ผลต่างระหว่างรุ่นของ "บียอนเซ่ โนวส์"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
BotKung (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาดบทความด้วยบอต
Dolkungbighead (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 26: บรรทัด 26:
'''บียอนเซ่ จิเซลล์ โนวส์''' ({{Lang-en|Beyoncé Giselle Knowles}}) หรือเป็นที่รูจักกันในชื่อว่า '''บียอนเซ่''' เกิดเมื่อวันที่ [[4 กันยายน]] [[ค.ศ. 1981]] เธอเป็น[[นักร้อง]]สไตล์[[อาร์แอนด์บี]], [[นักแต่งเพลง]], [[โปรดิวเซอร์]], [[นักแสดง]]และ[[นางแบบ]] ชาว[[อเมริกัน]] โนวส์เกิดและเติบโตที่[[ฮิวส์ตัน]] [[รัฐเท็กซัส]] ในวัยเด็ก โนวส์ได้เข้าร่วมในการแสดงหลากหลายประเภทของโรงเรียน ซึ่งรวมไปถึงการร้องเพลง อันเป็นการปูทางสำหรับอาชีพการเป็นนักร้อง โนวส์เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในช่วงปี 1990 ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของ[[เดสทินีส์ไชลด์]] วงดนตรีหญิงล้วนชื่อดังในยุคนั้น โนวส์ได้มียอดจำหน่ายผลงานทั่วโลกกว่า 50 ล้านชุดทั่วโลกซึ่งร่วมกับกลุ่มของเธอ<ref>{{cite web|url=http://www.destinyschild.com/index3.html |title=biography |publisher[[โคลัมเบียเรเคิดส์|โคลัมเบีย]]}}</ref><ref>{{cite web|url=http://news.bbc.co.uk/1/hi/entertainment/music/4087228.stm |title=R&B stars Destiny's Child Split |date=June 13, 2005 |publisher=[[BBC]]}}</ref><ref name="Billboard">{{cite web|url=http://www.billboard.com/bbcom/search/google/article_display.jsp?vnu_content_id=1001001174 |title=Destiny's Child Prepping DVD, Hits Set |date=August 1, 2005 |publisher=[[Billboard magazine|Billboard]]}}</ref> และ มากกว่า 75 ล้านชุดตลอดชีวิตการทำงานของเธอ<ref name="Beyoncé Knowles">{{cite web|url=http://topics.nytimes.com/topics/reference/timestopics/people/k/beyonce_knowles/index.html |title=Beyoncé Knowles |date=2009-06-06 |publisher=[[The New York Times]]}}</ref>
'''บียอนเซ่ จิเซลล์ โนวส์''' ({{Lang-en|Beyoncé Giselle Knowles}}) หรือเป็นที่รูจักกันในชื่อว่า '''บียอนเซ่''' เกิดเมื่อวันที่ [[4 กันยายน]] [[ค.ศ. 1981]] เธอเป็น[[นักร้อง]]สไตล์[[อาร์แอนด์บี]], [[นักแต่งเพลง]], [[โปรดิวเซอร์]], [[นักแสดง]]และ[[นางแบบ]] ชาว[[อเมริกัน]] โนวส์เกิดและเติบโตที่[[ฮิวส์ตัน]] [[รัฐเท็กซัส]] ในวัยเด็ก โนวส์ได้เข้าร่วมในการแสดงหลากหลายประเภทของโรงเรียน ซึ่งรวมไปถึงการร้องเพลง อันเป็นการปูทางสำหรับอาชีพการเป็นนักร้อง โนวส์เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในช่วงปี 1990 ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของ[[เดสทินีส์ไชลด์]] วงดนตรีหญิงล้วนชื่อดังในยุคนั้น โนวส์ได้มียอดจำหน่ายผลงานทั่วโลกกว่า 50 ล้านชุดทั่วโลกซึ่งร่วมกับกลุ่มของเธอ<ref>{{cite web|url=http://www.destinyschild.com/index3.html |title=biography |publisher[[โคลัมเบียเรเคิดส์|โคลัมเบีย]]}}</ref><ref>{{cite web|url=http://news.bbc.co.uk/1/hi/entertainment/music/4087228.stm |title=R&B stars Destiny's Child Split |date=June 13, 2005 |publisher=[[BBC]]}}</ref><ref name="Billboard">{{cite web|url=http://www.billboard.com/bbcom/search/google/article_display.jsp?vnu_content_id=1001001174 |title=Destiny's Child Prepping DVD, Hits Set |date=August 1, 2005 |publisher=[[Billboard magazine|Billboard]]}}</ref> และ มากกว่า 75 ล้านชุดตลอดชีวิตการทำงานของเธอ<ref name="Beyoncé Knowles">{{cite web|url=http://topics.nytimes.com/topics/reference/timestopics/people/k/beyonce_knowles/index.html |title=Beyoncé Knowles |date=2009-06-06 |publisher=[[The New York Times]]}}</ref>


