ผลต่างระหว่างรุ่นของ "คำคล้องจอง"
Octahedron80 (คุย | ส่วนร่วม) คำคล้องจอง=rhyme |
Octahedron80 (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
'''คำคล้องจอง''' หรือ '''คำสัมผัส''' คือลักษณะอย่างหนึ่งของ[[บทกวี]] มักจะเป็น |
'''คำคล้องจอง''' หรือ '''คำสัมผัส''' คือลักษณะอย่างหนึ่งของ[[บทกวี]] มักจะเป็น[[ฉันทลักษณ์]]ในคำประพันธ์ประเภทต่าง ๆ |
||
== ลักษณะ == |
|||
'''สัมผัสบังคับ''' เรียกอีกอย่างว่า "สัมผัสนอก" หมายถึงสัมผัสที่กำหนดเป็นแบบแผนในคำประพันธ์ เป็นสัมผัสสระ คือมีเสียงสระและตัวสะกดมาตราเดียวกัน ดังนี้ |
'''สัมผัสบังคับ''' เรียกอีกอย่างว่า "สัมผัสนอก" หมายถึงสัมผัสที่กำหนดเป็นแบบแผนในคำประพันธ์ เป็นสัมผัสสระ คือมีเสียงสระและตัวสะกดมาตราเดียวกัน ดังนี้ |
||
บรรทัด 50: | บรรทัด 52: | ||
สัมผัสในของโคลงสี่สุภาพก็จะมีทั้งในวรรคเดียวกัน และระหว่างวรรคของบาทเดียวกัน ทั้งสัมผัสสระ และสัมผัสอักษร |
สัมผัสในของโคลงสี่สุภาพก็จะมีทั้งในวรรคเดียวกัน และระหว่างวรรคของบาทเดียวกัน ทั้งสัมผัสสระ และสัมผัสอักษร |
||
หากไม่มีสัมผัสอักษรระหว่างวรรคแรกกับวรรคหลังของแต่ละบาท วรรคหลังควรเป็นคำที่มีสัมผัสอักษร เสียงของโคลงก็จะฟังเลื่อนไหล |
หากไม่มีสัมผัสอักษรระหว่างวรรคแรกกับวรรคหลังของแต่ละบาท วรรคหลังควรเป็นคำที่มีสัมผัสอักษร เสียงของโคลงก็จะฟังเลื่อนไหล |
||
[[หมวดหมู่:ฉันทลักษณ์]] |
|||
{{โครงภาษา}} |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 18:20, 12 กรกฎาคม 2552
คำคล้องจอง หรือ คำสัมผัส คือลักษณะอย่างหนึ่งของบทกวี มักจะเป็นฉันทลักษณ์ในคำประพันธ์ประเภทต่าง ๆ
ลักษณะ
สัมผัสบังคับ เรียกอีกอย่างว่า "สัมผัสนอก" หมายถึงสัมผัสที่กำหนดเป็นแบบแผนในคำประพันธ์ เป็นสัมผัสสระ คือมีเสียงสระและตัวสะกดมาตราเดียวกัน ดังนี้
บาทแรก คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสกับ คำสุดท้ายของวรรคแรก ในบาทที่ 2 และ 3
บาทที่ 2 คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสกับ คำสุดท้ายของวรรคแรก ในบาทที่ 4
ในจินดามณี ฉบับพระโหราธิบดี อธิบายสัมผัสบังคับของโคลงสี่สุภาพไว้ว่า
- ให้ปลายบาทเอกนั้น มาฟัด
- ห้าที่บทสองวัจน์ ชอบพร้อง
- บทสามดุจเดียวทัด ในที่ เบญจนา
