ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กองทัพบกไทย"
บรรทัด 647: | บรรทัด 647: | ||
| {{USA}} || [[Bell AH-1 Cobra|Bell AH-1F Huey Cobra]] || 3 || โจมตี, กำลังสั่งซื้ออีก 7 ลำ |
| {{USA}} || [[Bell AH-1 Cobra|Bell AH-1F Huey Cobra]] || 3 || โจมตี, กำลังสั่งซื้ออีก 7 ลำ |
||
|- |
|- |
||
| {{USA}} || [[Sikorsky S-70|Sikorsky S-70-43 Blackhawk]] || |
| {{USA}} || [[Sikorsky S-70|Sikorsky S-70-43 Blackhawk]] || 10 || ลำเลียงทางยุทธวิธี, สั่งซื้อเพิ่มอีก 3 ลำ |
||
|- |
|- |
||
| {{GER}} || [[Schweizer 300|Schweizer S-300C]] || ~45 || ฝึก/ลาดตระเวน |
| {{GER}} || [[Schweizer 300|Schweizer S-300C]] || ~45 || ฝึก/ลาดตระเวน |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:03, 13 กันยายน 2552
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
กองทัพบก | |
---|---|
ไฟล์:RTA-emblem.png ตราราชการกองทัพบก | |
ประเทศ | ไทย |
รูปแบบ | กองทัพบก |
กำลังรบ | 7 กองพลทหารราบ 1 กองพลทหารม้ายานเกราะ 1 กองพลทหารม้า 1 กองพลรบพิเศษ 1 กองพลปืนใหญ่ 1 กองพลปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน |
กองบัญชาการ | กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร |
คำขวัญ | เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน |
สีหน่วย | แดง |
เพลงหน่วย | มาร์ชกองทัพบก |
วันสถาปนา | 18 มกราคม (วันกองทัพบกและวันกองทัพไทย) |
ผู้บังคับบัญชา | |
ผู้บัญชาการ ทหารบก | พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา |
ผบ. สำคัญ | จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี พล.อ. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช พล.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา จอมพล หลวงพิบูลสงคราม จอมพล ผิน ชุณหะวัณ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ พล.อ. สุจินดา คราประยูร พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน |
เครื่องหมายสังกัด | |
ตราราชการ | |
ธงประจำ กองทัพ |
กองทัพบกไทย เป็นเหล่าทัพที่มีประวัติความเป็นมายาวนานที่สุดและมีขนาดใหญ่ที่สุดในกองทัพไทย ก่อตั้งเป็นกองทัพสมัยใหม่ขี้นในปี พ.ศ. 2417 เหตุผลส่วนหนึ่งคือ เพื่อรับมือกับการคุกคามรุกแบบใหม่จากอังกฤษ ภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาวริ่ง และการเปิดประเทศใน พ.ศ. 2398
ประวัติ
กองทัพบกได้ถือกำเนิดมาพร้อม ๆ กับการก่อตั้งราชอาณาจักรไทย และเป็นรากฐานของความมั่นคงของประเทศตลอดมา การปฏิรูปการทหารบกของไทยเป็นแบบตะวันตก ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือต้นแบบของกิจการทหารบกสมัยปัจจุบัน
กองบัญชาการกองทัพบก สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงราชสมบัติ เมื่อ พ.ศ. 2394 กิจการแรกที่พระองค์ทรงกระทำ คือ ทรงตั้งเจ้าพระยาพระคลัง (ดิส บุนนาค) ว่าที่สมุหพระกลาโหมขึ้นเป็น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ดำรงตำแหน่งสมุหพระกลาโหม และให้จัดการเรื่องกิจการทหารเป็นการด่วน โดยให้ปรับปรุงกองทัพบกให้เป็นแบบสมัยใหม่ และมีประสิทธิภาพที่สามารถป้องกันประเทศชาติได้ ทั้งนี้ เพราะประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกได้แผ่อิทธิพลเข้ามา อยู่เหนือประเทศทางภูมิภาคเอเซียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ และมีท่าทีคุกคามต่อประเทศไทยยิ่งขึ้นตามลำดับ สำหรับการปรับปรุงในด้านวิทยาการนั้น พระองค์ทรงจ้าง ร้อยเอก อิมเปย์ และ ร้อยเอก น็อกส์ ชาวอังกฤษ ซึ่งเดินทางจากอินเดียผ่านเข้ามาทางพม่า ให้เป็นครูฝึกหัดทหารบก ทั้งทหารของวังหน้าและวังหลวง ดังนั้นใน พ.ศ. 2395 กองทหารที่ได้รับการฝึกและจัดแบบตะวันตก มีดังนี้
- กองรักษาพระองค์อย่างยุโรป
- กองทหารหน้า
- กองปืนใหญ่อาสาญวน
กองทหารหน้าเป็นหน่วยที่ได้รับการฝึกแบบใหม่ มีอาวุธใหม่ และมีทหารประจำการมากกว่าทหารหน่วยอื่นๆ ทั้งยังมีความชำนาญในการรบมาพอสมควร เนื่องจากได้เข้าสมทบในกองทัพหลวงไปทำศึกที่เมืองเชียงตุง เมื่อปี พ.ศ. 2395 และ พ.ศ. 2396 การศึกทั้ง 2 ครั้งนี้ กองทหารหน้าได้สำแดงเกียรติภูมิในหน้าที่ของตนไว้อย่างน่าชมเชย จึงเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก ยามปกติกองทหารหน้ามีหน้าที่เข้าขบวนแห่นำตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกคราว นอกจากนั้นยังมีหน้าที่ปราบปรามโจรผู้ร้ายตามหัวเมืองต่างๆ เช่น ปราบปรามพวกอั้งยี่ที่มณฑลปราจีน และเมืองชลบุรีอีกด้วย จึงนับได้ว่า "กองทหารหน้า" นี้เองเป็นรากเหง้าของกองทัพบกในปัจจุบันนี้
กิจการทหารบกได้รุดหน้าไปอีก เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงมหิศวรินทรามเรศ ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองทหารหน้าใน พ.ศ. 2398 พระองค์ทรงรวบรวมกองทหารที่อยู่อย่างกระจัดกระจายทั่วกรุงเทพฯ มารวมไว้ที่เดียวกัน คือโรงทหารสนามไชย กองทหารดังกล่าวคือ
- กองทหารฝึกแบบยุโรป (เดิมอยู่ริมคลองโอ่งอ่างฝั่งตะวันออก)
- กองทหารมหาดไทย (ซึ่งถูกเกณฑ์มาจากหัวเมืองฝ่ายเหนือ)
- กองทหารกลาโหม (ซึ่งถูกเกณฑ์มาจากหัวเมืองฝ่ายใต้)
- กองทหารเกณฑ์หัด (คือพวกขุนหมื่นสิบยก กองทหารเกณฑ์หัดนี้ ขึ้นกับกองทหารหน้า)
จะเห็นได้ว่า การจัดการทหารบกแบบตะวันตกหรือกองทัพบกปัจจุบันนี้เริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว แต่เป็นไปในวงแคบ อำนาจในการปกครองบังคับบัญชาทหารในกรุงเทพฯ แยกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ทหารที่สังกัดพระบรมมหาราชวังขึ้นโดยตรงต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนทหารที่สังกัดพระบวรราชวัง หรือวังหน้า ขึ้นโดยตรงต่อ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนทหารในหัวเมืองก็แยกขึ้นกับ สมุหพระกลาโหม และสมุหนายก
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์มิได้แถลงพระบรมราโชบายในการจัดการทางทหารไว้เป็นที่เด่นชัด อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงสภาวการณ์ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ รวมทั้งวิธีการทางทหาร ตลอดจนพระปรีชาญาณในการบริหารประเทศแล้วอาจพิจารณาได้ว่า พระองค์น่าจะทรงมีพระราชประสงค์ในการจัดการทางทหารเป็น 2 ประการ คือ
