ผลต่างระหว่างรุ่นของ "นิทานของบีเดิลยอดกวี"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 104: | บรรทัด 104: | ||
นิทานสามพี่น้องเป็นนิทานที่ปรากฏในหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มที่เจ็ด เรื่องมีอยู่ว่า |
นิทานสามพี่น้องเป็นนิทานที่ปรากฏในหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มที่เจ็ด เรื่องมีอยู่ว่า |
||
"กาลครั้งหนึ่งยังมีพี่น้องผู้ชายสามคน กำลังเดินทางไปตามถนนที่คดเคี้ยวและเปล่าเปลี่ยวในยามเย็น ในไม่ช้า สามพี่น้อง ก็มาถึงแม่น้ำซึ่งลึกเกินกว่าจะเดินลุยข้าม และเชี่ยวกรากเกินกว่าจะว่ายข้ามไป |
"กาลครั้งหนึ่งยังมีพี่น้องผู้ชายสามคน กำลังเดินทางไปตามถนนที่คดเคี้ยวและเปล่าเปลี่ยวในยามเย็น ในไม่ช้า สามพี่น้อง ก็มาถึงแม่น้ำซึ่งลึกเกินกว่าจะเดินลุยข้าม และเชี่ยวกรากเกินกว่าจะว่ายข้ามไป อย่างไรก็ตาม พี่น้องทั้งสามคนเล่าเรียนเวทมนตร์ศาสตร์มาจนเชี่ยวชาญ พวกเขาจึงแค่โบกไม้กายสิทธิ์และเสกสะพานขึ้นมาข้ามแม่น้ำที่บ้าคลั่ง เมื่อข้ามไปกึ่งกลางสะพาน สามพี่น้องก็พบร่างที่สวมหมวกคลุมหัวยืนขวางทางไว้แล้วยมทูตก็พูดกับพวกเขา |
||
อย่างไรก็ตาม พี่น้องทั้งสามคนเล่าเรียนเวทมนตร์ศาสตร์มาจนเชี่ยวชาญ พวกเขาจึงแค่โบกไม้กายสิทธิ์และเสกสะพานขึ้นมาข้ามแม่น้ำที่บ้าคลั่ง เมื่อข้ามไปกึ่งกลางสะพาน สามพี่น้องก็พบร่างที่สวมหมวกคลุมหัวยืนขวางทางไว้แล้วยมทูตก็พูดกับพวกเขา |
|||
ยมทูตโกรธที่ไม่ได้เหยื่อใหม่ไปสามราย เพราปกติแล้วนักเดินทางมักจมน้ำตายที่นี่ แต่ยมทูตเป็นคนเจ้าเล่ห์แสนกล เขาแสร้งทำเป็นยินดีกับสามพี่น้องที่เก่งกาจเรื่องเวทมนตร์ และบอกว่า ทั้งสามควรได้รับรางวัล ในฐานะที่ฉลาดพอจะหลบเลี่ยงยมทูตได้ ดังนั้นพี่ชายคนโต ซึ่งเป็นคนชอบต่อสู้ จึงขอไม้กายสิทธิ์ที่มีอำนาจเหนือกว่าไม้ใดๆในโลก ไม้กายสิทธิ์ที่ทำให้เจ้าของชนะการประลองเสมอ ไม้กายสิทธิ์ที่มีค่าคู่ควรแก่พ่อมดที่เอาขนะยมทูตได้ ดังนั้น ยมทูตจึงข้ามไปที่ต้นเอลเดอร์ซึ่งขึ้นอยู่ริมตริ่ง และตัดกิ่งหนึ่งออกมาทำไม้กายสิทธิ์ให้พี่ชายคนโต จากนั้นพี่คนที่สอง ซึ่งเป็นคนหยิ่งยโส ตัดสินใจว่าเขาอยากทำให้ยมทูตอับอายขายหน้ามากขึ้นอีก จึงขออำนาจที่จะเรียกใครก้ได้กลับมาจากความตาย ดังนั้น ยมทูตจิงหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาจากริมฝั่ง และมอบให้พี่ชายคนรอง บอกเขาว่าหินก้อนนี้มีอำนาจนำคนตายกลับมาได้ จากนั้นยมทูตถามชายคนที่สามซึ่งเป็นน้องคนสุดท้องว่าเขาต้องการอะไร น้องคนสุดท้องเป็นคนถ่อมตัวที่สุด และฉลาดที่สุดในบรรดาพี่น้องสามคน เขาไม่เชื่อใจยมทูตเลย ดังนั้นจึงขออะไรก็ได้ที่จะพาเขาไปจากที่นั่น โดยที่ไม่ให้ยมทูตติดตามไปได้ ยมทูตจึงมอบผ้าคลุมล่องหนของตนให้ ด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่ง จากนั้นยมทูตก็หลีกทาง ปล่อยให้สามพี่น้องเดินต่อไปได้ |