- ปลายแห่งบทสองต้อง ที่ห้าบทหลัง
สัมผัสไม่บังคับ หรือ "สัมผัสใน" หมายถึงสัมผัสที่มิได้กำหนดไว้ในบังคับของคำประพันธ์ จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ถ้ามีจะเพิ่มให้ไพเราะขึ้นตามความเหมาะสม ในคำประพันธ์ประเภทกลอนก็มีศัพท์ที่ใช้เรียกสัมผัสในลักษณะต่างๆ ไว้ ถ้าจะอนุโลมนำมาเทียบเคียงคือ
- เคียง หมายถึงสัมผัสสระเรียงชิดกัน 2 คำ
- "แหกตาหลอกกลอกคางทำหางโก่ง"
- เทียบเคียง หมายถึงสัมผัสสระเรียงชิดกัน 3 คำ
- "เห็นนกหกกกลูกรัญขวนจิต"
- ทบเคียง หมายถึงสัมผัสสระสองสระเรียงกันสระละ 2 คำ
- "เสียงเลื่อนลั่นครั่นครื้นพื้นพิภพ"
- เทียบแอก หมายถึงสัมผัสสระที่มีสระอื่นคั่น 1 สระ อยู่ปลายวรรค
- "ปีบจำปีจำปาและกาหลง"
- แทรกเคียง หมายถึงมีสระอื่นคั่น 1 สระ อยู่ต้นวรรค
- "สิ้นบุญแล้วน้องแก้วจะลาตาย"
- แทรกแอก เป็นลักษณะเดียวกับเทียบแอกแต่มีสระอื่นคั่น 2 สระ
- "แต่เห็นกันยังไม่ทันได้บอกกล่าว"
- ยมก หมายถึงการซ้ำคำ
- "ถึงวัดทองทองทาบอยู่ปลาบเปล่ง"
- คู่ หมายถึงสัมผัสอักษรชิดกัน 2 คำ
- "ที่เภทภัยสารพัดกำจัดแคล้ว"
- เทียบคู่ หมายถึงสัมผัสอักษรชิดกัน 3 คำ
- "มาแปลงเปลี่ยนแปลกไปไม่เหมือนก่อน"
- เทียมรถ หมายถึงสัมผัสอักษรชิดกัน 4 คำ
- "โอ้อกเอ๋ยอาวรณ์ต้องจรจาก"
- เทียบรถ หมายถึงสัมผัสอักษรชิดกัน 5 คำ
- "มา'โรยร่วงเรียมรศเรณูนวล"
- ทบคู่ คือสัมผัสอักษร 2 อักษรเรียงกัน 2 คำ
- "จนดาวเดือนเลื่อนลับไปจากฟ้า"
- แทรกคู่ เป็นสัมผัสอักษรที่มีอักษรอื่นคั่น 1 คำ
- "ตัวคนเดียวหลงเดินในดงแดน"
- นิสสัย หมายถึงสัมผัสอักษรระหว่างปลายวรรคหน้ากับต้นวรรคหลัง
- "ฝืนวิโยคโศกเศร้าเข้าในห้อง เห็นแท่นทองที่ประทมภิรมย์สงวน"
- นิสสิต อักษรปลายวรรคหน้าสัมผัสอักษรที่สองของวรรคหลัง
- "ให้ปลาบปลื้มมิได้ลืมละอาลัย คิดแล้วให้หวนช้ำระกำทรวง"
สัมผัสในถือเป็นอลังการทางภาษาที่งดงามของวรรณศิลป์ไทยอย่างหนึ่ง คำประพันธ์ที่แพรวพราวด้วยสัมผัสในย่อมฟังรื่นไหล แต่ทั้งนี้คำที่ใช้ต้องดีทั้งเสียง และ ความหมาย สัมผัสในของโคลงสี่สุภาพก็จะมีทั้งในวรรคเดียวกัน และระหว่างวรรคของบาทเดียวกัน ทั้งสัมผัสสระ และสัมผัสอักษร หากไม่มีสัมผัสอักษรระหว่างวรรคแรกกับวรรคหลังของแต่ละบาท วรรคหลังควรเป็นคำที่มีสัมผัสอักษร เสียงของโคลงก็จะฟังเลื่อนไหล