- การปฏิรูปการทหารเพื่อความมั่นคงแห่งราชบัลลังก์
- การปฏิรูปการทหารเพื่อความเจริญทางด้านการทหารเอง และให้เหมาะสมกับกาลสมัย ตลอดจนสามารถรักษาความปลอดภัยให้แก่ประเทศชาติ
เนื่องจาการทหารในสมัยนั้นยังเป็นไปในลักษณะกระจัดกระจาย อยู่ในสังกัดอำนาจของบุคคลหลายฝ่าย จึงทำให้การปฏิรูปการทหารของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในระยะแรกมีขอบเขตจำกัด ต่อมาใน พ.ศ. 2415 ภายหลังจากการเสด็จไปประพาสสิงคโปร์และปัตตาเวียแล้ว พระองค์โปรดให้ปรับปรุงการทหารให้กาวหน้ายิ่งขึ้น โดยนำแบบอย่างการทหารที่ชาวยุโรปนำมาฝึกทหารในอาณานิคมของตน แต่ได้ดัดแปลงแก้ไขให้เหมาะสมกับสภาพของประเทศไทย โปรดให้แบ่งหน่วยทหารออกเป็น 7 หน่วย ดังนี้
- กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์
- กรมทหารรักษาพระองค์
- กรมทหารล้อมวัง
- กรมทหารหน้า
- กรมทหารปืนใหญ่
- กรมทหารช้าง
- กรมทหารฝีพาย
พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงหารือกับพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดี ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจัดการทหารอย่างใหม่เป็นระเบียบแบบแผนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้น ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2430 จึงได้มี "ประกาศจัดการทหาร" ขึ้น โดยตั้ง "กรมยุทธนาธิการ" มีลักษณะเป็นกรมกลางของทหารบก และทหารเรือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระราชอิสริยยศตำแหน่ง "จอมทัพ" สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็น "ผู้บังคับบัญชาการทั่วไป" และเพื่อให้หน่วยทหารได้รับการบังคับบัญชาดูแลได้ทั่วถึง จึงทรงแต่งตั้งตำแหน่งผู้ช่วยเหลือผู้บังคับบัญชาทั่วไปอีก 4 ตำแหน่ง คือ
- เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก
- เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ
- เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้บัญชาการใช้จ่าย
- เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้บัญชาการยุทธภัณฑ์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกแซนด์เฮิสต์ ประเทศอังกฤษ ทั้งยังทรงรับราชการในกรมทหารราบเบาเดอรัม และค่ายฝึกทหารปืนใหญ่ นับว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ได้ทรงศึกษาวิชาทหารบกจากต่างประเทศโดยเฉพาะ เมื่อพระองค์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ จึงทรงปรับปรุงกิจการทหารบกให้ดียิ่งขึ้น และเจริญก้าวหน้าตามแบบอย่างทหารในทวีปยุโรป พระองค์ทรงให้มีการเปลี่ยนแปลงการบริหารกิจการทหารใหม่ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2453 โดย
- เปลี่ยนชื่อกรมยุทธนาธิการ เป็น กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ดูแลการปกครองเฉพาะกิจการทหารบก
- ยกกรมทหารเรือ ขึ้นเป็น กระทรวงทหารเรือ
- จัดตั้งสภาป้องกันพระราชอาณาจักร ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างกระทรวงกลาโหม และกระทรวงทหารเรือ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นทหารบกโดยอาชีพ กล่าวคือ ทรงศึกษาวิชาทหารบกจากวิทยาลัยการทหารวูลลิช ประเทศอังกฤษ และวิชาเสนาธิการทหาร จากโรงเรียนเสนาธิการฝรั่งเศส พระองค์ทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะทำนุบำรุงกิจการทหารบกให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น แต่ปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการขากแคลนงบประมาณแผ่นดิน ทำให้รัฐบาลมีความจำเป็นต้องตัดทอนรายจ่าย และส่งผลกระทบมาถึงกิจการทหารในสมัยของพระองค์ด้วย มีการยุบกรมกองและปลดข้าราชการตำแหน่งต่างๆ ลง ต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยุบกระทรวงทหารเรือ รวมเข้ากับกระทรวงกลาโหม ให้เสนาบดีกระทรวงกลาโหมมีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชาการทหาร 3 ฝ่าย คือ ทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศ ปัญหาและผลสะท้อนจาการตัดทอนรายจ่ายในราชการทหารนี้เองเป็นสาเหตุนำไปสู่ความยุ่งยากทางการเมือง
กองบัญชาการกองทัพบก หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการที่เคยดำรงตำแหน่งชั้นสูงในกองทัพบก ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งจนหมด และได้มีการบรรจุบุคคลอื่นเข้าดำรงตำแหน่งแทน โดยมี นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นผู้บัญชาการทหารบก และ นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกฝ่ายยุทธการ อย่างไรก็ตามงานในหน้าที่ผู้บังคับบัญชาทหารบกกลับอยู่ในมือของ นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช เนื่องจากมีความสามารถและความเชี่ยวชาญทางวิชาการทหารสูง จึงมีบทบาทในการจัดราชการทหารอยู่ระยะหนึ่ง ในเดือนกันยายน ปี 2476 พระยาทรงสุรเดช ได้ก่อความไม่สงบขึ้น โดยมั่นหมายที่จะเปลี่ยนแปลงบุคคลในระดับสูง ทั้งทางด้านการทหารและพลเรือนเสียใหม่ แต่ไม่สำเร็จ
เมื่อเกิดสงครามมหาเอเซียบูรพา จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะนั้น ได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ทางทหาร ด้วยการนำกำลังกองทัพบกส่วนใหญ่ขึ้นไปอยู่ทางภาคเหนือ แล้วจัดตั้งเป็นกองทัพพายัพขึ้น กับได้วางแผนการย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพฯ ไปอยู่เพชรบูรณ์ ทั้งนี้เพื่อรักษาอธิปไตยของไทยให้พ้นจากการยึดครองของญี่ปุ่น และในขณะเดียวกัน ก็พยายามรักษากำลังทัพของไทยมิให้กองทัพญี่ปุ่นปลดอาวุธ แผนการนี้เป็นแผนที่จะใช้พื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นป้อมปราการต่อสู้ตายกับศัตรู เมื่อภัยสงครามได้ทวีความรุนแรงขึ้นใน พ.ศ. 2486 กองบัญชาการกองทัพบกสนามได้อพยพส่วนหนึ่งจากกรุงเทพฯ ไปตั้งที่ ตำบลวังรุ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามแผนการย้ายเมืองหลวงดังกล่าว
