ผลต่างระหว่างรุ่นของ "บียอนเซ่ โนวส์"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Loveisintheair (คุย | ส่วนร่วม)
Loveisintheair (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 74: บรรทัด 74:
[[ไฟล์:450px-Beyonce sings Listen.jpg|thumb|right|โนวส์ร้องเพลงใน The Beyoncé Experience ปี 2007]]
[[ไฟล์:450px-Beyonce sings Listen.jpg|thumb|right|โนวส์ร้องเพลงใน The Beyoncé Experience ปี 2007]]


ปี 2006 โนวส์มีงานแสดงในภาพยนตร์เรื่อง ''The Pink Panther'' ได้เปิดตัวที่อันดับ 1 บนชาร์ท Box Office ของ[[สหรัฐอเมริกา]]<ref>[http://www.boxofficemojo.com/movies/?id=pinkpanther05.htm THE PINK PANTHER (2006)] boxofficemojo.com</ref> อีกทั้งเพลงประกอบภาพยนตร์อย่างเพลง "Check On It" ที่เธอได้ร่วมงานกับ Slim Thug ก็ขึ้นถึงอันดับ 1 อีกด้วย
ปี 2006 โนวส์มีผลงานแสดงในภาพยนตร์เรื่อง ''The Pink Panther'' ซึ่งเปิดตัวที่อันดับ 1 ในบ็อกซ์ออฟฟิศของ[[สหรัฐอเมริกา]]<ref>[http://www.boxofficemojo.com/movies/?id=pinkpanther05.htm THE PINK PANTHER (2006)] boxofficemojo.com</ref> อีกทั้งเพลงประกอบภาพยนตร์อย่างเพลง "Check On It" ที่เธอได้ร่วมงานกับ Slim Thug ก็ขึ้นถึงอันดับ 1 อีกด้วย


บียอนเซ่กลับมากับอัลบั้ม ''B’Day'' ซึ่งจะวางจำหน่ายในอเมริกาวันที่ [[4 กันยายน]] [[ค.ศ. 2006]] ซึ่งตรงกับวันเกิดอายุครบ 25 ปีของเธอพอดี อัลบั้มนี้เปิดตัวบนอัลบั้มบนชาร์ท BillBoard Top 200 ที่อันดับ 1 ด้วยยอดขายกว่า 541,000 ชุด และเปินอัลบั้มที่มียอดขายในสัปดาห์แรกสูงที่สุดในฐานะศิลปินเดี่ยว<ref>[http://www.billboard.com/bbcom/search/google/article_display.jsp?vnu_content_id=1003121337 Beyonce's 'B-Day' Makes Big Bow At No. 1] billboard.com</ref> นอกจากจะรับหน้าที่เป็น Executive Producer ในอัลบั้มนี้แล้วบียอนเซ่ยังร่วมแต่งและโปรดิวซ์เพลงในอัลบั้มนี้ถึง 11 เพลงเลยทีเดียว ร่วมด้วยทีมงานโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงระดับซุปเปอร์สตาร์เช่น Swizz Beatz, Rich Harrison, The Neptunes, Sean Garrett, Star Gate, Jay- Z, Solange Knowles, Angela Beyince, Makeeba และ Rodney Jerkins <ref>[http://www.beyoncethailand.net/music/album/bday/more.html More >> B'day] beyoncethailand.net</ref>
โนวส์กลับมากับอัลบั้ม ''B’Day'' ซึ่งออกวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ [[4 กันยายน]] [[ค.ศ. 2006]] ซึ่งตรงกับวันเกิดอายุครบ 25 ปีของเธอพอดี อัลบั้มนี้เปิดตัวที่อันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ด ด้วยยอดขายกว่า 541,000 ชุด และเป็นอัลบั้มที่มียอดขายในสัปดาห์แรกสูงที่สุดในฐานะศิลปินเดี่ยว<ref>[http://www.billboard.com/bbcom/search/google/article_display.jsp?vnu_content_id=1003121337 Beyonce's 'B-Day' Makes Big Bow At No. 1] billboard.com</ref> นอกจากจะรับหน้าที่เป็นเอ็กซ์คูทีฟโปรดิวเซอร์ในอัลบั้มนี้แล้ว โนวส์ยังร่วมแต่งและโปรดิวซ์เพลงในอัลบั้มนี้ถึง 11 เพลงเลยทีเดียว ร่วมด้วยทีมงานโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงระดับซุปเปอร์สตาร์เช่น Swizz Beatz, Rich Harrison, The Neptunes, Sean Garrett, Star Gate, Jay- Z, Solange Knowles, Angela Beyince, Makeeba และ Rodney Jerkins <ref>[http://www.beyoncethailand.net/music/album/bday/more.html More >> B'day] beyoncethailand.net</ref>


ซิงเกิลแรกด้วยเพลง "Déjà vu" ที่ได้[[เจย์-ซี]] มาช่วยแร็ปในเพลงนี้ให้ ภายใต้การดูแลของ Rodney Jerkins และยังได้ Sophie Muller (Gwen Stefani, Sade ) ผู้กำกับ MV ชื่อดังมากำกับ[[มิวสิกวิดีโอ]]เพลงนี้อีกด้วย และซิงเกิ้ลที่ 2เพลง "Ring The Alarm" แต่ทั่งสองซิงเกิ้ลนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักบน [[บิลบอร์ดฮ็อต 100]] เหมือนซิงเกิลที่ผ่านๆมา จนมาถึงซิงเกิลที่ 3 เพลง "Irreplaceable" ถือเป็นเพลงที่ฮิตที่สุดในปี 2006 ซึ่งครองอันดับ 1 ถึง 10 สัปดาห์ และเป็นซิงเกิลอันดับ 1 เพลงที่ 4 ของเธอ ปลายปีนั้น ต่อมา เพลง "Beautiful Liar" เป็นซิงเกิ้ลที่อยู่ในอัลบั้ม B-Day ในแบบเดอลุกซ์อีดิชั่น เพลงนี้เธอร่วมร้องกับนักร้องสาว [[ชากีรา]] ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ ส่วนในอเมริกาขึ้นสูงสุดที่อันดับ 3<ref>[http://acharts.us/song/12369 Beyoncé and Shakira - Beautiful Liar] acharts.us</ref>
ซิงเกิลแรกอย่าง "Déjà vu" ที่ได้[[เจย์-ซี]] มาช่วยแร็ปให้ในเพลงนี้ อยู่ภายใต้การดูแลของ Rodney Jerkins และยังได้ Sophie Muller ผู้กำกับมิวสิกวิดีโอชื่อดังมากำกับ[[มิวสิกวิดีโอ]]ของเพลงนี้อีกด้วย และออกซิงเกิลที่ 2 ตามมาคือ เพลง "Ring The Alarm" แต่ทั้งสองซิงเกิลนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จบนในชาร์ต[[บิลบอร์ดฮ็อต 100]] เหมือนซิงเกิลที่ผ่านๆมา จนมาถึงซิงเกิลที่ 3 เพลง "Irreplaceable" ถือเป็นเพลงที่ฮิตที่สุดในปี 2006 ซึ่งครองอันดับ 1 ถึง 10 สัปดาห์ และเป็นซิงเกิลอันดับ 1 เพลงที่ 4 ของเธอ ปลายปีนั้น ต่อมา เพลง "Beautiful Liar" เป็นซิงเกิลที่อยู่ในอัลบั้ม B-Day ในแบบเดอลุกซ์อีดิชั่น เพลงนี้เธอร่วมร้องกับนักร้องสาว [[ชากีรา]] ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ ส่วนในอเมริกาขึ้นสูงสุดที่อันดับ 3<ref>[http://acharts.us/song/12369 Beyoncé and Shakira - Beautiful Liar] acharts.us</ref>


เธอได้มีงานแสดงภาพยนตร์เรื่อง ''Dreamgirls'' ที่ดัดแปลงมาจาก[[ละครบรอดเวย์]]ในปี 1981 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักร้องในยุค 60 โดยได้แรงบันดาลใจจากวง[[เดอะ ซูปพรีมส์]] โดยยึดลักษณะตัวละครคือ [[ไดอาน่า รอสส์]] ในเรื่องคือ ดีน่า โจนส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้บียอนเซ่ถูกเสนอชื่อชิง[[รางวัลลูกโลกทองคำ]] ถึง 2 สาขา <ref>[http://www.timesonline.co.uk/article/0,,3-2505178,00.html] timesonline.co.uk</ref>
โนวส์ได้มีงานแสดงภาพยนตร์เรื่อง ''Dreamgirls'' ที่ดัดแปลงมาจาก[[ละครบรอดเวย์]]ในปี 1981 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักร้องในยุค 60 โดยได้แรงบันดาลใจจากวง[[เดอะ ซูปพรีมส์]] โดยยึดลักษณะตัวละครคือ [[ไดอาน่า รอสส์]] ในเรื่องคือ ดีน่า โจนส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้โนวส์ถูกเสนอชื่อชิง[[รางวัลลูกโลกทองคำ]] ถึง 2 สาขา <ref>[http://www.timesonline.co.uk/article/0,,3-2505178,00.html] timesonline.co.uk</ref>


[[11 กุมภาพันธ์]] [[ค.ศ. 2007]] บียอนเซ่ได้รับรางวัลแกรมมี่สาขาอัลบั้มเพลงอาร์แอนด์บีร่วมสมัยยอดเยี่ยม <ref>[http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9500000017086 ผลรางวัลแกรมมี่ 2007] manager.co.th</ref> และโนวส์ก็ได้ประวัติศาสตร์ใหม่ใน 35th Annual [[American Music Awards]] โดยเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลสาขา International Artist Award <ref>[http://www.people.com/people/beyonce_knowles/biography/0,,20004431_10,00.html "Beyoncé Knowles: Biography - Part 2"] ''People.''</ref>
[[11 กุมภาพันธ์]] [[ค.ศ. 2007]] โนวส์ได้รับรางวัลแกรมมีสาขาอัลบั้มเพลงอาร์แอนด์บีร่วมสมัยยอดเยี่ยม <ref>[http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9500000017086 ผลรางวัลแกรมมี่ 2007] manager.co.th</ref> และโนวส์ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ใน[[อเมริกัน มิวสิก อวอร์ดส์]] ครั้งที่ 35 โดยเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ได้รับรางวัล International Artist Award <ref>[http://www.people.com/people/beyonce_knowles/biography/0,,20004431_10,00.html "Beyoncé Knowles: Biography - Part 2"] ''People.''</ref>


ต่อมาโนวส์ได้มีทัวร์คอนเสิร์ตชื่อว่า The Beyoncé Experience มีรอบแสดงถึง 97 รอบทั่วโลก ทั้งใน [[เอเซีย]], [[ออสเตรเลีย]], [[อเมริกาเหนือ]], [[ยุโรป]], และ [[แอฟริกา]] เปิดทัวร์ที่[[ประเทศญี่ปุ่น]]และสิ้นสุดที่ [[ลาสเวกัส]] [[สหรัฐอเมริกา]] ทัวร์นี้ได้มีการบันทึกภาพที่ [[ลอสแอนเจลิส]] และวางขายเป็นดีวีดีในปีเดียวกัน โดยใช้ชื่อว่า The Beyonce Experience Live, ในวันที่ 30 ตุลาคม 2007 เธอได้มาเปิดคอนเสิร์ตในประเทศไทย ที่อิมแพคอารีน่า เมืองทองธานี โดยผู้จัดผู้จัด บริษัท บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)<ref>[http://www.thaiticketmajor.com/concert/beyonce07.php "The Beyoncé Experience Tour” Live in Bangkok 2007] thaiticketmajor.com</ref> ท่ามกลางความตื่นเต้นและรอคอยของแฟนคลับชาวไทย
ต่อมาโนวส์ได้มีทัวร์คอนเสิร์ตชื่อว่า The Beyoncé Experience มีรอบการแสดงถึง 97 รอบทั่วโลก ทั้งใน [[เอเซีย]], [[ออสเตรเลีย]], [[อเมริกาเหนือ]], [[ยุโรป]], และ [[แอฟริกา]] เปิดทัวร์ที่[[ประเทศญี่ปุ่น]]และสิ้นสุดที่ [[ลาสเวกัส]] [[สหรัฐอเมริกา]] ทัวร์นี้ได้มีการบันทึกภาพที่ [[ลอสแอนเจลิส]] และวางขายเป็นดีวีดีในปีเดียวกัน โดยใช้ชื่อว่า The Beyonce Experience Live และในวันที่ 30 ตุลาคม 2007 เธอได้มาเปิดคอนเสิร์ตในประเทศไทย ที่[[อิมแพคอารีน่า]] [[เมืองทองธานี]] โดยผู้จัดคือ บริษัท บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)<ref>[http://www.thaiticketmajor.com/concert/beyonce07.php "The Beyoncé Experience Tour” Live in Bangkok 2007] thaiticketmajor.com</ref> ท่ามกลางความตื่นเต้นและรอคอยของแฟนคลับชาวไทย