ในเดือนมิถุนายน [[ค.ศ. 2003]] ระหว่างการพักงานของ[[เดสทินีส์ไชลด์]] โนวส์ได้ออกอัลบั้มในฐานะศิลปินเดี่ยวเป็นครั้งแรกกับอัลบั้ม ''[[แดนเจอรัสลีอินเลิฟ|Dangerously in Love]]'' ซึ่งนับเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอัลบั้มหนึ่งในปีนั้น และยังได้รับ[[รางวัลแกรมมี]]ถึง 5 สาขาอีกด้วย และในปีเดียวกันนี้เอง เดสทินีส์ไชลด์ได้ตัดสินใจแยกวงอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้น โนวส์ได้ออกอัลบั้มตามมาอีก 2 อัลบั้มคือ ''[[B'Day]]'' ในปี [[ค.ศ. 2006]] ซึ่งเปิดตัวใน[[บิลบอร์ด]]ที่อันดับ 1 มีซิงเกิลฮิตอย่าง "Deja Vu", "Irreplaceable", และ "Beautiful Liar" อัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 3 ของเธอ ''[[I Am... Sasha Fierce]]'' ได้วางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน [[ค.ศ. 2008]] มีซิงเกิลฮิต เช่น "If I Were a Boy", "Single Ladies (Put a Ring on It)", และ "Halo" โนวส์มีซิงเกิลที่ติดอันดับ 1 อยู่ทั้งหมด 5 เพลงด้วยกัน ทำให้เธอเป็นหนึ่งในสองศิลปินหญิงที่มีเพลงติดอันดับหนึ่งมากที่สุดในช่วงค.ศ. 2000-2009 นอกจากนี้เธอยังเป็นศิลปินที่มีซิงเกิลอยู่บนอันดับหนึ่งถึง 37 สัปดาห์ ซึ่งมากที่สุดของศิลปินหญิงในทศวรรษนี้ และยังมีเพลงที่อยู่ใน5อันดับแรก และ 10อันดับแรกมากที่สุดในทศวรรษนี้เช่นกัน<ref>[http://www.billboard.com/bbcom/news/flo-rida-has-sweet-week-on-billboard-hot-1003968125.story Flo Rida Has Sweet Week On Billboard Hot 100] Billboard.com</ref><ref>[http://www.billboard.com/bbcom/chart-beat-bonus/chart-beat-depeche-mode-pet-shop-boys-oak-1003968257.story "Chart Beat: Depeche Mode, Pet Shop Boys, Oak Ridge Boys, Hannah Montana"] Billboard.com</ref>
ในเดือนมิถุนายน [[ค.ศ. 2003]] ระหว่างการพักงานของ[[เดสทินีส์ไชลด์]] โนวส์ได้ออกอัลบั้มในฐานะศิลปินเดี่ยวเป็นครั้งแรกกับอัลบั้ม ''[[แดนเจอรัสลีอินเลิฟ|Dangerously in Love]]'' ซึ่งนับเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอัลบั้มหนึ่งในปีนั้น และยังได้รับ[[รางวัลแกรมมี]]ถึง 5 สาขาอีกด้วย และในปีเดียวกันนี้เอง เดสทินีส์ไชลด์ได้ตัดสินใจแยกวงอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้น โนวส์ได้ออกอัลบั้มตามมาอีก 2 อัลบั้มคือ ''[[B'Day]]'' ในปี [[ค.ศ. 2006]] ซึ่งเปิดตัวใน[[บิลบอร์ด]]ที่อันดับ 1 มีซิงเกิลฮิตอย่าง "Deja Vu", "Irreplaceable", และ "Beautiful Liar" อัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 3 ของเธอ ''[[I Am... Sasha Fierce]]'' ได้วางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน [[ค.ศ. 2008]] มีซิงเกิลฮิต เช่น "If I Were a Boy", "Single Ladies (Put a Ring on It)", และ "Halo" โนวส์มีซิงเกิลที่ติดอันดับ 1 อยู่ทั้งหมด 5 เพลงด้วยกัน ทำให้เธอเป็นหนึ่งในสองศิลปินหญิงที่มีเพลงติดอันดับหนึ่งมากที่สุดในช่วงค.ศ. 2000-2009 นอกจากนี้เธอยังเป็นศิลปินที่มีซิงเกิลอยู่บนอันดับหนึ่งถึง 37 สัปดาห์ ซึ่งมากที่สุดของศิลปินหญิงในทศวรรษนี้ และยังมีเพลงที่อยู่ใน 5 อันดับแรก และ 10 อันดับแรกมากที่สุดในทศวรรษนี้เช่นกัน<ref>[http://www.billboard.com/bbcom/news/flo-rida-has-sweet-week-on-billboard-hot-1003968125.story Flo Rida Has Sweet Week On Billboard Hot 100] Billboard.com</ref><ref>[http://www.billboard.com/bbcom/chart-beat-bonus/chart-beat-depeche-mode-pet-shop-boys-oak-1003968257.story "Chart Beat: Depeche Mode, Pet Shop Boys, Oak Ridge Boys, Hannah Montana"] Billboard.com</ref>


โนวส์ได้เปิดตัวธุรกิจห้องเสื้อที่เธอได้ร่วมกับครอบครัว โดยใช้ชื่อว่า House of Deréon และได้เซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในกับบริษัทต่างๆ เช่น [[เป๊ปซี่]], Tommy Hilfiger, Armani และ [[L'Oréal]] จากความสำเร็จอย่างสูงของโนวส์ ทำให้เธอได้รับการยกย่องไห้เป็นศิลปินคนสำคัญคนหนึ่งของอุตสาหกรรมดนตรีในยุคปัจจุบัน และในปี [[ค.ศ. 2009]]นี้ [[ฟอร์บ|นิตรสารฟอร์บ]]ยังได้จัดอันดับไห้เธอเป็นคนดังที่มีอิทธิพลมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 อีกด้วย และในช่วงปี 2008 - 2009 เธอเป็นศิลปินที่มีรายได้มากเป็นอันดับ 3 ด้วยรายได้กว่า 87 ล้านเหรียญสหรัฐ <ref>[http://www.forbes.com/lists/2009/53/celebrity-09_Beyonce-Knowles_YA72.html #4 Beyonce Knowles - The 2009 Celebrity 100]forbes.com</ref>
โนวส์ได้เปิดตัวธุรกิจห้องเสื้อที่เธอได้ร่วมกับครอบครัว โดยใช้ชื่อว่า House of Deréon และได้เซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับบริษัทต่างๆ เช่น [[เป๊ปซี่]], Tommy Hilfiger, Armani และ [[L'Oréal]] จากความสำเร็จอย่างสูงของโนวส์ ทำให้เธอได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินคนสำคัญคนหนึ่งของอุตสาหกรรมดนตรีในยุคปัจจุบัน และในปี [[ค.ศ. 2009]]นี้ [[ฟอร์บ|นิตยสารฟอร์บ]]ยังได้จัดอันดับไห้เธอเป็นคนดังที่มีอิทธิพลมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 อีกด้วย และในช่วงปี 2008 - 2009 เธอเป็นศิลปินที่มีรายได้มากเป็นอันดับ 3 ด้วยรายได้กว่า 87 ล้านเหรียญสหรัฐ <ref>[http://www.forbes.com/lists/2009/53/celebrity-09_Beyonce-Knowles_YA72.html #4 Beyonce Knowles - The 2009 Celebrity 100]forbes.com</ref>


== ประวัติ ==
== ประวัติ ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 21:38, 3 กรกฎาคม 2552

