ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โกลเดนโกล"
ล โรบอต เพิ่ม: da:Golden goal |
ล โรบอต แก้ไข: id:Gol emas |
||
บรรทัด 29: | บรรทัด 29: | ||
[[fi:Kultainen maali]] |
[[fi:Kultainen maali]] |
||
[[he:שער הזהב (כדורגל)]] |
[[he:שער הזהב (כדורגל)]] |
||
[[id: |
[[id:Gol emas]] |
||
[[it:Golden gol]] |
[[it:Golden gol]] |
||
[[ja:ゴールデンゴール]] |
[[ja:ゴールデンゴール]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:28, 7 กันยายน 2551
โกลเดนโกล (Goalden goal) หรือ กฎประตูทอง เป็นกติกาในกีฬาฟุตบอลไว้ตัดสินหาผู้ชนะ ในเกมที่ต้องตัดสินผลแพ้ชนะ และการแข่งขันในเกมเสมอกันในช่วงเวลาปกติ (90 นาที) ปัจจุบันกฎนี้ไม่ถูกใช้ในเกมการแข่งขันของฟีฟ่าอีกต่อไปแล้ว
ถ้าใช้กฎโกลเดนโกล ในช่วงต่อเวลาพิเศษอีกครึ่งละ 15 นาทีนั้น ถ้าทีมไหนยิงประตูได้ก่อน ทีมนั้นจะชนะไปเลยโดยไม่ต้องแข่งขันต่อ แต่ถ้ายังยิงประตูกันไม่ได้จนหมดเวลา ก็จะเข้าสู่ช่วงยิงลูกโทษเพื่อหาผู้ชนะ
กฎนี้ถูกคิดขึ้นโดยฟีฟ่าใน ค.ศ. 1993 โดยใช้แทนคำว่า "ซัดเดน เดธ" (sudden death) เนื่องจากมีความหมายที่ค่อนข้างไปในทางลบ กฎนี้ถูกใช้ครั้งแรกในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 1996 และฟุตบอลโลก 1998
การแข่งขันครั้งแรกที่มีการยิงโกลเดนโกลคือ นัดระหว่างออสเตรเลียกับอุรุกวัย ในเดือนมีนาคม 1993 ในรอบก่อนรองชนะเลิศของการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนโลก สำหรับการแข่งขันสำคัญที่ตัดสินกันด้วยโกลเดนโกลคือรอบชิงชนะเลิศของยูโร 1996 โดยโอลิเวอร์ เบียร์ฮอฟฟ์ ผู้เล่นของเยอรมนี ยิงโกลเดนโกลเอาชนะสาธารณรัฐเช็ค
กฎโกลเดนโกลมีจุดหมายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเล่นแบบรวดเร็วและชาญฉลาด และหลีกเลี่ยงการตัดสินด้วยจุดโทษ แต่ได้รับเสียงวิจารณ์ว่าทำให้ทีมเล่นฟุตบอลแบบเน้นการป้องกันมากขึ้น เพื่อลดโอกาสความพ่ายแพ้
ใน ค.ศ.2002 ยูฟ่าได้นำกฎซิลเวอร์โกลมาใช้แทน โดยจะคล้ายกับกฎโกลเด้นโกล แต่จะไม่หยุดเกมเมื่อมีทีมยิงประตูได้ โดยจะเล่นจนจบครึ่งแรกของการต่อเวลาพิเศษแทน
ในปี 2004 ทางฟีฟ่าได้ยกเลิกกฎโกลเดนโกลหลังการแข่งขันยูโร 2004ที่ประเทศโปรตุเกส