ยมทูตโกรธที่ไม่ได้เหยื่อใหม่ไปสามราย เพราปกติแล้วนักเดินทางมักจมน้ำตายที่นี่ แต่ยมทูตเป็นคนเจ้าเล่ห์แสนกล เขาแสร้งทำเป็นยินดีกับสามพี่น้องที่เก่งกาจเรื่องเวทมนตร์ และบอกว่า ทั้งสามควรได้รับรางวัล ในฐานะที่ฉลาดพอจะหลบเลี่ยงยมทูตได้ ดังนั้นพี่ชายคนโต ซึ่งเป็นคนชอบต่อสู้ จึงขอไม้กายสิทธิ์ที่มีอำนาจเหนือกว่าไม้ใดๆในโลก ไม้กายสิทธิ์ที่ทำให้เจ้าของชนะการประลองเสมอ ไม้กายสิทธิ์ที่มีค่าคู่ควรแก่พ่อมดที่เอาขนะยมทูตได้ ดังนั้น ยมทูตจึงข้ามไปที่ต้นเอลเดอร์ซึ่งขึ้นอยู่ริมตริ่ง และตัดกิ่งหนึ่งออกมาทำไม้กายสิทธิ์ให้พี่ชายคนโต จากนั้นพี่คนที่สอง ซึ่งเป็นคนหยิ่งยโส ตัดสินใจว่าเขาอยากทำให้ยมทูตอับอายขายหน้ามากขึ้นอีก จึงขออำนาจที่จะเรียกใครก้ได้กลับมาจากความตาย ดังนั้น ยมทูตจิงหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาจากริมฝั่ง และมอบให้พี่ชายคนรอง บอกเขาว่าหินก้อนนี้มีอำนาจนำคนตายกลับมาได้ จากนั้นยมทูตถามชายคนที่สามซึ่งเป็นน้องคนสุดท้องว่าเขาต้องการอะไร น้องคนสุดท้องเป็นคนถ่อมตัวที่สุด และฉลาดที่สุดในบรรดาพี่น้องสามคน เขาไม่เชื่อใจยมทูตเลย ดังนั้นจึงขออะไรก็ได้ที่จะพาเขาไปจากที่นั่น โดยที่ไม่ให้ยมทูตติดตามไปได้ ยมทูตจึงมอบผ้าคลุมล่องหนของตนให้ ด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่ง จากนั้นยมทูตก็หลีกทาง ปล่อยให้สามพี่น้องเดินต่อไปได้ |
||
บรรทัด 111: | บรรทัด 110: | ||
พวกเขาเดินทางกันต่อ พลางพูดคุยถึงการผจญภัยอันน่ามหัศจรรย์ที่เพิ่งประสบมา และต่างชื่นชมของขวัญจากยมทูต เมื่อถึงเวลา สามพี่น้องก็แยกทางกัน แต่ละคนไปตามจุดหมายปลายทางของตนเอง |
พวกเขาเดินทางกันต่อ พลางพูดคุยถึงการผจญภัยอันน่ามหัศจรรย์ที่เพิ่งประสบมา และต่างชื่นชมของขวัญจากยมทูต เมื่อถึงเวลา สามพี่น้องก็แยกทางกัน แต่ละคนไปตามจุดหมายปลายทางของตนเอง |
||
พี่ชายคนโตเดินต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์ จนถึงหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง เขาตามหาพ่อมดที่เคยมีเรื่องวิวาทด้วย และท้าประลองกัน แน่นอน เมื่อมีไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์เป็นอาวุธ เขาก็เอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย เขาทิ้งศัตรูให้นอนตายอยู่บนพื้น แล้วเดินต่อไปยัง โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ณ ที่นั่น เขาคุยโวเรื่องไม้กายสิทธิ์อันทรงอำนาจที่เขาแย่งชิงมาจากยมทูตและบอกว่ามันทำให้เขาไม่มีวันพ่ายแพ้ คืนนั้นเอง พ่อมดคนหนึ่งแอบย่องไปหาพี่ชายคนโตขณะที่เขาเมาเหล้าองุ่นนอนหลับอยู่บนเตียง เจ้าขโมยหยิบเอาไม้กายสิทธิ์ไป แถมยังเชือดคอพี่ชายคนโตเสียด้วย |
พี่ชายคนโตเดินต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์ จนถึงหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง เขาตามหาพ่อมดที่เคยมีเรื่องวิวาทด้วย และท้าประลองกัน แน่นอน เมื่อมีไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์เป็นอาวุธ เขาก็เอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย เขาทิ้งศัตรูให้นอนตายอยู่บนพื้น แล้วเดินต่อไปยัง โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ณ ที่นั่น เขาคุยโวเรื่องไม้กายสิทธิ์อันทรงอำนาจที่เขาแย่งชิงมาจากยมทูตและบอกว่ามันทำให้เขาไม่มีวันพ่ายแพ้ คืนนั้นเอง พ่อมดคนหนึ่งแอบย่องไปหาพี่ชายคนโตขณะที่เขาเมาเหล้าองุ่นนอนหลับอยู่บนเตียง เจ้าขโมยหยิบเอาไม้กายสิทธิ์ไป แถมยังเชือดคอพี่ชายคนโตเสียด้วย ดังนั้นยมทูตจึงได้พี่ชายคนโตเป็นของตน |