กองบัญชาการกองทัพบก นอกจากจะมีที่ตั้งอยู่ภายในกระทรวงกลาโหมแล้ว ยังมีกองบัญชาการอีกส่วนหนึ่งอยู่ที่หอประชุมกองทัพบก และบริเวณสวนรื่นฤดี เขตดุสิต กล่าวคือ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2500 รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและแต่งตั้งให้ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้บัญชาการฝ่ายทหาร มีอำนาจเต็มที่ในการสั่งการแก่ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจ โดยใช้หอประชุมกองทัพบก เป็นกองบัญชาการฝ่ายทหาร ต่อมาในเดือนกันยายน เมื่อคณะทหารภายใต้การนำของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้พร้อมใจกันยึดอำนาจจากรัฐบาล (จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้ใช้หอประชุมกองทัพ เป็นกองบัญชาการผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร แต่ได้ปิดลงในระยะเวลาอันสั้น แล้วตั้งเป็น กองบัญชาการกองทัพบก ส่วนที่ 2 ขึ้นแทน ต่อมาใน พ.ศ. 2503 ได้ใช้หอประชุมกองทัพบก เป็นกองบัญชาการกองทัพบก ส่วนที่ 2 อีกครั้ง เมื่อสถานการณ์ตามแนวพรหมแดนมีปัญหาขัดแย้งบางประการ อันจะมีผลกระทบต่อประเทศไทย และใน พ.ศ. 2506 จอมพล ประภาส จารุเสถียร รองผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น ให้เปลี่ยนชื่อกองบัญชาการกองทัพบกส่วนที่ 2 เป็นศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกและใช้เรียกชื่อนี้เรื่อยมาจนปัจจุบัน แม้ว่าศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกจะย้ายมาตั้ง ณ สวนรื่นฤดี ถนนสุโขทัย เขตดุสิต ก็ตาม
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ปัจจุบันเป็นหน่วยเฉพาะกิจ ประกอบด้วย สำนักงานผู้บังคับบัญชาและฝ่ายอำนวยการต่างๆ มีภารกิจในการวางแผน อำนวยการ ประสานการปฏิบัติ และกำกับดูแลหน่วยรองของกองทัพบก และกำลังรบเฉพาะกิจในการปฏิบัติเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ และความมั่นคงของรัฐในทุกรูปแบบ
กองบัญชาการกองทัพบก สมัยปัจจุบัน
พลเอก อาทิตย์ กำลังเอก ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก พิจารณาเห็นว่า กองทัพบกเป็นสถาบันหลักสถานบันหนึ่งของประเทศ มีภารกิจในการรักษาความมั่นคงและอธิปไตยของชาติ ตลอดจนเทิดทูนและรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่ยังไม่มีกองบัญชาการเป็นสัดส่วนของตนเองเช่นเหล่าทัพอื่น ทั้งยังได้อาศัยอาคารและสถานที่ของกระทรวงกลาโหมมาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย สถานที่ดังกล่าวนอกจากจะคับแคบ ไม่เป็นเอกเทศกับตนเองแล้ว ยังไม่สมเกียรติและศักดิ์ศรีของกองทัพบกอีกด้วย ดังนั้น ผู้บัญชาการทหารบกจึงได้สั่งการให้พิจารณาหาสถานที่ก่อสร้าง "กองบัญชาการกองทัพบก" แห่งใหม่ ในระยะแรกได้พิจารณาเห็นว่า สถานที่บริเวณกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ บางเขน มีพื้นที่เพียงพอ การคมนาคมสะดวก แต่เรื่องนี้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ เนื่องจากติดขัดทางด้านงบประมาณ
ครั้นเมื่อโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ย้ายไปอยู่ ณ เขาชะโงก อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก กองทัพบกพิจารณาเห็นว่า โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเดิม ซึ่งตั้งอยู่บนถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่ที่มีความสง่างาม มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานควบคู่กับกองทัพบก นอกจากนั้น ยังมีพื้นที่กว้างขวาง การคมนาคมสะดวก เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร และเป็นเส้นทางผ่านของแขกบ้านแขกเมือง หากกองทัพบกใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นกองบัญชาการกองทัพบก นอกจากจะมีความเหมาะสมอย่างยิ่งดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังเป็นการประหยัดงบประมาณของกองทัพบกและประเทศชาติได้อีกเป็นจำนวนมาก ผู้บัญชาการทหารบก จึงได้สั่งการให้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็น กองบัญชาการกองทัพบก และได้กระทำพิธีเปิดที่ทำการของกองบัญชาการกองทัพบกครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2529 สำหรับการกำหนดสถานที่ของหน่วยงานต่างๆ ภายในกองบัญชาการกองทัพบกในครั้งนั้น ได้กำหนดให้อาคารซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของส่วนราชการโรงเรียนนายร้อยฯ เดิม (ตรงข้ามสนามมวยราชดำเนิน) เป็นที่ตั้งของกรมฝ่ายเสนาธิการ ส่วนอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของส่วนการศึกษาเดิม (ตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการ) เป็นที่ตั้งของสำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก สำนักงานตรวจบัญชีกองทัพบก และกรมการเงินทหารบก
ต่อมาสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ขอใช้ที่ดินบริเวณส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยฯ เดิม เพื่อขยายสถานที่ทำงานของทำเนียบรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2530 อนุมัติหลักการให้สำนักนายกรัฐมนตรีใช้ที่ดินและอาคารสถานที่บริเวณส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยฯ เดิม และอนุมัติให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้กองทัพบกในการก่อสร้างอาคาร "กองบัญชาการกองทัพบก" แห่งใหม่ บริเวณส่วนบัญชาการโรงเรียนนายร้อยฯ เดิม คณะกรรมการโครงการก่อสร้างกองบัญชาการกองทัพบก จึงได้พิจารณาออกแบบอาคารขนาดใหญ่ที่ทันสมัย เพื่อเป็นศูนย์รวมในการปฏิบัติงานของผู้บังคับบัญชาชั้นสูง และฝ่ายเสนาธิการต่างๆ ของกองทัพบก ให้สามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พิธีวางศิลาฤกษ์กองบัญชาการกองทัพบกแห่งใหม่นี้ได้กำหนดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2531 ระหว่างเวลา 08.49 - 09.29 นาฬิกา โดยมี พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบก รักษาราชการผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในพิธี
สำหรับหน่วยที่ใช้สถานที่ภายในอาคาร "กองบัญชาการกองทัพบก" ปัจจุบันประกอบด้วย
- อาคารส่วนที่ 1
- สำนักงานผู้บังคับบัญชาชั้นสูง
- กรมยุทธการทหารบก
- กรมข่าวทหารบก
- กรมกำลังพลทหารบก
- กรมส่งกำลังบำรุงทหารบก
- กรมกิจการพลเรือนทหารบก
- ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก
- อาคารส่วนที่ 2 และส่วนที่ 3
- ประชาสัมพันธ์ หน่วยตรวจโรค ร้านสวัสดิการ ห้องจัดเลี้ยง ห้องเตรียมอาหาร ห้องอาหารนายทหารชั้นสัญญาบัตรและนายทหารชั้นประทวน ห้องประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก หน่วยสื่อสาร ห้องสมุด
- สำนักงานที่ปรึกษา ทบ.
