้งทางราชการจะไม่ทันท่วงที กรณีเช่นนี้บุคคลไม่ต้องใช้สินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นต้น
ระบบกฎหมาย
กฎหมายที่ใช้กันในโลกแบ่งออกได้เป็นสองระบบใหญ่ คือ ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (common law system) และระบบประมวลกฎหมาย (civil law system) ซึ่งทั้งสองระบบนี้ ต่างก็มีกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่คนโดยทั่วไปมักจดจำว่าระบบกฎหมาย common law ไม่ใช่กฎหมายลายลักษณ์อักษร ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน อย่างไรก็ดีการแบ่งระบบกฎหมายโดยทั่วไปที่ได้รับการยอมรับกันในเชิงกฎหมายเปรียบเทียบแบ่งออกเป็น 4 ระบบ ดังนี้
- ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (Common Law System)
เป็นระบบที่ใช้กันในเครือจักรภพอังกฤษและในสหรัฐอเมริกา โดยจะใช้คำพิพากษาที่ศาลเคยวางหลักไว้แล้วเป็นหลักในการพิจารณา ระบบนี้มีกฎหมายที่บัญญัติโดยรัฐสภาเช่นเดียวกับประเทศที่ใช้ระบบประมวลกฎหมาย แต่ระบบกฎหมายทั่วไปนี้ จะให้อำนาจผู้พิพากษาในการตีความกฎหมายอย่างมาก จึงลดทอนความสำคัญของกฎหมายของรัฐสภาลง และจะตีความในลักษณะจำกัดเท่าที่ลายลักษณ์อักษรไว้บัญญัติเท่านั้น ตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบนี้ในปัจจุบันนั้น ได้แก่ เครือจักรภพอังกฤษ, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, อินเดีย เป็นต้น
- ระบบประมวลกฎหมาย (Civil Law System)
เป็นระบบที่ใช้กันในภาคพื้นทวีปยุโรป โดยมีหลักกฎหมายซึ่งสืบทอดมาจากหลักกฎหมายโรมัน ในการเรียนการสอนกฎหมายของบางประเทศ เช่น เยอรมัน จะต้องเรียนรู้ภาษาลาตินก่อนจึงจะสามารถเรียนกฎหมายได้ ประมวลกฎหมายสำคัญซึ่งเป็นที่ยอมรับกันและเป็นตัวอย่างให้กับนานาประเทศ ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศส ระบบกฎหมายนี้ ผู้พิพากษาสามารถตีความกฎหมายลายลักษณ์อักษรในลักษณะขยายความได้ โดยมีหลักว่า ผู้พิพากษาจะต้องค้นหากฎหมายที่จะนำมาตัดสินคดีความจากกฎหมายลายลักษณ์อักษรก่อน หากไม่ได้จึงจะใช้หลักกฎหมายทั่วไป และกฎหมายจารีตประเพณี ตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบนี้ในปัจจุบันนั้น ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น ประเทศสแกนดิเนเวีย รวมทั้งประเทศไทย เป็นต้น
- ระบบกฎหมายศาสนา (Religious Law System)
หมายถึงระบบกฎหมายที่พึ่งพิงกับระบบทางศาสนาหรือใช้คัมภีร์ทางศาสนาเป็นกฎหมาย ซึ่งมักจะมีวิธีการใช้กฎหมายที่แตกต่างกันออกไป อาทิ การใช้ฮาลัคกาห์ของยิวในกฎหมายมหาชน ถือเป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นได้ lขณะที่การใช้กฎหมายอิสลามขี่นอยู่กับบรรทัดฐานการใช้กฎหมายที่มีมาก่อนและการตีความด้วยการเทียบเคียงเป็นต้น ตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบนี้ในปัจจุบันนั้น ได้แก่ อัฟกานิสถาน ลิเบีย อิหร่าน เป็นต้น
- ระบบกฎหมายผสมผสาน (Pluralistic Systems)
หมายถึงระบบที่ใช้การผสมผสานจากสามระบบข้างต้น ซึ่งมักเกิดจากอิทธิพลทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างระบบกฎหมายขึ้น เช่น มาเลเชียใช้ระบบกฎหมายทั่วไปเป็นหลักผสมผสานกับระบบกฎหมายศาสนา อิยิปต์ใช้ระบบกฎหมายศาสนาเป็นหลักผสมผสานกับระบบประมวลกฎหมาย เป็นต้น
ศักดิ์ของกฎหมาย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ลำดับศักดิ์ของกฎหมาย
กฎหมายไทย |
---|
รัฐธรรมนูญ |
กฎมณเฑียรบาล |
พระราชบัญญัติ |
พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญ |
พระราชกำหนด |
ประมวลกฎหมาย |
พระราชกฤษฎีกา |
กฎกระทรวง |