||
⚫ | พี่ชายคนที่สองเดินทางกลับบ้านของตนเอง เมื่อไปถึง เขาหยิบก้อนหินที่มีอำนาจเรียกคนตายออกมา เขาหมุนมันในมือสามครั้ง แล้วก็ต้องประหลาดใจและดีใจ เมื่อเห็นร่างหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตรงหน้า เธอคือผู้หญิงที่เขาเคยหวังจะแต่งงานด้วย แต่ตายไปก่อนสมวัยอันควรแต่กระนั้นเธอกลับโศกเศร้าและเย็นชา เหินห่างจากเขาราวกับมีผ้าม่านบางๆขวางกั้น แม้ว่าจะกลับคืนสู่โลกมนุษย์ แต่เธอก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้จริงๆ และได้รับทุกเวทนายิ่งนัก ท้ายที่สุด พี่ชายคนรองก็กลายเป็นบ้าเพราะความไม่สมหวัง และฆ่าตัวตายเพื่อไปอยู่ร่วมกับสาวคนรักอย่างแท้จริง ดังนั้นยมทูตจึงได้พี่คนรองเป็นของตน |
||
ดังนั้นยมทูตจึงได้พี่ชายคนโตเป็นของตน |
|||
⚫ | |||
⚫ | พี่ชายคนที่สองเดินทางกลับบ้านของตนเอง เมื่อไปถึง เขาหยิบก้อนหินที่มีอำนาจเรียกคนตายออกมา เขาหมุนมันในมือสามครั้ง แล้วก็ต้องประหลาดใจและดีใจ เมื่อเห็นร่างหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตรงหน้า เธอคือผู้หญิงที่เขาเคยหวังจะแต่งงานด้วย แต่ตายไปก่อนสมวัยอันควรแต่กระนั้นเธอกลับโศกเศร้าและเย็นชา เหินห่างจากเขาราวกับมีผ้าม่านบางๆขวางกั้น แม้ว่าจะกลับคืนสู่โลกมนุษย์ แต่เธอก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้จริงๆ และได้รับทุกเวทนายิ่งนัก ท้ายที่สุด พี่ชายคนรองก็กลายเป็นบ้าเพราะความไม่สมหวัง และฆ่าตัวตายเพื่อไปอยู่ร่วมกับสาวคนรักอย่างแท้จริง |
||
⚫ | |||
ดังนั้นยมทูตจึงได้พี่คนรองเป็นของตน |
|||
⚫ | |||
ทั้งสองจากชีวิตนี้ไปในฐานะผู้เสมอกัน" |
|||
⚫ | |||
{{จบเสียรส}} |
{{จบเสียรส}} |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:58, 22 ธันวาคม 2551
บทความนี้ต้องการการจัดหน้า จัดหมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือเก็บกวาดเนื้อหา ให้มีคุณภาพดีขึ้น คุณสามารถปรับปรุงแก้ไขบทความนี้ได้ และนำป้ายออก พิจารณาใช้ป้ายข้อความอื่นเพื่อชี้ชัดข้อบกพร่อง |
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
นิทานของบีเดิลยอดกวี | |
---|---|
ไฟล์:บีเดิลยอดกวี.JPG ภาพปกหนังสือฉบับภาษาไทย | |
ผู้ประพันธ์ | เจ. เค. โรว์ลิ่ง |
ชื่อเรื่องต้นฉบับ | The Tales of Beedle the Bard |
ผู้แปล | สุมาลี บำรุงสุข |
ชุด | แฮร์รี่ พอตเตอร์ |
สำนักพิมพ์ | สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ |
วันที่พิมพ์ | 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551 |
พิมพ์ในภาษาอังกฤษ | 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551 |
หน้า | 157[1] |
นิทานของบีเดิลยอดกวี (The Tales of Beedle the Bard) เป็นหนังสือนิทานเด็ก ที่แต่งโดย เจ. เค. โรว์ลิ่ง เพื่อเป็นหนังสือประกอบสำหรับนิยายในชุดแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ โดยหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือสมมติที่ถูกอ้างถึงในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ซึ่งเป็นนิยายเล่มสุดท้ายในชุดอีกด้วย
