ซักกูม
ตามความในอัลกุรอาน ซักกูม (อาหรับ: زقوم) เป็นต้นไม้ที่ "โตมาจากก้นลึกของนรกญะฮันนัม" ซึ่งเป็น "ต้นไม้ที่ถูกสาป" ตามที่อธิบายในซูเราะฮ์ที่ 17:60 [1] 37:62-68,[2] 44:43,[3] และ 56:52[4][5]
มุมมองทางศาสนา[แก้]
ในอัลกุรอานได้อธิบายไว้ว่า:
- [44.43] แท้จริงต้นซักกูม
- [44.44] จะเป็นอาหารของผู้ทำบาปมาก
- [44.45] เช่นทองแดงที่ถูกหลอมเดือด มันจะต้มเดือดอยู่ในท้อง
- [44.46] เช่นการเดือดพล่านของน้ำร้อน[6]
ผลของต้น ซักกูม มีรูปร่างเหมือนหัวปิศาจ (กุรอาน 37:62-68). โดยคนที่อยู่ในนรกจะต้องกินผลของมัน ซึ่งจะทำให้ร่างของพวกเขาถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ เพื่อเป็นการลงโทษอันเป็นผลจากกรรมเมื่อตอนที่ยังมีชีวิตในโลกนี้ อุมัร สุไลมาน อัล-อัชกอร์ นักวิชาการซาลาฟี และศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยจอร์แดน กล่าวว่า เมื่อคนบาปกินมันเสร็จแล้ว ผลของมันจะเดือดเหมือนน้ำมันเดือดในท้องของพวกเขา นักวิชาการบางท่าน เสนอว่าต้นไม้นี้เติบโตด้วยบาปของผู้ที่ทำบาป ดังนั้นผลปิศาจจึงเป็นสิ่งที่ไม่ดีของผู้ที่ทำบาปในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งอิบน์ อะรอบีกล่าวไว้ว่า ต้นนี้แสดงถึงความหยิ่งยะโสของตนเอง.[7][8]
พฤกษศาสตร์[แก้]
ชื่อของต้น ซักกูม ถูกใช้กับสปีชีส์ของ Euphorbia abyssinica โดยชาวบีจาที่อาศัยอยู่ทางตะวันออกของประเทศซูดาน.[9] ส่วนในประเทศจอร์แดน จะใช้ชื่อนี้กับสปีชีส์ของ Balanites aegyptiaca.[10] และในประเทศตุรกี จะใช้ชื่อนี้กับต้นยี่โถ.[ต้องการอ้างอิง]
ดูเพิ่ม[แก้]
- ตูบา ต้นไม้ในสวรรค์
อ้างอิง[แก้]
- ↑ อัลกุรอาน 17:60
- ↑ อัลกุรอาน 37:62-68
- ↑ อัลกุรอาน 44:43
- ↑ อัลกุรอาน 56:52
- ↑ Farooqi, M.I.H. "Zaqqum in light of the Quran". Islamic Research Foundation International, Inc. สืบค้นเมื่อ 30 December 2014.
- ↑ อัลกุรอาน 44:43 Translation of M. H. Shakir.
- ↑ Sarah R. bin Tyeer The Qur’an and the Aesthetics of Premodern Arabic Prose Springer 2016 ISBN 978-1-137-59875-2 page 82
- ↑ Muhittin Akgul The Qu'ran in 99 Questions Tughra Books 2008 ISBN 978-1-597-84640-0
- ↑ Trees in the Koran and the Bible, L. J. Musselman, Unasylva: an international journal of forestry and forest industries, #213: Perceptions of forests (54, #2, 2003).
- ↑ The Waters That Heal เก็บถาวร 2007-09-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Kirk Albrecht and Bill Lyons, Saudi Aramco World, March/April 1995, pp. 34-39.