บริหารบัญญัติ |
องค์การบัญญัติ |
ศักดิ์ของกฎหมาย (อังกฤษ: hierachy of law) คือ ลำดับความสูงต่ำของกฎหมาย[39]
การจัดศักดิ์ของกฎหมายมีความสำคัญต่อกระบวนวิธีการต่าง ๆ ทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ การตีความ และการยกเลิกกฎหมาย เช่น หากกฎหมายฉบับใดมีลำดับชั้นของกฎหมายสูงกว่า กฎหมายฉบับอื่นที่อยู่ในลำดับต่ำกว่าจะมีเนื้อหาขัดหรือแย้งกับกฎหมายสูงกว่านั้นมิได้ และอาจถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
เกณฑ์ในการกำหนดศักดิ์ของกฎหมาย
เกณฑ์ในการกำหนดศักดิ์ของกฎหมายได้แก่ การพิจารณาจากผู้ตรากฎหมายฉบับนั้น ๆ ซึ่งย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ
สำหรับประเทศไทยนั้น รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยผู้แทนของปวงชนคือรัฐสภา เป็นการที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาร่วมกันใช้อำนาจสูงสุดแห่งรัฐในการออกกฎหมาย จึงให้มีศักดิ์สูงสุด ส่วนที่มีศักดิ์รองลงมาได้แก่ พระราชบัญญัติ และพระราชกำหนด ซึ่งได้รับการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรก่อนแล้วจึงผ่านไปยังวุฒิสภา เป็นการแยกกันใช้อำนาจ
ลำดับศักดิ์ของกฎหมาย
ว่ากันแต่ประเทศไทยในปัจจุบัน มีทั้งกฎหมายลายลักษณ์อักษร กฎหมายจารีตประเพณี และหลักกฎหมายทั่วไป แต่เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่ากฎหมายส่วนใหญ่ของไทยอยู่ในรูปลายลักษณ์อักษรมากที่สุด[40]
กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดรูปแบบการปกครองและระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดจนรับรองและส่งเสริมสิทธิต่าง ๆ ของประชาชนทั้งประเทศ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยยังเป็นกฎหมายแม่บทของกฎหมายอื่นทุกฉบับ กฎหมายอื่นจึงจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมิได้ มิเช่นนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้เลย
มักมีผู้เรียก "รัฐธรรมนูญ" ว่า "กฎหมายรัฐธรรมนูญ" พึงทราบว่า "กฎหมายรัฐธรรมูญ" (อังกฤษ: constitutional law) นั้นเป็นคำเรียกสาขาวิชาทางนิติศาสตร์และเรียกกฎหมายมหาชนแขนงหนึ่งซึ่งว่าด้วยการวางระเบียบการปกครองรัฐในทางการเมือง ส่วน "รัฐธรรมนูญ" (อังกฤษ: Constitution) นั้นคือกฎหมายจริง ๆ ฉบับหนึ่งซึ่งจัดระเบียบการปกครองรัฐในทางการเมือง[1] [41]
กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ กฎหมายชนิดนี้อยู่ในรูปของพระราชบัญญัติในประเทศไทย และมีศักดิ์เดียวกันกับพระราชบัญญัติ[42] แต่มีวิธีการตราที่พิสดารกว่าพระราชบัญญัติเนื่องเพราะเป็นกฎหมายที่อธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ของรัฐธรรมนูญ
พระราชบัญญัติ และประมวลกฎหมาย เป็นกฎหมายชั้นรองลงมาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นกฎหมายที่ถือได้ว่าคลอดออกมาจากท้องของรัฐธรรมนูญโดยตรง องค์กรที่มีหน้าที่ตรากฎหมายสองประเภทนี้ได้แก่รัฐสภา
พระราชกำหนด เป็นกฎหมายที่รัฐธรรมนูญมอบอำนาจในการตราให้แก่ฝ่ายบริหารคือคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ใช้ในกรณีรีบด่วนหรือฉุกเฉิน พระราชกำหนดนั้นเมื่อมีการประการใช้แล้วคณะรัฐมนตรีต้องนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ถ้ามิได้รับความเห็นชอบก็เป็นอันสุดสุดลง แต่ผลของการสิ้นสุดลงนี้ไม่กระทบกระเทือนบรรดาการที่ได้กระทำลงระหว่างใช้พระราชกำหนดนั้น
พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่กำหนดรายละเอียดซึ่งเป็นหลักการย่อย ๆ ของพระราชบัญญัติหรือของพระราชกำหนด เปรียบเสมือนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญซึ่งมีหน้าที่อธิบายขยายความในรัฐธรรมนูญ
กฎองค์การบัญญัติ เป็นกฎหมายที่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นตราขึ้นและใช้บังคับภายในเขตอำนาจของตน ได้แก่ ข้อบังคับตำบล เทศบัญญัติ ข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และข้อบัญญัติเมืองพัทยา เนื่องจากอำนาจในการตรากฎหมายประเภทนี้ได้รับมาจากพระราชบัญญัติ โดยทั่วไปจึงถือว่ากฎองค์การบัญญัติมีศักดิ์ต่ำกว่าพระราชบัญญัติ[43] ชั่วแต่ว่าใช้บังคับภายในเขตใดเขตหนึ่งเป็นการทั่วไปเท่านั้น
กฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหารและไม่ต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากรัฐสภา มีลักษณะคล้ายพระราชกฤษฎีกาเพราะศักดิ์ของผู้ตราต่างกัน
รองศาสตราจารย์ทัชชมัย ฤกษะสุต คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า "เมื่อพระราชกฤษฎีกากับกฎกระทรวงมีความใกล้เคียงกันมาก ข้อที่พิจารณาให้เห็นถึงความแตกต่างกันว่าควรจะออกกฎหมายในรูปพระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงนั้น ขึ้นอยู่กับว่า เนื้อหาของกฎหมายที่ต้องการบัญญัตินั้นมีความสำคัญเพียงใด ซึ่งหากมีความสำคัญเป็นอย่างมากจะออกมาในรูปของพระราชกฤษฎีกา แต่ถ้ามีความสำคัญน้อยกว่าก็ออกในรูปของกฎกระทรวง"[44]
ผลการจัดศักดิ์ของกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร
1. การออกกฎหมายที่มีศักดิ์ของกฎหมายต่ำกว่าจะออกได้โดยอาศัยอำนาจจากกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าหรือตามที่กฎหมายศักดิ์สูงกว่าให้อำนาจไว้
2. กฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่าซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจของกฎหมายศักดิ์สูงกว่า จะออกมาโดยมีเนื้อหาเกินกว่าขอบเขตอำนาจที่กฎหมายศักดิ์สูงกว่าให้ไว้มิได้ มิฉะนั้นจะใช้บังคับมิได้เลย
3. หากเนื้อหาของกฎหมายมีความขัดแย้งกัน ต้องใช้กฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าบังคับ ไม่ว่ากฎหมายศักดิ์สูงกว่านั้นจะออกก่อนหรือหลังกฎหมายศักดิ์ต่ำกว่านั้น[43]
กฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษ์อักษร
ขอบเขตในการใช้กฎหมาย
ขอบเขตในการใช้กฎหมาย (อังกฤษ: purview of enforcement) คือ หลักเกณฑ์ในการนำกฎหมายไปใช้ภายหลังกระบวนการนิติบัญญัติเสร็จสิ้นลงแล้ว มีสามหลักเกณฑ์คือ ขอบเขตด้านเวลา ขอบเขตด้านสภานที่ และขอบเขตด้านบุคคล[45]
ขอบเขตด้านเวลา
การประกาศใช้
เมื่อได้ประกาศใช้กฎหมายแล้ว กฎหมายนั้นย่อมระบุเวลาให้ใช้กฎหมายนั้นได้เป็นต้นไป[46] ซึ่งโดยพฤตินัยแล้วกระทำได้ดังต่อไปนี้[47]
1. กรณีปรกติ จะให้ใช้กฎหมายได้เมื่อประกาศให้สาธารณชนทราบแล้ว เช่น ในประเทศไทย กฎหมายทั่วไปจะให้ใช้บังคับได้ในวันถัดจากวันที่ประกาศกฎหมายนั้นในราชกิจจานุเบกษาอันเป็นหนังสือพิมพ์ของทางราชการแล้ว เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสทราบข้อความของกฎหมายดังกล่าวล่วงหน้าก่อนวันหนึ่ง
2. กรณีรีบด่วน ทันทีที่มีการประกาศให้สาธารณชนทราบแล้วก็ให้ใช้ได้ทันที
3. กรณีที่มีการกำหนดระยะแน่นอน เช่น มีการกำหนดว่าให้ใช้กฎหมายนี้ตั้งแต่วันที่นั้น ๆ หรือให้ใช้ได้เมื่อพ้นระยะเวลาหนึ่งไปแล้ว เป็นต้นว่า รัฐบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. xxxx ให้ใช้บังคับได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป หรือให้ใช้บังคับได้เมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในรัฐกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
4. กรณีที่ประกาศไว้ก่อน เมื่อจะใช้ค่อยกำหนดอีกทีหนึ่ง เช่น ที่กำหนดว่า พระราชบัญญัตินี้จะให้ใช้บังคับเมื่อใดจะได้มีพระราชกฤษฎีกาออกมาสำหรับการนั้น เป็นต้น
การมีผลย้อนหลัง
โดยหลักการแล้ว กฎหมายไม่พึงมีผลย้อนหลัง (อังกฤษ: relation back) เพราะกฎหมายจะใช้บังคับแก่กรณีที่เกิดในอนาคตนับแต่วันประกาศใช้กฎหมายนั้นเป็นต้นไปเท่านั้น และจะไม่มีผลแก่เหตุการณ์ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้
การให้กฎหมายมีผลย้อนหลังถือกันว่าจะทำมิได้ แต่ก็มีปรากฏแล้วว่าทำกันหลายครั้งแล้ว ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การให้กฎหมายมีผลย้อนหลังกระทำได้โดยเงื่อนไขดังต่อไปนี้
1. ระบุไว้ในกฎหมายนั้นโดยโจ่งแจ้งว่าจะให้ใช้บังคับย้อนหลัง เป็นต้นว่า พระราชบัญญัติงบประมาณร่ายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ของประเทศไทย ประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2550 แต่มาตรา 2 บัญญัติว่า พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2549[48]
2. การใช้กฎหมายย้อนหลังต้องไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พุทธศักราช 2550) ว่า "บุคคลจะไม่ต้องรับโทษอาญาเว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำผิดมิได้" กรณีนี้เป็นการประกันสิทธิของบุคคลตามหลักกฎหมายที่ว่า "ไม่มีความผิดถ้าไม่มีกฎหมายกำหนด" (ละติน: Nullum crimen sine lege) และ "ไม่มีโทษถ้าไม่มีกฎหมายกำหนด" (ละติน: Nulla poena sine lege)
หลักกฎหมายดังกล่าวเป็นการห้ามการออกกฎหมายไปลงโทษซึ่งหรือเพิ่มโทษแก่บุคคลเป็นการย้อนหลัง ดังนั้น ในทางอาญาจึงปฏิเสธผลย้อนหลังของกฎหมายเป็นเด็ดขาด เว้นแต่เข้าข่ายห้าประการดังต่อไปนี้[49]
- 2.1 เป็นการย้อนไปเลิกล้มความผิด
- 2.2 เป็นการย้อนไปเป็นคุณแก่ผู้มีความผิด เช่น การล้างมลทิน
- 2.3 เป็นการบัญญัติถึงวิธีการเพื่อความปลอดภัย เพราะวิธีการฯ นี้มิใช่โทษแต่เป็นมาตรการป้องกันภยันตราย
- 2.4 เป็นการแปลหรือตีความกฎหมายเดิมอันคลุมเคลือในความหมายหรือวัตถุประสงค์
- 2.5 เป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติหรือกฎหมายวิธีพิจารณาความ เพราะย่อมออกมาเพื่อการบริหารความยุติธรรมที่ดีกว่าเดิม และสำหรับกรณีนี้ แม้ความจะอยู่ในกระบวนพิจารณาอยู่ก็สามารถนำกฎหมายใหม่มาใช้ได้ทันที
อย่างไรก็ดี รองศาสตราจารย์ทัชชมัย ฤกษะสุต คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า "...แม้กรณีจะเข้าหลักเกณฑ์ของข้อยกเว้นที่กล่าวมา แต่ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายประเภทใด...แพ่งหรืออาญา หากมีผลย้อนหลังไปกระทบกระเทือนถึงสิทธิหรือผลประโยชน์ที่บุคคลได้รับไว้โดยชอบก่อนที่กฎหมายนั้นจะมีผลใช้บังคับ จะกระทำมิได้ เว้นแต่มีเหตุพิเศษ เช่น เพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง หรือเพื่อความเป็นธรรมในสังคม ก็ให้มีผลย้อนหลังได้"[50]
ขอบเขตด้านสถานที่
ขอบเขตด้านบุคคล
ช่องว่างของกฎหมาย
ช่องว่างของกฎหมาย (อังกฤษ: gap in the law) เป็นปัญหาของกฎหมายในระบบซีวิลลอว์อันเกิดขึ้นเป็นประจำและเลี่ยงไม่ได้ โดยเป็นกรณีที่ไม่อาจหากฎหมายลายลักษณ์อักษรมาปรับใช้แก่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้ จึงชื่อว่าเป็น "ช่องว่าง" ของกฎหมาย และหมายถึงกฎหมายลายลักษณ์อักษรเท่านั้น ซึ่งวิธีการอุดช่องว่างของกฎหมายย่อมแตกต่างกันไปตามแต่ท้องถิ่น
ภารกิจของกฎหมาย
กฎหมายมีหน้าที่หลัก 5 ประการด้วยกัน
- สร้างและรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัย และความมั่นคงของสังคม เช่น กฎหมายอาญาที่ลงโทษผู้กระทำผิดและทำให้คนกลัวไม่กล้าทำผิด หรือพระราชบัญญัติปราบปรามยาเสพติด ได้กำหนดวิธีการเข้าตรวจค้นผู้ต้องสงสัยได้ง่าย เพื่อให้การกระทำผิดเกิดขึ้นได้ยาก
- ระงับข้อพิพาท เช่น กฎหมายที่ถูกนำมาพิจารณาในชั้นศาลเพื่อให้คดีความเป็นอันยุติ
- เป็นวิศวกรสังคม กฎหมายทำหน้าที่วางแนวทางและแก้ไขปัญหาสังคมทั้งปัจจุบันและอนาคต เช่นกฎหมายผังเมือง กฎหมายปฏิรูปการศึกษา
- จัดสรรทรัพยากรและสร้างโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เช่น กฎหมายด้านภาษีอากร กฎหมายจัดสรรงบประมาณ กฎหมายการปรับดอกเบี้ย
- จัดตั้งและกำหนดโครงสร้างทางการเมืองการปกครอง เช่น รัฐธรรมนูญ กำหนดการเลือกตั้งและการทำงานของรัฐสภา ศาล และคณะรัฐมนตรี
ปรัชญากฎหมายขั้นพื้นฐาน
- กฎหมายเป็นเรื่องที่ต้องอยู่คู่กับเหตุผล เสมือนเป็นวัตถุและเงา หากไม่มีเหตุผล คนย่อมไม่อยากปฏิบัติตามกฎหมาย
- กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือในการสร้างความยุติธรรม แต่หาใช่ความยุติธรรมไม่
- กฎหมายมิใช่เป็นเพียงเรื่องปัจจุบัน แต่เป็นเรื่องกำหนดอนาคต จึงมิสมควรปล่อยให้กฎหมายล้าหลังหรือมีช่องโหว่ ดังคำกล่าวที่ว่าอย่าปล่อยคนตายเขียนกฎหมายให้คนเป็น
- กฎหมายต้องดำเนินไปพร้อมกับการเมืองการปกครองและเศรษฐกิจ
การแบ่งประเภทและลักษณะของกฎหมาย
การแบ่งประเภทของกฎหมายนั้น การแบ่งสามารถอาศัยเกณฑ์ที่ต่างกัน อาทิ
- เกณฑ์ลักษณะ แบ่งได้เป็นกฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชน
- เกณฑ์เขตอำนาจ แบ่งได้เป็น กฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ
- เกณฑ์เนื้อหาเฉพาะด้าน แบ่งได้เป็นกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายภาษี กฎหมายสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
ถ้าพิจารณาจากเนื้อหาโดยพื้นฐานของกฎหมายแล้ว อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
- กฎหมายสารบัญญัติ (Substantive law) หรือกฎหมายที่บัญญัติถึงเนื้อหาของสิทธิ หน้าที่ ข้อห้ามหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป็นกฎหมายที่ควบคุมความประพฤติของคนในสังคมโดยตรงเช่น กฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง ที่กล่าวถึงลักษณะความผิด และโทษที่จะได้รับ นอกจากนี้ยังกำหนด ควบคุม ให้ความหมาย และวางหลักการเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เช่น กฎหมายที่แบ่งและกำหนดเขตพื้นที่ป่าสงวน
- กฎหมายสบัญญัติ หรือ กฎหมายวิธีสบัญญัติ (Adjective law หรือ Procedural Law) คือกฎหมายที่บัญญัติกระบวนการตลอดจนวิธีการนำเอาเนื้อหาสาระของกฎหมายสารบัญญัติมาใช้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยวิธีการดำเนินอรรถคดีตั้งแต่แรกเริ่มจนเสร็จสิ้น เช่นบัญญัติว่าในแต่ละกระบวนการนั้นมีขั้นตอนอย่างไร ต้องดำเนินการอย่างไร มีเรื่องเวลา สถานที่และบุคคลใดที่เกี่ยวข้อง กฎหมายสบัญญัติที่เด่นชัดคือ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
กฎหมายทั้งสองประเภทมักจะนำมาใช้ควบคู่กันตลอด เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมนั้นสมบูรณ์ เป็นต้นว่า เมื่อมีผู้กระทำผิดก็พิจารณาการกำหนดโทษตามกฎหมายสารบัญญัติ จากนั้นก็พิจารณาตามกฎหมายสบัญญัติ ในส่วนของวิธีการร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงาน การฟ้องคดีต่อศาล การพิจารณาและพิพากษาคดี หรือการนำคดีแพ่งขึ้นสู่ศาลโดยมีการขอให้รับรองหรือคุ้มครองสิทธิ จนไปถึงขั้นตอนการยื่นอุทธรณ์ การยื่นฎีกาหรือการบังคับคดีเมื่อคดีถึงที่สุด ตัวอย่างของกฎหมายสบัญญัติอื่นๆที่สำคัญได้แก่พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พระราชบัญญัติจัดตั้งภาษีอากรและวิธีการพิจารณาคดีอากร พระราชบัญญัติล้มละลาย เป็นต้น
