ผลต่างระหว่างรุ่นของ "รูปสี่เหลี่ยมคางหมู"
พ.น.บุญรอด (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
พ.น.บุญรอด (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 4: | บรรทัด 4: | ||
[[ราชบัณฑิตยสถาน]]ได้ให้นิยามของรูปสี่เหลี่ยมคางหมูไว้ว่า |
[[ราชบัณฑิตยสถาน]]ได้ให้นิยามของรูปสี่เหลี่ยมคางหมูไว้ว่า |
||
'''รูปสี่เหลี่ยมด้านขนานที่มีด้านขนานกันเพียงคู่เดียว'''<ref>http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp |
'''รูปสี่เหลี่ยมด้านขนานที่มีด้านขนานกันเพียงคู่เดียว'''<ref>http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp ค้นหา สี่เหลี่ยมคางหมู จากพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน</ref> |
||
ส่วนพจนานุกรมศัพท์วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ให้คำนิยามไว้ว่า |
ส่วนพจนานุกรมศัพท์วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ให้คำนิยามไว้ว่า |
||
บรรทัด 22: | บรรทัด 22: | ||
== การใช้รูปสี่เหลี่ยมคางหมูในสถาปัตยกรรม == |
== การใช้รูปสี่เหลี่ยมคางหมูในสถาปัตยกรรม == |
||
พบในสถาปัตยกรรมแบบ[[อียิปต์โบราณ]] โดยมีการเจาะช่องหน้าต่าง, ประตู และการก่อสร้างตัวอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูโดยมีด้านฐานยาวกว่าด้านยอด [[Image:Temple of Dendur- night.jpg|right|250px|thumb|วิหาร Dendur ซึ่งจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะนิวยอร์ก]] |
พบในสถาปัตยกรรมแบบ[[อียิปต์โบราณ]] โดยมีการเจาะช่องหน้าต่าง, ประตู และการก่อสร้างตัวอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูโดยมีด้านฐานยาวกว่าด้านยอด [[Image:Temple of Dendur- night.jpg|right|250px|thumb|วิหาร Dendur ซึ่งจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะนิวยอร์ก]] |
||
== อ้างอิง == |
|||
{{รายการอ้างอิง}} |
|||
[[หมวดหมู่:รูปสี่เหลี่ยม]] |
[[หมวดหมู่:รูปสี่เหลี่ยม]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 12:05, 27 ตุลาคม 2551
นิยาม
ราชบัณฑิตยสถานได้ให้นิยามของรูปสี่เหลี่ยมคางหมูไว้ว่า
รูปสี่เหลี่ยมด้านขนานที่มีด้านขนานกันเพียงคู่เดียว[1]
ส่วนพจนานุกรมศัพท์วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ให้คำนิยามไว้ว่า
รูปสี่เหลี่ยมใด ๆ ที่มีด้านตรงข้ามขนานกันคู่หนึ่ง และคู่เดียวเท่านั้น [2]
คุณสมบัติทางเรขาคณิต
- มีด้านตรงข้ามขนานกันเพียง 1 คู่ ซึ่งอาจจะยาวเท่ากันหรือไม่เท่ากันก็ได้
- ด้านคู่ที่ไม่ขนานกันอาจจะยาวเท่ากันหรือไม่ก็ได้ (ซึ่งถ้ายาวเท่ากันจะเป็นกลายเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านขนานหรือขนมเปียกปูน ซึ่งจัดเป็นกรณีพิเศษ และทำให้ด้านตรงข้ามยาวเท่ากันด้วย)
- มุมที่มีด้านคู่ขนานเป็นด้านเดียวกันทั้งสองมุมจะมีขนาดรวมกันเป็น 180 องศาหรือ 2 มุมฉากหรือ π เรเดียน
การคำนวณหาพื้นที่
- ในกรณีที่ทราบความยาวด้านคู่ขนาน (a และ b) และความสูงของรูป (h) สามารถใช้สูตรดังต่อไปนี้เพื่อหาพื้นที่ (A)
- ในกรณีที่ทราบความยาวของด้านทั้งหมด สามารถใช้สูตรดังต่อไปนี้ :
โดยที่ a และ c เป็นความยาวของด้านคู่ขนาน ซึ่งในกรณีที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน (หรือขนมเปียกปูน) ซึ่งมีด้านคู่ขนานยาวเท่ากัน จะไม่สามารถหาค่าได้ เนื่องจาก a=c ทำให้เกิดการหารด้วยศูนย์เกิดขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สี่เหลี่ยมด้านขนาน (หรือขนมเปียกปูน) ที่กำหนดความยาวของแต่ละด้านมาให้นั้นสามารถสร้างได้หลายรูป เนื่องจากรูปสี่เหลี่ยมประเภทนี้เกิดการโย้ได้ เพราะว่ามีด้านขนานกัน 2 คู่ จึงไม่สามารถหาพื้นที่จากความยาวด้านได้ แต่รูปสี่เหลี่ยมคางหมูที่กำหนดความยาวด้านมาให้นั้นจะมีได้เพียงรูปเดียว (โดยพิจารณาถึงการเรียงลำดับของความยาวด้าน เช่น รูปสี่เหลี่ยมคางหมู ABCD มีด้าน AB, BC, CD และ DA ยาวเท่ากับ a, b, c และ d ตามลำดับจะไม่เหมือนกันกับรูปสี่เหลี่ยมที่มีด้าน AB, BC, CD และ DA ยาวเท่ากับ a, c, b และ d ตามลำดับ) เนื่องจากว่ารูปนี้ไม่สามารถโย้ได้ เนื่องจากมีด้านขนานกันคู่เดียวเท่านั้น
การใช้รูปสี่เหลี่ยมคางหมูในสถาปัตยกรรม
พบในสถาปัตยกรรมแบบอียิปต์โบราณ โดยมีการเจาะช่องหน้าต่าง, ประตู และการก่อสร้างตัวอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูโดยมีด้านฐานยาวกว่าด้านยอด
อ้างอิง
- ↑ http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp ค้นหา สี่เหลี่ยมคางหมู จากพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน
- ↑ http://escivocab.ipst.ac.th/readdoc.asp?no=941 ผลการค้นหา สี่เหลี่ยมคางหมู จากพจนานุกรมศัพท์วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี