เดอะลาสต์ออฟอัส

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก The Last of Us)
เดอะลาสต์ออฟอัส
ภาพหน้าปกของวิดีโอเกมเดอะลาสต์ออฟอัส
แสดงตัวละครหลัก คือโจล (ซ้าย) และเอลลี (ขวา)
ผู้พัฒนานอตีด็อก
ผู้จัดจำหน่ายโซนี่อินเตอร์แอ็กทีฟเอ็นเตอร์เทนเมนต์
กำกับ
ออกแบบจาค็อบ มินคอฟ
โปรแกรมเมอร์
  • ทราวิส แม็กอินทอช
  • เจสัน เกรกอรี
ศิลปิน
  • อีริก แพงกิลิแนน
  • เนต เวลส์
เขียนบทนีล ดรักแมนน์
แต่งเพลงกุสตาโว ซันตาโอลายา
ชุดเดอะลาสต์ออฟอัส
เครื่องเล่น
วางจำหน่ายเพลย์สเตชัน 3
  • ทั่วโลก: 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556
เพลย์สเตชัน 4
  • NA: 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
  • PAL: 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
  • UK: 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557
แนวแอ็กชันผจญภัย
รูปแบบผู้เล่นเดี่ยว, หลายผู้เล่น

เดอะลาสต์ออฟอัส (อังกฤษ: The Last of Us) เป็นวิดีโอเกมแนวแอ็กชันผจญภัยสยองขวัญเอาชีวิตรอด พัฒนาโดยนอตีด็อก และจัดจำหน่ายโดยโซนี่อินเตอร์แอ็กทีฟเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เดอะลาสต์ออฟอัส วางจำหน่ายครั้งแรกลงเครื่องเพลย์สเตชัน 3 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ผู้เล่นได้ควบคุมโจล นักค้าอาวุธที่ได้รับมอบหมายให้พาตัวเด็กสาววัยรุ่นชื่อ เอลลี ทั่วแดนโลกหลังพยากรณ์ในสหรัฐ เดอะลาสต์ออฟอัสเล่นจากมุมมองบุคคลที่สาม ผู้เล่นใช้อาวุธปืนและอาวุธประกอบ และสามารถใช้การลอบเร้นเพื่อป้องกันภัยจากศัตรูที่เป็นมนุษย์และสัตว์ประหลาดกินคนที่ติดเชื้อจากเห็ดราสายพันธุ์คอร์ดีเซปส์ที่กลายพันธุ์ ในระบบผู้เล่นหลายคน ผู้เล่นสามารถเล่นแบบร่วมมือกันหรือแข่งขันกันได้ถึงแปดคน

การพัฒนาเกมเดอะลาสต์ออฟอัสเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2552 ซึ่งเป็นเวลาไม่นานหลังนอตีดอกออกเกมอันชาร์ทิด 2: อะมังทีฟส์ ความสัมพันธ์ระหว่างโจลและเอลลีกลายเป็นจุดสำคัญของเกม และพัฒนาองค์ประกอบอื่น ๆ ควบคู่กันไป นักแสดง ทรอย เบเกอร์ และแอชลีย์ จอห์นสัน รับบทโจล และเอลลี ตามลำดับ โดยให้เสียงพากย์และแสดงประกอบการเคลื่อนไหว (motion capture) ดนตรีประกอบประพันธ์และบรรเลงโดย กุสตาโว ซันตาโอลายา

หลังประกาศในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2554 เดอะลาสต์ออฟอัสเป็นที่คาดหวังอย่างกว้างขวาง หลังเกมออกจำหน่าย เกมได้รับคำยกย่องเป็นสากล โดยยกย่องเนื้อเรื่อง ระบบเกม การออกแบบภาพและเสียง การกำหนดตัวละคร และการพรรณนาตัวละครเพศหญิง เดอะลาสต์ออฟอัส กลายเป็นหนึ่งในเกมที่ขายดีที่สุดสำหรับเพลย์สเตชัน 3 โดยขายได้มากกว่า 1.3 ล้านหน่วยในสัปดาห์แรก และมากกว่าแปดล้านหน่วยในเวลาสิบสี่เดือน เกมได้รับรางวัลประจำปีหลายรางวัล ได้แก่ รางวัลเกมแห่งปีจากสำนักพิมพ์เกม นักวิจารณ์ และงานประกาศรางวัลต่าง ๆ ทำให้เป็นหนึ่งในเกมที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และจัดว่าเป็นหนึ่งในวิดีโอเกมที่ดีที่สุดตลอดกาล

หลังเกมออกจำหน่าย นอตีด็อกออกเนื้อหาเสริมให้ดาวน์โหลด ได้แก่เดอะลาสต์ออฟอัส: เลฟต์บีไฮนด์ โดยเพิ่มเนื้อเรื่องแบบผู้เล่นคนเดียวเกี่ยวกับเอลลีและเพื่อนสนิทของเธอชื่อ ไรลีย์ เกมฉบับปรังปรุงในชื่อ เดอะลาสต์ออฟอัส รีมาสเตอด์ ออกจำหน่ายลงเครื่องเพลย์สเตชัน 4 ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2557 มีการประกาศเกมภาคต่อ เดอะลาสต์ออฟอัส พาร์ท II ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2559 และกำลังมีโปรเจกต์วิดีโอเกมผู้เล่นหลายคนในจักรวาลชื่อว่า เดอะลาสต์ออฟอัส แฟคชั่นส์

ความสำเร็จของวิดีโอเกม ทำให้เกิดการรีเมค รีมาสเตอร์ในชื่อว่า เดอะลาสต์ออฟอัส ภาค 1 รวมถึงสร้างเป็นละครชุดในชื่อเดียวกัน โดยเอชบีโอ ที่ประสบความสำเร็จในด้านคำวิจารณ์และยอดผู้ชมจนได้รับการต่อฤดูกาลที่ 2 ตั้งแต่ตอนที่ 2 ของฤดูกาลที่ 1 เพิ่งออกฉาย นำแสดงโดย เพโดร ปาสคาล และ เบลล่า แรมซีย์ ในบท โจล และ เอลลี่

ระบบเกม[แก้]

เดอะลาสต์ออฟอัสเป็นเกมแอ็กชันผจญภัยสยองขวัญเอาชีวิตรอด เล่นจากมุมมองบุคคลที่สาม[1] ผู้เล่นจะต้องเดินทางตามสิ่งแวดล้อมของโลกหลังพยากรณ์ เช่น เมือง อาคาร และท่อระบายน้ำ เพื่อดำเนินเนื้อเรื่อง ผู้เล่นใช้อาวุธปืน อาวุธประกอบ และการลอบเร้นเพื่อป้องกันตนเองจากศัตรูที่เป็นมนุษย์และสัตว์ประหลาดกินคนที่ติดเชื้อเห็ดราสายพันธุ์คอร์ดิเซปส์ ที่กลายพันธุ์ ผู้เล่นได้ควบคุมโจล เป็นส่วนใหญ่ โจลเป็นคนที่ได้รับมองหมายให้พาตัวเด็กสาววัยรุ่นชื่อ เอลลี เดินทางข้ามสหรัฐ โดยที่ในเกมเอลลีและเพื่อนคนอื่น ๆ จะมีปัญญาประดิษฐ์ควบคุม[2] ผู้เล่นได้ควบคุมเอลลีในเนื้อเรื่องช่วงฤดูหนาว[3]

ในการต่อสู้ ผู้เล่นสามารถใช้อาวุธพิสัยระยะไกล เช่น ปืนไรเฟิล ปืนลูกซอง และธนู และอาวุธพิสัยระยะสั้น เช่น ปืนพก และปืนลูกซองเล็ก ผู้เล่นสามารถเก็บอาวุธโจมตีระยะประชิดที่ใช้ได้จำกัด เช่น ท่อน้ำ และไม้เบสบอล และสามารถขว้างขวดน้ำและก้อนอิฐเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ทำให้ศัตรูชะงัก หรือใช้โจมตีศัตรูได้[4] ผู้เล่นสามารถเพิ่มความสามารถให้อาวุธที่โต๊ะงานช่างโดยใช้สิ่งของที่เก็บมาได้ เครื่องมือต่าง ๆ เช่น ชุดปฐมพยาบาล และระเบิดขวด สามารถหาเก็บหรือใช้สิ่งของประกอบขึ้นมาได้ มาตรวัดพลังชีวิตและความเร็วในการประกอบของสามารถเพิ่มได้โดยเก็บยาเม็ดและสมุนไพร ใช้ชุดปฐมพยาบาลเพื่อเพิ่มพลังชีวิต[5]

แม้ว่าผู้เล่นสามารถโจมตีศัตรูได้โดยตรง พวกเขาสามารถใช้การลอบเร้นเพื่อจู่โจมศัตรูโดยไม่ได้ถูกจับได้ได้ "โหมดฟัง" ทำให้ผู้เล่นระบุตำแหน่งของศัตรูได้ผ่านการได้ยินและการระวังตัว บ่งบอกด้วยโครงร่างที่มองเห็นทะลุกำแพงและวัตถุต่าง ๆ ได้[6] ในระบบคุ้มกันแบบพลวัต ผู้เล่นย่องไปด้านหลังสิ่งกีดขวางเพื่อให้เกิดการได้เปรียบเชิงกุลยุทธ์ในระหว่างโจมตี[7] เกมมีช่วงเวลาที่ไม่มีการปะทะกัน โดยมักจะเป็นการสนทนาระหว่างตัวละคร[8] ผู้เล่นแก้ปริศนาง่าย ๆ ได้ เช่น การใช้แพไม้ลอยน้ำมารับตัวเอลลี ซึ่งไม่สามารถว่ายน้ำได้ ให้ข้ามผิวน้ำไปได้ และใช้บันไดหรือถังขยะในการปีนขึ้นที่สูง ของสะสมในเกม เช่น บันทึก แผนที่ และหนังสือการ์ตูน สามารถหาเก็บและเปิดดูได้ในเมนูกระเป๋าสะพาย[9]

เกมมีระบบปัญญาประดิษฐ์ ศัตรูที่เป็นมนุษย์ตอบโต้กับการต่อสู้ ถ้าศัตรูเจอผู้เล่น พวกเขาจะหลบหรือเรียกขอความช่วยเหลือ และสามารถเอาเปรียบผู้เล่นเมื่อพวกเขาถูกเบนความสนใจ กระสุนหมด หรือระหว่างต่อสู้ เพื่อนของผู้เล่น เช่น เอลลี สามารถช่วยต่อสู้โดยขว้างวัตถุเพื่อให้ศัตรูชะงัก ประกาศให้รู้ตำแหน่งของศัตรู หรือใช้มีดและปืนพกเพื่อโจมตีศัตรู[10]

เนื้อเรื่อง[แก้]

ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2556 ได้เกิดการระบาดขึ้นของเชื้อรากลายพันธุ์ชื่อ คอร์ดีเซปส์ ในสหรัฐอเมริกา ทำให้มนุษย์กลายเป็นสัตว์ประหลาดกินคน รู้จักในชื่อ ผู้ติดเชื้อ (infected) ในชานเมืองออสติน รัฐเท็กซัส โจล (ทรอย เบเกอร์) หนีจากความโกลาหลกับน้องชายชื่อ ทอมมี (เจฟฟรีย์ เพียร์ซ) และลูกสาวชื่อ ซาราห์ (ฮานา เฮส์) ขณะพวกเขาหนี ซาราห์ถูกทหารคนหนึ่งยิงและเสียชีวิตในอ้อมแขนของโจล ยี่สิบปีถัดมา อารยธรรมมนุษย์ส่วนใหญ่ได้ล่มสลายลงเนื่องมาจากการระบาดของเชื้อรา ผู้รอดชีวิตอาศัยอยู่ในเขตกักกันที่มีทหารคุ้มกันอย่างเข้มงวด ในชุมชนอิสระ และกลุ่มคนเร่ร่อน โจลทำงานเป็นผู้ลอบค้าอาวุธร่วมกับเพื่อนชื่อ เทสส์ (แอนนี เวอร์ชิง) ในเขตกักกันที่บอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ พวกเขาตามล่าโรเบิร์ต (โรบิน แอตคิน ดาวส์) ผู้ค้าในตลาดมืด เพื่อนำคลังอาวุธกลับคืนมา ก่อนเทสส์ฆ่าเขา โรเบิร์ตเผยว่าตนค้าขายแลกเปลี่ยนคลังอาวุธกับพวกไฟร์ฟลายส์ กลุ่มทหารที่ต่อต้านเจ้าหน้าที่ในเขตกักกัน

หัวหน้าไฟร์ฟลายส์ชื่อ มาร์ลีน (เมิร์ล แดนดริดจ์) สัญญาว่าจะเพิ่มคลังอาวุธให้เป็นสองเท่าแลกกับการลักลอบพาเด็กสาววัยรุ่นชื่อ เอลลี (แอชลีย์ จอห์นสัน) ไปยังที่หลบซ่อนของไฟร์ฟลายส์ในอาคารศาลากลางของบอสตันภายนอกเขตกักกัน โจล เทสส์ และเอลลีแอบออกมาตอนกลางคืน แต่หลังจากเผชิญหน้ากับทหารลาดตระเวน พวกเขาพบว่าเอลลีติดเชื้อ เอลลีอธิบายว่าตนเองถูกกัดมาเมื่อ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ไม่มีอาการใด ๆ ทั้งที่ผู้ที่ถูกกัดคนอื่นล้วนกลายสภาพใน 2 วัน กลุ่มไฟร์ไฟลส์จึงเห็นว่าภูมิคุ้มกันของเอลลีอาจนำไปสู่การรักษาเชื้อนี้ได้ เมื่อทั้งสามเดินทางมาถึงอาคารศาลากลางก็พบว่าสมาชิกไฟร์ไฟลส์ทั้งหมดในนั้นถูกสังหาร เทสส์ได้เผยว่าเธอถูกผู้ติดเชื้อกัดระหว่างทาง เมื่อหน่วยทหารเข้ามาประชิด เทสส์เห็นความสำคัญของเอลลีจึงได้สละชีวิตตนเองเพื่อให้โจลและเอลลีหนีไป โจลตัดสินใจตามหาทอมมี อดีตไฟร์ฟลายส์ เพื่อหวังว่าเขาจะตามหาตำแหน่งของไฟร์ฟลายส์ที่เหลือได้ พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากบิล (ดับเบิลยู. เอิร์ล บราวน์) ผู้ลักลอบค้าอาวุธที่ติดหนี้บุญคุณโจลอยู่ บิลหารถยนต์ที่ใช้งานได้ให้พวกเขา เมื่อเดินทางมาถึงพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย โจล และเอลลีถูกกลุ่มปล้นสดมภ์ซุ่มโจมตี ทำให้รถยนต์เสียหาย ขณะหลบหนีพวกเขาพบสองพี่น้อง เฮนรี (แบรนดอน สกอตต์) และแซม (นาดจี เจเทอร์) หลังจากหนีออกจากเมืองได้ แซมถูกผู้ติดเชื้อกัด แต่ไม่เผยให้คนในกลุ่มทราบ เมื่อเชื้อกำเริบ แซมทำร้ายเอลลี แต่เฮนรียิงเขาและฆ่าตัวตายตามไป