หลักทฤษฎีพื้นฐานของการใช้กฎหมาย
กฎหมายเฉพาะย่อมยกเว้นกฎหมายทั่วไป
กฎหมายหรือกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายจะขัดหรือแย้งต่อกฎหมายหรือกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์สูงกว่ามิได้
กฎหมายแม่ถูกยกเลิก กฎหมายลูกก็เป็นอันถูกยกเลิกตามไปด้วย
กฎหมายเรื่องเดียวกัน หากมีซ้ำซ้อนกันและมิได้บัญญัติว่าให้ใช้ฉบับใด ให้ถือว่าต้องใช้ฉบับที่บัญญัติขึ้นภายหลัง
การตีความกฎหมายต้องถือตามเจตนารมณ์ของกฎหมายควบคู่กับตัวบทกฎหมาย และต้องตีความเพื่อให้กฎหมายบังคับใช้ไปได้ โดยไม่เกิดผลประหลาด (Golden rule)
กฎหมายลักษณะต่างกันย่อมมีนิติวิธีหรือแนวทางและวิธีการในการใช้กฎหมายต่างกัน เช่นกฎหมายแพ่ง เรื่องสัญญาย่อมมุ่งที่ประโยชน์ของเอกชน กฎหมายมหาชน เรื่องสิ่งแวดล้อมย่อมมุ่งประโยชน์ของคนทั่วไปเป็นหลัก หรือในทางกฎหมายแพ่ง เมื่อไม่มีกฎหมายห้าม ย่อมกระทำได้ หากไม่ขัดต่อจารีตประเพณีและศีลธรรมอันดี แต่ในขณะเดียวกัน กฎหมายมหาชนนั้น ถือหลักว่า ถ้าไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ ย่อมทำไม่ได้ เช่น การปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ จะถือหลักว่า กระทำใดๆ เท่าที่กฎหมายไม่ห้ามมิได้ ต้องกระทำการเฉพาะตามขอเขตอำนาจของกฎหมายโดยเคร่งครัด เป็นต้น
กฎหมายไม่มีผลย้อนหลังในทางเป็นโทษ (โดยเฉพาะโทษทางอาญา) (nullum crimen, nulla poena sine lege : ไม่มีความผิด, และไม่มีโทษโดยปราศจากกฎหมาย)
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 ราชบัณฑิตยสถาน. (2551, 7 กุมภาพันธ์). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp. (เข้าถึงเมื่อ: 26 สิงหาคม 2551).
- ↑ มานิตย์ จุมปา. (2548). "สังคมและความประพฤติ". ‘‘ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย.’’ มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. (พิมพ์ครั้งที่หก) กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 1-2.
- ↑ อานนท์ อาภาภิรม. (2518). สังคมวิทยา. (พิมพ์ครั้งที่สอง). กรุงเทพฯ : แพร่พิทยา. หน้า 79-80.
- ↑ งามพิศ สัตย์สงวน. (2538). "การจัดระเบียบทางสังคม". สังคมและวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 62.
- ↑ มานิตย์ จุมปา. (2548). "สังคมและความประพฤติ". ‘‘ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย.’’ มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. (พิมพ์ครั้งที่หก) กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 3.
- ↑ มานิตย์ จุมปา. (2548). "สังคมและความประพฤติ". ‘‘ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย.’’ มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. (พิมพ์ครั้งที่หก) กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 4-5.
- ↑ มานิตย์ จุมปา. (2548). "สังคมและความประพฤติ". ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย. มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. (พิมพ์ครั้งที่หก) กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 5 และหน้า 17.
- ↑ มานิตย์ จุมปา. (2548). "สังคมและความประพฤติ". ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย. มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. (พิมพ์ครั้งที่หก) กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 13.