=== ''I Am… Sasha Fierce'' (2008-ปัจจุบัน) ===
=== ''I Am… Sasha Fierce'' (2008-ปัจจุบัน) ===

รุ่นแก้ไขเมื่อ 19:59, 16 มิถุนายน 2552

บียอนเซ่
โนวส์ที่งานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 81 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2009
ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อเกิดบียอนเซ่ จิเซลล์ โนวส์
(Beyoncé Giselle Knowles)
รู้จักในชื่อซาชาห์ เฟียร์ซ
เกิด (1984-09-04) 4 กันยายน ค.ศ. 1984 (39 ปี)
ที่เกิดแม่แบบ:Country data อเมริกา ฮิวส์ตัน, รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา
แนวเพลงอาร์แอนด์บี,ป๊อป
อาชีพนักร้อง นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ นักแสดง นางแบบ ดีไซน์เนอร์ นักเต้น
ช่วงปี1990 - ปัจจุบัน
ค่ายเพลงโคลัมเบีย
เว็บไซต์BeyonceOnline.com

บียอนเซ่ จิเซลล์ โนวส์ (อังกฤษ: Beyoncé Giselle Knowles) หรือชื่อเรียกกันสั้นๆว่า บียอนเซ่ เกิดเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1981 เป็นนักร้องสไตล์อาร์แอนด์บี, นักแต่งเพลง, โปรดิวเซอร์, นักแสดงและนางแบบ ชาวอเมริกัน เธอเป็นอดีตสมาชิกคนสำคัญของ เดสทินีส์ไชลด์ ด้วย

โนวส์เกิดและเติบโตที่ฮิวส์ตัน รัฐเท็กซัส ในวัยเด็ก โนวส์ได้เข้าร่วมในการแสดงหลากหลายประเภทของโรงเรียน ซึ่งรวมไปถึงการร้องเพลง อันเป็นการปูทางสำหรับอาชีพการเป็นนักร้อง โนวส์เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในช่วงปี 1990 ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของเดสทินีส์ไชลด์ วงดนตรีหญิงล้วนชื่อดังในยุคนั้น ก่อนที่จะออกอัลบั้มในฐานะศิลปินเดี่ยวเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2005 กับอัลบั้ม Dangerously in Love ซึ่งนับเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอัลบั้มหนึ่งในปีนั้น และยังได้รับรางวัลแกรมมีถึง 5 สาขาอีกด้วย และในปีเดียวกันนี้เอง เดสทินีส์ไชลด์ได้ตัดสินใจแยกวงอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้น โนวส์ได้ออกอัลบั้มตามมาอีก 2 อัลบั้มคือ B'Day ในปี ค.ศ. 2006 และ I Am… Sasha Fierce ในปี ค.ศ. 2008 โดยในชีวิตการทำงานดนตรี ผลงานของเธอมียอดจำหน่ายทั่วโลกกว่า 118 ล้านหน่วย[1]

จากความสำเร็จอย่างสูงของโนวส์ ทำไห้เธอได้รับการยกย่องไห้เป็นศิลปินคนสำคัญคนหนึ่งของอุตสาหกรรมดนตรีในยุคปัจจุบัน และในปี ค.ศ. 2009นี้ นิตรสารฟอร์บยังได้จัดอันดับไห้เธอเป็นคนดังที่มีอิทธิพลมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 อีกด้วย[2]

ประวัติ

ชีวิตในวัยเด็กและจุดกำเนิดเดสทินีส์ไชลด์ (1984-1993)

บียอนเซ่ โนวส์ เกิดเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1984 ที่เมืองฮิวส์ตัน รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เป็นลูกสาวคนโตของผู้จัดการเพลงชื่อ แมททิว โนวส์ กับ นักออกแบบเสื้อผ้าและทรงผมชื่อทีน่า บียินเซ่ เธอมีน้องสาว 1 คน คือ โซแลงก์ โนวส์ ซึ่งปัจจุบันก็เดินตามรอยพี่สาวในวงการอยู่เหมือนกัน โนวส์ถูกปลูกฝังให้มีความกล้าแสดงออกตั้งแต่เด็ก โดยทีน่าได้ให้เธอเรียนศิลปะเกี่ยวกับการดนตรีต่างๆ มากมาย

โนวส์ขึ้นเวทีโชว์ครั้งแรกในรายการประกวดร้องเพลงแสดงความสามารถเมื่ออายุ 7 ปี และได้รับรางวัลชนะเลิศจากการร้องเพลง "Imagine" ของจอห์น เลนนอน นักร้องเพลงร็อคในตำนาน[3] นอกจากนี้เธอยังร่วมอยู่ในวงประสานเสียงของโรงเรียนที่เธอกำลังศึกษาอยู่ในขณะนั้น และได้รับตำแหน่งนักร้องนำอีกด้วย

เมื่ออายุได้ 8 ขวบ แมททิวได้มีความคิดที่จะสร้างวงเกิลกรุ๊ปขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า "Girl's Tyme" ซึ่งในขณะนั้นมีสมาชิกในวงถึง 6 คน ซึ่งสองในนั้นคือ ลาทาเวีย โรเบอร์ซัน และ เคลลี โรว์แลนด์ Girl's Tyme ได้ขึ้นเวทีครั้งแรกในรายการ Star Search ซึ่งเป็นรายการประกวดร้องเพลงชื่อดังในขณะนั้น แต่ผลออกมาไม่ค่อยดี เพราะการแสดงออกมายังไม่ค่อยสมบูรณ์แบบเท่าไหร่นัก ในปี 1993 ได้มีสมาชิกใหม่เข้ามาในวงคือ เลโทย่า ลัคเก็ท ต่อมาก็คัดเหลือ 4 คน และเปลี่ยนชื่อวงเป็นเดสทินีส์ไชลด์

เดสทินีส์ไชลด์ (1994-2002)

ดูบทความหลักที่ เดสทินีส์ไชลด์

ไฟล์:800px-Beyonce Independent.jpg
โนวส์ร้องเพลง "Independent Woman Part 1" เพลงที่ฮิตที่สุดของเดสทินีส์ไชลด์

ปี 1995 เป็นปีที่สำคัญของวงนี้ จากการฝึกฝนอย่างหนักพวกเธอได้รับโอกาสออดิชั่นเข้าในสังกัดค่ายเพลงอีเลกตราเรเคิดส์ หลังจากเข้าสังกัดค่ายเพลงดังกล่าว เดสทินีส์ไชลด์ ได้รับงานโชว์ตามงานต่างๆ ต่อมาในปี 1997 ก็ได้รับโอกาสเซ็นสัญญากับค่ายเพลง โคลัมเบียเรเคิดส์

เดสทินีส์ไชลด์มีซิงเกิลแรกคือเพลง "Killing Time" ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Men In Black ไม่นานก็ได้ออกอัลบั้มชุดแรกโดยใช้ชื่อเหมือนชื่อวงคือ Destiny's Child ในปี 1998 ซิงเกิลแรกเพลง "No No No" คว้า 3 รางวัลจากเวทีงานประกาศผลรางวัลโซลเทรนมิวสิกอวอร์ดส อัลบั้มนี้ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก จนมาถึงอัลบั้ม Writing On The Wall ในปี 1999 อัลบั้มชุดที่ 2 ที่ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายกว่า 13 ล้านชุดทั่วโลก ซิงเกิลที่ออกมาล้วนเป็นที่นิยมเช่นเพลง "Bills Bills Bills" ซิงเกิลอันดับ 1 เพลงแรก และเพลง "Jumpin' Jumpin" รวมถึงเพลงที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของวงจนถึงปัจจุบันนี้อย่างเพลง "Say My Name" ซึ่งในปีนั้นคว้ารางวัลแกรมมีมาถึง 2 รางวัล[4] จากอัลบั้มนี้ทำให้พวกเธอเป็นที่จับตามองของสื่อและผู้คนมากมาย ในฐานะกลุ่มศิลปินหญิงหน้าใหม่ในยุคนั้น

แต่ก็เกิดปัญหา เมื่อสมาชิกในวงได้มีการเปลี่ยนตัว หลังจาก เลโทย่า และ โรเบอร์สัน ถูกปลดออกจากวง ก็ได้มีสมาชิกใหม่เข้ามาคือ มิเชล วิลเลียม และ ฟาร่า แฟรงคลิน ต่อมาได้ 5 เดือน ฟาร่า ได้ลาออกจากวงเนื่องจากปัญหาส่วนตัว ทำให้เดสทินีส์ไชลด์เหลือสมาชิกเพียง 3 คนคือ โนวส์, โรว์แลนด์, และวิลเลียม

ในปี 2000 พวกเธอได้ออกซิงเกิลเพลงประกอบภาพยนตร์ Charlie's Angels ประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วยการขึ้นอันดับ 1 ถึง 7 สัปดาห์ นั่นคือเพลง "Independent Women Part I" อัลบั้มชุดที่ 3 ของพวกเธอ Survivor วางขายในปี 2001 ติดอันดับบนชาร์ทบิลบอร์ด 200 ที่อันดับ 1 ด้วยยอดขายกว่า 663,000 ชุดในสัปดาห์แรก[5] และขายได้มากกว่า 10 ล้านชุดทั่วโลก และยังมีซิงเกิลที่ฮิตติดชาร์ทอีกมากมายอย่างเพลง "Survivor" และ "Bootylicious" จากอัลบั้มนี้ทำให้พวกเธอคว้ารางวัลแกรมมีมาได้อีก 1 รางวัล[6] ในต่อมาพวกเธอได้มีอัลบั้ม 8 Days of Christmas ซึ่งวางขายในปี 2001 เช่นกัน ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส หลังจากวางขายอัลบั้มแล้ว ก็ได้มีการพักงานชั่วคราว เพื่อที่สมาชิกแต่ละคนจะได้ออกผลงานเดี่ยวของตน

Dangerously in Love (2003-2005)

หลังจากโรว์แลนด์และวิลเลียมได้มีอัลบั้มเดี่ยวในปี 2002 โนวส์ก็ได้ออกมาเปิดตัวอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของเธอ Dangerously In Love ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2003 ที่ได้ร่วมงานกับบรรดาคนทำเพลงชื่อดังมากมาย อัลบั้มนี้เปิดตัวบนอัลบั้มบนชาร์ทบิลบอร์ด 200 ที่อันดับ 1 ด้วยยอดขายกว่า 317,000 ชุดในสัปดาห์แรก และยอดขายรวมจนถึงปัจจุบันถึง 15 ล้านชุดทั่วโลก

"Crazy In Love" คือซิงเกิลแรกจากอัลบั้มนี้ ที่ได้ร่วมร้องกับแฟนหนุ่มของเธอ เจย์-ซี เพลงนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากด้วยการครองอันดับ 1 บนชาร์ท บิลบอร์ดฮ็อต 100 ถึง 8 สัปดาห์ และอันดับต้นๆ ของชาร์ทเพลงในประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีซิงเกิลที่ 2 คือเพลง "Baby Boy" ที่ได้ร่วมงานกับ ฌอน พอล ซึ่งเพลงนี้กลายเป็นเพลงที่ฮิตที่สุดในปี 2003 สามารถครองอันดับ 1 บนบิลบอร์ดฮ็อต 100ได้ถึง 9 สัปดาห์[7][8] ซึ่งยาวนานกว่าเพลง "Crazy In Love" นอกจากนี้ยังมีเพลง "Me, Myself, And I" และ "Naughty Girls" เป็นซิงเกิลที่ 3 และ 4 จากอัลบั้มนี้

