นิราศลอนดอน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
นิราศลอนดอน
กวีหม่อมราโชทัย
ประเภทกลอนนิราศ
คำประพันธ์กลอนสุภาพ
ความยาว200
ยุครัชกาลที่ 4
ปีที่แต่งพ.ศ. 2400
ส่วนหนึ่งของสารานุกรมวรรณศิลป์

นิราศลอนดอน เป็นนิราศที่แต่งโดยหม่อมราโชทัย (หม่อมราชวงศ์กระต่าย อิศรางกูร)

ประวัติ[แก้]

เมื่อปี พ.ศ. 2398 สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร ได้ทรงแต่งตั้งให้ เซอร์ จอห์น เบาริง เป็นราชทูตเชิญพระราชสาส์น และเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ชักชวนให้ประเทศไทย (สยามในสมัยนั้น) ทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี ซึ่งก็คือ สนธิสัญญาเบาริง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) พร้อมด้วยคณะ เชิญพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการไปถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเมื่อปี พ.ศ. 2400 หม่อมราโชทัย (หม่อมราชวงศ์กระต่าย อิศรางกูร) ในขณะนั้นได้รับตำแหน่งเป็นล่ามไปกับคณะราชทูตชุดนี้ทำให้มีโอกาส ได้เขียนจดหมายเหตุการณ์เดินทาง จนกระทั่งมาเป็นนิราศลอนดอน

ลักษณะการประพันธ์[แก้]

แต่งโดยใช้กลอนนิราศ ในรูปแบบจดหมายเหตุการณ์เดินทางแล้วตามด้วยบทร้อยกรอง

จุดมุ่งหมายในการแต่ง[แก้]

เพื่อพรรณนาและบรรยาย ถึงเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการเดินทางของผู้แต่ง

เนื้อเรื่องย่อ[แก้]

คณะราชทูตไทยอัญเชิญพระราชสาส์น พร้อมทั้งเครื่องราชบรรณาการไปถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ณ ปราสาทวินด์เซอร์ ซึ่งทำให้ได้รับผลดีคือมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาใหม่ โดยที่ไทยได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น จากนั้นคณะราชทูตไทยได้รับพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำและน้ำชาและได้พักค้างแรม ณ ปราสาทวินด์เซอร์ 1 คืน ต่อมาจึงได้ไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญๆ เช่น โรงพยาบาล โรงงานทำเหรียญกษาปณ์ ป้อมศาสตราวุธแห่งลอนดอน

มงกุฎพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรซึ่งมีเพชรขนาดใหญ่เท่าไข่นกพิราบประดับอยู่และพระราชวังบักกิงแฮม

คุณค่าทางวรรณศิลป์[แก้]

  1. มีกลวิธีดำเนินเรื่องเป็นไปตามลำดับเวลาและสถานที่
  2. มีการเลือกใช้คำซึ่งมีทั้งคำราชาศัพท์ คำภาษาต่างประเทศ จนถึงคำที่ใช้ในร้อยกรองทั่วไป
  3. ได้มีการใช้ภาษาที่แสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึก สอดแทรกไว้ในเนื้อความบางตอน
  4. มีการใช้ภาษาที่กระชับ เข้าใจง่าย ทำให้การพรรณนาบรรยายในเนื้อเรื่องออกมาอย่างชัดเจน
  5. เนื้อหามีลักษณะเป็นสารคดีปนอยู่ด้วย
  6. มีการเปรียบเทียบถึงสิ่งที่เคยและไม่เคยพบเห็น รวมทั้งมีการใช้ภาษาแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา

คุณค่าทางสังคม[แก้]

  1. เหตุการณ์ในนิราศลอนดอนถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของไทยก่อนที่ไทยจะเปิดประตูบ้านรับอารยธรรมจากต่างประเทศเข้ามาซึ่งเป็นสิ่งที่วางรากฐานตามความเจริญของบ้านเมืองต่อมา
  2. สะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตและสังคมของประเทศมหาอำนาจอย่างอังกฤษกับไทย
  3. สะท้อนฐานะของไทยในสายตาต่างชาติ

คณะราชทูตไทย[แก้]

คณะราชทูตไทยที่เดินทางไปเจริญราชไมตรี ณ ประเทศอังกฤษในครั้งนี้ประกอบด้วย

ทูต[แก้]

  • พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ราชทูต)
  • เจ้าหมื่นสรรเพชญภักดี (อุปทูต)
  • จมื่นมณเฑียรพิทักษ์ (ตรีทูต)

ล่าม[แก้]

  • หม่อมราโชทัย (ล่ามหลวง)
  • ขุนปรีชาชาญสมุทร
  • ขุนจรเจนทะเล

ผู้ควบคุมเครื่องราชบรรณาการ[แก้]

  • หมื่นราชามาตย์
  • นายพิจารณ์สรรพกิจ

ข้อมูลที่น่าสนใจ[แก้]

  • มิสเตอร์เฟาล์ มีชื่อจริงๆ ว่า “มิสเตอร์เอดวาร์ด เฟาล์” เดิมเคยอยู่พม่าเป็นผู้ที่รัฐบาลอังกฤษจัดการให้เป็นผู้สันทัดธรรมเนียมไทย เป็นผู้ดูแลอยู่กับคณะราชทูตไทย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 มิสเตอร์เฟาล์ ได้เป็นหลวงสยามานุเคราะห์ ตำแหน่งกงสุลสยาม ณ เมืองย่างกุ้งและอยู่มาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5
  • เยนเนอรัลกัส หรือ พลตรีเซอร์ เอดวาร์ด คัส เป็นเจ้าพนักงานการพระราชพิธี
  • ลอร์ดการท่า หรือ ลอร์ด กลาเรนดอน ผู้สำเร็จราชการฝ่ายการท่า ฝ่ายต่างประเทศของอังกฤษคณะราชทูต
  • หมอบรัดเลย์ ซื้อลิขสิทธิ์นิราศลอนดอนไปเมื่อปี พ.ศ. 2405 นับเป็นวรรณคดีเรื่องแรกในประเทศไทยที่มีการซื้อ-ขายลิขสิทธิ์
  • กรองทอง คือ ผ้าโปร่งอันทอ หรือถักด้วยเส้นลวดทองหรือไหมทอง
  • กษัตริย์สอง หมายถึง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
  • พระธโรน คือ บัลลังก์ที่ประทับกษัตริย์ มาจากภาษาอังกฤษว่า “ throne”
  • เพชรเม็ดใหญ่ เป็น เพชรประดับมงกุฎกษัตริย์แห่งอังกฤษมีชื่อว่า “โกอินัวร์” มีขนาดใหญ่เท่าไข่นกพิราบ
  • ราชสามิศ พระราชสวามีของสมเด็จพระราชินี
  • ราชสารสุวรรณ คือ พระราชสารที่จารึกบนใบลานทองเป็นพระราชสารของพระเจ้าแผ่นดินแห่งสยามทั้ง 2 พระองค์
  • กัปตันเกลเวอริง กัปตันเรือกาเรดอก ที่ทูตไทย ขอให้อยู่ร่วมกับคณะราชทูต
  • รัถา ใช้แปลว่า รถ
  • ขวดเฟือง เป็นขวดที่หล่นเป็นพู เป็นเหลี่ยม ไม่กลมเรียบตลอด
  • เครื่องต้น เป็นเครื่องทรงสำหรับกษัตริย์ สิ่งของที่กษัตริย์ทรงใช้
  • ฮูโร ที่ใช้มาจากภาษาอังกฤษที่ว่า hurrah เทียบได้กับ “ไชโย” ของไทย