- ↑ ปรีดี เกษมทรัพย์. (2526). กฎหมายแพ่ง : หลักทั่วไป. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภาพพิมพ์. หน้า 6.
- ↑ มานิตย์ จุมปา. (2548). "สังคมและความประพฤติ". ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย. มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. (พิมพ์ครั้งที่หก) กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 14.
- ↑ มานิตย์ จุมปา. (2548). "สังคมและความประพฤติ". ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย. มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. (พิมพ์ครั้งที่หก) กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 17.
- ↑ มานิตย์ จุมปา. (2548). "สังคมและความประพฤติ". ‘‘ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย.’’ มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. (พิมพ์ครั้งที่หก) กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 65.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 ประมูล สุวรรณศร. (2526). "กฎหมาย". สารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน, (เล่ม 1 : ก-กลากเหล็ก). (พิมพ์ครั้งที่สาม). กรุงเทพฯ : ไพศาลศิลป์การพิมพ์. หน้า 45-50.
- ↑ 14.0 14.1 คึกฤทธิ์ ปราโมช. (2539). "ขุนช้างขุนแผน ฉบับอ่านใหม่". คึกฤทธิ์ ปราโมช. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. (อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์ พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม 2538). หน้า 417-418.
- ↑ ปรีดี เกษมทรัพย์. (2531). นิติปรัชญา. พระนคร : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
- ↑ สมยศ เชื้อไทย. (2531). "ทฤษฎีกฎหมายสามชั้นของ ดร.ปรีดี." รวมบทความในโอกาสครบรอบ 60 ปี ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์. มปท.
- ↑ สมยศ เชื้อไทย. (2551). คำอธิบายวิชากฎหมายแพ่ง : หลักทั่วไป. (พิมพ์ครั้งที่สิบห้า). กรุงเทพฯ : วิญญูชน. หน้า 54.
- ↑ มานิตย์ จุมปา. (2548). "สังคมและความประพฤติ". ‘‘ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย.’’ มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. (พิมพ์ครั้งที่หก) กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 7-8.
- ↑ สมยศ เชื้อไทย. (2551). คำอธิบายวิชากฎหมายแพ่ง : หลักทั่วไป. (พิมพ์ครั้งที่สิบห้า). กรุงเทพฯ : วิญญูชน. หน้า 63.
- ↑ วิชา มหาคุณ. (2537). "กฎหมาย". สารานุกรมกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. อุกฤษ มงคลนาวิน, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. หน้า 13.
- ↑ วิชา มหาคุณ. (2534). การใช้เหตุผลทางกฎหมาย. กรุงเทพฯ : นิติบรรณาการ. หน้า 29.
- ↑ โสภณ รัตนากร. (2534). "คำว่า 'กฎหมาย'". 60 ปี ศาสตราจารย์โสภณ รัตนากร. กรุงเทพฯ : เพอร์เฟอร์กราฟิกกรุ๊ป. หน้า 12.
- ↑ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ. (2538). กฎหมายมหาชน, (เล่ม 1 : วิวัฒนาการทางปรัชญาและลักษณะของกฎหมายมหาชนยุคต่าง ๆ). (พิมพ์ครั้งที่สาม). กรุงเทพฯ : นิติธรรม. หน้า 66.
- ↑ มานิตย์ จุมปา. (2548). "สังคมและความประพฤติ". ‘‘ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย.’’ มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. (พิมพ์ครั้งที่หก) กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 22.
- ↑ H.L.A. Hart. (1958). "Positivism and the seperation of law and morals". Harvard Law Review, (vol 71). p 601. อ้างถึงใน: จรัญ โฆษณานันท์. (2537). นิติปรัชญา. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. หน้า 34.
- ↑ John Austin. (1954). The province of jurisprudence determined. H.L.A. Hart, editor. London : n.p. อ้างถึงใน: จรัญ โฆษณานันท์. (2537). นิติปรัชญา. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. หน้า 48.
- ↑ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์. (2513). กฎหมาย เล่ม 1. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์สำนักนายกรัฐมนตรี. หน้า 7.
- ↑ จรัญ โฆษณานันท์. (2537). นิติปรัชญา. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. หน้า 192.
- ↑ จรัญ โฆษณานันท์. (2537). นิติปรัชญา. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. หน้า 193-194.
- ↑ มานิตย์ จุมปา. (2548). "ที่มาของกฎหมาย". ‘‘ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย.’’ มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. (พิมพ์ครั้งที่หก) กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 45.
- ↑ ปรีดี เกษมทรัพย์. (2526). กฎหมายแพ่ง : หลักทั่วไป. (พิมพ์ครั้งที่ห้า). กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์. หน้า 20.