เดิมที เจ. เค. โรว์ลิ่ง ผู้เขียนได้จัดทำหนังสือเล่มนี้ขึ้นด้วยมือเพียง 7 เล่มในโลกเท่านั้น โดยหกเล่มนั้นเธอนำไปบริจาคให้กับ 6 สถานที่ที่ช่วยให้เธอประสบความสำเร็จ และอีกหนึ่งเล่มเธอนำไปประมูลขาย โดยก็มีผู้ร่วมประมูลมากมาย แต่ในที่สุดเว็บไซต์ Amazon ก็ได้ไปในราคาถึง 1.95 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าเป็นการประมูลต้นฉบับงานเขียนยุคใหม่ที่ราคาสูงที่สุดในประวัติศาสตร์
หลังจากนั้น หนังสือฉบับพิมพ์ปกติก็ได้เริ่มวางขายให้แก่คนทั่วไปในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2551 สำหรับฉบับภาษาไทยนั้นจัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์[2] เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551[3]
สำหรับประวัติในโลกของแฮร์รี พ็อตเตอร์ ต้นฉบับของหนังสือบีเดิลยอดกวีเป็นหนังสือที่เก่าแก่มาก ฉบับพิมพ์ปัจจุบัน (ในโลกของแฮร์รี พ็อตเตอร์) นั้นพิมพ์หลังจากเหตุการณ์ในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ผู้เรียบเรียงคือเฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งได้มาจากพินัยกรรมของดัมเบิลดอร์
นิทานของบีเดิลยอดกวีมีนิทานทั้งหมด 5 เรื่องด้วยกัน เรื่องที่ไม่เคยถูกกล่าวถึงในนิยายชุดหลักของแฮร์รี่ พ็อตเตอร์คือเรื่อง วอร์ล็อกผู้มีหัวใจขน เพียงเรื่องเดียว
เนื้อเรื่อง
แม่แบบนี้ถูกยกเลิกการใช้งานแล้วโดยไม่มีแม่แบบอื่นใช้ทดแทน (ดูเพิ่มที่วิกิพีเดีย:ระวังเสียอรรถรส) กรุณาอย่าใช้แม่แบบนี้อีก |
พ่อมดกับหม้อกระโดดได้
เรื่องของพ่อมดผู้มีหม้อใบหนึ่งเรื่องมีอยู่ว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีชายชราผู้หนึ่งที่จิตใจดีงามนัก เขาได้ใช้หม้อของเขาปรุงยาสารพัดชนิดเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือจากเขา หากแต่ว่าเมื่อชายชราผู้นี้ได้เสียชีวิตลง ทรัพย์สินทุกๆอย่างจึงตกเป็นของลูกชายคนเดียวของเขา ที่ไร้ซึ่งคุณสมบัติของบิดาทุกประการ เมื่อบิดาเสียชีวิตแล้ว ผู้เป็นบุตรได้เอารองเท้าแตะข้างเดียวใส่ลงไปในหม้อพร้อมๆกับจดหมายจากชายชราที่เขียนไว้ว่า “ข้าหวังว่าเจ้าคงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้หม้อใบนี้”ลูกชายของเขานั้นโกรธแค้นชายชรามากมายที่ทิ้งเพียงแค่หม้อใบเดียวไว้ให้กับเขาจึงได้ปฏิเสธทุกๆคนที่ร้องขอความช่วยเหลือ คนแรกที่ได้มาขอความช่วยเหลือก็คือหญิงชราคนหนึ่งเนื่องจากหลานสาวของเธอนั้นเต็มไปด้วยหูด หลังจากที่ปิดประตูขับไล่หญิงชราแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆในห้องครัวและเมื่อเข้าไปก็พบว่าเจ้าหม้อที่บิดามอบให้นั้นมีเท้าที่เต็มไปด้วยหูดงอกออกมา คนต่อไปที่ได้มาขอความช่วยเหลือจากเขาก็คือชายชราท่านหนึ่ง เนื่องจากลาของเขานั้นกำลังหิวโหยและไม่สามารถที่จะไปตลาดกับเขาเพื่อจะซื้ออาหารมาเลี้ยงครอบครัวที่กำลังอดอยากได้ เจ้าลูกชายก็ได้ปิดประตูขับไล่ชายชราผู้นี้อีกเช่นกัน และเจ้าหม้อนั้นก็เริ่มส่งเสียงร้องเหมือนลา เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆจนเขาทนไม่ไหว เขาจึงไปตระเวนหาเพื่อนบ้านเพื่อที่จะช่วยเหลือพวกเขา และเมื่อปัญหาของแต่ละคนสิ้นหายไป อาการของเจ้าหม้อก็ดีขึ้นไปตามกันจนในที่สุดรองเท้าแตะปรากฏขึ้นในหม้ออีกครั้ง รองเท้าแตะที่เท้าของหม้อใส่ได้พอดิบพอดีและทั้งเจ้าลูกชายกับหม้อก็เดินลับตาไปกับแสงยามตะวันตก
น้ำพุแห่งโชคดีทีเดียว
เป็นที่รู้กันดีว่า ผู้คนมากมายซึ่งรวมไปถึงพ่อมดแม่มดและเหล่ามักเกิ้ลพยายามจะมายังที่น้ำพุแห่งนี้เพื่อที่จะขอคำตอบแก่ปัญหาของตน ที่นี่ยังเป็นที่นัดพบของแม่มดสามคนที่พยายามจะเข้าไปในสวนที่น้ำพุนั้นตั้งอยู่ แม่มดคนแรกมีนามว่า “อาร์ซาร์” ซึ่งกำลังป่วยด้วยโรคที่ไม่มีผู้บำบัดคนใดจะสามารถรักษาได้ แม่มดคนที่สองมีนามว่า “เอลธิดาร์” ซึ่งถูกพ่อมดปล้นและทำให้ขายหน้า หล่อนหวังว่าน้ำพุนี้จะช่วยรักษาความรู้สึกไร้ค่าและความจนของเธอได้ แม่มดคนที่สามมีนามว่า “อเมต้า” ซึ่งถูกทอดทิ้งโดยคนรักของหล่อนและหวังว่าน้ำพุจะสามารถรักษาอาการโศกเศร้าและความโหยหาของหล่อนได้ ทั้งสามตัดสินใจว่าจะลองพยายามที่จะไปน้ำพุแห่งนี้ด้วยกันมีอัศวินคนหนึงที่ “อเมต้า” เชื้อเชิญมา ได้มาร่วมเดินทางไปกับพวกเธอ ในตอนแรกนั้น แม่มดอีกสองคนนั้นไม่เห็นด้วย เพราะว่ามีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถอาบน้ำพุแห่งโชคดีจอมปลอมได้ ในที่สุดทั้งสี่ก็เดินทางไปด้วยกันระว่างทางนั้นพวกเขาก็พบด่านสามด่าน ด่านแรกคือหนอนยักษ์ตาบอดตัวอ้วนป่องที่สั่งให้พวกเขาพิสูจน์ความทุกข์ทรมาน หลังจากที่พยายามจะปราบเจ้าหนอนยักษ์ด้วยเวทมนตร์ซึ่งไร้ผล น้ำตาของ “อาร์ซาร์” ก็เป็นที่พึงพอใจต่อเจ้าสัตว์ดังกล่าว หลังจากนั้นพวกเขาได้พบกับทางลาดลึกและถูกสั่งให้มอบ‘ของที่ได้มาด้วน้ำพักน้ำแรง’ เป็นราคาค่าทางผ่าน เมื่อผ่านด่านที่สองมาแล้วทั้งหมดก็ได้พบกับแม่น้ำ และข้อแลกกับทางผ่านก็คือ‘สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในอดีตของท่าน’ “อเมต้า” ใช้ไม้กายสิทธิ์ของหล่อนดึงความทรงจำเกี่ยวกับของคนรักออกมาแล้วปล่อยมันทิ้งลงไปในน้ำและก้อนหินหลายก้อนก็โผล่ขึ้นมาเป็นทางข้ามแด่ผู้เดินทางทั้งสี่ เมื่อมาถึงน้ำพุ พวกเขาต้องตัดสินใจว่าใครที่จะเป็นคนอาบน้ำพุนี้ “อาร์ซาร์” เป็นลมล้มไปด้วยความเหนื่อยเจียนตาย “เอลธิดาร์” ปรุงยาเพื่อที่จะรักษาเธอ ยาตัวนี้ไม่เพียงแค่ทำให้ “อาร์ซาร์” ลุกขึ้นยืนบนเท้าทั้งสองข้างได้อีกครั้ง แต่ก็สามารถรักษาโรคของหล่อนอีกด้วยดังนั้น“อาร์ซาร์”จึงไม่ต้องการน้ำพุอีกต่อไป
“เอลธิด้า” รู้ว่าเธอมีอำนาจที่จะช่วยรักษาผู้อื่นและพบหนทางที่จะหาเงิน ดังนั้น หล่อนเองก็ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำพุอีก แม่มดคนที่สามซึ่งก็คือ “อเมต้า” นั้นก็รับรู้เช่นกันว่า หลังจากที่หล่อนทิ้งความทรงจำไปในแม่น้ำ หล่อนก็สามารถมองเห็นคนรักเก่าของเธอในอย่างที่เขาเป็น ซึ่งก็คือโหดร้ายและไร้ซึ่งความเลื่อมใส ทำให้หล่อนเองก็ไม่ต้องการน้ำพุ หล่อนจึงมอบโอกาสนี้ให้กับอัศวิน
อัศวินซึ่งแปลกใจกับความโชคดีของเขาได้อาบน้ำพุ และจากเสื้อเกราะที่ขึ้นสนิมของเขา อัศวินอ้อนวอนขอ ‘มือและหัวใจ’ ของ “อเมต้า” ซึ่งพบว่าในที่สุดก็ได้เจอชายที่มีค่าพอสำหรับเธอ
เมื่อแต่ละคนได้สมหวังกับความฝันแล้ว ก็เป็นอันว่าแท้จริงแล้วนั้นน้ำพุดังกล่าวไม่ได้มีเวทมนตร์อะไรเลย
หัวใจขึ้นขนของผู้วิเศษ
เรื่องที่สามนี้เป็นเรื่องเดียวที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงใน แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต
เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของพ่อมดวอร์ล็อกที่ยังหนุ่มและก็หล่อเหลาคนหนึ่ง ซึ่งตัดสินใจว่าเขาจะไม่มีวันยอมตกหลุมรักใครเด็ดขาด เขาใช้ศาสตร์มืดเพื่อป้องกันตนเองจากการตกหลุมรัก ครอบครัวของเขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อยับยั้งการกระทำครั้งนี้ เพราะมั่นใจว่าสักวันจะมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาเปลี่ยนความคิดของเขา หากแต่เวลาผ่านไป ญาติพี่น้องของชายหนุ่มได้แต่งงานพร้อมๆกับที่ความโง่เขลาของเขาได้เพียงแค่เพิ่มขึ้นเท่านั้น
ต่อมาในวันหนึ่ง ชายหนุ่มแอบได้ยินคนรับใช้สองคนพูดถึงการที่เขาไม่มีคู่ครอง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่าจะหาผู้หญิงที่เก่ง ร่ำรวยและสวยงามมาแต่งงานกับเขาเพื่อที่ทุกคนจะได้พากันอิจฉา
นับว่าโชคดีนักที่ชายหนุ่มได้พบกับหญิงสาวดังกล่าวในวันต่อมา แม้ว่าหญิงสาวนั้นทั้งทึ่งและรังเกียจเขา ชายหนุ่มก็สามารถชี้ชวนให้เธอมาร่วมทานเลี้ยงมื้อค่ำที่ปราสาทของเขาจนได้ ระหว่างทานเลี้ยง หญิงสาวบอกเขาว่าเธอจะเชื่อมั่นในตัวเขาก็ต่อเมื่อเธอรู้ว่าเขานั้นมีหัวใจ พ่อมดวอร์ล็อกพาเธอไปยังคุกใต้ดินและชี้ให้เธอดู หัวใจขนรุงรังที่กำลังเต้นอยู่ในกล่องแก้วคริสตัล แม่มดสาวนั้นหวาดกลัวมากและขอร้องให้เขานำมันไปเก็บเสีย เมื่อพ่อมดวอร์ล็อกทำตามที่นางขอ หญิงสาวก็กอดเขาไว้และชายหนุ่มก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจที่สามารถรู้สึกถึงความรัก หากแต่เพราะว่าหัวใจนั้นได้ห่างจากร่างกายของเขามานาน ความสวยงามและรอยกลิ่นหอมของแม่มดสาวได้แทงทะลุมันเสียสิ้น
ต่อมาแขกทั้งหลายก็ได้มาพบแม่มดสาวและพ่อมดวอร์ล็อกนอนสิ้นใจอยู่ในคุกใต้ดิน
แบ๊บบิตตี้แร๊บบิตตี้และตอไม้หัวเราะได้
ในเรื่องนี้ มีรูปวาดของตอไม้ที่มีวงอายุยี่สิบเส้นภายในวงเหล่านี้ มีดวงตาเข้มคู่หนึ่งที่ทอประกายเจิดจ้า และภาพที่สองใต้เรื่องเล่านั้นเป็นรูปวาดของรอยเท้าที่มีเพียงสี่นิ้ว
นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชาผู้มีพระประสงค์ต้องการเก็บเวทมนตร์ทั้งหมดไว้กับพระองค์เอง หากแต่ว่าการนี้จะสำเร็จก็ต่อเมื่อพระองค์สามารถแก้ปัญหาสองประการได้เสียก่อน
ประการแรกก็คือ พระองค์ต้องรวบรวมเหล่าแม่มดทุกคนในอาณาจักรและประการที่สองพระองค์ก็จะต้องทรงเรียนรู้การใช้เวทมนตร์ และระหว่างที่พระองค์ทรงรวมกำลังกองพันทหารเพื่อออกตามล่าเหล่าแม่มดนั้นพระองค์ก็ได้รับสั่งหาผู้สอนเวทมนตร์อีกด้วย แต่ไม่มีใครตอบรับเป็นผู้สอนให้แก่พระองค์นอกจาก ‘เจ้ากำมะลอจอมขี้โกง’ ผู้ซึ่งไร้อำนาจเวทมนตร์ใดๆทั้งสิ้นทำได้เพียงแค่เล่นกลธรรมดา และขอเงินขอทองพร้อมๆกับทูลพระองค์ว่า ทั้งหมดนั้นจำเป็นในการร่ายคาถา
‘แบ๊บบิตตี้’ หญิงรับจ้างปักเสื้อผ้าของพระราชาเริ่มส่งเสียงหัวเราะระหว่างที่ดูพระราชากับเจ้ากำมะลอพยายามร่ายเวทมนตร์คาถาจากกระท่อมของเธอ ซึ่งทำให้พระองค์ทรงกริ้วเป็นหนักหนา ดังนั้นจึงมีรับสั่งว่าทั้งสองจะแสดงเวทมนตร์ต่อหน้าผู้คนในวันรุ่งขึ้นและหากผู้ใดบังอาจกล้าหัวเราะเยาะพระองค์เสียล่ะก็..เจ้ากำมะลอจะถูกตัดหัวทิ้งทันที
เจ้ากำมะลอไปที่กระท่อมของแบ๊บบิตตี้ และไปแอบเห็นเธอร่ายเวทมนตร์เข้า เขาจึงขอความช่วยเหลือจากเธอ ไม่อย่างนั้นเขาจะนำตัวเธอส่งพวกทหาร เจ้ากำมะลอบอกว่าระหว่างการแสดงกลของพระราชานั้นให้เธอไปหลบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้แล้วร่ายเวทมตร์ให้พระราชา และนางก็ตอบตกลง วันต่อมาเมื่อทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดีนั้นกัปตันของเหล่าทหารก็เข้ามาพร้อมกับสุนัขที่ตายแล้วตัวหนึ่งและบอกให้พระราชาทำให้สุนัขตัวนี้ฟื้นกลับคืนชีพมาให้ได้ แบ๊บบิตตี้ ที่รู้ดีว่าแม้กระทั่งเวทมนตร์ก็ไม่สามารถพาอะไรกลับมาจากความตายได้ทั้งสิ้น จึงไม่พยายามที่จะช่วยเหลือพระราชา และเป็นเหตุให้เหล่าฝูงชนหัวเราะเยาะพระองค์เพราะพากันคิดว่าเวทมนตร์คาถาที่พระองค์ร่ายในตอนเริ่มแรกนั้นเป็นเพียงแค่กลอุบาย
เจ้ากำมะลอที่ตื่นกลัวก็รีบชี้ไปที่ที่ แบ๊บบิตตี้ ซ่อนตัวอยู่และบอกว่านังแม่มดนั่นกำลังกลั่นแกล้งพระองค์ทำให้คาถาไม่ทำงาน
แบ๊บบิตตี้ จึงวิ่งหนีจากพุ่มไม้แล้วหายตัวไปในป่าตรงใต้ตอต้นไม้แก่ๆ เจ้ากำมะลอที่กำลังจนตรอกเต็มทีร้องบอกว่านังแม่มดได้กลายร่างเป็นผลแอปเปิ้ลป่าและสั่งให้ตัดต้นไม้นี้ทิ้งเสียเพราะนั่นคือ ‘การกำจัดแม่มดผู้ร้ายกาจ’
เมื่อผู้คนเริ่มพากันกลับบ้าน ตอไม้ก็ส่งเสียงหัวเราะก่อนจะจัดการทำให้เจ้ากำมะลอยอมรับความจริงทุกสิ่งว่าแท้แล้วเขานั้นไม่มีเวทมนตร์เลย ตอไม้ส่งเสียงอีกครั้งและสั่งให้พระราชาห้ามทำร้ายผู้มีเวทมนตร์อีกเป็นอันขาดและให้พระองค์สร้างรูปปั้นของแบ๊บบิตตี้ บนต้อไม้นี้เพื่อที่จะได้ย้ำเตือนความโง่เขลาของพระองค์
เพราะความกลัวพระราชาจึงยอมปฏิบัติตามคำสั่งของต่อไม้ และเดินทางกลับพระราชวัง โดยไม่มีใครทันสังเกตเห็น กระต่ายแก่ตัวป้อมๆที่กระโดดออกจากโพรงใต้ตอไม้แล้วเดินทางออกจากอาณาจักรไป
นิทานสามพี่น้อง
นิทานสามพี่น้องเป็นนิทานที่ปรากฏในหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มที่เจ็ด เรื่องมีอยู่ว่า
"กาลครั้งหนึ่งยังมีพี่น้องผู้ชายสามคน กำลังเดินทางไปตามถนนที่คดเคี้ยวและเปล่าเปลี่ยวในยามเย็น ในไม่ช้า สามพี่น้อง ก็มาถึงแม่น้ำซึ่งลึกเกินกว่าจะเดินลุยข้าม และเชี่ยวกรากเกินกว่าจะว่ายข้ามไป อย่างไรก็ตาม พี่น้องทั้งสามคนเล่าเรียนเวทมนตร์ศาสตร์มาจนเชี่ยวชาญ พวกเขาจึงแค่โบกไม้กายสิทธิ์และเสกสะพานขึ้นมาข้ามแม่น้ำที่บ้าคลั่ง เมื่อข้ามไปกึ่งกลางสะพาน สามพี่น้องก็พบร่างที่สวมหมวกคลุมหัวยืนขวางทางไว้แล้วยมทูตก็พูดกับพวกเขา
ยมทูตโกรธที่ไม่ได้เหยื่อใหม่ไปสามราย เพราปกติแล้วนักเดินทางมักจมน้ำตายที่นี่ แต่ยมทูตเป็นคนเจ้าเล่ห์แสนกล เขาแสร้งทำเป็นยินดีกับสามพี่น้องที่เก่งกาจเรื่องเวทมนตร์ และบอกว่า ทั้งสามควรได้รับรางวัล ในฐานะที่ฉลาดพอจะหลบเลี่ยงยมทูตได้ ดังนั้นพี่ชายคนโต ซึ่งเป็นคนชอบต่อสู้ จึงขอไม้กายสิทธิ์ที่มีอำนาจเหนือกว่าไม้ใดๆในโลก ไม้กายสิทธิ์ที่ทำให้เจ้าของชนะการประลองเสมอ ไม้กายสิทธิ์ที่มีค่าคู่ควรแก่พ่อมดที่เอาขนะยมทูตได้ ดังนั้น ยมทูตจึงข้ามไปที่ต้นเอลเดอร์ซึ่งขึ้นอยู่ริมตริ่ง และตัดกิ่งหนึ่งออกมาทำไม้กายสิทธิ์ให้พี่ชายคนโต จากนั้นพี่คนที่สอง ซึ่งเป็นคนหยิ่งยโส ตัดสินใจว่าเขาอยากทำให้ยมทูตอับอายขายหน้ามากขึ้นอีก จึงขออำนาจที่จะเรียกใครก้ได้กลับมาจากความตาย