โนวส์ได้รับรางวัลแกรมมี่ถึง 5 สาขา[9] ในที่นี้รวมถึงรางวัลสาขาร้องเพลงอาร์แอนด์บีหญิงยอดเยี่ยม ในเพลง "Dangerously in Love 2",Best R&B Song สำหรับเพลง "Crazy in Love", และสาขาอัลบั้มอาร์แอนด์บีร่วมสมัยยอดเยี่ยม และในปีเดียวกันเธอก็ได้รับรางวัลของบริทอวอร์ดส สาขาศิลปินหญิงเดี่ยวระดับนานาชาติ[10] ถือเป็นการแจ้งเกิดในฐานะศิลปินเดี่ยวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงนั้น

Destiny Fulfilled และ ปิดฉากเดสทินีส์ไชลด์(2004-2005)

ไฟล์:800px-Say My Name Live.jpg
เดสทินีส์ไชลด์ร้องเพลง "Say My Name" ในทัวร์คอนเสิร์ต Destiny Fulfilled ... And Lovin' It World Tour

หลังจาก 3 ปีที่พวกเธอได้ทำผลงานเดี่ยว พวกเธอก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในอัลบั้มชุดที่ 4 Destiny Fulfilled ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2004 [11] อัลบั้มนี้สามารถขึ้นไปสูงสุดในอันดับอัลบั้มของบิลบอร์ดได้ในอันดับที่ 2 มีซิงเกิลที่ฮิตอย่างเพลง "Lose My Breath" , "Soldier" , "Girl" , และ "Cater 2 U" ต่อมาได้มีทัวร์คอนเสิร์ต Destiny Fulfilled ... And Lovin' It World Tour ช่วงเดือนเมษายนถึงกันยายน ปี 2005 ในปีเดียวกันก็ได้ออกอัลบั้มรวมฮิตชุดแรก #1's ที่รวบรวมซิงเกิลอันดับ 1 และเพลงฮิตทั้งหมดที่ทุกคนรู้จักตั้งแต่ก่อตั้งวงนี้มา รวมถึงเพลงพิเศษอย่าง "Stand Up For Love" ในปี 2005 จากความสำเร็จอย่างมากมาย

ความทุ่มเทในการทำงานของพวกเธอทำให้ได้รับการจารึกชื่อวง เดสทินีส์ไชลด์ลงบน Hollywood Walk of Fame ในเดือนมีนาคม ปี 2006[12] และในที่สุดวงนี้ก็ได้ประกาศยุบตัวลง เพื่อสมาชิกแต่ละคนจะได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองสนใจ เหลือเพียงตำนานและชื่อเสียงที่น่าจดจำของ กลุ่มศิลปินหญิงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล[13][14] และยังได้ตำแหน่ง 100 ศิลปินตลอดกาลที่บิลบอร์ดจัดขึ้นในปี 2008[15]

B'Day (2006–2007)

ไฟล์:450px-Beyonce sings Listen.jpg
โนวส์ร้องเพลงใน The Beyoncé Experience ปี 2007

ปี 2006 โนวส์มีผลงานแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Pink Panther ซึ่งเปิดตัวที่อันดับ 1 ในบ็อกซ์ออฟฟิศของสหรัฐอเมริกา[16] อีกทั้งเพลงประกอบภาพยนตร์อย่างเพลง "Check On It" ที่เธอได้ร่วมงานกับ Slim Thug ก็ขึ้นถึงอันดับ 1 อีกด้วย

โนวส์กลับมากับอัลบั้ม B’Day ซึ่งออกวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 2006 ซึ่งตรงกับวันเกิดอายุครบ 25 ปีของเธอพอดี อัลบั้มนี้เปิดตัวที่อันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ด ด้วยยอดขายกว่า 541,000 ชุด และเป็นอัลบั้มที่มียอดขายในสัปดาห์แรกสูงที่สุดในฐานะศิลปินเดี่ยว[17] นอกจากจะรับหน้าที่เป็นเอ็กซ์คูทีฟโปรดิวเซอร์ในอัลบั้มนี้แล้ว โนวส์ยังร่วมแต่งและโปรดิวซ์เพลงในอัลบั้มนี้ถึง 11 เพลงเลยทีเดียว ร่วมด้วยทีมงานโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงระดับซุปเปอร์สตาร์เช่น Swizz Beatz, Rich Harrison, The Neptunes, Sean Garrett, Star Gate, Jay- Z, Solange Knowles, Angela Beyince, Makeeba และ Rodney Jerkins [18]

ซิงเกิลแรกอย่าง "Déjà vu" ที่ได้เจย์-ซี มาช่วยแร็ปให้ในเพลงนี้ อยู่ภายใต้การดูแลของ Rodney Jerkins และยังได้ Sophie Muller ผู้กำกับมิวสิกวิดีโอชื่อดังมากำกับมิวสิกวิดีโอของเพลงนี้อีกด้วย และออกซิงเกิลที่ 2 ตามมาคือ เพลง "Ring The Alarm" แต่ทั้งสองซิงเกิลนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จบนในชาร์ตบิลบอร์ดฮ็อต 100 เหมือนซิงเกิลที่ผ่านๆมา จนมาถึงซิงเกิลที่ 3 เพลง "Irreplaceable" ถือเป็นเพลงที่ฮิตที่สุดในปี 2006 ซึ่งครองอันดับ 1 ถึง 10 สัปดาห์ และเป็นซิงเกิลอันดับ 1 เพลงที่ 4 ของเธอ ปลายปีนั้น ต่อมา เพลง "Beautiful Liar" เป็นซิงเกิลที่อยู่ในอัลบั้ม B-Day ในแบบเดอลุกซ์อีดิชั่น เพลงนี้เธอร่วมร้องกับนักร้องสาว ชากีรา ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ ส่วนในอเมริกาขึ้นสูงสุดที่อันดับ 3[19]