- ↑ หยุด แสงอทัย. (2535). ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป. กรุงเทพฯ : ประกายพรึก. หน้า 67.
- ↑ มานิตย์ จุมปา. (2548). "ที่มาของกฎหมาย". ‘‘ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย.’’ มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. (พิมพ์ครั้งที่หก) กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 66-67
- ↑ พระยานิติศาสตร์ไพศาลย์. (2549, 5 พฤษภาคม). "สุภาษิตกฎหมาย". นิติสาส์น, (ปีที่ 22, เล่ม 5). หน้า 517.
- ↑ พิชัย หรยางกูร. (2540). ภาษิตกฎหมายลาติน-ไทย. กรุงเทพฯ : สามย่านวิทยาพัฒนา. หน้าคำนำ.
- ↑ 36.0 36.1 36.2 36.3 ระบบสืบค้นคำพิพากษาและคำสั่งคำร้องศาลฎีกา. (ม.ป.ป.). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.deka2007.supremecourt.or.th/deka/web/index2.jsp. (เข้าถึงเมื่อ: 1 ตุลาคม 551).
- ↑ มานิตย์ จุมปา. (2548). "สังคมและความประพฤติ". ‘‘ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย.’’ มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. (พิมพ์ครั้งที่หก) กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 30-39.
- ↑ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (2549, 16 พฤศจิกายน). พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.krisdika.go.th/lawHeadPDF.jsp?formatFile=pdf&hID=0. (เข้าถึงเมื่อ: 1 ตุลาคม 2551).
- ↑ ทัชชมัย ฤกษะสุต. (2548). "ศักดิ์ของกฎหมาย". ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย. (พิมพ์ครั้งที่หก). มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 75.
- ↑ สมยศ เชื้อไทย. (2534). กฎหมายแพ่ง : หลักทั่วไป. (พิมพ์ครั้งที่สอง). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์และทำปกเจริญผล. หน้า 53.
- ↑ ประยูร กาญจนดุล. (2540, มิถุนายน). "การเรียก 'รัฐธรรมนูญ' ว่า 'กฎหมายรัฐธรรมนูญ'". จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน, (ปีที่ 7, ฉบับที่ 73). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=648. (เข้าถึงเมื่อ: 3 ตุลาคม 2551).
- ↑ วิษณุ เครืองาม. (2541). "กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ". พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2541. กรุงเทพฯ : มูลนิธิพัฒนาสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. หน้า 83.
- ↑ 43.0 43.1 ทัชชมัย ฤกษะสุต. (2548). "ศักดิ์ของกฎหมาย". ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย. (พิมพ์ครั้งที่หก). มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 80.
- ↑ ทัชชมัย ฤกษะสุต. (2548). "ศักดิ์ของกฎหมาย". ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย. (พิมพ์ครั้งที่หก). มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 79.
- ↑ ทัชชมัย ฤกษะสุต. (2548). "ขอบเขตการใช้กฎหมาย". ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย. มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 83.
- ↑ หยุด แสงอุทัย. (2535). ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป. (พิมพ์ครั้งที่สิบเอ็ด). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์และทำปกเจริญผล หน้า 27.
- ↑ ทัชชมัย ฤกษะสุต. (2548). "ขอบเขตการใช้กฎหมาย". ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย. มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 83-85.
- ↑ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (2550, 23 มกราคม). พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.krisdika.go.th/lawHeadPDF.jsp?formatFile=pdf&hID=1. (เข้าถึงเมื่อ: 12 ตุลาคม 2551).
- ↑ ทัชชมัย ฤกษะสุต. (2548). "ขอบเขตการใช้กฎหมาย". ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย. มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 85-87.
- ↑ ทัชชมัย ฤกษะสุต. (2548). "ขอบเขตการใช้กฎหมาย". ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย. มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 87.
- Moustaira Elina N., Comparative Law: University Courses (in Greek), Ant. N. Sakkoulas Publishers, Athens, 2004, ISBN 960-15-1267-5
- Moustaira Elina N., Milestones in the Course of Comparative Law: Thesis and Antithesis (in Greek), Ant. N. Sakkoulas Publishers, Athens, 2003, ISBN 960-15-1097-4
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลภายใน
- ประวัติศาสตร์กฎหมาย
- นิติศาสตร์
- นิติบัญญัติ
- สิทธิ
- สิทธิมนุษยชน
- กฎหมายมหาชน
- กฎหมายระหว่างประเทศ
- กฎหมายรัฐธรรมนูญ
- นิติวิทยาศาสตร์
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
- อนุญาโตตุลาการ