บียอนเซ่
โนวส์ที่งานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 81 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2009
ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อเกิดบียอนเซ่ จิเซลล์ โนวส์
(Beyoncé Giselle Knowles)
รู้จักในชื่อซาชาห์ เฟียร์ซ
เกิด (1981-09-04) 4 กันยายน ค.ศ. 1981 (42 ปี) [1]
ที่เกิดแม่แบบ:Country data อเมริกา ฮิวส์ตัน, รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา
แนวเพลงอาร์แอนด์บี,ป๊อป
อาชีพนักร้อง นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ นักแสดง นางแบบ ดีไซน์เนอร์ นักเต้น
ช่วงปี1990 - ปัจจุบัน
ค่ายเพลงโคลัมเบีย
เว็บไซต์BeyonceOnline.com

บียอนเซ่ จิเซลล์ โนวส์ (อังกฤษ: Beyoncé Giselle Knowles) หรือเป็นที่รูจักกันในชื่อว่า บียอนเซ่ เกิดเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1981 เธอเป็นนักร้องสไตล์อาร์แอนด์บี, นักแต่งเพลง, โปรดิวเซอร์, นักแสดงและนางแบบ ชาวอเมริกัน โนวส์เกิดและเติบโตที่ฮิวส์ตัน รัฐเท็กซัส ในวัยเด็ก โนวส์ได้เข้าร่วมในการแสดงหลากหลายประเภทของโรงเรียน ซึ่งรวมไปถึงการร้องเพลง อันเป็นการปูทางสำหรับอาชีพการเป็นนักร้อง โนวส์เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในช่วงปี 1990 ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของเดสทินีส์ไชลด์ วงดนตรีหญิงล้วนชื่อดังในยุคนั้น โนวส์ได้มียอดจำหน่ายผลงานทั่วโลกกว่า 50 ล้านชุดทั่วโลกซึ่งร่วมกับกลุ่มของเธอ[2][3][4] และ มากกว่า 75 ล้านชุดตลอดชีวิตการทำงานของเธอ[5]

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2003 ระหว่างการพักงานของเดสทินีส์ไชลด์ โนวส์ได้ออกอัลบั้มในฐานะศิลปินเดี่ยวเป็นครั้งแรกกับอัลบั้ม Dangerously in Love ซึ่งนับเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอัลบั้มหนึ่งในปีนั้น และยังได้รับรางวัลแกรมมีถึง 5 สาขาอีกด้วย และในปีเดียวกันนี้เอง เดสทินีส์ไชลด์ได้ตัดสินใจแยกวงอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้น โนวส์ได้ออกอัลบั้มตามมาอีก 2 อัลบั้มคือ B'Day ในปี ค.ศ. 2006 ซึ่งเปิดตัวในบิลบอร์ดที่อันดับ 1 มีซิงเกิลฮิตอย่าง "Deja Vu", "Irreplaceable", และ "Beautiful Liar" อัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 3 ของเธอ I Am... Sasha Fierce ได้วางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2008 มีซิงเกิลฮิต เช่น "If I Were a Boy", "Single Ladies (Put a Ring on It)", และ "Halo" โนวส์มีซิงเกิลที่ติดอันดับ 1 อยู่ทั้งหมด 5 เพลงด้วยกัน ทำให้เธอเป็นหนึ่งในสองศิลปินหญิงที่มีเพลงติดอันดับหนึ่งมากที่สุดในช่วงค.ศ. 2000-2009 นอกจากนี้เธอยังเป็นศิลปินที่มีซิงเกิลอยู่บนอันดับหนึ่งถึง 37 สัปดาห์ ซึ่งมากที่สุดของศิลปินหญิงในทศวรรษนี้ และยังมีเพลงที่อยู่ใน 5 อันดับแรก และ 10 อันดับแรกมากที่สุดในทศวรรษนี้เช่นกัน[6][7]

โนวส์ได้เปิดตัวธุรกิจห้องเสื้อที่เธอได้ร่วมกับครอบครัว โดยใช้ชื่อว่า House of Deréon และได้เซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับบริษัทต่างๆ เช่น เป๊ปซี่, Tommy Hilfiger, Armani และ L'Oréal จากความสำเร็จอย่างสูงของโนวส์ ทำให้เธอได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินคนสำคัญคนหนึ่งของอุตสาหกรรมดนตรีในยุคปัจจุบัน และในปี ค.ศ. 2009นี้ นิตยสารฟอร์บยังได้จัดอันดับไห้เธอเป็นคนดังที่มีอิทธิพลมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 อีกด้วย และในช่วงปี 2008 - 2009 เธอเป็นศิลปินที่มีรายได้มากเป็นอันดับ 3 ด้วยรายได้กว่า 87 ล้านเหรียญสหรัฐ [8]

ประวัติ

ชีวิตในวัยเด็กและจุดกำเนิดเดสทินีส์ไชลด์ (1981-1993)

บียอนเซ่ โนวส์ เกิดเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1981 ที่เมืองฮิวส์ตัน รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เป็นลูกสาวคนโตของผู้จัดการเพลงชื่อ แมททิว โนวส์ กับ นักออกแบบเสื้อผ้าและทรงผมชื่อทีน่า บียินเซ่ เธอมีน้องสาว 1 คน คือ โซแลงก์ โนวส์ ซึ่งปัจจุบันก็เดินตามรอยพี่สาวในวงการอยู่เหมือนกัน โนวส์ถูกปลูกฝังให้มีความกล้าแสดงออกตั้งแต่เด็ก โดยทีน่าได้ให้เธอเรียนศิลปะเกี่ยวกับการดนตรีต่างๆ มากมาย

โนวส์ขึ้นเวทีโชว์ครั้งแรกในรายการประกวดร้องเพลงแสดงความสามารถเมื่ออายุ 7 ปี และได้รับรางวัลชนะเลิศจากการร้องเพลง "Imagine" ของจอห์น เลนนอน นักร้องเพลงร็อคในตำนาน[9] นอกจากนี้เธอยังร่วมอยู่ในวงประสานเสียงของโรงเรียนที่เธอกำลังศึกษาอยู่ในขณะนั้น และได้รับตำแหน่งนักร้องนำอีกด้วย