โนวส์ได้มีงานแสดงภาพยนตร์เรื่อง Dreamgirls ที่ดัดแปลงมาจากละครบรอดเวย์ในปี 1981 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักร้องในยุค 60 โดยได้แรงบันดาลใจจากวงเดอะ ซูปพรีมส์ โดยยึดลักษณะตัวละครคือ ไดอาน่า รอสส์ ในเรื่องคือ ดีน่า โจนส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้โนวส์ถูกเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ถึง 2 สาขา [20]

11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 โนวส์ได้รับรางวัลแกรมมีสาขาอัลบั้มเพลงอาร์แอนด์บีร่วมสมัยยอดเยี่ยม [21] และโนวส์ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในอเมริกัน มิวสิก อวอร์ดส์ ครั้งที่ 35 โดยเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ได้รับรางวัล International Artist Award [22]

ต่อมาโนวส์ได้มีทัวร์คอนเสิร์ตชื่อว่า The Beyoncé Experience มีรอบการแสดงถึง 97 รอบทั่วโลก ทั้งใน เอเซีย, ออสเตรเลีย, อเมริกาเหนือ, ยุโรป, และ แอฟริกา เปิดทัวร์ที่ประเทศญี่ปุ่นและสิ้นสุดที่ ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ทัวร์นี้ได้มีการบันทึกภาพที่ ลอสแอนเจลิส และวางขายเป็นดีวีดีในปีเดียวกัน โดยใช้ชื่อว่า The Beyonce Experience Live และในวันที่ 30 ตุลาคม 2007 เธอได้มาเปิดคอนเสิร์ตในประเทศไทย ที่อิมแพคอารีน่า เมืองทองธานี โดยผู้จัดคือ บริษัท บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)[23] ท่ามกลางความตื่นเต้นและรอคอยของแฟนคลับชาวไทย

I Am… Sasha Fierce (2008-ปัจจุบัน)

ไฟล์:Beyonce NAACP 09.jpg
โนวส์รับรางวัล NAACP Image Awards ครั้งที่ 40 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2009

หลังเสร็จจากการทัวร์ The Beyoncé Experience โนวส์ได้มีซิงเกิลพิเศษ "Honesty" วางขายเฉพาะที่ประเทศญี่ปุ่นเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 10 ปีของวงเดสทินีส์ไชลด์ และในเดือนพฤษภาคมปี 2008 บียอนเซ่ได้แต่งงานกับเจย์-ซี[24] แฟนหนุ่มที่คบหากันมานาน โดยงานจัดขึ้นอย่างเล็กๆ ในปัจจุบันยังไม่มีใครเห็นภาพบรรยากาศในงานนอกจากผู้ที่ไปร่วมงานเท่านั้น และได้เธอมีซิงเกิลเพลง Just Stand Up ซึ่งเป็นซิงเกิลการกุศลในโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง Stand Up To Cancer

ต่อมาโนวส์ได้มีงานภาพยนตร์นั่นก็คือ Cadillac Records ที่เริ่มถ่ายทำในเดือน พฤษภาคม 2008 ซึ่งเธอรับบทเป็นนักร้องในตำนาน เอตต้า เจมส์ โดยเธอได้นำเพลงประกอบภาพยนตร์ "At Last" ไปร้องในงานพิธีสาบานตนประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (บารัค โอบาม่า)[25] ซึ่งเธอกล่าวว่าถือเป็นอีหหนึ่งความภาคภูมิใจในชีวิตของเธอเลยทีเดียว และโนวส์ก็ได้มีภาพยนตร์แนวระทึกขวัญ เรื่อง Obsessed ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดฉายในสหรัฐอเมริกาในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2009 ในวันแรกภาพยนตร์เรื่องนี้กวาดเงินไปได้กว่า 11.1 ล้านเหรียญสหรัฐ และในสุดสับดาห์ก็มียอดจำหน่ายใน Box Office ของสหรัฐอเมริกาเป็นที่ 1 ด้วยยอดจำหน่ายทั้งหมด 28.6 ล้านเหรียญสหรัฐ [26]

โนวส์กลับมาอีกครั้งในช่วงปลายปี กับอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 3 มีชื่อว่า I Am Sasha Fierce วางขายเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008.[27] โดยโนวส์ได้เผยว่า ซาช่า เฟี๊ยส คือภาพลักษณ์ของเธอเวลาอยู่บนเวทีที่จะเต็มที่ เปรี้ยวแรง และทุ่มเท ต่างกับตัวจริงของเธอที่จะเป็นคนเงียบๆ และเรียบง่าย มีซิงเกิลแรกและซิงเกิลที่สองออกมาพร้อมกัน 2 เพลง คือ "If I Were A Boy" และ "Single Ladies (Put The Ring On It)" ในวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 2008 ที่ต่างประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งคู่ โดย "Single Ladies (Put a Ring on It)" นั้นสามารถขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ดฮ็อต 100 ซึ่งนับเป็นซิงเกิลอันดับหนึ่งในบิลบอร์ดเพลงที่ 5 ของโนวส์ในฐานะศิลปินเดี่ยว และซิงเกิลที่ 4 ของอัลบั้มนี้ "Halo" สามารถขึ้นไปสูงสุดในบิลบอร์ดได้ถึงอันดับที่ 5 ทำให้เป็นซิงเกิลที่ 12 ที่สามรถติดอันดับ 1 ใน 10 ของบิลบอร์ดได้ในฐานะศิลปินเดี่ยว และมันก็ทำให้เธอเป็นศิลปินหญิงที่มีเพลงอยู่ในสิบอันดับแรกมากที่สุดในทศวรรษนี้ [28][29]

ต่อมาโนวส์ได้มีทัวร์คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งที่ 3 ใช้ชื่อทัวร์ว่า I Am... Tour มีรอบการแสดง 84 รอบ โดยเริ่มทัวร์ในช่วงเดือนมีนาคมที่เมืองเอ็ดมันตัน รัฐแอลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา ทัวร์จะไปในอเมริกาเหนือ, ยุโรป, เอเซีย, และโอเชียเนีย

18 มกราคม ค.ศ. 2009 โนวส์ได้รับรางวัล NAACP Image Awards สาขาศิลปินหญิงยอดเยี่ยม [30]

