รอเบิร์ต ไคลฟ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Robert Clive)
ท่านลอร์ดไคลฟ์
ข้าหลวงแห่งเขตปกครองฟอร์ตวิลเลียม แคว้นเบงกอล
ดำรงตำแหน่ง
ค.ศ. 1757 – 1760
ก่อนหน้ารอเจอร์ เดรก
ในตำแหน่งประธาน
ถัดไปเฮนรี แวนซิตทาร์ต
ดำรงตำแหน่ง
ค.ศ. 1765 – 1766
ก่อนหน้าเฮนรี แวนซิตทาร์ต
ถัดไปแฮร์รี เวเรลช์
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด29 กันยายน ค.ศ. 1725(1725-09-29)
ชาร์ปเชอร์ ประเทศอังกฤษ
เสียชีวิต22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1774(1774-11-22) (49 ปี)
เวสต์มินสเตอร์, กรุงลอนดอน
เชื้อชาติอังกฤษ
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
รับใช้ บริเตนใหญ่ / จักรวรรดิอังกฤษ
สังกัดกองทัพบกบริเตน
ประจำการ1746–1774
ยศพลตรี
หน่วย บริษัทอินเดียตะวันออก
บังคับบัญชาผู้บัญชาการสูงสุดประจำอินเดีย
ผ่านศึกสงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรีย
สงครามคาร์เนติกครั้งที่สอง
สงครามเจ็ดปี
ยุทธการที่ปลาศี

พลตรี รอเบิร์ต ไคลฟ์ บารอนที่ 1 แห่งไคลฟ์ (อังกฤษ: Robert Clive, 1st Baron Clive; 29 กันยายน ค.ศ. 1725 – 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1774) หรือเป็นที่รู้จักในนาม ไคลฟ์แห่งอินเดีย (Clive of India) เป็นหนึ่งในนักการทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษ เขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของบริติชอินเดีย เขาสามารถมีชัยในยุทธการที่ปลาศีในปี ค.ศ. 1757 ทำให้แคว้นเบงกอลซึ่งเป็นแคว้นที่ร่ำรวยที่สุดของอินเดียในขณะนั้นตกเป็นดินแดนในบังคับของบริษัทอินเดียตะวันออกโดยสมบูรณ์ สร้างความมั่งคั่งให้กับราชสำนักและรัฐบาลอังกฤษอย่างมาก หลังปกครองเบงกอลแล้ว เขาใช้เบงกอลเป็นฐานอำนาจของอังกฤษในการขยายอิทธิพลเพื่อยึดครองแคว้นและอาณาจักรต่างๆในอนุทวีปอินเดีย นอกจากนี้เขายังเป็นสมาชิกรัฐสภาสังกัดพรรคทอรี

บิดาของไคลฟ์ได้แนะนำให้เขาเข้ารับราชการในตำแหน่งผู้แทนค้าต่างประจำบริษัทอินเดียตะวันออก ไคลฟ์จึงออกเดินทางไปยังอินเดียในปี ค.ศ. 1743 และไปแวะพักอยู่ที่บราซิลเป็นเวลาเก้าเดือน ทำให้เขาพอรู้ภาษาโปรตุเกส[1] ในขณะนั้น บริษัทอินเดียตะวันออกมีเพียงนิคมขนาดเล็กๆชื่อว่าป้อมเซนต์จอร์จ (เมืองเจนไนในปัจจุบัน)[2] ตั้งอยู่ริมชายฝั่งตะวันออกในอินเดียใต้ เขาเดินทางถึงป้อมเซนต์จอร์จในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1744 และเริ่มรับราชการที่นั่น อาทิ เป็นเสมียนร้านค้า, ผู้นับสต็อคสินค้าของบริษัทฯ ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 1746 ป้อมเซนต์จอร์จถูกโจมตีโดยกองทหารฝรั่งเศส (เนื่องจากอังกฤษ-ฝรั่งเศสขัดแย้งกันอยู่ในสงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรีย) หลังถูกปิดล้อมได้หลายวันป้อมเซนต์จอร์จก็ถูกฝรั่งเศสเข้ายึดครอง[3]

ไคลฟ์และพลเรือนอังกฤษบางส่วนไม่ยอมจำนนต่อฝรั่งเศส เขาและพวกเดินทางไปยังป้อมเซนต์เดวิด (หนึ่งในป้อมของอังกฤษ) ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ราว 80 กิโลเมตร และขอเข้าสมัครเป็นทหาร ซึ่งถือเป็นตำแหน่งราชการที่ต่ำกว่าผู้แทนค้าต่าง[4] ไคลฟ์ได้รับการบรรจุเป็นนายธงในปี ค.ศ. 1747[5] ต่อมา ความกล้าหาญของไคลฟ์เป็นที่เข้าตาของพันตรีลอว์เรนต์ ซึ่งเดินทางมาเป็นผบ.ป้อมเซนต์เดวิด[5] ตั้งแต่นั้น ไคลฟ์ได้เจริญก้าวหน้าในราชการทหารเรื่อยมา

อ้างอิง[แก้]

  1. Harvey (1998), pp. 18–21
  2. Harvey (1998), pp. 23–24
  3. (Malleson 1893, p. 35)
  4. Harvey (1998), p. 39
  5. 5.0 5.1 Harvey (1998), p. 41