เมื่ออายุได้ 8 ขวบ แมททิวได้มีความคิดที่จะสร้างวงเกิลกรุ๊ปขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า "Girl's Tyme" ซึ่งในขณะนั้นมีสมาชิกในวงถึง 6 คน ซึ่งสองในนั้นคือ ลาทาเวีย โรเบอร์ซัน และ เคลลี โรว์แลนด์ Girl's Tyme ได้ขึ้นเวทีครั้งแรกในรายการ Star Search ซึ่งเป็นรายการประกวดร้องเพลงชื่อดังในขณะนั้น แต่ผลออกมาไม่ค่อยดี เพราะการแสดงออกมายังไม่ค่อยสมบูรณ์แบบเท่าไหร่นัก ในปี 1993 ได้มีสมาชิกใหม่เข้ามาในวงคือ เลโทย่า ลัคเก็ท ต่อมาก็คัดเหลือ 4 คน และเปลี่ยนชื่อวงเป็นเดสทินีส์ไชลด์

เดสทินีส์ไชลด์ (1994-2002)

ดูบทความหลักที่ เดสทินีส์ไชลด์

ไฟล์:800px-Beyonce Independent.jpg
โนวส์ร้องเพลง "Independent Woman Part 1" เพลงที่ฮิตที่สุดของเดสทินีส์ไชลด์

ปี 1995 เป็นปีที่สำคัญของวงนี้ จากการฝึกฝนอย่างหนักพวกเธอได้รับโอกาสออดิชั่นเข้าในสังกัดค่ายเพลงอีเลกตราเรเคิดส์ หลังจากเข้าสังกัดค่ายเพลงดังกล่าว เดสทินีส์ไชลด์ ได้รับงานโชว์ตามงานต่างๆ ต่อมาในปี 1997 ก็ได้รับโอกาสเซ็นสัญญากับค่ายเพลง โคลัมเบียเรเคิดส์

เดสทินีส์ไชลด์มีซิงเกิลแรกคือเพลง "Killing Time" ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Men In Black ไม่นานก็ได้ออกอัลบั้มชุดแรกโดยใช้ชื่อเหมือนชื่อวงคือ Destiny's Child ในปี 1998 ซิงเกิลแรกเพลง "No No No" คว้า 3 รางวัลจากเวทีงานประกาศผลรางวัลโซลเทรนมิวสิกอวอร์ดส อัลบั้มนี้ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก จนมาถึงอัลบั้ม Writing On The Wall ในปี 1999 อัลบั้มชุดที่ 2 ที่ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายกว่า 13 ล้านชุดทั่วโลก ซิงเกิลที่ออกมาล้วนเป็นที่นิยมเช่นเพลง "Bills Bills Bills" ซิงเกิลอันดับ 1 เพลงแรก และเพลง "Jumpin' Jumpin" รวมถึงเพลงที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของวงจนถึงปัจจุบันนี้อย่างเพลง "Say My Name" ซึ่งในปีนั้นคว้ารางวัลแกรมมีมาถึง 2 รางวัล[10] จากอัลบั้มนี้ทำให้พวกเธอเป็นที่จับตามองของสื่อและผู้คนมากมาย ในฐานะกลุ่มศิลปินหญิงหน้าใหม่ในยุคนั้น

แต่ก็เกิดปัญหา เมื่อสมาชิกในวงได้มีการเปลี่ยนตัว หลังจาก เลโทย่า และ โรเบอร์สัน ถูกปลดออกจากวง ก็ได้มีสมาชิกใหม่เข้ามาคือ มิเชล วิลเลียม และ ฟาร่า แฟรงคลิน ต่อมาได้ 5 เดือน ฟาร่า ได้ลาออกจากวงเนื่องจากปัญหาส่วนตัว ทำให้เดสทินีส์ไชลด์เหลือสมาชิกเพียง 3 คนคือ โนวส์, โรว์แลนด์, และวิลเลียม

ในปี 2000 พวกเธอได้ออกซิงเกิลเพลงประกอบภาพยนตร์ Charlie's Angels ประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วยการขึ้นอันดับ 1 ถึง 7 สัปดาห์ นั่นคือเพลง "Independent Women Part I" อัลบั้มชุดที่ 3 ของพวกเธอ Survivor วางขายในปี 2001 ติดอันดับบนชาร์ทบิลบอร์ด 200 ที่อันดับ 1 ด้วยยอดขายกว่า 663,000 ชุดในสัปดาห์แรก[11] และขายได้มากกว่า 10 ล้านชุดทั่วโลก และยังมีซิงเกิลที่ฮิตติดชาร์ทอีกมากมายอย่างเพลง "Survivor" และ "Bootylicious" จากอัลบั้มนี้ทำให้พวกเธอคว้ารางวัลแกรมมีมาได้อีก 1 รางวัล[12] ในต่อมาพวกเธอได้มีอัลบั้ม 8 Days of Christmas ซึ่งวางขายในปี 2001 เช่นกัน ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส หลังจากวางขายอัลบั้มแล้ว ก็ได้มีการพักงานชั่วคราว เพื่อที่สมาชิกแต่ละคนจะได้ออกผลงานเดี่ยวของตน

Dangerously in Love (2003-2005)

หลังจากโรว์แลนด์และวิลเลียมได้มีอัลบั้มเดี่ยวในปี 2002 โนวส์ก็ได้ออกมาเปิดตัวอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของเธอ Dangerously In Love ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2003 ที่ได้ร่วมงานกับบรรดาคนทำเพลงชื่อดังมากมาย อัลบั้มนี้เปิดตัวบนอัลบั้มบนชาร์ทบิลบอร์ด 200 ที่อันดับ 1 ด้วยยอดขายกว่า 317,000 ชุดในสัปดาห์แรก และยอดขายรวมจนถึงปัจจุบันถึง 15 ล้านชุดทั่วโลก

"Crazy in Love" คือซิงเกิลแรกจากอัลบั้มนี้ ที่ได้ร่วมร้องกับแฟนหนุ่มของเธอ เจย์-ซี เพลงนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากด้วยการครองอันดับ 1 บนชาร์ท บิลบอร์ดฮ็อต 100 ถึง 8 สัปดาห์ และอันดับต้นๆ ของชาร์ทเพลงในประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีซิงเกิลที่ 2 คือเพลง "Baby Boy" ที่ได้ร่วมงานกับ ฌอน พอล ซึ่งเพลงนี้กลายเป็นเพลงที่ฮิตที่สุดในปี 2003 สามารถครองอันดับ 1 บนบิลบอร์ดฮ็อต 100ได้ถึง 9 สัปดาห์[13][14] ซึ่งยาวนานกว่าเพลง "Crazy In Love" นอกจากนี้ยังมีเพลง "Me, Myself, And I" และ "Naughty Girls" เป็นซิงเกิลที่ 3 และ 4 จากอัลบั้มนี้

โนวส์ได้รับรางวัลแกรมมี่ถึง 5 สาขา[15] ในที่นี้รวมถึงรางวัลสาขาร้องเพลงอาร์แอนด์บีหญิงยอดเยี่ยม ในเพลง "Dangerously in Love 2",Best R&B Song สำหรับเพลง "Crazy in Love", และสาขาอัลบั้มอาร์แอนด์บีร่วมสมัยยอดเยี่ยม และในปีเดียวกันเธอก็ได้รับรางวัลของบริทอวอร์ดส สาขาศิลปินหญิงเดี่ยวระดับนานาชาติ[16] ถือเป็นการแจ้งเกิดในฐานะศิลปินเดี่ยวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงนั้น

Destiny Fulfilled และ ปิดฉากเดสทินีส์ไชลด์(2004-2005)

ไฟล์:800px-Say My Name Live.jpg
เดสทินีส์ไชลด์ร้องเพลง "Say My Name" ในทัวร์คอนเสิร์ต Destiny Fulfilled ... And Lovin' It World Tour

หลังจาก 3 ปีที่พวกเธอได้ทำผลงานเดี่ยว พวกเธอก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในอัลบั้มชุดที่ 4 Destiny Fulfilled ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2004 [17] อัลบั้มนี้สามารถขึ้นไปสูงสุดในอันดับอัลบั้มของบิลบอร์ดได้ในอันดับที่ 2 มีซิงเกิลที่ฮิตอย่างเพลง "Lose My Breath" , "Soldier" , "Girl" , และ "Cater 2 U" ต่อมาได้มีทัวร์คอนเสิร์ต Destiny Fulfilled ... And Lovin' It World Tour ช่วงเดือนเมษายนถึงกันยายน ปี 2005 ในปีเดียวกันก็ได้ออกอัลบั้มรวมฮิตชุดแรก #1's ที่รวบรวมซิงเกิลอันดับ 1 และเพลงฮิตทั้งหมดที่ทุกคนรู้จักตั้งแต่ก่อตั้งวงนี้มา รวมถึงเพลงพิเศษอย่าง "Stand Up For Love" ในปี 2005 จากความสำเร็จอย่างมากมาย

ความทุ่มเทในการทำงานของพวกเธอทำให้ได้รับการจารึกชื่อวง เดสทินีส์ไชลด์ลงบน Hollywood Walk of Fame ในเดือนมีนาคม ปี 2006[18] และในที่สุดวงนี้ก็ได้ประกาศยุบตัวลง เพื่อสมาชิกแต่ละคนจะได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองสนใจ เหลือเพียงตำนานและชื่อเสียงที่น่าจดจำของ กลุ่มศิลปินหญิงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล[19][20] และยังได้ตำแหน่ง 100 ศิลปินตลอดกาลที่บิลบอร์ดจัดขึ้นในปี 2008[21]

B'Day (2006–2007)

ไฟล์:450px-Beyonce sings Listen.jpg
โนวส์ร้องเพลงใน The Beyoncé Experience ปี 2007

ปี 2006 โนวส์มีผลงานแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Pink Panther ซึ่งเปิดตัวที่อันดับ 1 ในบ็อกซ์ออฟฟิศของสหรัฐอเมริกา[22] อีกทั้งเพลงประกอบภาพยนตร์อย่างเพลง "Check On It" ที่เธอได้ร่วมงานกับ Slim Thug ก็ขึ้นถึงอันดับ 1 อีกด้วย

โนวส์กลับมากับอัลบั้ม B'Day ซึ่งออกวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 2006 ซึ่งตรงกับวันเกิดอายุครบ 25 ปีของเธอพอดี อัลบั้มนี้เปิดตัวที่อันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ด ด้วยยอดขายกว่า 541,000 ชุด และเป็นอัลบั้มที่มียอดขายในสัปดาห์แรกสูงที่สุดในฐานะศิลปินเดี่ยว[23] นอกจากจะรับหน้าที่เป็นเอ็กซ์คูทีฟโปรดิวเซอร์ในอัลบั้มนี้แล้ว โนวส์ยังร่วมแต่งและโปรดิวซ์เพลงในอัลบั้มนี้ถึง 11 เพลงเลยทีเดียว ร่วมด้วยทีมงานโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงระดับซุปเปอร์สตาร์เช่น Swizz Beatz, Rich Harrison, The Neptunes, Sean Garrett, Star Gate, Jay- Z, Solange Knowles, Angela Beyince, Makeeba และ Rodney Jerkins [24]

ซิงเกิลแรกอย่าง "Déjà vu" ที่ได้เจย์-ซี มาช่วยแร็ปให้ในเพลงนี้ อยู่ภายใต้การดูแลของ Rodney Jerkins และยังได้ Sophie Muller ผู้กำกับมิวสิกวิดีโอชื่อดังมากำกับมิวสิกวิดีโอของเพลงนี้อีกด้วย และออกซิงเกิลที่ 2 ตามมาคือ เพลง "Ring The Alarm" แต่ทั้งสองซิงเกิลนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จบนในชาร์ตบิลบอร์ดฮ็อต 100 เหมือนซิงเกิลที่ผ่านๆมา จนมาถึงซิงเกิลที่ 3 เพลง "Irreplaceable" ถือเป็นเพลงที่ฮิตที่สุดในปี 2007 ซึ่งครองอันดับ 1 ถึง 10 สัปดาห์ และมียอดขายซิงเกิลกว่า 6 ล้านชุดทั่วโลก ทำให้เป็นเพลงที่มีฮิตที่สุดของเธอด้วย ต่อมา เพลง "Beautiful Liar" เป็นซิงเกิลที่อยู่ในอัลบั้ม B-Day ในแบบเดอลุกซ์อีดิชั่น เพลงนี้เธอร่วมร้องกับนักร้องสาว ชากีรา ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ ส่วนในอเมริกาขึ้นสูงสุดที่อันดับ 3[25]