ในฤดูใบไม้ร่วง โจลและเอลลีพบกับทอมมีในแจ็กสัน รัฐไวโอมิง โดยเขาได้สร้างป้อมปราการขึ้นใกล้ ๆ เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ ร่วมกับภรรยาชื่อ มาเรีย (แอชลีย์ สกอตต์) โจลตั้งใจจะฝากให้ทอมมีเป็นคนช่วยพาเอลลีไปส่งให้กลุ่มไฟร์ไฟลส์ แต่เมื่อเอลลีมาได้ยินเข้าก็ไม่พอใจและได้ขโมยม้าหนีออกมา เมื่อโจลตามพบตัวเอลลี เธอก็ได้หยิบยกประเด็นเรื่องซาราห์ขึ้นมา ทำให้โจลตัดสินใจให้เธอไปกับตน ทั้งสองได้เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นโคโลราโด เพื่อตามหาห้องทดลองของกลุ่มไฟเออร์ไฟลส์ตามคำชี้แนะของทอมมี แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่ามหาวิทยาลัยถูกทั้งร้าง และทราบว่ากลุ่มไฟเออร์ไฟลส์ได้ย้ายไปยังโรงพยาบาลในเมืองซอลต์เลกซิตี รัฐยูทาห์ ระหว่างเดินทางออกจากมหาวิทยาลัย ทั้งสองได้ปะทะกับกลุ่มโจร โจลบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้ เอลลีช่วยพาโจลหนีออกมาได้ แต่โจลก็สลบไปเพราะฤทธิ์บาดแผล

ในฤดูหนาว เอลลีและโจลพักอยู่ในหุบเขา โจลกำลังพักรักษาตัวโดยมีเอลลีคอยดูแล ขณะเอลลีออกไปล่าสัตว์ก็ได้พบกับเดวิด (โนแลน นอร์ท) และเจมส์ (รูเบน แลงดอน) กลุ่มคนเก็บหาอาหารที่ตั้งใจจะแลกอาหารกับยา เดวิดกลายเป็นศัตรูเมื่อเผยว่ากลุ่มโจรที่โจลปะทะด้วยในมหาวิทยาลัยเป็นกลุ่มของเขา เอลลีพยายามล่อกลุ่มของเดวิดไปให้ไกลจากโจล แต่ถูกจับในที่สุด เดวิดตั้งใจจะรับเธอมาอยู่ในกลุ่มมนุษย์กินคน เอลลีปฏิเสธ ฆ่าเจมส์และหนีออกมาได้ เดวิดไล่ต้อนเธอไปถึงภัตตาคารแห่งหนึ่ง ขณะนั้น โจลอาการดีขึ้น และออกตามหาเอลลี เขามาเจอเอลลีขณะที่เธอฆ่าเดวิด โจลปลอบใจเธอก่อนหนีไปด้วยกัน

ในฤดูใบไม้ผลิ โจลและเอลลีมาถึงซอลต์เลกซิตีและถูกทหารลาดตระเวนของไฟร์ฟลายส์จับตัวไป ในโรงพยาบาล มาร์ลีนบอกโจลว่าเอลลีกำลังเข้ารับการผ่าตัด เพื่อผลิตวัคซีนรักษาการติดเชื้อ โดยพวกเขาจะต้องผ่าชิ้นสมองส่วนที่ติดเชื้อของเอลลีออกมา ซึ่งหมายถึงเอลลีจำเป็นต้องตายเพื่อให้วัคซีนสำเร็จ โจลไม่ต้องการเสียเอลลีไป เขาจึงต่อสู้กลุ่มไฟร์ฟลายส์จนไปถึงห้องผ่าตัด และอุ้มเอลลีที่หมดสติออกไปยังที่จอดรถ เขาพบกับมาร์ลีนอีกครั้ง เขาฆ่ามาร์ลีนเพื่อป้องกันกลุ่มไฟร์ฟลายส์ที่ตามล่าเขา ระหว่างขับรถออกจากเมือง โจลอ้างว่าไฟร์ฟลายส์พบคนที่มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อมากมาย แต่ไม่เคยหาทางรักษาได้ และได้หยุดหาทางรักษาแล้ว ที่ชานเมืองบริเวณชุมชนของทอมมี เอลลีเผยว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวตอนติดเชื้อ และแสดงความรู้สึกผิดที่รอดชีวิตมาได้ โจลสาบานกับเธอว่าเรื่องเกี่ยวกับไฟร์ฟลายส์ที่เขาเล่ามาเป็นความจริง[11]