กิจกรรมการกุศลและงานอื่นๆ

กิจกรรมการกุศล

ไฟล์:1062774012 526e4c17f6 b.jpg
โนวส์ และ ราสมูส ช่วยกันบรรจุสิ่งของบริจาค ขององค์กร "Survivor Foundation"

โนวส์ร่วมกับเคลลี โรว์แลนด์ และครอบครัวของทั้งสอง ได้เปิดองค์กรช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยใช้ชื่อว่า "Survivor Foundation"[31] ในปี 2005 องค์กรนี้ได้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา ในพื้นที่รัฐเท็กซัส, สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอเอง และในขณะทัวร์คอนเสิร์ต The Beyoncé Experience บียอนเซ่ได้ออกเดินทางแจกจ่ายอาหารเครื่องใช้ให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่เหล่านั้นอีกด้วย

ในปี 2008 โนวส์ได้รับจารึกชื่อเข้าสู่ International Pediatric Hall of Fame ของ Miami Children's Hospital[32] ซึ่งเป็นโรงพยาบาลดูแลเด็กพิการ หลังจากที่เธอได้เข้าช่วยเหลือด้วยการบริจาคเงินและเข้าเยี่ยมเด็กๆ อย่างสม่ำเสมอ ในขณะถ่ายทำภาพยนตร์ Cadillac Records บียอนเซ่ได้เข้าศึกษาลักษณะผู้ป่วยติดยาเสพติดในสถานบำบัด เพื่อใช้ในการแสดงภาพยนตร์ดังกล่าว และเธอยังได้บริจาคเงินส่วนหนึ่งอีกด้วย

งานโฆษณา

โนวส์ได้ร่วมงานเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับเครื่องดื่มเป๊ปซี่[33] โดยมีวิดีโอโปรโมทในช่วงปี 2004 โดยได้ร่วมงานกับ บริตนีย์ สเปียรส์, พิงก์, เจนนิเฟอร์ โลเปซ และ เดวิด เบคแคม นอกจากเครื่องดื่มแล้วยังมีเครื่องสำอางหรือสินค้าที่เกี่ยวกับความสวยความงามเช่น L'Oreal ซึ่งเซ็นต์สัญญาเมื่อช่วงปี 2003 ทำเงินให้เธอกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใต้โปรเจกต์ True Star โดยในวิดีโอประชาสัมพันธ์เธอได้นำเพลง Wishing on a Star มาร้องประกอบด้วย และเธอยังเซ็นต์สัญญากับน้ำหอม Emporio Armani's Diamonds ในปี 2007 เธอได้บันทึกเสียงและประชาสัมพันธ์ให้กับงานโฆษณา โดยมีเพลงชื่อ Diamonds Are A Girl Best Friend

House of Deréon

ปี 2005 โนวส์เปิดตัวธุรกิจห้องเสื้อที่เธอได้ร่วมมือกับทีน่า โนวส์(แม่ของเธอ) โดยใช้ชื่อว่า House of Deréon[34] (Deréon คือชื่อยายของเธอ) ซึ่งงานออกแบบได้รับแรงบันดาลใจมาจากบรรพบุรุษในตระกูล ทัวร์คอนเสิร์ต Destiny Fulfilled ... And Lovin' It World Tour ของเดสทินีส์ไชลด์ ได้เลือกใช้ชุดจากห้องเสื้อนี้ของเธอเองทั้งหมด ปัจจุบันได้มีการประยุกต์ธุรกิจนี้ร่วมกับผลงานของเธอที่ออกมาในขณะนั้นด้วย

ผลงานเพลง

โนวส์เริ่มทำอัลบั้มเดี่ยวหลังจากที่มีการพักงานชั่วคราวของเดสทินีส์ไชลด์ในปี 2003 มีสตูดิโออัลบั้มทั้งหมด 3 อัลบั้ม โดยทั้ง 3 อัลบั้มนี้สามารถขึ้นไปสู่อันดับหนึ่งของชาร์ตบิลบอร์ดฝั่งอัลบั้มได้ทั้งหมด[35][36][37]

ซิงเกิล

ปี ชื่อ อันดับ อัลบั้ม
U.S. U.S. R&B U.S. Dance UK
CAN AUS IRL NZ GER NLD [38] ITA [39] FRA [40]
2003 "Crazy in Love" (ร่วมกับ เจย์-ซี) 1 1 1 1 2 2 1 2 6 2 5 21 Dangerously in Love
"Baby Boy" (ร่วมกับ ฌอน พอล) 1 1 2 2 2 3 6 2 4 8 12 8
"Me, Myself and I" 4 2 3 11 7 11 21 18 35 14 25
2004 "Naughty Girl" 3 8 1 10 2 9 14 6 16 10 17 18
"Dangerously in Love 2" 57 17 41 52
2006 "Déjà Vu" (ร่วมกับ เจย์-ซี) 4 1 1 1 5 12 3 4 9 10 4 23 B'Day and deluxe edition
"Ring the Alarm" 11 3 1 45
"Irreplaceable" 1 1 1 4 2 1 1 1 11 3 8 10
"Upgrade U" 59 11
2007 "Beautiful Liar" (ร่วมกับ ชากีร่า) 3 70 1 1 2 5 1 1 1 1 1 1
"Get Me Bodied" 68 10 14 2
"Green Light" Freemasons remix 12 18
2008 "If I Were a Boy" 3 16 2 1 4 3 2 2 3 1 1 5 I Am... Sasha Fierce and deluxe edition
"Single Ladies (Put a Ring on It)" 1 1 1 7 2 5 4 2 8 10
2009 "Diva" 19 3 1 64 40 50 26 73
"Halo" 5 16 1 4 3 3 4 2 5 9 9
"Ego" 107 29
"Sweet Dreams" 41
เพลงประกอบภาพยนตร์ / อื่นๆ
2002 "Work It Out" 104 11 7 21 12 36 75 26 87 Austin Powers in Goldmember
2003 "Fighting Temptation" 56 57 13 The Fighting Temptations
"Summertime" 35
2005 "Check on It" (ร่วมกับ Bun B และ Slim Thug) 1 3 1 3 5 2 1 11 5 32 The Pink Panther & #1's
2006 "Listen" 61 23 8 20 6 18 18 3 Dreamgirls & B'Day
2008 "At Last" 67 79 45 Cadillac Records
เพลงคู่
2000 "I Got That" (ร่วมกับ Amil) 101 All Money Is Legal
2002 "'03 Bonnie & Clyde" (ร่วมกับ เจย์-ซี) 4 5 2 4 2 8 2 6 9 8 25 The Blueprint²: The Gift & the Curse
2004 "The Closer I Get to You" (ร่วมกับ ลูเทอร์ แวนดรอสส์) 62 Dance with My Father
2007 "Hollywood"/"Welcome to Hollywood" (ร่วมกับ เจย์ ซี) - 52 21 98 Kingdom Come
"Until the End of Time" (ร่วมกับ จัสติน ทิมเบอร์เลค) 17 3 17 53 31 39 FutureSex/LoveSounds
2008 "Love in This Club, Part II" (ร่วมกับ อัชเชอร์ and ลิล เวย์น) 19 7 69 96 Here I Stand
"Just Stand Up!"[41] (ร่วมกับ ศิลปิน Stand Up to Cancer) 11 83 26 10 39 11 23 7 Charity single
จำนวนเพลงฮิต
U.S. U.S. R&B U.S. Dance UK CAN AUS IRL NZ GER NET ITA [FRA
เพลงที่ติดอับดับหนึ่ง 5 5 10 4 1 3 3 1 2 1 1
เพลงที่อยู่ใน 10 อันดับแรก 12 14 13 13 13 10 11 11 7 10 9 4
เพลงที่อยู่ใน 40 อันดับแรก 18 20 15 16 14 13 15 16 13 16 13 9

ผลงานการแสดง

นอกจากงานเพลง โนวส์ยังโดดเด่นในเรื่องการแสดง โดยส่วนมากจะรับบทที่มีอาชีพตรงกับชีวิตเธอนั่นก็คือนักร้อง โดยงานแสดงทั้งหมดมีดังนี้

ปี เรื่อง บทบาท
2001 Carmen: A Hip Hopera Carmen
2002 Austin Powers in Goldmember Foxxy Cleopatra
2003 The Fighting Temptations Lilly
2004 Fade to Black ตัวเธอเอง
2006 The Pink Panther Xania
Dreamgirls Deena Jones
2008 Cadillac Records Etta James
2009 Obsessed Sharon Charles

แหล่งข้อมูลอื่น

  • BeyonceOnline.com เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
  • BeyonceWorld.net เว็บไซต์แฟนคลับของบียอนเซ่อย่างเป็นทางการ
  • BeyonceThailand.net เว็บไซต์แฟนคลับของบียอนเซ่ในประเทศไทย

อ้างอิง

  1. Inside Beyonce's Entertainment Empireforbes.com
  2. #4 Beyonce Knowles - The 2009 Celebrity 100forbes.com
  3. Beyoncé Knowles Biography People.com
  4. 43th Grammy Awards - 2001 rockonthenet.com
  5. Destiny's Child Shoot Straight To No. 1 Billboard (Nielsen Business Media, Inc.)
  6. 44th Grammy Awards - 2002 rockonthenet.com
  7. Beyonce, Sean Paul Creep Closer To No. 1 billboard (Nielsen Business Media, Inc)
  8. "Stand Up" Ends "Baby Boy" Reign billboard (Nielsen Business Media, Inc
  9. 46th Grammy Awards - 2004 CNN.com
  10. [http://www.bbc.co.uk/radio1/news/brits2004/winners.shtml Brit Awards 2004 winners ] BBC UK.
  11. Destiny's Child's Long Road To Fame (The Song Isn't Called 'Survivor' For Nothing) mtv.com
  12. Destiny's Child gets Walk of Fame star msnbc.msn.com
  13. "Beyonce Knowles". Time. สืบค้นเมื่อ 2008-04-12.
  14. Keller, Julie (2005-09-01). "Destiny's World Domination". Yahoo! Music. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
  15. "The Billboard Hot 100 All-Time Top Artists". Billboard. Nielsen Business Media, Inc. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
  16. THE PINK PANTHER (2006) boxofficemojo.com
  17. Beyonce's 'B-Day' Makes Big Bow At No. 1 billboard.com
  18. More >> B'day beyoncethailand.net
  19. Beyoncé and Shakira - Beautiful Liar acharts.us
  20. [1] timesonline.co.uk
  21. ผลรางวัลแกรมมี่ 2007 manager.co.th
  22. "Beyoncé Knowles: Biography - Part 2" People.
  23. "The Beyoncé Experience Tour” Live in Bangkok 2007 thaiticketmajor.com
  24. Beyoncé Finally Opens Up About Secret Wedding people.com
  25. [http://jezebel.com/5135849/beyonce-brings-it-at-obamas-inaugural-ball-first-dance Beyonce Brings It At Obamas' Inaugural Ball First Dance] jezebel.com
  26. http://www.boxofficemojo.com/news/?id=2580&p=.htm Box Office Mojo
  27. Vineyard, Jennifer (October 8, 2008). "Beyonce Releases Two Tracks From I Am ... , Inspired By Jay-Z And Etta James". MTV.com. สืบค้นเมื่อ October 8, 2008.
  28. Flo Rida Has Sweet Week On Billboard Hot 100 Billboard.com
  29. "Chart Beat: Depeche Mode, Pet Shop Boys, Oak Ridge Boys, Hannah Montana" Billboard.com
  30. Hudson tops winners at NAACP Image Awards cbc.ca
  31. The Survivor Foundation findarticles.com
  32. Hall of Fame - Miami Children Hospital FoundationMCHF.org
  33. Destiny's Child star Beyonce Knowles signs for Pepsi brandrepublic.com
  34. House of Deréon sojones.com
  35. Beyoncé - Dangerously In Love acharts.us
  36. Beyoncé - B'day acharts.us
  37. Beyoncé - I Am Sasha Fierce acharts.us
  38. http://www.top40.nl/bundle.aspx?bundle_id=214859&tid=2&jaar=2009&maand=4&week=16
  39. http://italiancharts.com/search.asp?search=beyonc%E8&cat=s
  40. http://lescharts.com/showinterpret.asp?interpret=Beyonc%E9
  41. http://www.mtv.com/news/articles/1593043/20080819/carey_mariah.jhtml