- ศูนย์เทคโนโลยีทางทหารกองทัพบก
- กรมสารบรรณทหารบก
- อาคารส่วนที่ 4
- สำนักงานเลขานุการกองทัพบก
- กรมการเงินทหารบก
- ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาย่อย บก.ทบ.
- อาคารส่วนที่ 5
- อาคารจอดรถสูง 9 ชั้น
ภารกิจกองทัพบก
พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2503 มาตรา14 กำหนดอำนาจและหน้าที่กระทรวงกลาโหมและหน้าที่ของกองทัพบกไว้ว่า "กองทัพบกมีหน้าที่เตรียมกำลังทางบก และป้องกันราชอาณาจักร มีผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ"
การแบ่งเหล่า
กองทัพบกไทย มีการแบ่งเหล่าทหารบก ออกเป็นเหล่าต่างๆ ดังต่อไปนี้
เหล่ารบ
เหล่ารบ เป็นเหล่าหลักที่ใช้ในการรบ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่หลักในสนามรบ ประกอบด้วย
- ทหารราบ (ร.) เป็นกำลังรบหลักของกองทัพบกไทย มีกำลังพลมากที่สุด มีหน้าที่เข้ารักษาพื้นที่
- ทหารม้า (ม.) แบ่งออกเป็นสามแบบคือ
- ทหารม้าขี่ม้า มีขีดความสามารถเทียบเท่าทหารราบ
- ทหารม้าบรรทุกยานเกราะ ยานสายพาน หรือยานหุ้มเกราะเป็นพาหนะในการรบ
- ทหารม้ารถถัง ใช้รถถังเป็นอาวุธหลัก ในการปฏิบัติการรบ
เหล่าสนับสนุนการรบ
เหล่าสนับสนุนการรบ เป็นฝ่ายสนุบสนุนการรบ โดยมากมักปฏิบัติงานควบคู่กับหน่วยรบในสนามรบ ประกอบด้วย
- ทหารปืนใหญ่ (ป.) ใช้ปืนใหญ่ ในการยิงสนับสนุนให้กับหน่วยกำลังรบ
- ทหารช่าง (ช.) เป็นฝ่ายช่วยเหลือทางเทคนิคด้านงานช่าง ก่อสร้าง ซ่อม หรือทำลาย สิ่งก่อสร้างต่างๆ
- ทหารสื่อสาร (สส.) เป็นฝ่ายช่วยเหลือทางเทคนิคด้านงานสื่อสาร
- ทหารการข่าว (ขว.)
เหล่าช่วยรบ
เหล่าช่วยรบ เป็นฝ่ายส่งกำลังหรือสิ่งอุปรณ์ช่วยเหลือการรบ โดยมากปฏิบัติงานแนวหลังในสนามรบ ประกอบด้วย
- ทหารสรรพาวุธ (สพ.) เป็นฝ่ายสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์จำพวก อาวุธ กระสุน วัตถุระเบิด ตลอดจนยานพาหนะในการรบ
- ทหารพลาธิการ (พธ.) เป็นฝ่ายสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์จำพวก อาหาร เครื่องแต่งกาย เชื้อเพลิง ยุทธภัณฑ์ส่วนบุคคล
- ทหารแพทย์ (พ.) เป็นฝ่ายสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์ในกลุ่มเวชภัณฑ์ และสิ่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงเป็นฝ่ายรักษาพยาบาลให้กับทหารและครอบครัวทหาร
- ทหารขนส่ง (ขส.) เป็นฝ่ายอำนวยความสะดวกเรื่องการขนส่งกำลังพล และสิ่งอุปกรณ์
เหล่าสนับสนุนการช่วยรบ
นอกจากนี้ยังมีหน่วยอื่นๆ ที่มิได้เป็นหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการรบโดยตรง ประกอบด้วย
- ทหารสารบรรณ (สบ.) มีหน้าที่ดำเนินการด้านธุรการ เอกสาร ทะเบียนประวัติ และงานสัสดี
- ทหารการเงิน (กง.) ปฏิบัติงานด้านการเงิน บัญชี งบประมาน และการเบิกจ่ายงบประมาน
- ทหารพระธรรมนูญ (ธน.) ดำเนินการด้านกฎหมาย การศาลทหาร และงานทนายทหาร
- ทหารแผนที่ (ผท.) มีหน้าที่สำรวจและจัดทำ แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ
- ทหารการสัตว์ (กส.) มีหน้าที่ดูแลสัตว์ในราชการกองทัพ
- ทหารดุริยางค์ (ดย.) มีหน้าที่ให้ความบันเทิง
- สารวัตรทหาร (สห.) มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและระเบียบวินัยของทหาร
การจัดส่วนราชการ
กองทัพบก จัดส่วนแบ่งส่วนราชการเป็น 6 ส่วนดังนี้
- 1.ส่วนบังคับบัญชา*
- 2.ส่วนกำลังรบ*
- 3.ส่วนสนับสนุนการรบ*
- 4.ส่วนภูมิภาค*
- 5.ส่วนการศึกษา*
- 6.ส่วนช่วยพัฒนาประเทศ*
ส่วนบังคับบัญชา
กรมฝ่ายเสนาธิการ
- กรมกำลังพลทหารบก (กพ.ทบ.)
- กรมข่าวทหารบก (ขว.ทบ.)
- กรมยุทธการทหารบก (ยก.ทบ.)
- กรมส่งกำลังบำรุงทหารบก (กบ.ทบ.)
- กรมกิจการพลเรือนทหารบก (กร.ทบ.)
- สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก (สปช.ทบ.)
กรมฝ่ายกิจการพิเศษ
- กรมสารบรรณทหารบก (สบ.ทบ.)
- กรมสวัสดิการทหารบก (สก.ทบ.)
- กรมการเงินทหารบก (กง.ทบ.)
- กรมจเรทหารบก (จบ.)
- สำนักงานประสานการวิจัยและพัฒนากองทัพบก (สวพ.ทบ.)
- สำนักงานตรวจบัญชีกองทัพบก (สตช.ทบ.)
- กรมการสารวัตรทหารบก (สห.ทบ.)
กรมฝ่ายยุทธบริการ
- กรมแพทย์ทหารบก (พบ.)
- กรมสรรพวุธทหารบก (สพ.ทบ.)
- กรมการทหารสื่อสาร (สส.)
- กรมการสัตว์ทหารบก (กส.ทบ.)
- กรมยุทธโยธาทหารบก (ยย.ทบ.)
- กรมพลาธิการทหารบก (พธ.ทบ.)
- กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.)
- กรมการทหารช่าง (กช.)
- กรมวิทยาศาสตร์ทหารบก (วศ.ทบ.)
ส่วนกำลังรบ
- กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) รับผิดชอบพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ตั้งกองบัญชาการที่กรุงเทพมหานคร หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.)
- กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.)
- กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9)
- กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) รับผิดชอบพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด ตั้งกองบัญชาการที่ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลทหารราบที่ 3 (พล.ร.3)
- กองพลทหารราบที่ 6 (พล.ร.6)
- กองทัพภาคที่ 3 (ทภ.3) รับผิดชอบพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด ตั้งกองบัญชาการที่จังหวัดพิษณุโลก หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลทหารราบที่ 4 (พล.ร.4)
- กองพลทหารม้าที่ 1 (พล.ม.1)
- กองทัพภาคที่ 4 (ทภ.4) รับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมด ตั้งกองบัญชาการที่ค่ายวชิราวุธจังหวัดนครศรีธรรมราช และมีศูนย์บัญชาการส่วนหน้าอยู่ที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เพื่อดูแลปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเฉพาะ หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลทหารราบที่ 5 (พล.ร.5)
- หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.)
- กองพลทหารราบที่ 11 (พล.ร.11)
- กองพลทหารราบที่ 15 (พล.ร.15)
- กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.)
ส่วนสนับสนุนการบ
- หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.)
- กองพลทหารปืนใหญ่ (พล.ป.)
- กองพลทหารช่าง (พล.ช)
ส่วนภูมิภาค
- กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1)
- มณฑลทหารบกที่ ๑๑ (มทบ.๑๑)
- มณฑลทหารบกที่ ๑๒ (มทบ.๑๒)
- มณฑลทหารบกที่ ๑๓ (มทบ.๑๓)
- กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2)
- มณฑลทหารบกที่ ๒๑ (มทบ.๒๑)
- มณฑลทหารบกที่ ๒๒] (มทบ.๒๒)
- กองทัพภาคที่ 3 (ทภ.3)
- มณฑลทหารบกที่ ๓๑ (มทบ.๓๑)
- มณฑลทหารบกที่ ๓๒ (มทบ.๓๒)
- มณฑลทหารบกที่ ๓๓ (มทบ.๓๓)
- กองทัพภาคที่ 4 (ทภ.4)
- มณฑลทหารบกที่ ๔๑ (มทบ.๔๑)
ส่วนการศึกษา
- กรมยุทธศึกษาทหารบก (ยศ.ทบ.)
- หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง (นสร.)
- โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (รร.จปร.)
- โรงเรียนทหารปืนใหญ่
- ศูนย์การบินทหารบก (ศบบ.)
- ศูนย์สงครามพิเศษ (ศสพ.)
ส่วนช่วยพัฒนาประเทศ
- กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1)
- กองพลพัฒนาที่ 1 (พล.พัฒนา 1)
- กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2)
- กองพลพัฒนาที่ 2 (พล.พัฒนา 2)
- กองทัพภาคที่ 3 (ทภ.3)
- กองพลพัฒนาที่ 3 (พล.พัฒนา 3)
- กองทัพภาคที่ 4 (ทภ.4)
- กองพลพัฒนาที่ 4 (พล.พัฒนา 4)
สื่อในความควบคุมของกองทัพบก
- สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.)
- สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 (ให้เอกชนเช่าสัมปทาน)
- สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ไทยโกลบอลเน็ตเวิร์ค (TGN)
- สถานีวิทยุกระจายเสียงกองทัพบก เครือข่ายทั่วประเทศ 126 สถานี
หน่วยทหารรักษาพระองค์
กิจการทหารรักษาพระองค์ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกิจการทหารสมัยใหม่ทั้งของกองทัพบกไทยและของกองทัพไทย ดังปรากฏความสำคัญในเนื้อร้องเพลงมาร์ชราชวัลลภว่า "เราเป็นกองทหาร ประวัติการณ์ก่อเกิด กำเนิดกองทัพบกชาติไทย" ทั้งนี้ ก็เนื่องจากว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดตั้งกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์นั้น หากมีเทคโนโลยีและวิทยาการทางทหารสมัยใหม่ เช่น ปืนกล การทำแผนที่ ปืนใหญ่ ก็โปรดเกล้าฯ ให้ทหารกรมนี้ทำการทดลองและฝึกหัดก่อนเป็นกรมแรก จนเมื่อปรากฏผลดีแล้วจึงค่อยขยายงานออกไปเป็นหน่วยงานใหม่ต่อไป เหล่าทหารบกต่างๆ เช่น ทหารราบ ทหารม้า ทหารช่าง เป็นต้น ก็ล้วนถือกำเนิดจากกิจการทหารรักษาพระองค์ทั้งสิ้น
สำหรับหน้าที่หลักของทหารรักษาพระองค์ นอกจากการเป็นกำลังรบของกองทัพเช่นเดียวกับหน่วยทหารอื่นๆ แล้ว ก็คือการถวายอารักขาและถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์โดยใกล้ชิด ซึ่งในปัจจุบันนี้ กองทัพบกไทยมีหน่วยทหารที่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์รวม 59 หน่วย นับได้ว่าเป็นเหล่าทัพที่มีหน่วยทหารรักษาพระองค์มากที่สุดในประเทศ โดยมีหน่วยที่สำคัญดังนี้
- กองพลที่ 1 รักษาพระองค์
- กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ฯ
- กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
- กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
- กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์
- กองพันทหารม้าที่ 29 รักษาพระองค์
- กองพันทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์
ศักย์สงครามกองทัพบก
หมายเหตุ : อธิบายคำย่อดังต่อไปนี้
- ปพ. = ปืนพก - หมายถึง ปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติ ใช้เป็นอาวุธสำรองประจำกาย
- ปลย. = ปืนเล็กยาว - หมายถึง ปืนเล็กยาว (ไรเฟิล) จู่โจมใช้กระสุนปืนยาว (เช่น 5.56 มม. หรือ 7.62 มม.) มีความสามารถในการยิงอัตโนมัติ (ยิงรัว)และเป็นปืนประจำกายของทหารส่วนใหญ่
- ปลส. = ปืนเล็กสั้น - หมายถึง ปืนที่มีความสามารถในการยิงอัตโนมัติเหมือน ปลย. แต่มีขนาดเล็กกว่า
- ปลยบ. = ปืนเล็กยาวบรรจุเอง - หมายถึง ปืนเล็กยาวที่สามารถยิงได้ในโหมดกึ่งอัตโนมัติเท่านั้น ปัจจุบันเมื่อปลย.เข้ามาแทนที่ ก็ใช้เป็นอาวุธใช้ฝึกนศท.และทหารรักษาพระองค์
- ปกม. = ปืนกลมือ - หมายถึง ปืนเล็กยาวที่ใช้กระสุนปืนสั้น (เช่น 9 มม. หรือ .45 นิ้ว) และสามารถยิงอัตโนมัติได้
- ปกบ. = ปืนกลเบา - หมายถึง ปืนใช้กระสุนปลย. แต่สามารถยิงอัตโนมัติได้ด้วยอัตราการยิงสูงกว่า ปลย. ใช้เป็นอาวุธสนับสนุนแนวหลังหรือยานหุ้มเกราะ
- ปกน. = ปืนกลหนัก - หมายถึง ปืนกลที่ใช้กระสุนขนาดค่อนข้างใหญ่ (เช่น .50 นิ้ว Browning)เช่น มีอัตราในการยิงสูงมาก ไม่สามารถถือยิงได้ เพราะแรงถีบและน้ำหนักมาก ต้องมีขาทรายใช้ตั้งระหว่างการยิง
- ปลซ. = ปืนลูกซอง -
- ค. = เครื่องยิงลูกระเบิด - หมายถึง ปืนที่ใช้ยิงแคปซูล(เช่นขนาด 40 มม.)ติดหัวรบระเบิด, ระเบิดควัน, ระเบิดแก๊ส บางรุ่นสามารถใช้ติดใต้ประกับ ปลย. ได้
- คจตถ. = เครื่องยิงจรวดต่อต้านรถถัง
- ถ.หลัก = รถถังหลัก
- ถ.เบา = รถถังเบา
- รสพ. = รถสายพานลำเลียงพลหุ้มเกราะ
- รพบ. = รถพยาบาล
- รนต. = รถยนต์นั่งตรวจการณ์
- ป. = ปืนใหญ่
- ปตอ. = ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน
- จตอ. = จรวดต่อสู้อากาศยาน
- รยบ. = รถยนต์บรรทุก
อาวุธประจำกาย
Origin | Small Arm | Type | Remark |
---|---|---|---|
เยอรมนี | Heckler & Koch HK33 | ปลย. | ปืนรองในอัตรา ใช้ฝึกนักศึกษาวิชาทหารที่ค่ายเขาชนไก่ บางส่วนมอบให้เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ ใช้เป็นอาวุธประจำกาย |
เยอรมนี | Heckler & Koch G36 | ปลย. | ปืนใหม่ ใช้ในกองกำลังที่ปฏิบัติการในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และหน่วยรบพิเศษต่างๆ |
ออสเตรีย | Steyr AUG | ปลย. | ปืนรองในอัตรา เป็นปืนไรเฟิลอัตโนมัติแบบ Bullpup (ซองกระสุนด้านหลังชุดลั่นไก) จากออสเตรีย มีใช้ค่อนข้างน้อย พบประจำการในหน่วยรบพิเศษ |
สหรัฐ | M733 | ปลย. | เป็น M16A1/A2 เวอร์ชันสั้น มีใช้ในราชการน้อยมาก บางกระบอกได้จากการนำ M16A1/A2 ที่ลำกล้องหมดอายุใช้งานนำมาเปลี่ยนเป็นลำกล้องสั้น เปลี่ยนประกับเป็นแบบสั้น |
สหรัฐ | M16A1/A2/A4 | ปลย. | ปืนหลักในอัตตรา M16A1 กำลังถูกแทนที่ด้วย TAR-21และ M16A4 ซึ่งเป็น M16 รุ่นล่าสุด สามารถถอดด้ามจับเพื่อติดอุปกรณ์ช่วยเล็งบนรางได้ |