การพัฒนา[แก้]

นอตีด็อกเริ่มต้นพัฒนาเกมเดอะลาสต์ออฟอัสในปี พ.ศ. 2552 หลังจากที่เกมอันชาร์ทิด 2: อะมังทีฟส์ ได้ออกวางจำหน่าย นับเป็นครั้งแรกที่นอตีด็อกได้ทำการแบ่งออกเป็น 2 ทีมเพื่อพัฒนา 2 เกมไปพร้อมกัน คือ เดอะลาสต์ออฟอัส และอันชาร์ทิด 3: เดรกส์ดีเซปชัน [12] บรูซ สแตรลีย์ ละนีล ดรักแมนน์ ป็นผู้กำกับและควบคุมทีมที่พัฒนาเกมเดอะลาสต์ออฟอัส

อ้างอิง[แก้]

  1. Hamilton, Kirk (July 29, 2014). "The Last of Us: The Kotaku Review". Kotaku. Gawker Media. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 18, 2015. สืบค้นเมื่อ October 19, 2015.
  2. Wells, Evan (December 10, 2011). "Naughty Dog Reveals The Last of Us at 2011 VGAs". PlayStation Blog. Sony Computer Entertainment. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 6, 2014. สืบค้นเมื่อ October 6, 2014.
  3. Naughty Dog and Area 5 (February 24, 2014). Grounded: Making The Last of Us. Sony Computer Entertainment. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 25, 2014. สืบค้นเมื่อ October 11, 2014.
  4. Kietzmann, Ludwig (May 17, 2013). "The Last of Us: Bricks, bottles and a few bullets". Joystiq. AOL. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 2, 2015. สืบค้นเมื่อ March 3, 2015.
  5. Yoon, Andrew (May 20, 2013). "A guide to crafting in The Last of Us". Shacknews. Gamerhub. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 2, 2015. สืบค้นเมื่อ March 3, 2015.
  6. Lavoy, Bill (August 2014). "The Last of Us Remastered Beginners Tips". Prima Games. Random House. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 2, 2015. สืบค้นเมื่อ March 3, 2015.
  7. Wilson, Jeffrey L. (October 23, 2013). "The Last of Us (PlayStation 3) - Review 2013". PCMag. Ziff Davis. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 21, 2020. สืบค้นเมื่อ April 10, 2021.
  8. Lavoy, Bill (August 2014). "The Last of Us Remastered - All Optional Conversations - I Want to Talk About It". Prima Games. Random House. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 2, 2015. สืบค้นเมื่อ March 3, 2015.
  9. Wilson, Tony (October 6, 2013). "The Last of Us Remastered - Collectibles guide". GamesRadar. Future plc. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 2, 2015. สืบค้นเมื่อ January 1, 2021.
  10. Meyer, Arne (March 2, 2012). "Balance Of Power: Gameplay In The Last of Us". PlayStation Blog. Sony Computer Entertainment. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 2, 2015. สืบค้นเมื่อ March 3, 2015.
  11. Naughty Dog (June 14, 2013). The Last of Us (PlayStation 3) (1.0 ed.). Sony Computer Entertainment.
  12. Moriarty, Colin (December 12, 2011). "Naughty Dog Officially Split Into Two Teams". IGN. Ziff Davis. Archived from the original on October 6, 2014. เข้าถึงเมื่อ 19 เมษายน พ.ศ. 2560.