โนวส์ได้มีงานแสดงภาพยนตร์เรื่อง Dreamgirls ที่ดัดแปลงมาจากละครบรอดเวย์ในปี 1981 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักร้องในยุค 60 โดยได้แรงบันดาลใจจากวงเดอะ ซูปพรีมส์ โดยยึดลักษณะตัวละครคือ ไดอาน่า รอสส์ ในเรื่องคือ ดีน่า โจนส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้โนวส์ถูกเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ถึง 2 สาขา [26]

11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 โนวส์ได้รับรางวัลแกรมมีสาขาอัลบั้มเพลงอาร์แอนด์บีร่วมสมัยยอดเยี่ยม [27] และโนวส์ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในอเมริกัน มิวสิก อวอร์ดส์ ครั้งที่ 35 โดยเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ได้รับรางวัล International Artist Award [28]

ต่อมาโนวส์ได้มีทัวร์คอนเสิร์ตชื่อว่า The Beyoncé Experience มีรอบการแสดงถึง 97 รอบทั่วโลก ทั้งใน เอเซีย, ออสเตรเลีย, อเมริกาเหนือ, ยุโรป, และ แอฟริกา เปิดทัวร์ที่ประเทศญี่ปุ่นและสิ้นสุดที่ ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ทัวร์นี้ได้มีการบันทึกภาพที่ ลอสแอนเจลิส และวางขายเป็นดีวีดีในปีเดียวกัน โดยใช้ชื่อว่า The Beyonce Experience Live และในวันที่ 30 ตุลาคม 2007 เธอได้มาเปิดคอนเสิร์ตในประเทศไทย ที่อิมแพคอารีน่า เมืองทองธานี โดยผู้จัดคือ บริษัท บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)[29] ท่ามกลางความตื่นเต้นและรอคอยของแฟนคลับชาวไทย

I Am… Sasha Fierce (2008-ปัจจุบัน)

ไฟล์:Beyonce NAACP 09.jpg
โนวส์รับรางวัล NAACP Image Awards ครั้งที่ 40 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2009

หลังเสร็จจากการทัวร์ The Beyoncé Experience โนวส์ได้มีซิงเกิลพิเศษ "Honesty" วางขายเฉพาะที่ประเทศญี่ปุ่นเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 10 ปีของวงเดสทินีส์ไชลด์ และในเดือนพฤษภาคมปี 2008 เธอได้เข้าพิธีแต่งงานกับเจย์-ซี[30] แฟนหนุ่มที่คบหากันมานาน โดยงานจัดขึ้นอย่างเล็กๆ ในปัจจุบันยังไม่มีใครเห็นภาพบรรยากาศในงานนอกจากผู้ที่ไปร่วมงานเท่านั้น และได้เธอมีซิงเกิลเพลง "Just Stand Up" ซึ่งเป็นซิงเกิลการกุศลในโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง Stand Up To Cancer

ต่อมาโนวส์ได้มีงานภาพยนตร์นั่นก็คือ Cadillac Records ที่เริ่มถ่ายทำในเดือน พฤษภาคม 2008 ซึ่งเธอรับบทเป็นนักร้องในตำนาน เอตต้า เจมส์ โดยเธอได้นำเพลงประกอบภาพยนตร์ "At Last" ไปร้องในงานพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีบารัค โอบามา[31] ซึ่งเธอกล่าวว่าถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจในชีวิตของเธอเลยทีเดียว และโนวส์ก็ได้มีภาพยนตร์แนวระทึกขวัญเรื่อง Obsessed ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดฉายในสหรัฐอเมริกาในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2009 ในวันแรกภาพยนตร์เรื่องนี้กวาดเงินไปได้กว่า 11.1 ล้านเหรียญสหรัฐ และในสุดสับดาห์ก็มียอดจำหน่ายในบ็อกออฟฟิศของสหรัฐอเมริกาเป็นที่ 1 ด้วยยอดจำหน่ายทั้งหมด 28.6 ล้านเหรียญสหรัฐ [32]

โนวส์กลับมาอีกครั้งในช่วงปลายปี กับอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 3 มีชื่อว่า I Am... Sasha Fierce วางขายเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008.[33] โดยโนวส์ได้เผยว่า ซาช่า เฟี๊ยส คือภาพลักษณ์ของเธอเวลาอยู่บนเวทีที่จะเต็มที่ เปรี้ยวแรง และทุ่มเท ต่างกับตัวจริงของเธอที่จะเป็นคนเงียบๆ และเรียบง่าย มีซิงเกิลแรกและซิงเกิลที่สองออกมาพร้อมกัน 2 เพลง คือ "If I Were A Boy" และ "Single Ladies (Put The Ring On It)" ในวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 2008 ที่ต่างประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งคู่ โดย "If I Were A Boy" มียอดขายซิงเกิลกว่า 5 ล้านชุดทั่วโลก และ "Single Ladies (Put a Ring on It)" นั้นสามารถขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ดฮ็อต 100 ซึ่งนับเป็นซิงเกิลอันดับหนึ่งในบิลบอร์ดเพลงที่ 5 ของโนวส์ในฐานะศิลปินเดี่ยว และซิงเกิลที่ 4 ของอัลบั้มนี้ "Halo" สามารถขึ้นไปสูงสุดในบิลบอร์ดได้ถึงอันดับที่ 5 ทำให้เป็นซิงเกิลที่ 12 ที่สามรถติดอันดับ 1 ใน 10 ของบิลบอร์ดได้ในฐานะศิลปินเดี่ยว และมันก็ทำให้เธอเป็นศิลปินหญิงที่มีเพลงอยู่ในสิบอันดับแรกมากที่สุดในทศวรรษนี้ [34][35]

ต่อมาโนวส์ได้มีทัวร์คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งที่ 3 ใช้ชื่อทัวร์ว่า I Am... Tour มีรอบการแสดง 84 รอบ โดยเริ่มทัวร์ในช่วงเดือนมีนาคมที่เมืองเอ็ดมันตัน รัฐแอลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา ทัวร์จะไปในอเมริกาเหนือ, ยุโรป, เอเซีย, และโอเชียเนีย

18 มกราคม ค.ศ. 2009 โนวส์ได้รับรางวัล NAACP Image Awards สาขาศิลปินหญิงยอดเยี่ยม [36] และในวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 2009 เธอก็ได้รับรางวัล ฺBET Awards 2 สาขา คือสาขาศิลปินอาร์แอนด์บีหญิงยอดเยี่ยม[37] และวีดีโอแห่งปี จาก มิวสิกวีดีโอเพลง "Single Ladies (Put a Ring on It)"[38] ซึ่งในปีนี้เธอได้รับการเข้าชิงถึง 5 รางวัลด้วยกัน"[39]