สหรัฐ | M1 Garand | ปลย. | อาวุธของทหารรักษาพระองค์และใช้ฝึกนักศึกษาวิชาทหาร |
สหภาพโซเวียต | AK-47/AKS | ปลย. | อาวุธหลักของทหารพราน ส่วนใหญ่ยึดได้มาจากกองกำลังคอมมิวนิสต์ในสงครามเวียดนามส่วนAKSคือรุ่นที่พับพานท้ายได้ของAK-47 |
อิสราเอล | IMI Galil | ปลย. | |
สิงคโปร์ | SAR-21 | ปกบ. | เป็นปืนไรเฟิลแบบ Bullpup พบประจำการในหน่วยรบพิเศษ |
อิสราเอล | IMI Tavor TAR-21 | ปลย. | สั่งซื้อจำนวน 30,000 กระบอก กำลังได้รับมอบ เป็นปืนแบบ Bullpup |
เยอรมนี | Heckler & Koch MP5 | ปกม. | ปืนกลมือใช้กระสุน 9x19 มม |
เยอรมนี | MG3 | ปกบ. | มีใช้ในรถเกราะ V-150 |
สหรัฐ | M60 machine gun | ปกบ. | |
อิสราเอล | UZI | ปกม. | |
เบลเยียม | FN P90 | ปกม. | ปืนกลมือจากเบลเยี่ยม ใช้ในหน่วยรบพิเศษต่างๆของกองทัพไทย |
เยอรมนี | Heckler & Koch HK13 | ปกบ. | |
เบลเยียม | FN MINIMI | ปกบ. | |
เบลเยียม | FN MAG-58 | ปกบ. | |
เบลเยียม, สหรัฐ | M249 | ปกบ. | |
อิสราเอล | IMI Negev | ปกบ. | สั่งซื้อจำนวน 1,500 กระบอก กำลังได้รับมอบ |
สิงคโปร์ | Ultimax 100 | ปกบ. | |
สหรัฐ | M4A1 Carbine | ปลส. | เป็นปืน M16A3/A4 เวอร์ชันลำกล้อง 14.5 นิ้ว ใช้ในหน่วยรบพิเศษและกองกำลังที่อยู่ในย่านกรุงเทพและปริมณฑล |
สหรัฐ | M1 carbine | ปลส. | ใช้ฝึกนักศึกษาวิชาทหาร |
สหรัฐ | 93 (ฺFN Browning M2HB) | ปกน. | |
สหรัฐ | Remington 870 | ปลซ. | |
อิตาลี | Franchi SPAS-12 | ปลซ. | |
ออสเตรีย | Glock 17 | ปพ. | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ใช้กระสุนขนาด 9x19 มม. |
ออสเตรีย | Glock 23 | ปพ. | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ใช้กระสุนขนาด .40 S&W |
เยอรมนี | Heckler & Koch USP | ปพ. | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ใช้กระสุนขนาด .45 ACP พบประจำการในหน่วยรบพิเศษ |
ไทย | TYPE95 | ปพ. | พัฒนาจากปืนพกกึ่งอัตโนมัติ M1911 ขนาด .45 ACP ของกองทัพสหรัฐ |
สหภาพโซเวียต | RPG-2 | ค. | อาวุธหลักของทหารพราน |
สหภาพโซเวียต | RPG-7 | ค. | อาวุธหลักของทหารพราน |
สหรัฐ | M203 | ค. | เครื่องยิงลูกระเบิดที่สามารถติดใต้ประกับปืน M16 และ M4 ได้ทุกรุ่น |
สหรัฐ | M79 | ค. | |
สหรัฐ | Mk 19 | ค. | |
สหรัฐ | M72 LAW | คจตถ. | |
สหรัฐ | M47 Dragon | คจตถ. | |
สวีเดน | Carl Gustav recoilless rifle | คจตถ. | |
รัสเซีย | 9K38 Igla | จตอ. | 36 order. |
อาวุธหลัก
Country | Type | Quantity | Remark |
รถถังหลัก | |||
สหรัฐ | M60A3 Patton | 178 | มือสองจากกองทัพบกสหรัฐ |
สหรัฐ | M48A5 Patton | 105 | |
สาธารณรัฐประชาชนจีน | Type 69-II | 50 | จัดหาราคาพิเศษจากจีน |
รถถัง | |||
สหรัฐ | Stingray | 106 | ไทยเป็นผู้ใช้รายเดียวในโลก |
สหรัฐ | M41 Walker Bulldog | 200 | |
สหราชอาณาจักร | FV101 Scorpion | 128 | กำลังเข้ารับการปรับปรุง |
รถเกราะ | |||
ยูเครน | BTR-3E1 | 96 | กำลังรับมอบ |
สหรัฐ | M901A3 Improved TOW Vehicle | 18 | ติดจรวดต่อสู้รถถัง TOW |
สหรัฐ | V-150 | 162 | |
สหรัฐ | LAV-150 | 138 | |
สหรัฐ | M113A1/A3 APC | 340+ | |
เยอรมนี | Condor | 18 | |
เยอรมนี | Rasit | ? | |
แอฟริกาใต้ | REVA 4x4 | 85 | กำลังรับมอบ (เสียหายจากฝังระเบิดแสวงเครื่องใต้ถนน - 1 คัน) |
สาธารณรัฐประชาชนจีน | Type 85 (YW531H) | 450 | |
สหราชอาณาจักร | Alvis Saracen | ? | |
ปืนใหญ่ | |||
แคนาดา | ปืนใหญ่ลากจูง GHN-45 155 มม. | 42 | |
อิสราเอล | ปืนใหญ่ลากจูง Soltam M-71 ขนาด 155 มม. | 32 | |
สหรัฐ | ปืนใหญ่ลากจูง M198 ขนาด 155 มม. | 62 | |
สหรัฐ | ปืนใหญ่อัตตาจร M109A5 ขนาด 155 มม. | 20 | |
ฝรั่งเศส | ปืนใหญ่อัตตาจร CAESAR ขนาด 155 มม. | 6 | รับมอบแล้ว |
สหรัฐ | ปืนใหญ่ลากจูง M114 ขนาด 155 มม. | 56 | |
สาธารณรัฐประชาชนจีน | จรวดหลายลำกล้อง Type 82 ขนาด 130 มม. | 60 | |
สาธารณรัฐประชาชนจีน | ปืนใหญ่ลากจูง M1954 ขนาด 130 มม. | 15 | |
สหราชอาณาจักร | ปืนใหญ่ลากจูง L119 105 มม. | 34 | |
ฝรั่งเศส | ปืนใหญ่ลากจูง GIAT LG1 Mk II ขนาด 105 มม. | 24 | |
สหรัฐ | ปืนใหญ่ลากจูง M101 ขนาด 105 มม. | 285 | |
สหรัฐ | ปืนใหญ่ลากจูง M102 ขนาด 105 มม. | 12 | |
สหรัฐ | ปืนใหญ่ลากจูง M618A2 ขนาด 105 มม. | 32 | |
ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน | |||
สวีเดน | Bofors L40/70 ขนาด 40 มม. | 48 | |
สาธารณรัฐประชาชนจีน | Type 59 ขนาด 57 มม. | 24 | |
สาธารณรัฐประชาชนจีน | Type 74 ลำกล้องคู่ขนาด 37 มม. | 122 | |
สหรัฐ | M163 VADS แท่นหมุน 20 มม. | 24 | |
สหรัฐ | M167 VADS แท่นหมุน 20 มม. | 24 | |
สหรัฐ | M167 Vulcan | ? | |
