ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แมกนีทาร์"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Tinuviel (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Xqbot (คุย | ส่วนร่วม)
โรบอต เพิ่ม: ta:காந்த விண்மீன்; ปรับแต่งให้อ่านง่าย
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
[[ภาพ:Magnetar-3b-450x580.gif|thumb|แมกนีทาร์ ในจินตนาการของจิตรกรกับเส้นสนามแม่เหล็ก]]
[[ไฟล์:Magnetar-3b-450x580.gif|thumb|แมกนีทาร์ ในจินตนาการของจิตรกรกับเส้นสนามแม่เหล็ก]]


'''แมกนีทาร์''' ({{lang-en|Magnetar}}) คือ[[ดาวนิวตรอน]]ที่มี[[สนามแม่เหล็ก]]ที่กำลังแรงมาก การลดลงของกำลังการแผ่รังสีของ[[คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า]]พลังงานสูงจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง[[รังสีเอกซ์]]และ[[รังสีแกมมา]]<ref name="Ward">Ward; Brownlee, p.286</ref> ในทางทฤษฎีของวัตถุนี้ถูกคิดขึ้นโดย [[โรเบิร์ต ดันแคน]]และ[[คริสโตเฟอร์ ทอมป์สัน]]ในปี 1992 แต่การบันทึก[[แสงวาบรังสีแกมมา]]ครั้งแรกที่คิดว่ามาจาก แมกนีทาร์ คือวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1979<ref name="journal">Kouveliotou, C.; Duncan, R. C.; Thompson, C. (February 2003). "[http://solomon.as.utexas.edu/~duncan/sciam.pdf Magnetars]". ''[[Scientific American]]''; Page 35.</ref> ระหว่างทศวรรษถัดมา สมมติฐานของ แมกนีทาร์ กลายเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในการอธิบาย soft gamma repeater และ anomalous X-ray pulsar
'''แมกนีทาร์''' ({{lang-en|Magnetar}}) คือ[[ดาวนิวตรอน]]ที่มี[[สนามแม่เหล็ก]]ที่กำลังแรงมาก การลดลงของกำลังการแผ่รังสีของ[[คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า]]พลังงานสูงจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง[[รังสีเอกซ์]]และ[[รังสีแกมมา]]<ref name="Ward">Ward; Brownlee, p.286</ref> ในทางทฤษฎีของวัตถุนี้ถูกคิดขึ้นโดย [[โรเบิร์ต ดันแคน]]และ[[คริสโตเฟอร์ ทอมป์สัน]]ในปี 1992 แต่การบันทึก[[แสงวาบรังสีแกมมา]]ครั้งแรกที่คิดว่ามาจาก แมกนีทาร์ คือวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1979<ref name="journal">Kouveliotou, C.; Duncan, R. C.; Thompson, C. (February 2003). "[http://solomon.as.utexas.edu/~duncan/sciam.pdf Magnetars]". ''[[Scientific American]]''; Page 35.</ref> ระหว่างทศวรรษถัดมา สมมติฐานของ แมกนีทาร์ กลายเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในการอธิบาย soft gamma repeater และ anomalous X-ray pulsar
บรรทัด 59: บรรทัด 59:
[[sr:Магнетар]]
[[sr:Магнетар]]
[[sv:Magnetar]]
[[sv:Magnetar]]
[[ta:காந்த விண்மீன்]]
[[tr:Magnetar]]
[[tr:Magnetar]]
[[uk:Магнітар]]
[[uk:Магнітар]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 19:25, 15 กันยายน 2552

แมกนีทาร์ ในจินตนาการของจิตรกรกับเส้นสนามแม่เหล็ก

แมกนีทาร์ (อังกฤษ: Magnetar) คือดาวนิวตรอนที่มีสนามแม่เหล็กที่กำลังแรงมาก การลดลงของกำลังการแผ่รังสีของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานสูงจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งรังสีเอกซ์และรังสีแกมมา[1] ในทางทฤษฎีของวัตถุนี้ถูกคิดขึ้นโดย โรเบิร์ต ดันแคนและคริสโตเฟอร์ ทอมป์สันในปี 1992 แต่การบันทึกแสงวาบรังสีแกมมาครั้งแรกที่คิดว่ามาจาก แมกนีทาร์ คือวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1979[2] ระหว่างทศวรรษถัดมา สมมติฐานของ แมกนีทาร์ กลายเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในการอธิบาย soft gamma repeater และ anomalous X-ray pulsar

คำอธิบาย

โครงสร้างกายภาพของแมกนีทาร์เป็นที่รู้กันน้อยมาก เพราะไม่มีแมกนีทาร์ที่อยู่ใกล้กับโลก แมกนีทาร์บางแห่งจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20 กิโลเมตร ถึงอย่างไรก็ตามมันมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์มากมาย แมกนีทาร์ถูกบีบอัดขนาดสสารชิ้นเล็ก ๆ จะมีน้ำหนักประมาณมากกว่าร้อยล้านตัน[1] แมกนีทาร์ส่วนใหญ่ถูกบันทึกไว้ว่าหมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็วซึ่งอย่างน้อยหลายรอบต่อวินาที[3] ชีวิตของแมกนีทาร์จะสั้น สนามแม่เหล็กของมันจะลดลงหลังจากระยะเวลา 10,000 ปี หลังจากที่จุดนี้การเคลื่อนไหวและการแผ่รังสีเอกซ์จะสิ้นสุด จากจำนวนแมกนีทาร์ที่สำรวจได้ในปัจจุบัน จะประมาณ 1 ดวงที่ตายแล้วในทางช้างเผือก 30 ล้านดวงหรือมากกว่านั้น[4]

ควาร์กบนพื้นผิวของแมกนีทาร์ จุดชนวนให้เกิดความไม่แนนอนอย่างมากในดาวและสนามแม่เหล็กที่ล้อมรอบมัน บ่อยครั้งที่ทำให้เกิดการวาบของรังสีแกมม่าที่สามารถบันทึกบนโลกได้ในปี 1979,1998 และ 2004[5]

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 Ward; Brownlee, p.286
  2. Kouveliotou, C.; Duncan, R. C.; Thompson, C. (February 2003). "Magnetars". Scientific American; Page 35.
  3. "Magnetar (1999)". สืบค้นเมื่อ 17 December. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |accessyear= ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=) (help)
  4. "Magnetars, Soft Gamma Repeaters and Very Strong Magnetic Fields". Robert C. Duncan, University of Texas at Austin. 2003. สืบค้นเมื่อ 2007-05-23. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |month= ถูกละเว้น (help)
  5. Kouveliotou, C.; Duncan, R. C.; Thompson, C. (February 2003). "Magnetars". Scientific American; Page 36.

แหล่งข้อมูลอื่น