กิจกรรมการกุศลและงานอื่นๆ

กิจกรรมการกุศล

ไฟล์:1062774012 526e4c17f6 b.jpg
โนวส์ และ ราสมูส ช่วยกันบรรจุสิ่งของบริจาค ขององค์กร "Survivor Foundation"

โนวส์ร่วมกับเคลลี โรว์แลนด์ และครอบครัวของทั้งสอง ได้เปิดองค์กรช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยใช้ชื่อว่า "Survivor Foundation"[40] ในปี 2005 องค์กรนี้ได้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา ในพื้นที่รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอเอง และในขณะทัวร์คอนเสิร์ต The Beyoncé Experience บียอนเซ่ได้ออกเดินทางแจกจ่ายอาหารเครื่องใช้ให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่เหล่านั้นอีกด้วย

ในปี 2008 โนวส์ได้รับจารึกชื่อเข้าสู่ International Pediatric Hall of Fame ของ Miami Children's Hospital[41] ซึ่งเป็นโรงพยาบาลดูแลเด็กพิการ หลังจากที่เธอได้เข้าช่วยเหลือด้วยการบริจาคเงินและเข้าเยี่ยมเด็กๆ อย่างสม่ำเสมอ ในขณะถ่ายทำภาพยนตร์ Cadillac Records บียอนเซ่ได้เข้าศึกษาลักษณะผู้ป่วยติดยาเสพติดในสถานบำบัด เพื่อใช้ในการแสดงภาพยนตร์ดังกล่าว และเธอยังได้บริจาคเงินส่วนหนึ่งอีกด้วย

ในช่วงของทัวร์คอนเสิร์ต I Am... Tour โนวส์ได้รับเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแคมเปญ Show Your Helping Hand [42] เพื่อช่วยเหลือเด็กที่อดอยาก และในเวลาไม่นานเธอก็ได้ขึ้นเวทีการการกุศสลขององค์กร Charles & Phyllis Newman Foundation ร่วมกับโซแลงก์ โนวส์ น้องของเธอ ซึ่งองค์กรนี้ได้ร่วมมือกับองค์กรช่วยเหลือประชาชนของครอบครัวเธอเองด้วย(องค์กร Survivor Foundation) โดยคอนเสิร์ตครั้งนี้จัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนองค์กรดังกล่าว ซึ่งคอนเสิร์ตนี้ได้จัดขึ้นวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 2009

งานโฆษณา

โนวส์ได้ร่วมงานเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับเครื่องดื่มเป๊ปซี่[43] โดยมีวิดีโอโปรโมทในช่วงปี 2004 โดยได้ร่วมงานกับ บริตนีย์ สเปียรส์, พิงก์, เจนนิเฟอร์ โลเปซ และ เดวิด เบคแคม นอกจากเครื่องดื่มแล้วยังมีเครื่องสำอางหรือสินค้าที่เกี่ยวกับความสวยความงามเช่น L'Oréal ซึ่งเซ็นต์สัญญาเมื่อช่วงปี 2003 ทำเงินให้เธอกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใต้โปรเจกต์ True Star โดยในวิดีโอประชาสัมพันธ์เธอได้นำเพลง Wishing on a Star มาร้องประกอบด้วย และเธอยังเซ็นต์สัญญากับน้ำหอม Emporio Armani's Diamonds ในปี 2007 เธอได้บันทึกเสียงและประชาสัมพันธ์ให้กับงานโฆษณา โดยมีเพลงชื่อ Diamonds Are A Girl Best Friend

House of Deréon

ปี 2005 โนวส์เปิดตัวธุรกิจห้องเสื้อที่เธอได้ร่วมมือกับทีน่า โนวส์(แม่ของเธอ) โดยใช้ชื่อว่า House of Deréon[44] (Deréon คือชื่อยายของเธอ) ซึ่งงานออกแบบได้รับแรงบันดาลใจมาจากบรรพบุรุษในตระกูล ทัวร์คอนเสิร์ต Destiny Fulfilled ... And Lovin' It World Tour ของเดสทินีส์ไชลด์ ได้เลือกใช้ชุดจากห้องเสื้อนี้ของเธอเองทั้งหมด ปัจจุบันได้มีการประยุกต์ธุรกิจนี้ร่วมกับผลงานของเธอที่ออกมาในขณะนั้นด้วย

ชีวิตส่วนตัว

ตั้งแต่ปี 2002 โนวส์ได้เริ่มคบหาดูใจกับแร็ปเปอร์หนุ่มชื่อว่า เจย์-ซีซึ่งเป็นบุคคลที่คอยช่วยเหลือเธอมาโดยตลอด ข่าวลือต่างๆได้เริ่มตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองคน หลังจากที่โนวส์ได้ร่วมร้องเพลงกับเจย์-ซี ในเพลง "'03 Bonnie and Clyde"[45] และในปี 2005 ข่าวลือต่างๆก็ได้กระจายไปทั่วว่าบียอนเซ่ และ เจย์-ซี จะแต่งงานกัน แต่เมื่อได้สอบถามกับตัวโนวส์แล้ว เธอได้บอกว่าตัวเธอกับเจย์-ซีนั้นยังไม่ได้หมั่นหมายกันไว้แต่อย่างใด[46] และเมื่อผู้สื่อข่าวได้ถามได้ถามอีกครั้งในเดือนกันยายน ปี 2007 เจย์-ซีก็ได้ตอบว่า "One day soon - let's leave it at that." Laura Schreffler[47] ซึ่งเป็นนักเขียนอาวุโสของนิตยสาร OK! กล่าวว่า "พวกเขาเป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัวเอามากๆ"[48]

ในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2008 โนวส์กับเจย์-ซีได้แต่งงานกันเมืองนิวยอร์กซิตี้[49] แต่โนวส์ก็ไม่ได้เป็นตัวเกี่ยวกับแหวนแต่งงานของเธอ จนกระทั่งงาน Fashion Rocks concert ในวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 2008