จรวดนำวิถีต่อสู้อากาศยาน | |||
อิตาลี | ASPIDE | 1 | ประจำการที่ ปตอ.พัน.๗ |
อากาศยาน
Origin | Type | Quantity | Remark |
---|---|---|---|
เยอรมนี | British Aerospace Jetstream 41 | 2 | ลำเลียงบุคคลสำคัญ |
สหรัฐ | Beechcraft 200 King Air | 2 | ลำเลียงบุคคลสำคัญ |
สหรัฐ | Beech 1900C-1 | 2 | ลำเลียงบุคคลสำคัญ |
สเปน | Casa 212-300 | 2 | ลำเลียงบุคคลสำคัญ |
บราซิล | Embraer ERJ-135 | 2 | ลำเลียงบุคคลสำคัญและส่งกลับสายการแพทย์ |
สหรัฐ | Bell 206 Jet Ranger | 25 | ธุรการ |
สหรัฐ | Bell UH-1H | 92 | ลำเลียงทางยุทธวิธี |
สหรัฐ | Bell AH-1F Huey Cobra | 3 | โจมตี, กำลังสั่งซื้ออีก 7 ลำ |
สหรัฐ | Sikorsky S-70-43 Blackhawk | 10 | ลำเลียงทางยุทธวิธี, สั่งซื้อเพิ่มอีก 3 ลำ |
เยอรมนี | Schweizer S-300C | ~45 | ฝึก/ลาดตระเวน |
สหรัฐ | Cessna U-17B | 20 | ธุรการ |
สหรัฐ | Cessna T-41B | 30 | ฝึก/ธุรการ |
สหรัฐ | Maule MX-7 | 15 | ธุรการ |
สหรัฐ | Bell 212 | 60 | ลำเลียงทางยุทธวิธี |
รัสเซีย | Mi-17 | 6 | สั่งซื้อ. ลำเลียงทางยุทธวิธี |
สหรัฐ | CH-47D Chinook | 6 | ลำเลียงทางยุทธวิธี |
อิสราเอล | IAI Searcher | 4 | อากาศยานไร้นักบิน |
ข่าวการจัดหาอาวุธของกองทัพบก
อาวุธประจำกาย
- ปืนเล็ก, ปืนกล, และจรวดแบบใหม่ - กองทัพบกจัดหาปืนเล็กยาว TAR-21 Tavor จากอิสราเอลจำนวน 15,000 กระบอก และปืนเล็กกล Negev จากอิสราเอลจำนวน 992 กระบอก มูลค่ารวม 43.3 ล้านเหรียญสหรัฐ [1]
ในวันที่ 9 ก.ย. 2551, คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้กองทัพบกจัดหาปืนเล็กยาว TAR-21 Tavor จากอิสราเอลจำนวน 15,037 กระบอก และปืนเล็กกล Nagev จากอิสราเอลจำนวน 553 กระบอก ซึ่งเป็นการจัดหาในล็อตที่สอง นอกจากนี้ยังอนุมัติให้จัดหาจรวดต่อสู้อากาศยานแบบประทับบ่ารุ่น Igla จำนวน 36 หน่วยจากรัสเซียอีกด้วย[2]
ยุทธยานยนต์
- การจัดหารถเกราะล้อยางจากยูเครน - กองทัพบกประกาศจัดซื้อรถเกราะล้อยางซึ่งยังขาดแคลน โดยได้เลือกรถเกราะรุ่น BTR-3E1 จากประเทศยูเครนพร้อมอาวุธ จำนวน 96 คัน ในราคา 4,000 ล้านบาท [3] แต่เกิดข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับความโปร่งใสของกระบวนการการจัดหา จนรัฐมนตรีกลาโหมต้องประกาศพักโครงการและรอรัฐบาลใหม่เข้ามาสานต่อ [4] จนในที่สุดนายสมัคร สุนทรเวชก็ลงนามอนุมัติการจัดหา ซื้อกองทัพบกจะได้รับมอบในปี 2552 [5]
อากาศยานทหารบก
- เครื่องบินลำเลียงบุคคลสำคัญและส่งกลับสายการแพทย์ - กองทัพบกและกองทัพเรือร่วมกันลงนามในสัญญาจัดหาเครื่องบินแบบ ERJ-135 จากบริษัท Embraer ประเทศบราซิล จำนวน 2 ลำ เหล่าทัพละ 1 ลำ โดยกองทัพบกและกองทัพเรือจะนำไปใช้ในในสนับสนุนการเดินทางของผู้บัญชาการและบุคคลสำคัญ สำหรับเครื่องของกองทัพเรือยังเพิ่มความสามารถในการขนส่งผู้บาดเจ็บจากการสู้รบ MEDEVAC ได้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนภารกิจของทหารเรือในสามจังหวัดชายแดนใต้ [6]
วันที่ 12 มกราคม 2552 กองทัพบกได้ลงนามจัดหาเครื่องบินแบบ ERJ-135 เพิ่มเติมอีก 1 ลำเพื่อใช้ในการสนับสนุนการเดินทางของผู้บัญชาการและบุคคลสำคัญ รวมถึงขนส่งผู้บาดเจ็บจากการสู้รบ (MEDEVAC) [7]
- การจัดหาเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง - กองทัพบกจัดหาเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงแบบ Mi-17V5 จำนวน 6 ลำในสองเฟส เฟสละ 3 ลำ โดยยกเลิกโครงการซ่อมเฮลิคอปเตอร์ UH-1H จำนวน 15 ลำเนื่องจากทำการซ่อมแล้วไม่คุ้มค่าเพราะ UH-1H มีอายุมากกว่า 40 ปี.[8] ( พิจารณาถึงการเปิดเผยข้อมูลที่ที่ไม่จำเป็นด้วยครับ บางเรืองควรเป็นข้อมูงลับครับ)
ดูเพิ่ม
การทหารในประเทศไทย
ข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับกองทัพบกไทย
- รายนามผู้บัญชาการทหารบก
- รายนามแม่ทัพภาคที่ 1
- รายนามแม่ทัพภาคที่ 2
- รายนามแม่ทัพภาคที่ 3
- รายนามแม่ทัพภาคที่ 4
แหล่งข้อมูลอื่น
- เว็บไซต์กองทัพบกอย่างเป็นทางการ
- เชื่อมโยงเครือข่ายในกองทัพบก
- รูปเครื่องบินของกองทัพบกไทย ถ่ายภาพโดยคนไทย
อ้างอิง
- ↑ Defensenews.com Thai Cabinet Approves Defense Equipment Buys
- ↑ DefenseNews.com Thailand Plans $191.3M Arms Purchase
- ↑ Ukrainian Observer Online Ukraine Snags Large Armored Personnel Carrier Deal in Thailand
- ↑ The Nation Army required to clear doubt of auditor-general over APCs purchase first: Boonrawd
- ↑ Skyman Military Blogทบ. ลงนามจัดหา BTR-3E1 จากยูเครน: ข้อวิจารณ์และบทเรียนสำคัญต่อกองทัพไทย
- ↑ Embraer Press Release Embraer sign contracts with the Royal Thai Army and the Royal Thai Navy
- ↑ Flight International Thailand buys third ERJ-135
- ↑ Bangkok PostArmy to buy Russian choppers