ดังนั้น ยมทูตจิงหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาจากริมฝั่ง และมอบให้พี่ชายคนรอง บอกเขาว่าหินก้อนนี้มีอำนาจนำคนตายกลับมาได้ จากนั้นยมทูตถามชายคนที่สามซึ่งเป็นน้องคนสุดท้องว่าเขาต้องการอะไร น้องคนสุดท้องเป็นคนถ่อมตัวที่สุด และฉลาดที่สุดในบรรดาพี่น้องสามคน เขาไม่เชื่อใจยมทูตเลย ดังนั้นจึงขออะไรก็ได้ที่จะพาเขาไปจากที่นั่น โดยที่ไม่ให้ยมทูตติดตามไปได้ ยมทูตจึงมอบผ้าคลุมล่องหนของตนให้ ด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่ง จากนั้นยมทูตก็หลีกทาง ปล่อยให้สามพี่น้องเดินต่อไปได้
พวกเขาเดินทางกันต่อ พลางพูดคุยถึงการผจญภัยอันน่ามหัศจรรย์ที่เพิ่งประสบมา และต่างชื่นชมของขวัญจากยมทูต เมื่อถึงเวลา สามพี่น้องก็แยกทางกัน แต่ละคนไปตามจุดหมายปลายทางของตนเอง
พี่ชายคนโตเดินต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์ จนถึงหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง เขาตามหาพ่อมดที่เคยมีเรื่องวิวาทด้วย และท้าประลองกัน แน่นอน เมื่อมีไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์เป็นอาวุธ เขาก็เอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย เขาทิ้งศัตรูให้นอนตายอยู่บนพื้น แล้วเดินต่อไปยัง โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ณ ที่นั่น เขาคุยโวเรื่องไม้กายสิทธิ์อันทรงอำนาจที่เขาแย่งชิงมาจากยมทูตและบอกว่ามันทำให้เขาไม่มีวันพ่ายแพ้ คืนนั้นเอง พ่อมดคนหนึ่งแอบย่องไปหาพี่ชายคนโตขณะที่เขาเมาเหล้าองุ่นนอนหลับอยู่บนเตียง เจ้าขโมยหยิบเอาไม้กายสิทธิ์ไป แถมยังเชือดคอพี่ชายคนโตเสียด้วย ดังนั้นยมทูตจึงได้พี่ชายคนโตเป็นของตน
พี่ชายคนที่สองเดินทางกลับบ้านของตนเอง เมื่อไปถึง เขาหยิบก้อนหินที่มีอำนาจเรียกคนตายออกมา เขาหมุนมันในมือสามครั้ง แล้วก็ต้องประหลาดใจและดีใจ เมื่อเห็นร่างหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตรงหน้า เธอคือผู้หญิงที่เขาเคยหวังจะแต่งงานด้วย แต่ตายไปก่อนสมวัยอันควรแต่กระนั้นเธอกลับโศกเศร้าและเย็นชา เหินห่างจากเขาราวกับมีผ้าม่านบางๆขวางกั้น แม้ว่าจะกลับคืนสู่โลกมนุษย์ แต่เธอก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้จริงๆ และได้รับทุกเวทนายิ่งนัก ท้ายที่สุด พี่ชายคนรองก็กลายเป็นบ้าเพราะความไม่สมหวัง และฆ่าตัวตายเพื่อไปอยู่ร่วมกับสาวคนรักอย่างแท้จริง ดังนั้นยมทูตจึงได้พี่คนรองเป็นของตน
ส่วนน้องคนที่สาม แม้ยมทูตจะเฝ้าค้นหาเป็นเวลาหลายปี แต่ก็ไม่เคยพบชายผู้นั้นเลย ในที่สุดเมื่อน้องคนสุดท้องถึงกาลชราภาพ เขาจึงถอดผ้าคลุมล่องหนออกและส่งมอบให้บุตรชาย จากนั้นเขาก็ต้อนรับยมทูตดั่งเพื่อนเก่า และเดินทางไปด้วยกันอย่างยินดี ทั้งสองจากชีวิตนี้ไปในฐานะผู้เสมอกัน"
และนอกจากนี้ในแฮรี่พอตเตอร์เล่มเจ็ด ยังแสดงให้เห็นว่าเครื่องรางยมทูตนั้นมีจริง เช่น ผ้าคลุมล่องหนของแฮรี่ เป็นต้น
แม่แบบนี้ถูกยกเลิกการใช้งานแล้วโดยไม่มีแม่แบบอื่นใช้ทดแทน (ดูเพิ่มที่วิกิพีเดีย:ระวังเสียอรรถรส) กรุณาอย่าใช้แม่แบบนี้อีก |
อ้างอิง
- ↑ "J.K. Rowling's The Tales of Beedle the Bard". Amazon.com.
- ↑ [1]|ลิขสิทธิ์บีเดิลภาษาไทยสำเร็จ
- ↑ [2]