ผลงาน

ดูบทความหลักที่ ผลงานของบียอนเซ่ โนวส์

โนวส์เริ่มทำอัลบั้มเดี่ยวหลังจากที่มีการพักงานชั่วคราวของเดสทินีส์ไชลด์ในปี 2003 เธอได้มีสตูดิโออัลบั้มทั้งหมด 3 อัลบั้ม โดยทั้ง 3 อัลบั้มนี้สามารถขึ้นไปสู่อันดับหนึ่งของชาร์ตอันดับอัลบั้มของ บิลบอร์ด 200 ได้ทั้งหมด[50][51][52] มีอัลบั้มมิกซ์ 2 อัลบั้ม คือ Speak My Mind และ Above and Beyoncé: Dance Mixes อีพี 1 อัลบั้ม คือ Irreemplazable และมีวีดีโอทั้งหมด 6 ชุด

ผลงานการแสดง

นอกจากงานเพลง โนวส์ยังโดดเด่นในเรื่องการแสดง โดยส่วนมากจะรับบทที่มีอาชีพตรงกับชีวิตเธอนั่นก็คือนักร้อง โดยงานแสดงทั้งหมดมีดังนี้

ปี เรื่อง บทบาท
2001 Carmen: A Hip Hopera Carmen
2002 Austin Powers in Goldmember Foxxy Cleopatra
2003 The Fighting Temptations Lilly
2004 Fade to Black ตัวเธอเอง
2006 The Pink Panther Xania
Dreamgirls Deena Jones
2008 Cadillac Records Etta James
2009 Obsessed Sharon Charles

อ้างอิง

  1. Beyoncé: Biography music.msn.com
  2. "biography". {{cite web}}: ข้อความ "publisherโคลัมเบีย" ถูกละเว้น (help)
  3. "R&B stars Destiny's Child Split". BBC. June 13, 2005.
  4. "Destiny's Child Prepping DVD, Hits Set". Billboard. August 1, 2005.
  5. "Beyoncé Knowles". The New York Times. 2009-06-06.
  6. Flo Rida Has Sweet Week On Billboard Hot 100 Billboard.com
  7. "Chart Beat: Depeche Mode, Pet Shop Boys, Oak Ridge Boys, Hannah Montana" Billboard.com
  8. #4 Beyonce Knowles - The 2009 Celebrity 100forbes.com
  9. Beyoncé Knowles Biography People.com
  10. 43th Grammy Awards - 2001 rockonthenet.com
  11. Destiny's Child Shoot Straight To No. 1 Billboard (Nielsen Business Media, Inc.)
  12. 44th Grammy Awards - 2002 rockonthenet.com
  13. Beyonce, Sean Paul Creep Closer To No. 1 billboard (Nielsen Business Media, Inc)
  14. "Stand Up" Ends "Baby Boy" Reign billboard (Nielsen Business Media, Inc
  15. 46th Grammy Awards - 2004 CNN.com
  16. [http://www.bbc.co.uk/radio1/news/brits2004/winners.shtml Brit Awards 2004 winners ] BBC UK.
  17. Destiny's Child's Long Road To Fame (The Song Isn't Called 'Survivor' For Nothing) mtv.com
  18. Destiny's Child gets Walk of Fame star msnbc.msn.com
  19. "Beyonce Knowles". Time. สืบค้นเมื่อ 2008-04-12.
  20. Keller, Julie (2005-09-01). "Destiny's World Domination". Yahoo! Music. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
  21. "The Billboard Hot 100 All-Time Top Artists". Billboard. Nielsen Business Media, Inc. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
  22. THE PINK PANTHER (2006) boxofficemojo.com
  23. Beyonce's 'B-Day' Makes Big Bow At No. 1 billboard.com
  24. More >> B'day beyoncethailand.net
  25. Beyoncé and Shakira - Beautiful Liar acharts.us
  26. [1] timesonline.co.uk
  27. ผลรางวัลแกรมมี่ 2007 manager.co.th
  28. "Beyoncé Knowles: Biography - Part 2" People.
  29. "The Beyoncé Experience Tour” Live in Bangkok 2007 thaiticketmajor.com
  30. Beyoncé Finally Opens Up About Secret Wedding people.com
  31. [http://jezebel.com/5135849/beyonce-brings-it-at-obamas-inaugural-ball-first-dance Beyonce Brings It At Obamas' Inaugural Ball First Dance] jezebel.com
  32. http://www.boxofficemojo.com/news/?id=2580&p=.htm Box Office Mojo
  33. Vineyard, Jennifer (October 8, 2008). "Beyonce Releases Two Tracks From I Am ... , Inspired By Jay-Z And Etta James". MTV.com.
  34. Flo Rida Has Sweet Week On Billboard Hot 100 Billboard.com
  35. "Chart Beat: Depeche Mode, Pet Shop Boys, Oak Ridge Boys, Hannah Montana" Billboard.com
  36. Hudson tops winners at NAACP Image Awards cbc.ca
  37. Best Female R&B Artist Black Entertainment Television LLC
  38. Video Of The Year Black Entertainment Television LLC
  39. [http://www.bet.com/specials/betawards09/betawards09_nominees BET Awards Title Nominees] Black Entertainment Television LLC
  40. The Survivor Foundation findarticles.com
  41. Hall of Fame - Miami Children Hospital FoundationMCHF.org
  42. show your helping hand help fight hunger showyourhelpinghand.com
  43. Destiny's Child star Beyonce Knowles signs for Pepsi brandrepublic.com
  44. House of Deréon sojones.com
  45. "Beyoncé Knowles: Biography - Part 1"People.com
  46. Beyonce Shoots Down Jay-Z Marriage Rumors In Vanity Fair Interview MTV News
  47. Jay-Z And Beyonce Are Getting Married ... 'One Day Soon,' Jay Says MTV News
  48. Jay-Z And Beyonce Are Still Staying Quiet About Their Reported Wedding ... But Why? MTV News
  49. "Beyonce's ring revealed!" นิตยสาร People 70
  50. Beyoncé - Dangerously In Love acharts.us
  51. Beyoncé - B'day acharts.us
  52. Beyoncé - I Am Sasha Fierce acharts.us

แหล่งข้อมูลอื่น

  • BeyonceOnline.com เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
  • BeyonceWorld.net เว็บไซต์แฟนคลับของบียอนเซ่อย่างเป็นทางการ
  • BeyonceThailand.net เว็บไซต์แฟนคลับของบียอนเซ่ในประเทศไทย